ตอนที่แล้วตอนที่ 24 ในที่สุดก็เข้าใจ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 26 เรื่องที่ต้องขบคิด

ตอนที่ 25 คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย


ตอนที่ 25 คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

 

หลังแล้วเสร็จซึ่งพิธีฌาปนกิจศพครั้งยิ่งใหญ่ ความเงียบสงบในยามรัติกาลก็กลับมาสู่เมืองท่าอีกครั้ง

กระไอร้อนจางๆ พัดผ่านมาตามสายลมบ่งบอกได้ดีถึงช่วงผลัดเปลี่ยนเข้าฤดูร้อน แม้ในยามราตรีเขตหนาวเย็น ก็ยังทำให้รู้สึกได้ถึงความอบอ้าวบางเบาก่อเกิด

ทว่าในยามนี้ที่ทุกคนต่างหลับใหลในภวังค์ฝัน กลับปรากฏถึงภาพเงานเลือนรางแสนโปร่งใสค่อยๆ ก่อเกิดเป็นรูปร่างตัวคน เรียกให้เสียงเห่าหอนจากสุนัขจรที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นดังขึ้น เจ้าหมาที่น่าสงสารโก่งคอร้องอย่างสุดตัว ทว่าก็ต้องหยุดสงบด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดหัวใจ เมื่อมันบังเอิญสบสายตาเข้ากลับคนตัวใสนั้น

ร่างคนโปร่งแสงสบตากับสุนัขนั้นสักพัก ก่อนลอยตัวขึ้นไปสูง ระดับหน้าต่างของห้อง ห้องหนึ่ง ดวงตาของมันนั้นจับจ้องถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่กำลังขดตัวนอนอยู่บนเตียงนั้น

และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน

และ...ช่างเป็นรอยยิ้มที่คาดเดาความรู้สึกได้อยาก อย่างเหลือเกิน…

 

เมื่อถึงยามอาทิตย์ฉายแสง เหอไป๋เทียนได้ใช้เวลาจัดการตัวเองในยามเช้าอย่างรวดเร็ว เขารีบเร่งเดินลงมายังด้านล่างเพื่อมากินอาหารที่ทางโรงเตี๊ยมจัดแจงให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้ ดวงตาสีทองมองหาคนที่มาด้วยกันและพบว่าเสวี่ยหงเยว่กำลังนั่งรออยู่ที่โต๊ะก็รีบไปหาทันที

“ต้องขออภัยด้วยขอรับหงเกอ น้องตื่นสาย--” เหอไป๋เทียนยังพูดไม่ทันจบ เสวี่ยหงเยว่ก็ยกมือห้ามขึ้น พลางบอกให้เด็กชายนั่งลงเสียเพราะเสี่ยวจูเริ่มที่จะงอแงอยากแย่งอาหารในจานของเหอไป๋เทียนแล้ว

เขาเลยต้องรีบกินข้าวเสียก่อนโดนหมูแย่งกิน รู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก

ระหว่างที่กินข้าวเหอไป๋เทียนก็มองสถานการณ์รอบ ๆ ตัวเองไปด้วย โรงเตี๊ยมนี้ตั้งอยู่บนถนนเชื่อมต่อไปสู่ท่าเรือ จึงทำให้เขาเห็นว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากแบกข้าวแบกของตรงไปยังท่า เตรียมตัวขึ้นเรือเดินทางออกจากเมืองแห่งนี้เสียจนแน่นขนัดเต็มเส้นถนน บางคนรีบกลับไปยังถิ่นฐาน บางคนก็อพยพหนีไปยังที่ปลอดภัยชั่วคราว

ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรกับเมืองที่เพิ่งประสบกับภัยจากปิศาจจำนวนมากเช่นนี้

ทว่าแทนที่จะเดินทางออกนอกเมืองอย่างเช่นนักท่องเที่ยวคนอื่น ตอนนี้เขากลับอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของเมืองท่าโหย่วเผิงแทน เพราะหลังจากประเมิณสถานการณ์แล้วพวกเขารวมถึงหลานซิ่นหลิง ตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก

เพราะนอกจากพวกผู้ใหญ่จะต้องเข้าประชุมเรื่องการฟื้นฟูเมืองแล้ว พวกเขายังต้องรอให้ผู้คนส่วนใหญ่เดินทางออกจากเมือง ระบายการสัญจรให้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อให้ไม่ไปติดขัดแน่นแม่น้ำกลางทางอีกด้วย

แม้จะรู้สึกผิดมากแค่ไหนแต่เหอไป๋เทียนก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตนนั้นอารมณ์ดีกับสถานการณ์ที่ต้องติดแหง็กอยู่ในเมืองนี้ไม่ใช่น้อย เพราะเขาได้อยู่กับหงเกอนานมากกว่ากำหนดการเดิมนั่นเอง

“ข้ามีนัดประชุมเศรษฐกิจช่วงบ่าย” แล้วอยู่ ๆ เสวี่ยหงเยว่กล่าวออกมา เขาดึงเม็ดข้าวที่ติดข้างมุมปากของเหอไป๋เทียนออกให้ด้วยสายตาที่เอ็นดู

เหอไป๋เทียนเลิกคิ้วเล็กน้อย เด็กชายดูสงสัยว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรกับตน เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจออกมายาวๆ บางทีบางครั้งก็ไม่ชอบใจในความซื่อบื้อของเจ้าเด็กน้อยคนนี้ในบางที

“ข้ากำลังถามเจ้าว่า ช่วงเช้าสนใจเดินสำรวจการค้าในตลาดกับข้าไหม?”

แล้วเด็กชายก็คลี่ยิ้มออกมา

 

เมื่อเปลี่ยนผ่านฤดูแล้ว สภาพอากาศของโลกอวิ๋นเจวี้ยนก็ช่างตรงต่อเวลา ความอบอ้าวของหน้าร้อนเริ่มถามหา ต่อให้ภูเขาเสวี่ยเป็นพื้นที่ที่มีอากาศเย็นที่สุดในบรรดาสามเขตสักแค่ไหนแต่ท่านเทพฤดูร้อนนั้นก็ช่างใจดีเผยแพร่แสงอาทิตย์ไปทั่วทุกแห่งหน ไร้ซึ่งความลำเอียงจนอยากบอกว่าลำเอียงบ้างก็ได้

สำหรับคนที่ชาติก่อนเกิดและโตที่ไทย การที่มีแดดแรงแยงกลางหัวตั้งแต่เช้านั้นเป็นเรื่องที่ชินชามาก

แต่ทว่า...

“เป็นอะไรไหมเสี่ยวจู...?” เสียงของเหอไป๋เทียนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเสี่ยวจูมีอาการเหนื่อยอ่อนและหมดแรงเมื่อเจอแดด มันดูไม่ร่าเริงเลยแถมเดินไม่ไหว ก้าวได้เพียงแค่สามก้าวก็ล้มแปะ ซ้ำส่งเสียงหายใจหอบแรงอยู่เนื่อง ๆ จนเหอไป๋เทียนต้องคอยอุ้มเอาไว้

พวกเขาพากันเข้ามาหลบแดดอยู่ใต้เงาของร่มไม้ นั่งจ้องเสี่ยวจูด้วยสีหน้าเป็นห่วง เสวี่ยหงเยว่จับเนื้อจับตัวของมันและพบว่าอุณหภูมิในตัวนั้นสูงจัดราวกับคนมีไข้ เขาครุ่นคิดว่าอาการของมันอย่างไม่มั่นใจนักว่าจะใช่หรือไม่ หากแต่สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่เขาจะคิดออกนั้นก็คือ

...ฮีทสโตรก อาการเป็นลมแดดในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม?

เขาคิดว่ามันต้องใช่แต่ก็ไม่ค่อยอยากเชื่อนักเพราะอากาศตอนนี้มันก็ไม่ได้ร้อนมากอะไรด้วยซ้ำ

แต่ความอดทนของสัตว์แต่ละตัวมันต่างกันนี่นะ

“เจ้าทำอย่างไรก็ได้ให้มันรู้สึกเย็นมากขึ้น” มือยื่นพัดให้กับเหอไป๋เทียน คอยบอกเด็กชายว่าให้เขาพัดให้มันเรื่อย ๆ ส่วนตัวเขานั้นจะขอแยกไปอีกทางเพื่อไปหาน้ำมาเพิ่ม

เหอไป๋เทียนจึงนั่งรออย่างว่าง่าย เด็กชายโบกพัดให้กับเสี่ยวจูไปพลาง นึกอะไรเล่นๆ ได้เลยลองเอาหานหลิ่งไปวางใกล้ๆ ด้วยจะได้เย็นขึ้นกว่าเดิม (...) และมันก็ได้ผลเสียด้วย เพราะเสี่ยวจูดูมีอาการที่ดีขึ้นมากกว่าตอนแรกอยู่พอควร

“ขอโทษนะที่ข้าไม่ได้สังเกตอาการเจ้าเลย” เด็กชายว่า เขากล่าวอย่างรู้สึกสำนึกผิด ซึ่งเสี่ยวจูก็เงยหน้ามองเด็กชาย ส่งเสียงร้องอู๊ดออกมาเบาๆ คล้ายจะปลอบไม่ให้คิดมาก

ทันใดนั้นเอง...

“คุณชายตรงนั้น...ลูกหมูของท่านเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?” เสียงเล็กจากเด็กสาวคนหนึ่งเอ่ยถาม ซึ่งทำให้เหอไป๋เทียนเงยหน้าขึ้นไป เธอคนนั้นมีอายุพอ ๆ หรือไม่ก็น้อยกว่าเขา มีเส้นผมสีน้ำตาลลอนเกลียวสวยดูเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังการแต่งกายแล้ว คงจะเป็นคุณหนูจากบ้านใดสักที่

“คล้ายว่ามันจะไม่สบายขอรับคุณหนู ข้าจึงช่วยพัดให้มันเย็นขึ้น” เหอไป๋เทียนตอบอย่างเป็นมิตร เขาค่อยๆ ขยับตัวให้อีกฝ่ายเห็นเสี่ยวจูได้ถนัดตา

เธอพยักหน้าคล้ายจะเข้าใจแล้ว ซ้ำยังทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่าย หยิบพัดพกพาของตนออกมาคลี่ ช่วยเหอไป๋เทียนพัดลมให้กับเสี่ยวจูเช่นกัน

“ให้ข้าช่วยท่านนะเจ้าคะ”

 

เสวี่ยหงเยว่นั้นเดินห่างจากเหอไป๋เทียนมาไกลพอดู เขาเที่ยวตามหาร้านที่จะขายน้ำสะอาดและผ้าขนหนูไปทั่วจนแทบอยากจะเป็นลมแดดไปอีกคน เพราะบรรยากาศในเมืิองตอนนี้เงียบเป็นเป่าสากเกือบกลายเป็นตลาดร้าง ไม่มีคนกล้าเปิดขาย และไม่มีใครกล้าออกมาซื้อ

เห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ สงสารคนในเมืองที่คงต้องลำบากกับบรรยากาศซบเซาแบบนี้

และ...

สงสารตัวเองด้วยที่ต้องอยู่ที่เมืองนี้ไปอีกสักพักใหญ่เพื่อประชุมแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ...อยากจะร้องไห้แค่ไหนก็ร้องไห้ไม่ออกเลยจริงๆ

ในที่สุดเสวี่ยหงเยว่ได้ของครบที่ต้องการสักที ตอนนี้ในมือของเขากำลังถืออ่างไม้ขนาดเล็ก น้ำเย็น ผ้าสะอาด คงพอจะทำให้เสี่ยวจูอาการดีขึ้นจากการเป็นลมแดดได้บ้างไม่มากก็น้อย

ทว่าเมื่อเสวี่ยหงเยว่เดิกลับไปถึงแนวร่มต้นไม้ที่เขาทิ้งให้เหอไป๋เทียนเฝ้าเสี่ยวจูอยู่นั้น เท้าของเขาก็ต้องชะงักการเดินไปพลัน เมื่อคนที่ดูแลเสี่ยวจูไม่ได้มีแค่เหอไป๋เทียนเพียงคนเดียว ด้านข้างกายของเด็กชายนั้นมีร่างเล็กๆ ของเด็กผู้หญิงอายุราวสิบสองถึงสิบสามปีคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย

ถึงจะห่วงเสี่ยวจูแค่ไหน แต่น้ำตาของเขาแทบหลั่งออกมากับสิ่งที่เห็น เด็กน้อยชายหญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูกำลังนั่งคุยกันใต้ร่มไม้ โอ้มายก็อด โอ้พระเจ้า โอ้พระสงฆ์ จะท่านเทพเจ้าหรือจะคนแต่ง อะไรก็ตามที่ดลให้เขามาเห็นภาพที่แสนประทับใจนี้ เขาขอคำนับด้วยความซาบซึ้งให้สักสามที

เมื่ออิ่มอกอิ่มใจกับภาพที่เห็นมากพอแล้วเขาก็เดินต่อ แทรกระหว่างเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังพูดคุยกัน

“ข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของเจ้าทั้งสองหรือไม่?” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถามตามมารยาท เพื่อไม่ให้คนทั้งคู่จับได้ว่าเมื่อครู่ตนแอบส่องหลังต้นไม้เป็นตาแก่โรคจิต

“ไม่ขอรับ” เหอไป๋เทียนว่า เขารับอ่างไม้ใส่น้ำและผ้าสะอาดมาจากเสวี่ยหงเยว่ เพื่อเอามาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เจ้าลูกหมู

เสวี่ยหงเยว่สังเกตเห็นว่าเสี่ยวจูนั้นขดอยู่กับหานหลิ่งก็เกือบหลุดขำ ช่างเป็นดาบที่สารพัดประโยชน์เหมือนติดแอร์ส่วนตัว ซ้ำเมื่อเสี่ยวจูได้อะไรเย็นๆ มาอยู่ใกล้ มันก็หลับปุ๋ย อาการเป็นลมแดดของมันก็ดีขึ้นมากจนไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากแล้ว

“แล้วก็หงเกอขอรับ คุณหนูคนนี้เขามาช่วยน้องดูแลเสี่ยวจูน่ะขอรับ”

เมื่อเหอไป๋เทียนพูดจบเสวี่ยหงเยว่จึงหันไปทักทายกับเด็กหญิงผมลอนสีน้ำตาลคนนั้น เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างสงบสุภาพเช่นปกติ ทว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับมามีเพียงแค่การชะงักราวกับตกใจเมื่อได้เห็นหน้าเขาอย่างชัดเจน นางทำปากพะงาบๆ คล้ายจะอยากจะกล่าวบางสิ่ง

ภาพที่เห็นทำให้เสวี่ยหงเยว่ช็อคจนมีน้ำตาตกในใจ

นี่หน้าผมมันน่ากลัวขนาดทำให้เด็กผู้หญิงตกใจเลยเหรอออ!!

ในจังหวะที่เสวี่ยหงเยว่แพนิคเหงื่อตกในใจด้วยความขวัญเสียนั้นเอง เด็กหญิงตรงหน้าก็ร้องไห้ออกมา น้ำตาเม็ดโตก็ไหลออกมาจากดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มไม่ยอมหยุด

คราวนี้แหละได้ตกใจกันไปให้หมด ทั้งเสวี่ยหงเยว่ ทั้งเหอไป๋เทียน

“ข้า...ข้า...” เด็กหญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองจ้องไปยังเสวี่ยหงเยว่ เธอพูดอะไรได้ไม่เต็มปากเต็มเสียงเพราะการสะอื้น น้ำตาอาบแก้มใสๆ นั้น ด้วยสีหน้าที่ตื้นตันมากเสียกว่าเสียใจ

และนั่นทำให้เสวี่ยหงเยว่เผลอร้อง What the -ปี๊บ- ในใจ

สุดท้ายแล้วเขาก็นั่งรออย่างใจเย็นให้เด็กหญิงแปลกหน้าคนนั้นร้องไห้จนเสร็จ เมื่อจัดการเช็ดหน้าเช็ดตาจนสะอาดเรียบร้อยแล้วนางก็เริ่มเล่าว่าในคืนที่สาหร่ายหัวผีบุกเทียบท่านั้น เธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเส้นสาหร่ายดึงไปและได้เสวี่ยหงเยว่ใช้วิชายันต์เพลิงช่วยเหลือเอาไว้

แม้จะนึกดีใจที่ตัวเองมีโอกาสช่วยเหลือเด็กผู้หญิงที่แสนจะน่ารักขนาดนี้ก็เถอะ แต่เสวี่ยหงเยว่จำนางไม่ได้เลยจริงๆ เหตุการณ์ในคืนนั้นมันชุลมุนมาก ใครเป็นใคร จะเด็ก จะผู้ใหญ่ จะหมาหรือแมวเขาก็ช่วยไปหมดไม่เลือก ไม่ทันได้มองหน้าเลยด้วยซ้ำ...

แต่จะให้เออออว่าจำได้คงเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี โกหกไปแบบนั้นมันก็ออกจะเล่นตลกกับจิตใจเด็กน้อยเกินไปหน่ย เขาเลยเลือกที่จะใช้วิชานตีเนียนค่อย ๆ ใช้มือลูบลงกับเส้นผมสีน้ำตาลนั้นอย่างเบามือโดยไม่ได้พูดอะไรแทน

“เช่นนั้นหรือ แค่เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะนะ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนั่นทำให้คุณหนูคนนั้นชะงักไป คล้ายเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว แก้มใสๆ นั้นแดงระเรื่อ

เมื่อเห็นสีหน้าดังนั้น ดวงตาสีแดงของชายหนุ่มก็มองนางอย่างพิจารณา งงงวยและไม่เข้าใจเป็นอย่างที่สุด

ทว่าในระหว่างที่กำลังวิเคราะห์อยู่นั้นเอง…

เสวี่ยหงเยว่สะดุ้งเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนมีสายตาทิ่มแทงราวกับฟ้าผ่าฟาดมาที่กลางหลัง ชายหนุ่มรีบหันไปหาคล้ายแว้บหนึ่งเขาจะเห็นเหอไป๋เทียนทำหน้างอ แต่ก็แค่แป้บเดียวเท่านั้น พอสบตากันเด็กชายก็ยิ้มให้แล้วก้มหัวลงคล้ายอยากให้เขาลูบหัวด้วย

อะไรของเขากันนะ?

ถึงจะรู้สึกสงสัยในการกระทำนั้นแต่เสวี่ยหงเยว่ก็ทำตามที่เหอไป๋เทียนร้องขออยู่ดี เพราะการที่ได้ลูบหัวเด็กสองคนเต็มสองมือเช่นนี้มันทำให้เขามีความสุขอย่างเหลือจะกล่าว สุขจนน้ำตาจนแทบไหลออกมา

แต่แล้วเด็กหญิงคนนั้นก็ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกหนึ่งดังอยู่ไม่ไกล ซึ่งเมื่อเสวี่ยหันไปมองก็พบว่ามีสาวใช้กลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งเสียให้วุ่น

เด็กหญิงคนนั้นเธอทำหน้าเหมือนไม่พอใจเล็กน้อย แล้วรีบลุกขึ้น โค้งให้กับเสวี่ยหงเยว่

“พี่เลี้ยงข้ามาแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อนนะเจ้าค่ะ เอ...” เธอเงียบลงเล็กน้อย ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ลังเลว่าจะถามดีหรือไม่

“นามของข้าคือไป๋เทียนขอรับ ส่วนทางนี้หงเกอ” เหอไป๋เทียนคล้ายจะรู้ถึงสิ่งที่เด็กหญิงอย่างถาม เขาเลยรีบเอ่ยแนะนำตัวขึ้นมาทันที ส่วนเสวี่ยหงเยว่พยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบรับ

“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ ท่านหง แล้วก็ท่านไป๋เทียน” เด็กหญิงกล่าวด้วยร้อยยิ้มกว้างๆ

“เช่นกัน...จะว่าไปแล้ว พวกข้าเองก็ยังไม่ทราบนามของคุณหนูเลย” เสวี่ยหงเยว่กล่าว ส่วนเด็กหญิงนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย เธอมีท่าทางเคอะเขินอย่างประหลาดยามที่คุยกับเขา ซึ่งให้เดาคงเป็นเพราะคุณหนูคนนี้คงไม่ค่อยเข้าใกล้บุรุษก็เป็นได้

“เฉวียนซือเสียนเจ้าค่ะ”

...เชี่ย!!

นั่นคือคำที่เกือบหลุดออกมจากเสวี่ยหงเยว่ เขาทอดสายตามองเด็กหญิงที่กำลังวิ่งกลับไปหาพี่เลี้ยงด้วยสายตาเหม่อลอยเหลือจะกล่าว

จะไม่ให้เขาตกใจ จะไม่ให้เขาเหม่อได้เช่นไรในเมื่อชื่อของเด็กหญิงผู้นั้นเป็นชื่อที่เขาคุ้นเคยพอ ๆ กับชื่อของเหอไป๋เทียน

เฉวียนซือเสียน นั้นเป็นชื่อของตัวละคนเด่นในเรื่องนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ซ้ำนางยังเป็นบุคคลสำคัญไม่แพ้ตัวของเหอไป๋เทียน เพราะว่าในอนาคตข้างหน้า นางจะเป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยให้คำปลอบโยน อีกทั้งยังเป็นคนที่คลี่คลายปมปัญหาในใจให้กับพระเอกของเรื่อง

ต่อให้ไม่ระบุสถานะว่าเป็นอะไรแต่บทปูมาซะขนาดนี้ เฉวียนซือเสียน คือนางเอกของเรื่องอย่างไม่ต้องสงสัย

ทว่าเมื่อเขาเหลือบไปมองเจ้าพระเอกตัวดีแล้ว...ก็ดันเจอเหอไป๋เทียนนั้นทำหน้ามุ่ยใส่

เล่นเอาเขาผงะไปเลย ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตอบกลับไปด้วยสีหน้าแบบไหนดี คือไม่รู้ไงว่าตัวเองไปทำอะไรให้เขาโกรธ หรือไอ้การมองนางเอกของเรื่องนานเกินไปหน่อยจะทำให้เหอไป๋เทียนนั้นหงุดหงิดกัน เสวี่ยหงเยว่อดคิดไม่ได้เลยว่าเด็กสมัยนี้ไฟแรงเหมือนไม่หยอก นี่เจอกันแค่ไม่กี่นาทีก็มีโมเม้นท์หวงกันแล้วเหรอ สมเป็นพระนางจริงๆ

แต่แล้วเหอไป๋เทียนก็เอนตัวไปลงพิงกับไหล่ของเสวี่ยหงเยว่แม้จะหน้าบูด คิ้วขมวดอยู่มากแค่ไหน เด็กชายกลับเกาะแขนไม่ยอมปล่อย เล่นเอาเจ้าตัวคนโดนกอดแขนปรับอารมณ์ตามไม่ถูก ไม่เข้าใจเด็กคนนี้เลยแม้แต่น้อยจะว่าอยู่ ๆ ก็เข้าช่วงวัยฮอร์โมนวัยรุ่นวุ่นวายก็ไม่น่าจะใช่

“น้องอยากกลับโรงเตี๊ยมแล้ว”

แล้วเหอไป๋เทียนก็พูดแค่นั้น

ระหว่างเดินกลับพวกเขาทั้งสองแทบไม่ได้บทสนทนาอะไรกันเลย มันเป็นความอึดอัดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจนเสวี่ยหงเยว่เริ่มเหงื่อตกในคิดมากไปต่าง ๆ นานานว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรให้เหอไป๋เทียนไม่พอใจเข้าหรือเปล่า

ทว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเสวี่ยหงเยว่ผู้เดินนำหน้าไม่อาจล่วงรู้...ว่าดวงตาสีทองของเหอไป๋เทียนนั้นคอยจับจ้องแผ่นหลังของเขาไปตลอดเส้นทาง

...โดยไม่ละสายตา...

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด