ตอนที่แล้วซัพที่32: ลูกไม้หล่น.. ไกลต้นหน่อยก็ได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่34: ทำไมข้าจะเรียกบ้างไม่ได้?

ซัพที่33: คำปลอบประโลมจากเด็กกำพร้า


ซัพที่33: คำปลอบประโลมจากเด็กกำพร้า

“ข้าได้ยินจากหลานถิงว่าท่านหมอเคี่ยวท่านหนักไม่ใช่หรือไง ไหงท่านยังดูสดใสนัก” จินหลงท้วง จื่อจงหัวเราะ

“การได้ทำในสิ่งที่ชอบ ต่อให้เหนื่อยแต่ถ้าเราสนุกไปกับมัน มันก็ไม่เป็นอุปสรรคหรอก” เขาอธิบายพลางบดยาอย่างไม่วางมือ

“แต่สำหรับข้าให้มาบดยาข้ามวันข้ามคืนงี้ขอตายดีกว่า” เจ้าตัวแสบเบะปาก มองสมุนไพรที่จื่อจงบดละเอียดอย่างไม่ชอบใจนัก

ต้องความอดทน ความละเอียด ความขยันสูงแค่ไหนถึงจะทำแบบท่านพี่ได้ล่ะเนี่ย

“แล้ว..นั่นใครน่ะ?” จื่อจงหันไปมองเจียงสงที่กำลังมองพวกเขาอยู่ จินหลงไม่รู้จะอธิบายเช่นไร จึงกระซิบบอกเขา

“คุณชายอู๋ที่ข้าเคยเล่าให้ฟังไง กว่าข้ากับแม่จะช่วยเขาให้พ้นโทษมาได้ก็ลำบากนัก แต่โชคร้ายที่ช่วยครอบครัวเขาไม่ได้” จินหลงอธิบายเพียงเท่านี้จื่อจงก็เข้าใจทุกอย่าง เด็กที่เคยมีพร้อมกลับกลายเป็นเด็กกำพร้าในช่วงเวลาไม่นาน

จื่อจงเองก็เคยอาศัยอยู่ในสถานที่ๆ มีเด็กกำพร้าหลายสิบมานาน ย่อมเข้าใจความรู้สึกของเด็กแต่ล่ะคน ไม่พ่อแม่ถูกสังหาร ก็ถูกทอดทิ้ง ไร้ที่ไปทำให้ต้องเร่ร่อน

จื่อจงวางมือจากงานตรงหน้าแล้วลุกขึ้นเดินไปหาเจียงสง

“ข้ามีนามว่าจินจื่อจง ยินดีที่ได้รู้จัก” จื่อจงเป็นฝ่ายแนะนำตัวก่อน แต่เจียงสงหลบตา

“ข้าอู๋.. ไม่สิ.. ตอนนี้ข้าไม่มีแม้กระทั่งชื่อแซ่” จื่อจงขมวดคิ้วกับคำตอบ เขาหันไปมองจินหลงอย่างไม่เข้าใจนัก

“มันเป็นเรื่องของกฎหมายน่ะ” จินหลงขี้เกียจอธิบายจึงตอบปัด

“เจ้าอยากจะ..ลองฟังเรื่องราวของข้าไหม?” จื่อจงถามเจียงสงที่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ทว่ากลับถูกจินหลงพุ่งเข้ามายกมือแทรกกลาง

“ข้าอยากฟังๆ!!” จินหลงเสนอตัวตาพราว เขาไม่เคยได้ยินจื่อจงเล่าเรื่องที่บ้านแม้แต่ครั้งเดียว

จื่อจงหรี่ตามองจินหลง ก่อนใช้มือดันหน้าเจ้าตัวแสบออกไป “ไม่ใช่เจ้า” เจียงสงเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ตะลึงช็อก

เดี๋ยว! นั่นองค์ชายนะ!

“ไม่เอาท่านพี่จื่อจงข้าจะฟังด้วยๆ” จินหลงกอดแขนจื่อจงแน่น ทั้งยังอ้อนด้วยแววตาเป็นประกาย แบบที่ใช้อ้อนเสด็จพ่อ เสด็จแม่ หรือนางกำนัลเวลาจะเอาอะไร ทว่ากับจื่อจงแล้ว เขาเพียงมองจินหลงด้วยหางตา

“จะฟังก็อยู่นิ่งๆ อย่ากระโต๊กกระต๊ากให้มาก” เจ้าตัวแสบเบะปากแรง

“องค์ชาย นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ยศศักดิ์ที่ดังออกมาจากปากเจียงสง ทำให้จื่อจงกระพริบตาปริบๆ

“องค์ชาย??” จื่อจงทวนคำ ก่อนจะหันมามองจินหลงที่เกาะแขนเขาอยู่

“อะไร ก็ข้าบอกท่านพี่ไปแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าข้าเป็นองค์ชาย” จื่อจงกระพริบตาปริบๆ ใช้มืออีกข้างแคะหูตัวเอง ก่อนหันไปถามเจียงสง พลางชี้ลูกลิงที่กำลังเกาะแขนเขา

“นี่เนี่ยนะองค์ชาย... ล้อข้าเล่นใช่ไหม?” เจียงสงส่ายหน้า

“แม้พระองค์จะประพฤติตนไม่เหมือนองค์ชาย แต่ก็เป็นถึงองค์ชายลำดับที่สี่ของแคว้น” คำพูดที่คล้ายจะหลอกด่ากับสีหน้าของจื่อจงที่มองจินหลงตอนนี้มันช่าง...

“เสียมารยาท! ไม่เห็นต้องมองข้าเช่นนั้นเลย ข้าก็บอกท่านไปตั้งนานแล้วว่าข้าเป็นองค์ชาย ท่านไม่เชื่อข้าเอง!” จินหลงโวยวาย ใบหน้าของจื่อจงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขานิ่งคิดไปมา ก่อนชี้ไปที่พื้นแล้วบอกว่า

“แมลงสาบอยู่ที่เท้าเจ้า”

“กรี๊ดดดดดด!” เจ้าตัวแสบกรีดร้องเสียงหลงไม่เหลือมาดใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังกระโดดเกาะหัวใช้ขากอดเอวจื่อจงแน่น

“ไม่เอาๆๆๆ เอามันออกไป เอาปีศาจร้ายนั่นออกป๊ายยยย” จื่อจงมีสีหน้าเบื่อหน่ายต่างจากเจียงสงที่ตะลึงในท่าทางของจินหลง จื่อจงชี้ไปที่เจ้าตัวแสบที่เขย่าหัวเขาไม่หยุด ก่อนจะถามเจียงสงว่า

“ข้าให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง นี่คือองค์ชายแน่หรือ?” จื่อจงถามย้ำ ท่าทางตอนนี้ของจินหลงทำเอาเจียงสงอยากกลืนน้ำลายตัวเอง

“ข้าก็มีแต่ต้องยืนยันว่าใช่...” เดี๋ยวๆ นี่พวกเจ้าต้องการสื่ออะไร๊!!!

จื่อจงเมื่อได้ยินคำยืนยันอีกครั้งก็ถึงกับค้าง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอยู่ร์หานคนนี้จะเป็นองค์ชายจริงๆ เมื่อจินหลงรู้ว่าเรื่องแมลงสาบเป็นเพียงเรื่องหลอก จึงกระโดดลงมาจากตัวจื่อจง

“ข้าก็บอกอยู่ตอนดื่มเหล้าสาบานว่าข้าเป็นองค์ชายๆ ท่านก็ไม่ยอมเชื่อข้า ขนาดให้ท่านหมอยืนยันแล้วก็ยังไม่เชื่อ” จินหลงบ่นอุบ จื่อจงได้แต่เกาหัว ไม่รู้จะทำเช่นไร

“ก็เจ้า...ต่างจากองค์ชายที่ข้าคิดนี่” จื่อจงรับสารภาพ ทำให้จินหลงนึกอยากรู้ขึ้นมา

“แล้วองค์ชายตามที่ท่านคิดต้องเป็นคนเช่นไร” จื่อจงนิ่งคิด

“ก็ถ้าไม่เป็นคนบ้าอำนาจที่ชอบใช้กำลังเข้าข่ม ก็น่าจะเป็นพวกคุณชายเรียบร้อย สูงสง่า ไม่หวั่นต่อสิ่งใด” ...พี่รองกับพี่สามชัดๆ

“แล้วองค์ชายน่ารักๆ แบบข้า จะมีบ้างไม่ได้เหรอ?” จินหลงชี้มาที่ตัวเองพร้อมเอียงคอถาม แต่จื่อจงกลับแสดงท่าทีขยาด

“เดี๋ยว! ท่านทำหน้าอย่างนี้กับน้องได้ยังง๊ายยยย” เจ้าตัวแสบเขย่าร่างพี่ชายร่วมสาบานอย่างแรง จนจื่อจงต้องบอกให้พอ

“พอๆ ข้าจะคุยกับเขา เจ้าไปไกลๆ เลยไป” จินหลงเบะปากทำท่าจะร้องไห้ แต่จื่อจงกลับไม่สนใจ

“ข้าจะไปฟ้องหลานถิง ข้าจะไปฟ้องหนานจิงงง” เจ้าตัวแสบโวยวายก่อนจะวิ่งกลับไปหาหนานจิงที่อยู่หน้าโรงหมอ จื่อจงเท้าเอวถอนหายใจกับนิสัยเด็กๆ ของจินหลง เจียงสงทำท่าจะตามจินหลงไป ทว่ากลับถูกจื่อจงคว้าแขนไว้

“ปล่อยอยู่ร์หานไปอย่างนั้นแหละ เรามาคุยกันดีกว่า” จื่อจงดึงเจียงสงไปนั่งเก้าอี้ยาวใกล้ๆ ก่อนเริ่มเปิดประเด็น

“ตัวข้าเกิดมามีพี่น้องมีครอบครัวที่รักใคร่ เรียกได้ว่ามีพร้อมทุกอย่าง แต่วันหนึ่งพ่อข้าถูกส่งไปรบและตายในหน้าที่ แม่ข้าจึงต้องไปกู้หนี้ยืมสินมามากมายเพื่อเปิดกิจการ ทว่าก็ถูกโกงจนถูกริบทรัพย์ ต่อมาเกิดสงครามภายในเมือง ผู้คนมากมายล้มตาย แม่พาข้าและพี่ชายไปหลบอยู่ที่วัดร้าง หาของกินแบบอดมื้อกินมื้อ ทว่าวันหนึ่งแม่ก็ไม่กลับมา ข้ากับพี่ชายจึงออกตามหา ก่อนจะได้ยินว่าแม่ถูกฆ่าขณะไปขโมยอาหารให้เรา ข้ากับพี่ชายจึงเดินทางเร่ร่อนไปทั่ว แต่เพราะไร้วรยุทธไร้กำลัง จึงถูกสัตว์ร้ายเล่นงาน เพราะช่วยข้าไว้ ทำให้พี่ต้องตาย” จื่อจงเล่าเรื่องราวออกมา เจียงสงนั่งฟังอย่างเงียบๆ

“เรื่องราวของครอบครัวเจ้าข้าเองก็ได้ยินมาบ้าง แต่ชีวิตนี้เจ้ารอดมาได้ ก็นับว่ามีบุญวาสนา ควรใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่า ทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูล ความเศร้า ความเสียใจมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์” จื่อจงถือวิสาสะลูบหัวเจียงสงที่เด็กกว่าสี่ปีเบาๆ

“ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้าดี วันนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งหรอก” สิ้นเสียง หยาดน้ำใสจึงหยดลงมาจากดวงตาของเด็กวัยสิบสองปี

“ข้า.. ข้ายังจำภาพนั้นได้ดี ภาพที่ทหารลากตัวท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุง และทุกคนออกไป ข้าไม่อาจทำอะไรได้สักนิด อย่างน้อยหากข้าได้ตายตอนนั้น ข้าก็ได้ตายพร้อมทุกคน” เจียงสงปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมา

“แล้วพ่อแม่เจ้าพูดอะไรกับเจ้าเป็นประโยคสุดท้ายเล่า? ให้ข้าเดาพวกท่านก็คงบอกให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป ให้ทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลอู๋ใช้หรือไม่” เจียงสงกำหมัด พยักหน้าช้าๆ

“ต่อให้วันนี้หรืออนาคตเจ้าไม่มีสิทธิใช้ชื่ออู๋เจียงสงอีกก็ตาม แต่ตัวเจ้าเองก็รู้แก่ใจ ว่าเจ้าคืออู๋เจียงสง เจ้าคือทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลอู๋ เรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้” จื่อจงพยายามให้กำลังใจ โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวแสบกำลังแอบยืนฟังอยู่หลังกำแพง รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาจางๆ

สมแล้วที่เป็นท่านพี่จื่อจง

“การเปลี่ยนแซ่ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งแซ่เดิม ไม่ได้หมายถึงการละทิ้งครอบครัว แต่มันคือการเริ่มต้นใหม่ ตัวข้าเองเดิมก็ใช้แซ่จู แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นแซ่จินตามทุกคน เริ่มต้นกับครอบครัวใหม่ ส่วนครอบครัวเดิมทุกคนยังอยู่ในใจข้า” จื่อจงเอามือตนแนบอก

“เปลี่ยนเป็นแซ่จินตามทุกคนงั้นหรือ?” เจียงสงทวนคำอย่างไม่เข้าใจนัก

“ใช่ เมื่อตอนที่ข้าอายุประมาณสิบปี ข้าได้พบกับเด็กกำพร้ามากมาย และอาศัยกันอยู่ในเมือง คอยล้วงกระเป๋าผู้คน หากโชคร้ายก็ถูกจับได้และโดนซ้อมปางตาย ชีวิตอดมื้อกินมื้อ กัดฟันดิ้นรนมีชีวิตต่อ ทว่าต่อมาสามปี ข้าได้พบกับเด็กชายคนนึง สวมชุดผ้าเนื้อดีสีขาว เดินซื้ออาหารตามตลาด พวกข้าจึงตามไป หวังจะปล้นเงินและอาหาร ทว่าไม่คาดคิดว่านั่นจะเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต” ..เจียงสงมองจื่อจงตั้งแต่หัวจรดเท้า คาดว่าจื่อจงน่าจะอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี เช่นนั้นเรื่องก็ผ่านมาสามสี่ปีแล้วสินะ

“เด็กชายคนนั้นไม่ถือสาที่พวกข้าตั้งใจจะดักปล้น ทั้งยังมอบที่อยู่ มอบครอบครัว ฝึกสอนวรยุทธ์ สอนการอ่าน สอนการเขียนให้พวกเรา เด็กชายคนนั้นบอกว่าตัวเขาเกิดในตระกูลขุนนาง อยู่ที่บ้านแล้วมิได้มีความสุข จึงออกมาหาพวกข้าบ้างบางคราว เขาไม่ได้ทำตัวเหมือนบุตรตระกูลขุนนางสักนิด ไม่เคยถือตัว ไม่เคยวางอำนาจ อยู่กับพวกข้าราวกับพี่น้อง คอยช่วยเหลือในทุกด้าน” จินหลงที่แอบฝังอยูถึงกับหน้าแดง

พอได้ยินคนมาพูดงี้แล้วมันก็เขินๆ แหะ

“เมื่อไม่นานมานี้ จำนวนเด็กกำพร้าในกลุ่มเพิ่มมากขึ้นจนที่อยู่เดิมมิอาจรองรับ พวกเราจึงเดินทางกันไปจนพบเด็กกำพร้าอีกกลุ่ม พวกเขากำลังติดโรคร้ายใกล้ตาย เด็กชายคนนั้นจึงไปพาหมอมาจากในเมือง เป็นธุระในการออกค่ารักษาให้โดยไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย แต่แล้วเขาก็หายตัวไปเป็นเดือน พวกข้าหวั่นวิตกมากว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ทว่าหมอผู้นั้นกลับบอกเพียงไม่ต้องคิดมาก เขาคงโดนจับได้ระหว่างหนี ทำให้ถูกกักบริเวณ” เมื่อเนื้อเรื่องค่อยๆ คุ้นหู เจียงสงจึงหันมามองหน้าจื่อจงราวกับต้องการคำยืนยัน จื่อจงเผยยิ้ม ยังไม่บอกว่าเด็กน้อยคนนั้นเป็นใคร แต่กลับเล่าต่อ

“ข้ากับอี้เทา หัวหน้ากลุ่มเด็กกำพร้าที่ป่วยด้วยโรคระบาด จึงได้ตกลงคุยกันว่าจะรวมกลุ่ม และเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ครอบครัว จึงได้ตั้งแซ่จินขึ้นมา โดยมีท่านหมอเป็นผู้คิดแซ่ให้ เพราะมีบางคนไม่คิดเปลี่ยนแซ่ตาม พวกข้าเลยตั้งชื่ออีกชื่อขึ้นมา เพื่อใช้ในการเรียกสังกัดแทนชื่อตระกูล นั่นคือหมู่บ้านจินหู่” จื่อจงยังคงนั่งฝัง ต่างจากเจ้าตัวแสบที่กัดฟันกรอด

หากไม่ใช่ว่าเขาโดนกักบริเวณ เรื่องนี้เป็นอันยกเลิกแน่!

“ตอนที่เขารู้ว่าพวกข้ายกเขาให้เป็นผู้นำตระกูล สีหน้าของเขาแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก คล้ายจะไม่ดีใจนัก แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ย่อมมีกฎหมาย มีกฏเกณฑ์ มีผู้นำ แม้เด็กชายคนนั้นจะมีอายุไม่ถึงสิบปี แต่พวกข้าทุกคนล้วนแต่ยอมรับให้เขาเป็นผู้นำ สิ่งที่ไม่คาด..ก็คงเป็นเรื่องที่เขาขอให้ข้าดื่มจอกสาบานพี่น้องกระมัง แล้วก็ไอ้เรื่องที่จู่ๆ มาบอกว่าเป็นองค์ชายเนี่ย.. เชื่อไม่ลงจริงๆ” จื่อจงทำหน้าเบื่อหน่าย เจียงสงจึงยิ้มแหยๆ

“ฟังจากที่เจ้าเล่ามา ข้าก็พอเข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร แต่เหตุใดพวกเจ้าจึงเดินตามองค์ชาย ทั้งที่พระองค์สติฟั่นเฟือน” ประโยคหลังทำเอาจื่อจงขมวดคิ้ว

“สติฟั่นเฟือน? อยู่ร์หานเนี่ยนะสติฟั่นเฟือน? เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าก็เห็นเขาปกติดีมาตั้งแต่แรกแล้ว” แม้จะชอบพูดอะไรแปลกๆ ก็เถอะ

เจียงสงได้ฟังที่จื่อจงพูดก็ยิ่งฉงน ถ้าฟันที่เล่าเหตุการณ์มันก็น่าจะตั้งแต่ช่วงที่เมิ่งชงหยวนยังไม่ได้รักษาองค์ชายนี่ จินหลงที่แอบฟังอยู่เมื่อเห็นว่าทั้งสองเปลี่ยนประเด็น จึงต้องเดินออกมา

“พอๆ ถ้าเรื่องนั้นไว้ให้เจียงสงฟังจากปากท่านหมอดีกว่า นี่ก็คนไข้คนสุดท้ายพอดี” จินหลงเดินออกมา จื่อจงถอนหายใจมองบน

“แอบฟังสินะ” เจ้าตัวแสบยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะเข้าไปออดอ้อนพี่ชาย

“แหม่ท่านพี่ แอบฟงแอบฟังอะไร ข้าก็แค่เดินผ่านมาเท่านั้น แต่ไม่ยักรู้เลยนะเนี่ยว่าท่านพี่ร๊ากกกข้าขนาดนี้” จื่อจงเบะปากมองเจ้าตัวแสบที่ไซร้แขนเขาอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ส่งผลให้ร่างเล็กล้มคะมำลงไปบนเก้าอี้

“องค์ชาย!” เจียงสงตกใจ รีบพยุงจินหลงขึ้นมาแล้วหันไปมองจื่อจงที่ยืนอยู่ จึงพบว่าหูของอีกฝ่ายแดงก่ำ

“อย่าไปโอ๋เจ้านั่นมากเลย เสียนิสัยหมดแล้ว” จื่อจงเอ็ดแก้เขิน จินหลงกุมจมูกป้อยๆ

“แหม่ ข้าก็อ้อนแต่กับท่านนั่นแหละ” เจ้าตัวแสบไม่วายอ้อนต่อ ทำเอาจื่อจงต้องหนีไปบดยา

“ไปหาท่านหมอเมิ่งไป ข้าจะทำงานต่อ” จื่อจงออกปากไล่

“โหว่ ชมข้าต่อไม่ได้เหรอ?” จินหลงยังไม่วายหยอกเล่น แต่กลับโดนสายตาดุๆ ของพี่ชายเพ่งเข้าให้ ทำเอาเจ้าตัวแสบเผ่นแนบแทบไม่ทัน จื่อจงส่ายหัวน้อยๆ กับพฤติกรรมของจินหลง ทว่าเมื่อเขาเห็นเจียงสงกำลังเดินออกจากห้อง จึงเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าเองก็คิดดูดีๆ แล้วกัน ว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือยังไง แม้ชีวิตนี้เจ้าจะถูกอยู่ร์หานช่วยไว้ แต่อย่างไรเสียชีวิตนี้ของเจ้า ก็เป็นของเจ้าเอง”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด