ตอนที่แล้วบทที่ 2 โชคชะตาของเถี่ยซินหยวน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 ข้ามาแล้ว

บทที่ 3 เสาะหาที่พักพิง


บทที่ 3 เสาะหาที่พักพิง

 

หวังโหรวฮวาอยากโยนเจ้าจิ้งจอกตัวนั้นทิ้งไปเหลือเกิน นางรู้สึกว่าแม่จิ้งจอกตัวนั้นกำลังแก้แค้นตัวเอง แต่ว่าบุตรชายกลับกอดลูกจิ้งจอกเอาไว้แน่น แล้วหันมาหัวเราะเอิ๊กอ๊ากใส่นาง ทำให้นางลืมเรื่องจิ้งจอกจะกลายร่างเป็นปีศาจได้หรือไม่ไปเสียสนิท

 

เมื่อคิดถึงเรื่องที่บุตรชายอายุน้อยเพียงนี้ต้องกำพร้าบิดา นางจึงไม่อาจตัดใจทำลายภาพความเฉลียวฉลาดที่เขาเพิ่งแสดงออกมาได้ นางเอาผ้าห่อตัวเขาให้เรียบร้อยอีกครั้ง จากนั้นจับเจ้าจิ้งจอกน้อยใส่ถังไม้แล้วลากไปข้างหน้า

 

หวังโหรวฮวารู้สึกหิวมาก..หิวยิ่งนัก ในเมืองหลวงมีร้านขายอาหารอยู่มากมาย โดยเฉพาะยามที่นางเดินผ่านร้านขายขนมหอมๆ ก็มีกลิ่นหอมกรุ่นของขนมกุ้ยฮวา[1]ลอยมาปะทะจมูก หลังจากนางตั้งใจฟังเสียงร้องขายของคนงานในร้านก็เดินจากไปด้วยความเสียดาย ขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่งก็ราคาสองอีแปะแล้ว ทั้งที่ก่อนเกิดอุทกภัยใหญ่เงินสามอีแปะซื้อได้ถึงสองชิ้น เมื่อครั้งที่นางตั้งท้องซินหยวนอยู่นั้นพี่ชีก็เคยซื้อให้นางกินสองชิ้น รสชาติของมันอร่อยล้ำเลิศมากจริงๆ

 

คนในเมืองหลวงนี่ไม่มีดีเลยสักคน กระทั่งน้ำในบ่อที่ต้มแล้วก็ยังต้องใช้เงินซื้อ

 

หวังโหรวฮวาเอามือจับถุงเงินที่ผูกไว้กับเอวโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงกัดฟันเดินหน้าต่อไป หวังว่าจะหาน้ำดื่มได้โดยไม่ต้องเสียเงิน

 

“น้ำดื่มของข้าใส่สมุนไพรทั้งดอกจินอิ๋นฮวา[2]และหญ้ากานเฉ่า[3] หลังน้ำท่วมใหญ่ต้องเกิดโรคระบาดร้ายแรงแน่ มีเพียงแต่ต้องดื่มยาสมุนไพรที่ท่านซุนให้ไว้ ถึงจะผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้”

 

ท่านป้าที่ขายน้ำเห็นว่าหวังโหรวฮวาไม่ยอมซื้อ จึงร้องตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

หวังโหรวฮวาเคยเห็นกระแสน้ำหลากมากับตา อีกทั้งเคยเห็นซากศพของคนและสัตว์เลี้ยงที่ลอยมาตามสายน้ำ แต่ก่อนนั้นบริเวณโค้งแม่น้ำฮวงโหมักจะมีซากศพคนลอยมา ท่านปู่ผู้อาวุโสในตระกูลก็จะให้คนในหมู่บ้านไปแจ้งกับทางการ รอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบแล้ว จึงหาสถานที่สักแห่งเพื่อขุดหลุมลึกๆ ฝังศพให้เรียบร้อย

 

คนในหมู่บ้านรู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้าง พวกเขาไม่อยากออกแรงทำงานสกปรกโสโครกเช่นนี้เลย สุดท้ายแล้วหลังจากโดนผู้อาวุโสลิ่วใช้ไม้เท้าฟาดไปถึงได้เข้าใจว่า ซากศพเน่าเปื่อยนี่เองเป็นที่มาของโรคระบาด

 

“สองชามหนึ่งอีแปะข้าถึงจะดื่ม!”

 

หวังโหรวฮวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วหันมองหญิงขายน้ำดื่มที่เสียบปิ่นปักผมทำจากทองแดงอันหนึ่งบนศีรษะ

 

ท่านป้าผู้นี้สะบัดผ้าในมือเล็กน้อยแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “เห็นว่าพวกเจ้าแม่ลูกก็ประสบเภทภัย ยอมให้เจ้าก็แล้วกัน สองชามหนึ่งอีแปะ”

 

ระหว่างที่เอ่ยวาจานั้นนางก็ตักน้ำสีเหลืองจางๆ สองชามออกมาจากถังไม้ใบใหญ่แล้ววางตรงหน้าหวังโหรวฮวา ฉวยโอกาสตอนที่นางกำลังดื่มน้ำอยู่ ลอบสังเกตเถี่ยซินหยวนในอ้อมอกนางอย่างละเอียด

 

เด็กน้อยใบหน้าขาวสะอาดไม่เปรอะเปื้อนน้ำมูกน้ำลายชวนให้ผู้คนรักใคร่เอ็นดู หญิงวัยกลางคนผู้นี้จึงยื่นมือออกไปลูบหน้าเถี่ยซินหยวน หวังโหรวฮวารีบเบี่ยงกายหันกลับไม่ยอมให้นางแตะต้องบุตรชายของตน

 

ท่านป้าผู้นี้เอ่ยขึ้นอย่างกระอักกระอ่วนว่า “แหม ข้าก็แค่เห็นเด็กคนนี้น่าเอ็นดูยิ่ง”

 

หวังโหรวฮวาตอบเสียงแผ่วเบาว่า “เด็กคนนี้กลัวคนแปลกหน้า”

 

เดิมทีเถี่ยซินหยวนกำลังประเมินหญิงอายุคราวป้าตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อได้ยินมารดากล่าวเช่นนี้ก็รีบส่งเสียงอ้อแอ้ออกมา จากนั้นหันหน้าเข้าหาอ้อมอกของนางเพื่อยืนยันว่าคำพูดที่กล่าวมาเป็นความจริง

 

เมื่อหญิงวัยกลางคนผู้นี้เห็นว่าเด็กน้อยไม่ชอบหน้าตัวเอง ก็บ่นพึมพำอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ข้างกายข้ามีลูกสาวเพียงคนเดียว หากเจ้ายอมทิ้งเด็กคนนี้เอาไว้ เขาก็จะมีชีวิตที่สุขสบาย ข้าจะให้เงินเจ้าสองพวง เจ้าเอาไปใช้แทนสินเดิมแต่งงานใหม่เสียสิ แล้วนับจากนี้พวกเราไม่ต้องพบหน้ากันอีกเป็นอย่างไร?

 

เจ้ารู้เอาไว้เลยนะ เพราะข้ารู้สึกถูกชะตาลูกของเจ้าหรอกถึงให้ราคาสูง ทุกวันนี้ในท้องตลาดผู้คนเหน็บหญ้าแห้ง[4]ขายลูกตัวเองกันมากมายนัก แค่เพียงห้าร้อยอีแปะก็ตกลงซื้อขายกันได้แล้ว”

 

หวังโหรวฮวาไม่พูดไม่จาสักคำ นางตั้งใจดื่มน้ำจนหมดชามแล้วทิ้งเหรียญทองแดงค่าน้ำเอาไว้ หลังจากเหลือบมองหน้าหญิงผู้นี้อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก็ลากถังไม้อาบน้ำเดินตรงไปข้างหน้า เพื่อเสาะหาที่พักพิงของตนและบุตรชายต่อไป

 

“ไม่เห็นความดีของผู้อื่น ข้าจะรอดูวันที่เจ้าต้องย่างเท้าเข้าหอนางโลม ส่วนเด็กนั่น...”

 

หวังโหรวฮวากระชับห่อผ้าของบุตรชายเข้าแนบชิดทรวงอกมากกว่าเดิม ไม่ใส่ใจกับคำสาปแช่งของท่านป้าขายน้ำดื่มผู้นั้น เงินแค่สองพวงคิดจะซื้อลูกรักของนางไปอย่างนั้นหรือ? ในวันหน้าลูกคนนี้จะต้องได้เป็นถึงแม่ทัพหรืออัครเสนาบดี ต่อให้มอบของล้ำค่าสักปานใดนางก็ไม่ยอมแลกเปลี่ยน หญิงจากครอบครัวดีงามในเมืองหลวงจะพูดถึงหอนางโลมกันหรือ? ในเมื่อมีชื่อสถานที่สกปรกเช่นนี้ติดอยู่ที่ปาก เกรงว่าบุตรสาวของนางก็คงอยู่ไม่ไกลจากหอนางโลมสักเท่าไร

 

หลังจากซื้อขนมชุยปิ่ง[5]มาสองชิ้น หวังโหรวฮวาก็เดินไปตามย่านการค้าในเมืองหลวงอย่างไร้จุดหมาย ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อใดกัน ด้านหลังของนางมีขอทานสวมเสื้อผ้าขาดปุปะหลายคน เดินตามมาอย่างเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน

 

เถี่ยซินหยวนเหลือบมองกลุ่มขอทานด้านหลังที่มีเจตนามุ่งร้ายด้วยความกังวล แต่ว่าเขาก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้มารดาล่วงเกินท่านป้าที่ขายน้ำอยู่ข้างทาง นางถึงได้จ่ายเงินให้พวกขอทานมาชิงตัวเขาไป

 

เงินสองพวงไม่อาจทำให้จิตใจมารดาของเขาสั่นไหว แต่ขอทานกลุ่มนี้กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

ท่ามกลางเสียงร้องไห้โยเยอย่างมีเป้าหมายของเถี่ยซินหยวน หวังโหรวฮวาก็สังเกตเห็นแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังจากร้องทุกข์กับมือปราบที่เดินผ่านมาก็ไร้ผล ทันใดนั้นนางจึงยอมจ่ายเงินหนึ่งร้อยอีแปะด้วยความสิ้นหวัง เพื่อซื้อมีดเลาะกระดูกคมกริบมาถือไว้ในกำมือ

 

เหล่าขอทานเห็นหวังโหรวฮวาถือมีดเล่มนั้นเพื่อแสดงพลังข่มขู่พวกตน จึงหันมาสบตากันแวบหนึ่งแล้วค่อยๆ ขยับถอยหลังห่างออกไป แต่ว่าไม่ได้จากไปไหน เพียงแค่หยุดเพื่อรอคอยโอกาสอันเหมาะเจาะเท่านั้น

 

ที่ใดมีคนอยู่น้อยนิดหวังโหรวฮวาไม่กล้าย่างกรายไป นางทำได้เพียงเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมกับกลุ่มชาวบ้านจำนวนไม่มากนัก เวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลง ผู้คนในย่านการค้าก็น้อยลงไปทุกที อีกทั้งฝนเม็ดใหญ่พลันตกลงมาอีกครั้ง

 

ใต้ชายคาของร้านค้าที่ตั้งอยู่ริมถนนมีกลุ่มคนเร่ร่อนหลบฝนอยู่แน่นขนัด ส่วนสถานที่ลึกเข้าไปในตรอกถนนมีพวกขอทานเดินกันขวักไขว่ ราวกับสุนัขล่าเนื้อแห่งทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่รอโอกาสโจมตีนางก็ไม่ปาน

 

ร่มเก่าๆ คันนี้ไม่อาจกันน้ำฝนได้ ผ่านไปไม่นานนักเสื้อผ้าของหวังโหรวฮวาก็เปียกชุ่มไปหมด แต่ว่ากลับช่วยให้เถี่ยซินหยวนที่นอนเนื้อตัวแห้งสบายอยู่ในห่อผ้า ไม่โดนน้ำฝนเลยสักนิดเดียว

 

เจ้าจิ้งจอกน้อยที่มีขนาดเท่าลูกแมวตัวเล็กๆ ก็นอนขดอยู่ในห่อผ้าของเถี่ยซินหยวน หวังโหรวฮวาเดินไปข้างหน้า โดยโน้มร่างกายของตนบังฝนเอาไว้ ไม่ยอมให้สายฝนกระเด็นโดนบุตรชายเลยแม้แต่หยดเดียว

 

เถี่ยซินหยวนยื่นมือน้อยๆ ออกไปแตะจับคางของมารดา หยดน้ำฝนไหลรวมกันบริเวณนั้นจนกลายเป็นธารน้ำสายเล็กๆ แล้ว

 

ดวงตาของหวังโหรวฮวาสาดประกายดุดันดั่งแม่หมาป่าตัวหนึ่ง ต่อให้พวกเขาอยู่ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา เถี่ยซินหยวนก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

ภาพเบื้องหน้าของหวังโหรวฮวาพลันว่างเปล่า เวลานี้ตรงหน้าของนางมีกำแพงใหญ่โตน่าเกรงขามขวางกั้นเอาไว้ กำแพงสูงตระหง่านปานนี้ เมื่อเทียบกับกำแพงเมืองหลวงแล้วก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใด

 

ชายคาพอให้หลบฝนบริเวณอื่นล้วนมีผู้คนรวมกันอยู่หนาแน่น มีเพียงกำแพงสูงใหญ่ตรงหน้าของนางที่ไม่มีใครเลยสักคน และแล้วหวังโหรวฮวาที่เหนื่อยล้าถึงขีดสุดก็พบสถานที่พักพิงอันเหมาะสม นางไม่ทันไตร่ตรองอะไรให้มากนัก ก็รีบตรงเข้าไปที่มุมโค้งที่เว้าเข้าไปด้านในของกำแพง เมื่อนำถังไม้วางเอาไว้ข้างหนึ่งแล้ว นางและบุตรชายรวมถึงเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนั้นก็เข้าไปขดอยู่ในถังไม้ เฝ้ามองเม็ดฝนเล็กละเอียดดังไอหมอกอย่างสบายใจ

 

กลุ่มขอทานที่เดินตามหลังสองแม่ลูกคู่นี้หันกายจากไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ ส่วนชาวบ้านผู้ลี้ภัยคนอื่นก็มีท่าทีคล้ายว่ากำลังยินดีในเคราะห์ร้ายของพวกเขา

 

เถี่ยซินหยวนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาร้องไห้งองแงเพื่อเร่งให้มารดารีบไปจากที่นี่เสีย ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่ลี้ภัยหรือพวกขอทาน จะต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ถึงได้ไม่เข้ามาหลบฝนบริเวณนี้ ประหนึ่งว่าในถ้ำเสือมักจะว่างเปล่า ไม่ใช่ว่าถ้ำเสือจะบังลมกันฝนมิได้ แต่เป็นเพราะว่าการเข้ามาหลบภัยในถ้ำเสือคงได้จบชีวิตลงเร็วยิ่งกว่าเดิม

 

หวังโหรวฮวาเหนื่อยล้าเกินไปเสียแล้ว นางอ่อนเพลียจนไม่มีใจจะไปคิดถึงเรื่องอื่น เสียงร้องโยเยของบุตรชายทำให้นางนึกไปว่า เขาคงรู้สึกหิวขึ้นมาเท่านั้น จึงใช้เต้านมของตัวเองอุดปากของเขาเอาไว้อีกครั้ง จากนั้นจึงกำมีดในมือไว้แน่น แล้วเฝ้ามองด้านนอกด้วยท่าทีระแวดระวัง

 

สัญชาตญาณระวังภัยของนางคงอยู่ได้ไม่นานนัก ความลำบากตรากตรำตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืนรีดเค้นเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายของนางไปจนหมดสิ้น เมื่อมีผ้าห่มบางๆ ผืนหนึ่งคลุมร่างกายก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นได้แล้ว นางจึงเอาศีรษะพิงขอบถังหลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

เถี่ยซินหยวนหยุดร้องไห้แล้ว ส่วนจิ้งจอกน้อยที่กำลังก้มหน้ากินขนมชุยปิ่งครึ่งชิ้นเล็กๆ เงยหน้ามองด้วยความสงสัย มันเห็นว่าเถี่ยซินหยวนกำลังช่วยมารดาปิดอกเสื้อให้เรียบร้อย ก็ก้มหน้ากินขนมชิ้นนั้นต่อไป

 

ในเวลานี้เองเถี่ยซินหยวนถึงมีโอกาสสำรวจมารดาของตัวเองอย่างละเอียด

 

เส้นผมของนางยังคงเปียกชุ่มโชก แม้ใบหน้าแลดูขาวซีด แต่รูปโฉมยังคงงดงามโดดเด่น สีย้อมของชุดผ้าป่านไม่ติดทนนานนัก มันทิ้งรอยประทับสีน้ำเงินจางๆ เอาไว้ที่คอเล็กน้อย

 

เถี่ยซินหยวนยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังนอนหลับแผ่วเบา ศีรษะหนักอึ้งเอนซบอยู่ที่คอของนาง ออกแรงสูดกลิ่นจากร่างกายของมารดา

 

หญิงสาวผู้นี้เอง...ที่พาเขาก้าวผ่านเส้นทางที่ยากลำบากและอันตรายที่สุดมาได้

 

ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะเดินมาจนสุดทางเสียแล้ว แต่เถี่ยซินหยวนกลับไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยสักนิด มีเพียงความซาบซึ้งเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจ

 

บนกำแพงสูงมีโพรงเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ช่องทางนี้คงเอาไว้ใช้ระบายน้ำออกมา แต่ว่าตอนนี้มันคงแห้งขอดหรือไม่ก็เปลี่ยนเส้นทางไปแล้ว น้ำฝนปริมาณมากขนาดนี้กลับไม่มีน้ำไหลออกมาเลย

 

เสียงฝีเท้าหนักอึ้งลอยมาจากที่ไกลๆ ชาวบ้านที่รอชมเรื่องสนุกถอยหลบไปไกลกว่าเดิม แต่ว่าสายตายินดีกับเคราะห์ร้ายของผู้อื่นยังคงทิ่มแทงไปที่ร่างของเถี่ยซินหยวนไม่จากไปไหน

 

เขาชี้ไปที่จิ้งจอกน้อยพลางส่งเสียงร้องอืออา หวังว่ามันจะรอดพ้นเคราะห์คราวนี้ไปได้ เพราะช่องทางเล็กๆ นั่นเขามุดเข้าไปไม่ได้แน่ แต่เจ้าตัวเล็กนี่คงทำได้ไม่น่ามีปัญหาอะไร

 

ลูกจิ้งจอกเห็นเถี่ยซินหยวนยื่นมือออกมา มันก็ทิ้งขนมชุยปิ่งแล้วกระโดดผลุงมาที่ข้างกายเขา แล้วอ้าปากงับนิ้วมือเอาไว้ เถี่ยซินหยวนทิ้งมือลงอย่างไร้เรี่ยวแรง...

 

ร่างสูงใหญ่ดังขุนเขาของคนผู้หนึ่งบดบังช่องว่างตรงหน้าเขาเอาไว้

 

เถี่ยซินหยวนมองเห็นอย่างชัดเจน เขาคงเป็นจะเป็นผู้บัญชาการทหารสักคนหนึ่งแน่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับขุนพลในยุคโบราณ และเกรงว่าคงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้เปิดหูเปิดตาเช่นนี้ด้วย

 

ชายผู้นั้นอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ตัวหนึ่ง มันเป็นม้าศึกที่มีลักษณะโดดเด่นนัก ทั่วร่างของชายคนดังกล่าวปกคลุมด้วยชุดเกราะ ยิ่งเสริมให้เขาแลดูสูงกำยำและสง่างามมากกว่าเดิม

 

ชุดเกราะในยุคโบราณหนาและหนักอย่างยิ่ง ส่วนชายผู้นี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าล้วนห่อหุ้มด้วยชุดเกราะ แม้แต่หมวกเกราะที่สวมอยู่ก็ปิดทึบทุกด้าน มีเพียงสายตาเย็นยะเยือกปานน้ำแข็งพุ่งตรงมาทางนี้ จึงมองเห็นว่าเป็นร่างมีเนื้อหนัง

 

หลาวหม่าซั่ว[6]ด้ามยาวทรงพลังชี้ตรงมายังหวังโหรวฮวาที่เพิ่งสะลึมสะลือตื่นจากฝัน เมื่อเขามองเห็นว่ามือในแขนเสื้อของหวังโหรวฮวามีมีดคมกริบเล่มหนึ่งร่วงลงมา นายทหารม้าผู้นี้ก็บังคับม้าศึกให้เข้ามาใกล้กว่าเดิม หลาวยาวนั่นชี้มาที่หวังโหรวฮวาราวกับจะตรึงนางไว้กับกำแพง

 

เถี่ยซินหยวนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงกอดมารดาที่ตื่นตระหนกจนนิ่งอึ้งไปแล้วร้องไห้เสียงดัง ในขณะเดียวกันก็ใช้ร่างตัวเองขวางหน้านางเอาไว้

 

เขารู้ดีว่าร่างเล็กๆ นุ่มนิ่มดั่งก้อนเนื้อของตัวเอง คงไม่อาจขวางหลาวยาวคมกริบเล่มนั้นได้ ทว่าขณะที่อาวุธนั่นจะพุ่งเข้ามา จู่ๆ หวังโหรวฮวาก็คว้าร่างของเถี่ยซินหยวนมาซ่อนไว้ด้านหลังราวกับคนคุ้มคลั่ง นัยน์ตาเบิกกว้างจ้องมองไปที่ทหารบนหลังม้าแล้วตะโกนว่า “อย่าทำร้ายลูกข้า!”

 

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเสียงร้องไห้ของเถี่ยซินหยวนหรือว่าเสียงตะโกนของหวังโหรวฮวา ที่ทำให้รูปสลักเคลื่อนไหวได้ตรงหน้ารู้สึกตกใจขึ้นมา น้ำเสียงเย็นชาจับใจดังลอดออกมาจากหมวกเกราะว่า

 

“ผู้ใดเข้าใกล้กำแพงเขตพระราชฐานเกินสิบก้าวโดยไร้เหตุผลล้วนต้องตาย!”

 

เมื่อเผชิญหน้ากับชายเย็นชาปานรูปสลัก หวังโหรวฮวาเอ่ยปากด้วยเสียงสั่นเทาจนฟันกระทบกันดังกึกๆ ว่า “ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ!”

 

“รถม้าที่ประทับของฝ่าบาทอยู่ตรงนี้แล้ว ข้าไม่มีเหตุต้องละเว้นชีวิตเจ้า เด็กน้อยไม่รู้ความคงโดนส่งตัวไปโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า สำหรับเจ้า.. กฎหมายบ้านเมืองไม่อาจละเว้น จงตายเสียเถิด!”

 

หลาวยาวในมือของทหารบนหลังม้าเพียงแค่ยื่นออกมาเล็กน้อย ก็เกี่ยวเอาห่อผ้าในมือหวังโหรวฮวาลอยละลิ่วไป มือซ้ายของเขากอดเถี่ยซินหยวนในห่อผ้าเอาไว้แน่น ส่วนหลาวในมือขวากำลังจะพุ่งออกไปอีกครั้ง

 

หวังโหรวฮวาที่หมดสิ้นความหวังทำได้เพียงมองบุตรชายที่ร้องไห้โยเยไม่หยุด และปิดเปลือกตาลงช้าๆ...

 

----------------------------

 

[1] กุ้ยฮวา(桂花)มีอีกชื่อหนึ่งว่า ดอกหอมหมื่นลี้

[2] ดอกจินอิ๋นฮวา(金银花)หรือดอกสายน้ำผึ้ง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ใช้รักษาอาการร้อนใน

[3] หญ้ากานเฉ่า(甘草)หรือชะเอม เป็นยาสมุนไพรจีนที่มีบทบาทในการประสานตัวยาต่างๆ เข้าด้วยกัน เป็นตัวยาที่ใช้บ่อยที่สุดตัวหนึ่งในตำรับยาจีน

[4] เหน็บหญ้าแห้ง (插草标)ในสมัยโบราณการนำต้นหญ้าแห้งๆ มาผูกเป็นปมหรือเหน็บไว้กับสิ่งของ หมายถึง ต้องการจะขายของสิ่งนั้น มีตั้งแต่ชิ้นเล็กอย่างของใช้ทั่วไปหรือกระทั่งการขายลูกตัวเอง

[5] ชุยปิ่ง (炊饼)ชื่อขนมเปี๊ยหรือปิ่งชนิดหนึ่ง

[6] หลาวหม่าซั่ว (马槊)อาวุธประเภทหลาวหรือซั่ว(槊)เป็นอาวุธที่มีลักษณะยาวและหนัก ไม่สามารถรำออกกระบวนท่าได้ แต่อาศัยการควบม้าหรือรถม้าศึกพุ่งฝ่าทัพข้าศึก จึงต้องอาศัยการกุมหลาวให้ดีและควบม้าให้เก่ง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด