ตอนที่แล้วตอนที่ 25: ของฟรีมีในโลก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 27: ลูกเสี้ยวของชาวมัสติน

ตอนที่ 26: หัดมีมนุษยสัมพันธ์


ตอนที่ 26: หัดมีมนุษยสัมพันธ์

 

เฮเซคียาห์ถีบเรือเป็ดอยู่เพียงลำพังในทะเลสาบกลางหมู่บ้านเซนต์กิลเจนเป็นการฆ่าเวลา ก่อนหน้านี้เมเดียนทิ้งเขาให้นั่งแกร่วรออยู่ที่ร้านอาหารใกล้กับทะเลสาบ แล้วหายตัวไปทำธุระบางอย่างนานนับชั่วโมงแล้ว

โครม!

 

เรือเป็ดอีกลำชนเข้ากับเรือเป็ดของเขา

 

“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในเรือเป็ดส่งเสียง เธอผงกศีรษะลงอย่างลุแก่โทษให้เฮเซคียาห์แล้วเงยหน้าขึ้นมา ส่งรอยยิ้ม และหันไปคุยกับเพื่อน ชวนให้เพื่อนช่วยเธอปั่นเรือเป็ดไปยังอีกด้านของทะเลสาบ

 

เฮเซคียาห์ถีบเรือเป็ดของเขาต่อ เขาส่ายหน้าไปมากับท่าทางสบายๆ ของผู้หญิงสองคนซึ่งเขาเพิ่งพบ พวกเธอช่างดูสบายใจกันเหลือเกิน เห็นการถีบเรือเป็ดว่าเป็นแค่เพียงการพักผ่อน ทั้งที่เรือเป็ดเหมาะสำหรับการฝึกกล้ามเนื้อขาให้แข็งแกร่ง

 

“เฮ้! พ่อหนุ่ม ถีบเรือเป็ดคนเดียวเหรอจ๊ะ” ป้าคนหนึ่งปั่นเรือเป็ดมาเทียบ เธอสวมชุดสีแดงสดและกางเกงสีเหลือง มองแล้วช่างฉูดฉาด ตัดกับสีขาวของเรือเป็ด

 

“ครับ แล้วทำไมครับ” เฮเซคียาห์บึ้งตึงกับมนุษย์แปลกหน้า

 

“อยากได้ป้าไปปั่นเป็นเพื่อนไหมจ๊ะ” ป้ากะพริบตาถี่ๆ ใส่

 

เฮเซคียาห์ส่ายหน้า

 

“ขอโทษครับ ผมอยากปั่นของผมคนเดียว”

 

“ไม่เหงาเหรอจ๊ะ” ป้ายังคงกะพริบตาถี่ๆ ซ้ำ สงสัยมีบางอย่างปลิวเข้าไปในดวงตาของเธอ

 

เฮเซคียาห์สั่นศีรษะเบาๆ และปั่นเรือเป็ดของเขาหนีไปอีกทาง โดยเขาอดแปลกใจไม่ได้ที่ตนเองมีปฏิกิริยาขนลุกจากการถูกสายตาของมนุษย์ป้าจ้องมอง

 

โครม!

 

เรือเป็ดของเขาถูกชนเข้าอีกครั้ง

 

“เฮ้! พวกคุณระวังหน่อยสิ รอบที่สองแล้วนะ” เฮเซคียาห์เสียงเข้มดุใส่คู่หญิงสาวสุดซุ่มซ่าม

 

พวกเธอรีบเอ่ยขอโทษเขาด้วยใบหน้าเจื่อนๆ

 

“เอ่อ คุณค่ะ” คนหนึ่งในคู่คนถีบเป็ด เปิดปากคุยกับเขา เรือเป็ดของเธอยังเคลื่อนที่ขนาบไปกับเรือของเฮเซคียาห์ “ฉันเห็นคุณมากับอัลฟ่าแห่งการเดินทางก่อนหน้านี้ พวกคุณเป็นอะไรกันคะ”

 

“แล้วนั่นมันเป็นปัญหาของคุณเหรอ ทำไมต้องสงสัย” เฮเซคียาห์รำคาญ เขาอยากถูกปล่อยไว้คนเดียว

 

“ก็นะ...” เธอยังคงยิ้มอยู่ได้ “อยากรู้อยากเห็นค่ะ ฉันกับเพื่อนสงสัยว่าคุณจะมาที่นี่บ่อยๆ หรือเปล่า”

 

“แล้วมันทำไมล่ะ มาบ่อยหรือไม่บ่อย เกี่ยวอะไรกับคุณ”

 

“ถ้าคุณจะมาบ่อยๆ เราก็น่าจะเป็นเพื่อนกัน” เธอยังคงยิ้มอยู่ได้ แต่รอยยิ้มดูฝืนมากกว่าแจ่มใสอย่างจริงใจเหมือนตอนแรก

 

บรอธบอกเฮเซคียาห์ให้พยายามแสดงความเป็นมิตรหน่อย ดูเหมือนน้ำเสียงและท่าทางของเขากำลังสร้างความไม่สบายใจให้กับหญิงชาวมนุษย์ตรงหน้า แต่เฮเซคียาห์ไม่ได้ใส่ใจคำแนะนำของบรอธ เพราะเขาไม่คิดว่าตนเองได้ประโยชน์อะไรจากการทำให้มนุษย์คนหนึ่งรู้สึกผ่อนคลายเวลาอยู่ด้วย

 

“จะเป็นเพื่อนกันไหม อยู่ที่ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณหรือเปล่า แต่ดูเหมือนผมยังไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ” เฮเซคียาห์ตอบไปทื่อๆ แล้วเพิ่มความเร็วในการปั่นเรือเป็ดเพื่อหนีไปให้ห่างจากพวกมนุษย์

 

สักพักหนึ่งเฮเซคียาห์เริ่มเบื่อ เขาจึงปั่นเรือเป็ดกลับไปยังท่าน้ำ แล้วขึ้นจากเรือเป็ดเพื่อตรงไปยังร้านอาหารซึ่งเมเดียนพาเขามาปล่อยทิ้งไว้ แต่พอเข้าไปในร้านอาหารแล้วเขายังไม่พบวี่แววของเมเดียน เขาจึงเดินกลับออกมา แล้วใช้เส้นทางที่คุ้นเคยตรงไปยังร้านหนังสือที่เคยไปกับเมเดียน

 

เจ้าของร้านหนังสือออกมาทักทายเขาด้วยสีหน้าบูดๆ และบอกปฏิเสธว่าเธอไม่เห็นเมเดียนด้วยเสียงแห้งๆ ทื่อๆ

 

“งั้นผมขอดูพวกหนังสือฆ่าเวลาหน่อยแล้วกัน เอาโกโก้ร้อนหนึ่งแก้ว” เฮเซคียาห์คุยกับเจ้าของร้านหนังสือ แล้วหยิบหนังสือที่เห็นทางหางตา เพื่อไปนั่งอ่านเงียบๆ ที่โต๊ะคนเดียว

 

เฮเซคียาห์มีถุงใส่พลอยเม็ดเล็กๆ ซึ่งเขาได้จากเมเดียน ร้านค้าในเซนต์กิลเจนล้วนรับพลอยเป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าต่างๆ ตามที่เมเดียนได้กำหนดไว้ ส่วนบุคคลภายนอกที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเซนต์กิลเจน พวกเขาจะต้องเอาแร่ หรืออัญมณีมีค่าไปแลกกับพลอยเม็ดเล็กๆ สีต่างๆ ที่ศาลาว่าการหมู่บ้านก่อนจะซื้อขายของในหมู่บ้านได้

 

เสียงประตูหน้าร้านเปิด เฮเซคียาห์ผุดลุกขึ้น และเดินไปดูทันที

 

“อ้า! เธออยู่นี่เอง ฉันหาเธออยู่” เมเดียนยิ้มร่า เสื้อยืดสีขาวของเขาเปียกโชก

 

“ผมถูกทิ้งให้รอคุณอยู่ตั้งนาน ไหนคุณว่าจะไปแป๊บเดียว” เฮเซคียาห์โวยใส่อีกฝ่าย “คุณไปทำอะไรมากันแน่”

“ฉันไปลาดตระเวนมา เห็นพวกกลุ่มล่าสัตว์บอกว่าเห็นร่องรอยบางอย่างแปลกๆ ในป่า กำลังวิตกกันอยู่ว่าพวกมัสตินน่าจะเพิ่งผ่านมาในละแวกใกล้ๆ เมื่อไม่นานมานี้”

 

“พวกมัสติน?” เฮเซคียาห์เอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ใช่ไหม? ตกลงเป็นพวกเขาหรือเปล่า”

 

“น่าจะใช่นะ แต่เธออย่าคิดเรื่องบ้าๆ อย่างจะออกไปหาพวกเขาเอง นั่นเท่ากับรนหาที่ตาย” เมเดียนมองเฮเซคียาห์ มุมริมฝีปากของเขางุ้มลงเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาเคร่งขรึมฉายแววจริงจังแทน “พวกเขาไม่สามารถเป็นใบเบิกทางไปยังที่ไหนได้ทั้งนั้นนอกจากโลกหลังความตาย”

 

“ของแบบนั้น มันมีเสียที่ไหน” เฮเซคียาห์ไม่ค่อยชอบคำพูดของเมเดียน มันดูเลอะเลือน ไร้สาระ

 

“ฉันบอกว่ามี ก็เชื่อไปหน่อยเถอะว่ามี”

 

“คุณเคยเห็นหรือไง หรือเทเลพอร์ตไปที่นั่นได้ด้วย” เฮเซคียาห์ดักคออีกฝ่าย เขาอยากให้เมเดียนคุยกันบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ “เคยเห็นภรรยาคุณที่นั่นด้วยตาตัวเองมาแล้วเหรอ”

 

“เธอ!” เมเดียนตะคอก

 

เฮเซคียาห์ตีหน้าเฉย

 

บรอธเตือนให้เขาขอโทษเมเดียน แต่เฮเซคียาห์ไม่ยอมทำตามคำแนะนำ

 

“เธอนี่นะ! ทำไมพูดอะไรโดยไม่คิดถึงใจคนอื่นเขาบ้างเลย เธอไม่แคร์หรือไง ว่าจะมีแต่คนเกลียดเธอ”

 

“คุณเกลียดผมหรือเปล่าล่ะ” เฮเซคียาห์สวนเมเดียนกลับ

 

เมเดียนนิ่งอึ้ง แล้วถอนหายใจยาว

 

“ฉันไม่ได้เกลียดเธอ ไม่งั้นฉันไม่เสียเวลาตำหนิเธอเพื่อให้เธอปรับปรุงตัวหรอก” เมเดียนเดินผ่านตัวเฮเซคียาห์ไป แล้วหยิบเอาถ้วยเครื่องดื่มโกโก้ร้อนซึ่งหุ่นยนต์ใส่ถาดนำมาให้ ซึ่งจริงๆ แล้วโกโก้ถ้วยนั้นควรเป็นของเฮเซคียาห์ “เธออายุยังน้อย เป็นเหมือนลูกหรือหลานในสายตาของฉัน ฉันถึงพยายามอบรมสั่งสอนเธอ”

 

“ผมไม่อยากเป็นลูกเป็นหลานคุณ และคุณก็ควรตระหนักด้วย คุณไม่ควรได้รับสิทธิสูงส่งแบบนั้น” เฮเซคียาห์หน้ามุ่ย

 

“อวดดี”

 

เฮเซคียาห์ไม่โต้ตอบ

 

ทางฝ่ายเมเดียนส่ายหน้าไปมา

 

“เธอต้องเรียนรู้ที่จะอ่อนโยนกว่านี้นะ มองย้อนกลับมาว่าเธอสูญเสียอะไรไป และเธอกลายเป็นอะไรไปแล้ว ตอนนี้เธอจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับมนุษย์เพื่อใช้ชีวิตต่อ พวกเขาคือที่พึ่งของเธอ เพื่อนของเธอ และแน่นอนว่าบางครั้งก็อย่างที่เธอว่า คือไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจหรอกว่ามีคนเกลียดไหม แต่ในบรรดามนุษย์มากมาย มีคนที่รักหรือหวังดีกับเธออยู่ด้วย สำหรับคนกลุ่มนี้ เธอควรใส่ใจเสมอที่จะรักษาความรู้สึกดีๆ ต่อกันไว้”

 

เฮเซคียาห์พิจารณาคำพูดของเมเดียน และรู้สึกหนักใจเมื่อคิดถึงการเป็นที่รักของมนุษย์

 

“มนุษย์คนอื่นๆ นอกจากมูนนี่ในอดีตน่ะเหรอ จะมาปรารถนาดีกับผม”

 

“มีมนุษย์มากมายจะปรารถนาดีกับเธอ มองเธอเป็นเพื่อน ถ้าเธอปฏิบัติกับพวกเขาโดยคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนก่อน” เมเดียนขยับออกไปยืนห่างเฮเซคียาห์ คงพออ่านใจเขาได้บ้างว่ายืนใกล้เกินไปเป็นผลให้เขาเกิดความอึดอัด “เริ่มต้นอย่างแรกเลยก็ลองปรับเปลี่ยนวิธีพูดดูหน่อย อ่อนโยนขึ้นอีกนิด พูดในสิ่งที่เธออยากได้ยินคนอื่นพูดกับเธอ ส่วนสิ่งที่ไม่อยากได้ยินจากคนอื่น ก็อย่าพูดใส่คนอื่น”

 

“จริงๆ ก็ไม่ยากนะ” เฮเซคียาห์หลุดหัวเราะ แล้วยิ้มมุมปาก โดยยกมุมปากเพียงข้างเดียวขึ้น

 

“มันไม่ยากหรอก เธอพูดดีๆ กับฉันอยู่บ่อยๆ” เมเดียนวิจารณ์ “แต่ก็นะ ระวังปากเวลาหงุดหงิดหน่อย เธอมักมีคำพูดแย่ๆ ทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นเวลาเธอหงุดหงิด แล้วก็กับคนที่คิดต่าง บางทีเธอพูดแรงเสียจนขนาดฉันยังรับแทบไม่ได้”

 

“จริงๆ ผมก็รู้นั่นแหละว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด อย่างเรื่องการเทเลพอร์ตไปโลกหลังความตาย อันนั้นน่ะคุณต้องไม่ชอบอยู่แล้ว แต่ปากผมน่ะ มันเร็วมากเลยทีเดียว ก็เพราะผมไม่เห็นด้วยจริงๆ”

 

“แต่เธอจะตายไหม ถ้าไม่ได้เถียงฉันกลับ”

 

“แค่อึดอัดใจ ผมว่าความคิดเห็นของคุณไม่ถูกต้อง”

 

“แล้วมันสำคัญมากเลยหรือเปล่าล่ะที่ฉันต้องเชื่อเหมือนกับเธอว่าโลกหลังความตายไม่มีอยู่จริง” เมเดียนตั้งคำถามที่ท้าทายเฮเซคียาห์เป็นอย่างมาก เฮเซคียาห์คิดว่ามันสำคัญที่เมเดียนต้องเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้เท่านั้น แต่ก่อนที่เขาจะโต้ตอบ เมเดียนกลับตอบคำถามของตัวเองก่อน “คำตอบคือ มันไม่ได้สำคัญเลย เพราะนี่เป็นเรื่องความเชื่อเฉพาะของฉันซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ บางครั้งคนเราก็อยากเชื่อ ไม่ใช่อยากพิสูจน์”

 

“พิสูจน์ไม่ได้ ก็เท่ากับงมงายน่ะสิ”

 

“ก็คงใช่นะ ในมุมมองของเธอ แต่ฉันเชื่อของฉันแบบนี้ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือเธอแค่รับฟังก็พอ” เมเดียนสอนมารยาทให้แก่เฮเซคียาห์ “ถ้าเธอจะโต้แย้ง เธอควรเข้าใจว่าคำโต้แย้งของเธอต้องเป็นการช่วยคู่สนทนาอย่างแท้จริง ส่วนของฉัน ฉันเชื่อเพราะความสบายใจ เธอโต้แย้งฉันแล้วฉันไม่สบายใจ ดังนั้นการโต้แย้งของเธอไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของฉันดีขึ้น เธอเก็บคำโต้แย้งของเธอไปจะดีกว่า”

 

“เทศน์มาซะยาว เอาเป็นว่า คราวหน้าผมจะแค่ฟังคุณก็แล้วกัน”

 

“ก็ดีนะ” เมเดียนหัวเราะเบาๆ

 

เฮเซคียาห์เดินหนีเมเดียนกลับไปที่โต๊ะหนังสือ เขาแสร้งเปิดหนังสือออกอ่าน แต่ใจค่อนขอดเมเดียนว่าสิ่งที่บอกให้เขาทำ ที่แท้มันก็มารยาทในการสนทนาเบื้องต้นซึ่งเขาเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ ก็คือแค่ฟัง

 

เฮเซคียาห์ใช้ส้อมเขี่ยไข้เจียวในจานอย่างเบื่อๆ เขาถูกเมเดียนพามาทิ้งไว้ที่ร้านอาหารอีกครั้ง ส่วนตัวเมเดียนเองหายไปกับชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีธุระติดต่อกับหมู่บ้านอื่น

 

“เอ่อ นั่งด้วยได้ไหม” มนุษย์ผู้หญิงมายืนอยู่ข้างโต๊ะของเขา

 

เฮเซคียาห์รู้สึกว่าคุ้นๆ หน้าเธอ

 

“โต๊ะอื่นก็ว่างนี่ครับ” เขาระงับความหงุดหงิดที่ผุดขึ้น และโต้ตอบกับเธออย่างด้วยเสียงนุ่มๆ

 

“จำฉันได้ไหมคะ เราเจอกันที่ทะเลสาบ” หญิงสาวทรุดกายลงนั่งฝั่งตรงข้ามทันที “ฉันโซเฟีย ตอนนั้นที่ฉันเจอคุณ เราปั่นเรือเป็ดกันอยู่”

 

“ยัยซุ่มซ่าม...” เฮเซคียาห์กัดลิ้นตัวเอง “คนที่ปั่นมาชนเรือผมตั้งสองครั้งนี่เอง ว่าไงครับ มีอะไร”

 

โซเฟียหลุดหัวเราะคิกคัก

 

“คุณนี่! ตรงจริงๆ เลยนะคะ แต่อย่างที่คุณว่าแหละค่ะ ฉันซุ่มซ่ามเองจริงๆ”

 

“หัวเราะด้วย คุณชอบคนตรงๆ อย่างนั้นเหรอ” เฮเซคียาห์นิ่วหน้า เขากำลังประเมินว่าเขาอาจสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ต่อหน้าโซเฟีย

 

‘วิเคราะห์: เธอไม่ได้ชอบคนพูดตรง คำพูดของเธอเป็นแค่การกระเซ้าเท่านั้น’

 

“อ้อ คุณไม่ได้ชอบคนตรงๆ นักหรอก ก็แค่แหย่ผมเล่น” เฮเซคียาห์ปั้นหน้ายิ้มน้อยๆ แต่ใจหงุดหงิด

 

“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ บางครั้งฉันก็ชอบคนตรงๆ แต่บางครั้งก็ไม่ชอบ ขึ้นอยู่กับว่าคุณพูดตรงๆ ในเรื่องอะไร” โซเฟียหันไปสั่งกาแฟจากพนักงานเสิร์ฟ “ฉันมองว่าคุณเป็นคนตรงๆ นะ ซึ่งไม่ได้เลวร้ายหรอก แต่ก่อนหน้านี้คุณท่าทางเอาเรื่องมากจริงๆ ฉันเลยลังเลอยู่หลายทีว่าจะทักหรือไม่ทักดี บอกตรงๆ กลัวโดนคุณด่า”

 

“วันนี้กล้าทัก วันผมดูเอาเรื่องน้อยลงเหรอครับ” เฮเซคียาห์ยิ้มเกร็ง

 

“น้อยลงค่ะ ฉันว่าช่วงหลายวันมานี้คุณดูสุภาพมากขึ้น ฉันไม่เห็นคุณพูดจากัดจิกคนอื่นถี่ๆ เหมือนเมื่อก่อน” โซเฟียดูเหมือนเฝ้าสังเกตการณ์เฮเซคียาห์มาสักระยะหนึ่งแล้ว

 

เฮเซคียาห์นึกถึงความรู้สึกเสียวสันหลังวูบๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในช่วงหลายวันให้หลังเมื่อเขามาที่เซนต์กิลเจนกับเมเดียน ไม่แน่ว่าอาจเกิดจากผู้หญิงคนนี้

 

“ผมอยากให้ตัวเองดูเป็นมิตรมากขึ้น เมดียนสอนผมว่ามนุษย์คนอื่นชอบคนสุภาพ”

 

“อัลฟ่าแห่งกาลเวลา เขาอาจจะแปลกๆ บางครั้ง แต่เป็นคนที่สุภาพมาก ให้เกียรติคนอื่นเสมอ” โซเฟียดูเหมือนเป็นหนึ่งในแฟนคลับของเมเดียน "พูดก็พูดเถอะ ตอนฉันเป็นเด็ก ถ้าฉันไม่ได้เขาก็คงแย่ เขาช่วยสอนให้ฉันปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเอง จากเด็กหัวขโมย ฉันยอมคืนของที่ขโมยไป แล้วยอมเข้าโรงเรียนไปเรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ”

 

“โรงเรียน?” เฮเซคียาห์ทวนคำ “ที่นี่มีสถานที่แบบนั้นด้วยเหรอ”

 

“เรามีเด็กประมาณ 30 คนในหมู่บ้านนี้ค่ะ เพราะฉะนั้นที่นี่เลยมีโรงเรียนด้วย เป็นโรงเรียนเล็กๆ มี 3 ห้องเรียนเท่านั้นเอง”

 

“แล้วเด็กๆ เรียนอะไรกัน”

 

“ก็การเขียนอ่านภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน แล้วก็การคำนวณพื้นฐาน”

 

เฮเซคียาห์พยักหน้ารับรู้

 

“ฉันเดาว่าคุณคงไม่เคยไปโรงเรียน คุณอยากไปดูโรงเรียนไหม” โซเฟียยกสองมือขึ้นประสานกันและวางคางของเธอลงบนสองมือ ดวงตาจับจ้องมาที่เขา

 

“ก็ไม่เคยไป...” เฮเซคียาห์ลังเลที่จะบอกปฏิเสธไปเลยว่าไม่สนใจสถานศึกษาของมนุษย์ เกรงว่าอีกฝ่ายอาจรู้สึกไม่พอใจ

 

“ฉันเป็นคุณครูสอนคำนวณ กับภาษาฝรั่งเศสที่นั่น” โซเฟียยิ้มอย่างร่าเริง “ฉันพาคุณไปดูที่นั่นได้นะ ถ้าหากว่าคุณสนใจ”

 

เฮเซคียาห์นิ่งคิด แล้วพยักหน้า เขาคิดว่าตามเธอไปดูสักหน่อยไม่ใช่เรื่องเสียหาย

 

พวกเขาทั้งคู่ออกเดินจากร้านอาหารริมทะเลสาบ ตัดลัดเข้าถนนแห่งหนึ่ง แล้วเดินไปตามทางเดินเล็กๆ ซึ่งรอบข้างทั้งสองด้านเป็นกำแพงบ้านของผู้คน เด็กเล็กๆ วิ่งผ่านมากลุ่มหนึ่ง พวกเขาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวสวัสดีและพูดคุยกับโซเฟียก่อนออกวิ่งจากไปยังอีกทาง

 

เฮเซคียาห์เลี้ยวขวาตามโซเฟียไป แล้วได้พบเข้ากับพื้นที่ใหญ่สีเขียวที่มีเครื่องเล่นสำหรับเด็กจัดวางอยู่ ด้านหนึ่งของพื้นที่มีอาคารหลังเล็กทาสีขาวยกสูงจากพื้นเล็กน้อย ตัวอาคารมีชานเรือนสำหรับเดินเข้าแถวและวางรองเท้า ประตูของห้องบนเรือนเป็นกระจกบานเลื่อน เมื่อเฮเซคียาห์มองผ่านประตูกระจกบานหนึ่งเข้าไป เขาเห็นกระดานดำและโต๊ะหนังสือ

 

“เข้าไปด้านในกันค่ะ” โซเฟียยิ้มเย็นๆ ให้เขา

 

เฮเซคียาห์รู้สึกเหมือนมีเล่ห์กลแอบแฝงอยู่ในรอยยิ้มของเธอ

 

‘ยืนยัน: ไม่มีอันตราย’

 

บรอธทำให้เขาโล่งใจ ดังนั้นเฮเซคียาห์จึงค่อยๆ เหยียบขึ้นชานเรือนตามหลังโซเฟีย และถอดรองเท้าออกเพื่อตามเธอเข้าไปในห้องเรียน

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด