ตอนที่แล้วบทที่21: ในม่านหมอก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่23: หานตง

บทที่22: เผชิญปีศาจร้าย


บทที่22: เผชิญปีศาจร้าย

ป่าที่เคยเงียบราวกับเป็นสถานที่เปลี่ยวร้าง บัดนี้กลับยิ่งน่ากลัวสยดสยองไปด้วยเสียงร้องของเจ้าหน้าที่มือปราบหลายคน หงซาเถียนตัวสั่นสีหน้าตื่นตระหนก โจวหม่าจงชักอาวุธประจำกายขึ้นมา ซาเถียนเห็นดังนั้นจึงได้สติแล้วทำตาม

เจ้าหน้าที่มือปราบอีกด้านหนึ่งรีบตามมาสมทบกับหม่าจง

“เอายังไงดีครับ” หนึ่งในนั้นถาม

“จะเอาไง ก็เข้าไปช่วยพวกนั้นสิ” ซาเถียนบอกอย่างร้อนรน

“ช้าก่อน! หากบุ่มบ่ามไปจะตายกันหมด” หม่าจงเตือนสติ

“เช่นนั้นต้องทำเช่นไร” ซาเถียนถาม

“เจ้า เจ้า เจ้าแล้วก็เจ้าไปทางนั้น ส่วนเจ้าไปกับข้าคอยตามอยู่ข้างหลัง เจ้าสองคนไปอีกด้าน พอประจำทีแล้วให้รีบตัดเถาวัลย์ตามต้นไม้ทำเป็นบ่วงเชือก ระหว่างนั้นข้าจะบุกเข้าไปเพื่อดูว่ามันเป็นตัวอะไร หากมันปรากฏตัวเมื่อไหร่ ให้รอข้าบอก แล้วค่อยใช้เถาวัลย์นั่นคล้องมันทันที อย่าลืมยึดปลายอีกด้านให้แน่นด้วย”

หม่าจงออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนคิดแผนที่ดีได้เท่านี้ หากชักช้าเกินกาล เกรงว่าคนที่อยู่ในหมอกม่านตายหมดไม่มีเหลือ ม่านจงกระชับดาบในมือแน่นเตรียมตัวเข้าเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ซาเถียนกลับรั้งไว้

“แล้วข้าละ ต้องทำอะไร”

“ใต้เท้า ข้ายังไม่รู้ว่าตัวที่ทำร้ายพวกเราเป็นอะไร ท่านหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ระวังตัวไว้ก็พอ หากพวกข้าเป็นอะไรไป ท่านรีบหนีออกไปเพื่อบอกทุกคนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย พวกเจ้าพร้อมนะ” หม่าจงกล่าวเสียงหนักแน่น

“พร้อม!” ทุกคนประสานเสียงรับ

เช่นนั้นเขาจึงวิ่งเข้าไปในท่าเตรียมพร้อม แต่ทันทีที่ก้าวเท้า ร่างของเจ้าหน้าที่มือปราบคนหนึ่งก็กระเด็นออกมา หม่าจงใช้ลมปราณของตนสกัดรับร่างนั้นอย่างเท่าทัน

ร่างนั้นเต็มไปด้วยเลือดมีแผลที่หน้าอกเป็นรอยฝ่ามือ หม่าจงมองอย่างตะลึง ซาเถียนวิ่งเข้ามาดู

“อาเหวิน เจ้าเป็นไงบ้าง อาเหวินฟื้นสิ อาเหวิน” คนชื่อเหวินนอนนิ่งไม่ได้สติ หม่าจงจับชีพจร

“เขายังไม่ตาย ท่านประคองไว้แล้วพาไปให้พ้นทาง” ซานเถียนรีบทำตาม

เมื่อทุกคนเตรียมพร้อม เสียงในหมอกกลับเงียบเสียงลงแล้ว หม่าจงไม่อยากคิดว่าจะมีคนตายมากน้อยแค่ไหน ทันใดนั้นร่างในหมอกก็ปรากฏตัวออกมาอย่างช้าๆ ทุกคนเห็นชัด มันคือปีศาจหัวหมูป่าซึ่งมีแขนข้างเดียวตัวนั้น

ใครคนหนึ่งในกลุ่มส่งเสียงร้องด้วยอาการหวาดผวา หม่าจงแม้จะเคยเห็นผีไร้ร่างมาก่อน แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเห็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดพันธุ์นี้ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่ากับตาตัวเอง มันยืนจ้องมาทางหม่าจง อุ้งมือที่เหลืออยู่ข้างเดียวเต็มไปด้วยเลือด

หม่าจงเห็นมันไม่มีปฏิกิริยาหรือท่าทางจะเข้าโจมตีก็นึกแปลกใจ แต่นั่นนับเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะหาทางเข้าโจมตีเพื่อช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บ

ฉับพลันหนึ่งในนั้นเขวี้ยงเถาวัลย์ใส่ปีศาจหัวหมูป่าโดยไม่รอฟังสัญญา บ่วงนั้นถูกมันตวัดมือรับและกระชับไว้แน่น มันหันมองด้วยแววตาเยี่ยงเดรัจฉาน คนเขวี้ยงเชือกตัวสั่นกลัว มันขยับมือในทันที

“ทุกคนยกเชือก!” หม่าจงตวาดลั่นเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มันกระชากเชือกในมือจนร่างของเจ้าหน้าที่มือปราบที่ผูกปลายเชือกไว้กับตัวถูกดึงเอาร่างไป

มีดสั้นถูกขว้างไปตัดเชือกนั่นอย่างเท่าทัน ร่างของเจ้าหน้าที่มือปราบคนนั้นจึงเพียงแค่ล้มลงกลางทาง หม่าจงซัดมีดสั้นอีกสองเล่มใส่ปีศาจหัวหมูป่า หวังให้โดนดวงตาทั้งสองข้างของมัน แต่มันปัดไว้ได้อย่างรวดเร็ว รองหัวหน้ามือปราบอาศัยจังหวะนั้น จับปลายเชือกที่ถูกตัดออก ใช้แรงเหวี่ยงเป็นตัวส่งทำให้ร่างของเขาลอยขึ้นสูง

หม่าจงทรงตัวตั้งท่าเตรียมใช้แรงโน้มถ่วงเป็นกำลังส่งให้ดาบในมือปักลงหัวของมัน ทว่าปีศาจร้ายกลับไหวตัวทัน มันรวบเถาวัลย์ที่เกี่ยวร่างแล้วเหวี่ยงออกให้พ้นทางจนทุกคนชนกันล้มระเนระนาด ก่อนจะยกมือขึ้นบังรับคมดาบที่แทงลงมา

เสียงโลหะคมเสียดเนื้อแทงลึกจนยึดแน่นดังกรีดหูทุกคนในบริเวณ หม่าจงยืนอยู่ในอุ้งมือมันที่ใหญ่พอเป็นฐานให้เขาทรงตัว รองหัวหน้ามือปราบพยายามดึงดาบของตัวเองออกมา แต่ไม่สามารถ เขาคล้ายได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจจากมัน อากัปกิริยาคล้ายคนหัวเราะขำทำให้เขายิ่งเดือดดาล

หม่าจงกระโดดสองจังหวะขึ้นไปแล้วหมุนตัวหลบเข้ามุมอับที่หลังหัวของอีกฝ่าย ใช้มือข้างหนึ่งยึดแน่นที่ขนบนกลางกระหม่อมห้อยลอยอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะชักดาบอีกเล่มออกมาหมายแทงเข้าไปที่ท้ายทอยที่เป็นจุดตายทั่วไปของสิ่งมีชีวิต ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอย่างที่ใจหมาย ปีศาจร้ายกลับหมุนตัวอย่างแรงจนเขาเสียการทรงตัว ขนที่ยึดไว้ขาดติดมือร่างหล่นลงกระแทกพื้นเข้าเต็มแรง

หมาป่าทระนงเวลานี้อยู่ในสภาพอับจนหนทาง สองมือไล่อาวุธ  ปีศาจหัวหมูป่าขยับตัวยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา ยิ่งทำให้เห็นว่าร่างของมันช่างใหญ่โต ใหญ่ขนาดที่ว่าหากมันยกเท้าแล้วกระทืบลงมาในเวลานี้ หม่าจงคงได้สิ้นชื่อทิ้งชีวิตไว้ในที่ป่าแห่งนี้อย่างแน่นอน

ฉับพลันนั้นเอง ที่มีธนูพุ่งเข้าใส่ร่างของปีศาจร้าย มันตวัดมือรับไว้อย่างเท่าทัน หากแต่เพียงชั่วพริบตา ธนูนั้นกลับระเบิดเกิดประกายไฟอย่างรุนแรง ทำให้มันต้องถอยเท้าย้ายร่างไปสองสามก้าว

ทุกคนหันไปหาคนที่ยิงธนูจากในม่านหมอก

หนานจิ่นสือเดินออกมาอย่างช้าๆ ในมือง้างคันศรเล็งไว้พร้อมยิง สีหน้าของพรานป่าสีหน้าเคร่งเครียดเต็มไปด้วยจิตสังหาร

ปีศาจหัวหมูป่ามองนิ่ง ก่อนที่มันจะถอยหลังจนร่างหายลับไปในม่านหมอก

ทุกคนคล้ายสิ้นไร้เรี่ยวแรง กระทั่งหนานจิ่นสือยังทรุดลงกับพื้นรีบดับฉนวนไฟเพื่อไม่ให้ดินปืนที่ผูกไว้กับลูกธนูระเบิดขึ้นมา

ซาเถียนรีบวิ่งเข้าไปดูหม่าจง

“เจ้าเป็นอะไรไหม?” น้ำเสียงเจ้าเมืองเป็นกังวล

“ข้าไหว รีบไปดูคนที่บาดเจ็บก่อน” หม่าจงตอบพยายามยันตัวลุกขึ้น

“พวกเจ้าใครขยับไหว รีบไปช่วยคนเจ็บก่อน” ซาเถียนตะโกนสั่ง ทุกคนทำตาม ตัวเขาเองก็เช่นกัน รีบวิ่งเข้าไปในหมอกอย่างระวัง

หนานจิ่นสือเดินมาหาหม่าจง

“ขอบใจเจ้ามาก ท่านไม่ได้เจ้า ข้าคงสิ้นชื่อไปแล้ว ดีที่ให้เจ้าระวังหลังไว้”

“ไม่หรอกครับท่านมือปราบ”

“อย่าถ่อมตัวเลย ครั้งนี้พวกเราไม่ตายเป็นเพราะเจ้าจริงๆ”

“ไม่ใช่เช่นนั้น จากประสบการณ์การเป็นพรานของข้า ข้าคิดว่ามันไม่ได้จะทำร้ายท่าน”

“หมายความว่าไง”

“จิตสังหาร ท่าทาง ลักษณะการโจมตี ก่อนนี้ข้าเคยเจอสิ่งมีชีวิตแบบนี้มาก่อน ตอนนั้นมันกะทันหันและประชิดตัวมากจนข้าที่ไม่เคยเห็นมัน ตั้งสติไม่ทัน แต่ครั้งนี้จากที่ข้าสังเกต ทั้งที่เราทำร้ายมัน มันกลับไม่ได้ทำอันตรายหรือโจมตีใครโดยมุ่งหวังสังหารและเอาชีวิต มันคล้าย...”

“คล้ายอะไร”

“คล้ายกำลังป้องกันตัวหมายกว่า”

“เจ้าจะบอกว่า ปีศาจพันธุ์นั้นไม่เป็นอันตรายเช่นนั้นหรือ ทั้งที่มีคนบาดเจ็บสา... หั... ส...” หม่าจงครุ่นคิดตามคำบอกของพรานป่าอย่างจริงจัง พร้อมทั้งมองไปที่ร่างของอาเหวิน

“ข้าก็ไม่กล้ายืนยันเช่นนั้นหรอกครับ แค่พูดไปตามสัญชาตญาณ ท่านอย่าถือสาข้าเลย” จิ่นสือเอ่ย

“นั่นสิ... ถูกของเจ้า” หม่าจงพูดเบาคล้ายนึกอะไรได้

“ท่านว่ายังไงนะ” จิ่นสือถามย้ำไม่เข้าใจความหมาย

“รอยฝ่ามือไง ปีศาจตัวนั้นมือใหญ่ขนาดให้ข้าขึ้นไปยืนอยู่บนอุ้งมือได้ แต่เจ้าดูรอยฝ่ามือที่หน้าอกของร่างเขาสิ เล็กเท่ากับมือคน”

“หมายความว่า...” จิ่นสือพูดยังไม่ทันจบ

อาเหวินก็กระอักเลือดออกมาก่อน ทั้งสองคนรีบเข้าไปดูอาการ จิ่นสือพกยาสมานแผลเบื้องต้นมาด้วย ไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ผล แต่ตอนนี้หากมีอะไรที่พอช่วยได้ เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายย่อมต้องการให้ทำทันที

ระหว่างที่ทายาลงบนแผล อาเหวินขยับมือจับแขนของหม่าจงอย่างมีสติ

“ฟื้นแล้ว เขาฟื้นแล้ว” จิ่นสือร้องเสียงดังไม่แน่ใจว่าตกใจหรือยินดี หม่าจงยกมือห้ามจิ่นสือไว้ เมื่อเห็นคนเจ็บทำท่าจะพูดบางอย่าง

“เจ้าจะบอกอะไร”

“สะ สะ สองตัว มันมีสอง...” กล่าวได้แค่นั้นอาเหวินก็หมดสติไปอีกครั้ง ทั้สงอพยายามเรียกแต่ไม่กล้าขยับตัวอีกฝ่ายแรงเพราะเกรงว่าจะสะเทือนถึงแผล

เวลานั้นเองที่คนในหมอกต่างเดินออกมาหาพวกเขา หม่าจงและจิ่นสือต้องมองอย่างประหลาดใจเมื่อทุกคนปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บหนักเกินแผลถลอกเลย

“พวกเจ้าไม่ได้โดยปีศาจตนนั้นทำร้ายเหรอ”

“ไม่ แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ตอนเกิดเรื่องข้าเดินๆ อยู่แล้วแปลกใจที่ไม่ได้ยินเสียงขานรับ แต่คล้ายเหมือนเห็นการเคลื่อนไหวรอบๆ ตัว ข้าถามไปแต่ไม่มีเสียงตอบจึงเดินไปดูแล้วก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงตกใจ ข้าพยายามจะวิ่งเข้าไปช่วย แต่มองไม่เห็นอะไร พอรู้ตัวอีกทีก็มีบางอย่างพุ่งชนใส่จนล้มลงแล้วสลบไป”

ทุกคนเล่าไปในทิศทางเดียวกันเช่นนั้น ต่างเพียงแค่รายละเอียดเล็กน้อย ซาเถียนดูจะโล่งใจที่สุดทีทุกคนปลอดภัยเกือบหมด  หม่าจงก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ทว่านั่นทำให้เขาแน่ใจอย่างหนึ่ง ว่าคนที่ตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในม่านหมอกเมื่อครู่ คืออาเหวินเพียงคนเดียว

“ข้าว่าเรารีบกลับก่อนดีกว่า อาการของอาเหวินยังน่าเป็นห่วงอยู่” หม่าจงเสนอ

“ได้ๆ เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง พวกเจ้าช่วยกันแบกอาเหวินไป ระวังอย่าให้สะเทือนหนักนะ”

แต่ทันทีที่ทั้งหมดจะออกเดินทาง ใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากม่านหมอก และนั่นยิ่งทำให้ปริศนาที่ซับซ้อนอยู่แล้ว กลับยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก

“คุณหนูงักฮัว!” ซาเถียนเรียกนางอย่างตกใจ

ทุกคนรู้สึกไม่ต่างกัน หม่าจงมองร่างเปลือยเปล่าที่เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีมึนงงคล้ายคนเดินละเมอที่เพิ่งตื่นนอน นางดูสับสน หม่าจงใช้เสื้อตัวเองคลุมร่างให้เด็กสาว

“ปีศาจหมูป่าตัวนั้นล่ะ มันไปแล้ว... ใช่ไหม” นางกล่าวถามน้ำเสียงคล้ายมีความหวาดกลัว

 

............................................

 

ลมหนาวพัดผ่าน เมฆครึ้มลอยเต็มนภา สีของมันทำให้บรรยากาศของวันนี้หม่นหมอง เฉินหลินเดินออกมาหน้าห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์สกุลงัก นางเหม่อมองไปยังทิศทางของป่าใหญ่ที่พวกหม่าจงเดินลับหายไป ในใจนึกห่วง หวังให้ทุกคนกลับออกมาอย่างปลอดภัย

“คุณหนูหม่าคงจะเบื่อที่ต้องนั่งรออยู่เฉยๆ ถ้าอย่างไร ให้ข้าพาชมคฤหาสน์จะดีไหม”

งักหลิวที่นั่งประกบเกาะติดนางอยู่ตลอดเวลาราวกับปลิงสูบเลือด ตั้งแต่ที่พวกหม่าจงเริ่มออกเดินทาง ตามออกมาจากในห้องโถง พูดเชิญชวน

เฉินหลินลอบถอนหายใจเบาๆ นึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับคนผู้นี้อยู่นานสองนาน ทั้งที่อุตส่าห์เดินหนีหรือหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำแต่อีกฝ่ายก็ยังตามมาพูดไม่หยุดราวกับเป็นนกแก้วที่ส่งเสียงร้องตลอดเวลาจนปวดหู

“ไม่ดีกว่า ท่าทางฝนเหมือนจะตก ข้าไม่อยากเดินๆ อยู่แล้วต้องเปียก”

“เช่นนั้นเข้ามานั่งรับประทานขนมก่อนดีไหม มีขนมกุ้ยฮัวท่านน่าจะถูกปาก”

“ของพวกนั้นข้ากินจนบ่อยแล้วไม่ค่อยชอบ กลิ่นของมันทำให้เวียนหัว” เฉินหลินกล่าวเท็จ

“ถะ ถ้าเช่นนั้นท่านอยากอ่านหนังสือไหม ข้ามีกวีของ...”

“ข้าอยากกินถั่วแดงต้มน้ำตาล” เฉินหลินขัดขึ้นทั้งที่อีกฝ่ายังพูดไม่จบ เพราะไม่อยากให้เขารู้ว่าตนไม่ได้มีความรู้อะไร

“ดะ ได้ ข้าจะให้บ่าวทำให้เดี๋ยวนี้เลย” งักหลิวทำท่าจะเดินออกไปเรียกบ่าวเพื่อสั่งการ

“เดี๋ยว!”

“คุณหนูหม่าต้องการอะไรเพิ่มเช่นนั้นหรือ”

“ข้าอยากให้เตรียมอาหารไว้”

“ท่านอยากกินอะไรบ้างบอกข้ามาได้เลยนะ ข้าจะให้พวกบ่าวทำให้”

“ไม่ใช่ ข้าอยากให้เตรียมไว้เพื่อคนที่ออกไปตามหาน้องชายท่าน หากพวกเขากลับมาจะได้มีอะไรกิน”

“ดะ ได้ นั่นสินะ ข้าลืมคิดเรื่องพวกนี้ไป ท่านช่างรอบคอบนัก เดี๋ยวข้าจะจัดการให้”

เฉินหลินยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ งักหลิวตะโกนเรียกบ่าวเพื่อสั่งการก่อนที่จะเดินกลับมาหานาง

“ว่าแต่ มือปราบคนที่อยู่กับท่านเมื่อครู่นี้ไปไหนแล้ว ทำไมไม่มาอยู่คุ้มครองท่าน” งักหลิวกล่าวสายตาสอดส่องมองหาไปเรื่อยจนไม่ทันสังเกตเห็นเสี้ยววูบหนึ่งที่เฉินหลินตะหนกตกใจ

“ขะ เขาไปเข้าห้องน้ำน่ะ เมื่อครู่เขาบอกข้าไว้ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”

“ไม่ได้สิ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปตาม ทิ้งให้ท่านอยู่ลำพังเช่นนี้ได้ยังไงกัน ละทิ้งหน้าที่ตัวเองชัดๆ”

“ไม่ต้อง!” เฉินหลินลืมตัวกล่าวเสียงดังเมื่อเห็นงักหลิวจะไปตามคนอย่างที่พูด เขาตกใจเมื่อเห็นนางร้องขึ้นมา ในใจแอบนึกหวั่นว่าทำอะไรไม่ถูกใจไปหรือเปล่า

“ข้าอยู่ลำพังที่ไหนกัน ท่านก็อยู่กับข้าด้วย หรือท่านจะบอกว่า อยู่กับท่านแล้วข้าจะไม่ปลอดภัยเช่นนั้นหรือ”

“ปลอดภัยๆ คุณหนูหม่าอยู่กับข้ารับรองไม่มีอันตรายใดๆ แน่นอน”

เฉินหลินลอบถอนหายใจ คิดหนักว่าจะถ่วงเวลาไปได้อีกนานเท่าใด หวังให้หานตงรีบหาคุกศิลาเจอโดยไวแล้วรีบช่วยไป่ยู่ออกมาอย่างปลอดภัย

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด