ตอนที่แล้วบทที่ 28 ดอกไม้ที่ถูกปลอมแปลง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 30 หวนคืนสู่มาตุภูมิ

บทที่ 29 ผู้พิทักษ์ของฉัน


บทที่ 29 ผู้พิทักษ์ของฉัน

อาการหลัก ๆ ของฟาร์ชูลันเกิดมาจากความเหนื่อยล้าซึ่งเป็นจุดบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมีอยู่ เรื่องบาดแผลหรืออาการบอบช้ำภายในนั้นไม่ได้เป็นปัญหามากมายจนถึงขั้นรักษาทันทีไม่ไหว เพราะเหตุนี้จึงใช้เวลาในการรักษาบาดแผลไม่นานมาก พอพักเหนื่อยอยู่นิ่ง ๆ ไปสักพักก็ฟื้นฟูพลังกายกลับคืนมา และขจัดความเหนื่อยล้าออกไปจนหมด

การต่อสู้กับเจ้าตำหนักอัคคี ฟาร์เชนกำลังจะเริ่มขึ้นอีกในไม่ช้า...

ทั้งคู่เดินขึ้นมาบนสนามประลองที่มีสภาพเสียหายหลายจุดจากการต่อสู้ครั้งก่อน สาเหตุที่ทางทีมเทคนิคไม่ฟื้นฟูสนามประลองให้กลับมาดีดังเดิมเป็นเพราะข้ออ้างเรื่องงบประมาณที่สิ้นเปลือง และแรกเริ่มเดิมทีก็ตั้งใจจะทำในรูปแบบใช้แล้วทิ้งอยู่แล้วด้วย

บรรยากาศตอนนี้ค่อนข้างอึดอัด และลุ้นระทึกจนชวนให้หัวใจหยุดเต้น ฟาร์ชูลันเองแม้จะรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูความเหนื่อยล้ามาได้แล้ว แต่เธอกลับไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะเอาชนะอีกฝ่ายที่เป็นระดับเจ้าตำหนักได้ เพราะรูนการ์ดที่เตรียมไว้สำหรับการแข่งขันก็ใช้ไปเกินกว่าครึ่งแล้ว ถ้ามันหมดขึ้นมากะทันหันแล้วต้องต่อสู้โดยที่ไม่มีรูนการ์ดล่ะก็ เธอคงตกที่นั่งลำบากแน่

ความจริงรูนการ์ดจำนวนมากถูกเตรียมขึ้นสำหรับใช้ในการต่อสู้กับฟาร์เชนโดยเฉพาะ แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าการต่อสู้กับฟานในรอบชิงแชมป์จะทำให้เธอต้องสูญเสียรูนการ์ดไปเป็นจำนวนมากพอดู ความมั่นใจของฟาร์ชูลันตอนนี้จึงลดลงเหลือเพียงไม่ถึงครึ่งจากทั้งหมด

อย่างไรเสียเธอก็เคยพลาดท่าโดนฟาร์เชนจับตัวไปครั้งหนึ่ง ความแค้นครั้งนั้นแม้ยังไม่ลืม แต่เธอก็จดจำได้ดีว่าเพราะอะไรถึงได้โดนจับตัวไปได้ง่าย ๆ แบบนั้น

ในวันที่เธอเดินเข้าห้องสมุดเพื่อหาหนังสืออ่าน พอออกมาจากห้องสมุดกลับสูดกลิ่นประหลาดเข้าไป รู้ตัวอีกทีก็โดนจับไปเสียแล้ว ความพลาดพลั้งครั้งนั้นช่างหนักหนาจนไม่อาจให้อภัยตัวเองได้

ตัวตนของฟาร์เชนจึงเปรียบเสมือนกับความแค้นที่ต้องสะสาง ในขณะเดียวกันก็เป็นบาดแผลเพียงหนึ่งเดียวที่สร้างความอัปยศให้กับเธอ ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีทั้งความรู้สึกที่อยากจะล้างแค้น กับความรู้สึกหวาดเกรงรวมอยู่ด้วยกันในห้วงของความรู้สึกภายในทั้งหมด

“ไม่ต้องจ้องข้าราวกับจะกลืนกินเลือดเนื้อกันขนาดนั้นก็ได้”

กลับเป็นฟาร์เชนที่เป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน เธอใช้ซอกนิ้วสางผมสีบลอนด์ทองอย่างสบายอารมณ์

“ไม่รู้สึกอะไรหน่อยเหรอ อีกไม่นานทุกคนที่นี่ก็จะได้รู้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของแกคืออะไร” ฟาร์ชูลันแสยะยิ้ม

“ไม่เห็นต้องรู้สึกอะไร เพราะเจ้าไม่มีวันทำแบบนั้นได้”

“ต่อให้ฉันทำไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนทำแทนให้นี่”

คำพูดของฟาร์ชูลันสร้างความสงสัยให้กับฟาร์เชนเป็นอย่างมาก

ทำเอาคิดไปว่ายัยแม่มดนี่ยังมีพรรคพวกที่แข็งแกร่งคนอื่นอยู่อีกงั้นเหรอ?

‘ประมาทไม่ได้ซะแล้ว’

            ฟาร์เชนทบทวนเรื่องนี้อยู่ในใจ

ส่วนฟาร์ชูลันนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรต่อสิ่งที่พูดออกไปเลย ก็จริงที่เธอมีพรรคพวกอยู่ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงซิลเวอร์หรอกนะ มันหมายถึงคนที่เธอรอให้มาถึงอยู่ต่างหาก

‘ฉันกำลังจะสู้กับเจ้าตำหนักแล้วนะ เมื่อไหร่จะมาสักที!’

            ขณะที่ยืนจ้องตากันก็ปรากฏความคิดอ่านในใจมากมายไหลเวียนไปราวกับสายน้ำวน

ไม่ทันไรก็มีเสียงประกาศของผู้บรรยายดังขึ้น

“ศึกชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”

3

2

1

“เริ่มต้นการต่อสู้ได้!”

ผู้บรรยายรีบถอยห่างออกจากสนามประลองทันที เพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากอยู่ใกล้ ๆ แถบนี้ล่ะก็ ดีไม่ดีจะโดนลูกหลงจากพลังของฟาร์เชนไปด้วย

ฟาร์เชนเริ่มต้นด้วยการปล่อยออร่าปราณอสรพิษออกมา พลังของเธอที่ฟาร์ชูลันสัมผัสได้นั้นช่างให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากฟานโดยสิ้นเชิง แม้ว่าทั้งคู่จะมีปราณอสรพิษเหมือนกัน แต่สิ่งที่สัมผัสได้จากฟาร์เชนกลับเป็นความน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า เต็มไปด้วยพิษสงที่ไม่ชวนให้เข้าใกล้มากยิ่งกว่า

เท่าที่ศึกษาข้อมูลมาก่อนหน้านี้ ฟาร์ชูลันพบว่าสไตล์การต่อสู้ที่ฟาร์เชนถนัดที่สุดคือการต่อสู้ระยะกลางถึงระยะไกล และก็ไม่ผิดไปจากที่คาด ฟาร์เชนลอยตัวขึ้นไปบนอากาศด้วยความสามารถของระดับขั้นเทวการุญ พลังปราณที่เธอแผ่รัศมีออกจากร่างกายเป็นเหมือนกับคำขู่ว่าถ้าเข้ามาในรัศมีนี้ล่ะก็ตายแน่

            แน่นอนว่าฟาร์ชูลันไม่คิดจะเข้าใกล้อีกฝ่ายอยู่แล้ว เธอหยิบรูนการ์ดออกมาหนึ่งใบแล้วอัดพลังเวทใส่เข้าไปในนั้น

“พลังปราณระดับที่เจ็ด ลมหายใจอสรพิษ”

“มหาเวทจักรวาล ดาบพิฆาตดารา”

ลมหายใจอสรพิษของฟาร์เชนแตกต่างจากลมหายใจอสรพิษของฟาน ลักษณะของพลังที่ฟาร์เชนปล่อยออกมากลับเป็นเหมือนกับกระสุนพิษจำนวนมากที่ระดมเข้าจู่โจมใส่ฝ่ายตรงข้ามราวกับเป็นกระสุนปืน ทางด้านฟาร์ชูลันเมื่อปลดปล่อยอาณาเขตดาบแสงสีขาวออกมาก็ใช้มันจู่โจมใส่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กำลังปะทะกัน เธอก็โยนการ์ดขึ้นมาอีกหนึ่งใบ

“มหาเวทจักรวาล วงแหวนพิทักษ์แห่งดาวเสาร์”

วงแหวนขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นคล้องร่างของฟาร์ชูลันเอาไว้ นี่คือบาเรียชนิดพิเศษที่มีพลังป้องกันมากที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ มันจะต่อต้านพลังอำนาจทางการต่อสู้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทางกายภาพหรือเวทมนตร์ก็ตาม

ฟาร์ชูลันตั้งใจจะเก็บการ์ดใบนี้ไว้ใช้กับฟาร์เชนเท่านั้น เธอยอมรับว่าตอนต่อสู้กับฟานเธอเกือบจะหยิบการ์ดใบนี้ออกมาใช้หลายรอบ แต่คิดแล้วคิดอีกก็ขอเก็บไว้ก่อน จนกระทั่งฟานขอยอมแพ้ในการต่อสู้ไปจึงไม่ได้ใช้ออกมา

ที่เธอต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็เพราะเธอเตรียมรูนการ์ดที่บรรจุคาถานี้ไว้แค่ใบเดียว ถ้าหากใช้แล้วก็จะใช้เลย และถ้าหากต้องมาร่ายเวทสด ๆ ก็จะกินระยะเวลานานมหาศาลด้วย ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นเวลาเหมาะที่จะใช้มากที่สุด

ดาบพิฆาตดาราพุ่งเข้าหาฟาร์เชนและล้อมเธอไว้เป็นจุดศูนย์กลาง ภาพที่เห็นช่างคล้ายคลึงกับเมื่อครั้งที่ต่อสู้กับฟานเหลือเกิน

เพราะฉะนั้นก็จงอย่าลืมว่ากระบวนท่าที่ฟานใช้ในปราณอสรพิษ มีหรือที่ฟาร์เชนเองจะไม่สามารถใช้มันได้?

พลังปราณระดับเจ็ด ดาบสะบั้นใจ!

เวทมนตร์ดาบพิฆาตดาราของฟาร์ชูลันถูกกวาดทำลายไปในพริบตาเดียว

แต่สีหน้าของฟาร์ชูลันกลับไม่ตื่นตกใจเหมือนครั้งที่ต่อสู้กับฟาน บางทีเธออาจจะคำนวณเรื่องแบบนี้ไว้แล้วก็เป็นได้ ฟาร์เชนบังคับกระสุนพิษของเธอจู่โจมใส่ฟาร์ชูลันอีกครั้งหนึ่ง ฟาร์ชูลันหยิบการ์ดขึ้นมาหนึ่งใบ

“เสาเพลิงนรกโลกันต์”

เมื่อรูนการ์ดใบนั้นสลายไปจากมือก็ปรากฏเปลวเพลิงพุ่งขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้าของฟาร์เชน มันห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา ฟาร์เชนระเบิดพลังปราณออกมาเพื่อทำลายเสาเพลิงของฟาร์ชูลัน แต่พอออกมาได้ก็ต้องพบกับคมดาบมากมายอีกครั้ง

“ดาบพิฆาตดารา!”

ดาบแสงจำนวนมากทะลวงเข้าใส่ร่างของฟาร์เชนเข้าจนได้ ส่งผลให้เธอเซถอยกลับไป สีหน้าของเธอเจือปนความแค้นอย่างถึงที่สุด ภาพที่เห็นทำให้ผู้ชมที่อยู่รอบนอกต่างก็อ้าปากค้างไม่พูดไม่จาอะไรออกมา เพราะพวกเขาก็คงไม่นึกเช่นกันว่าฟาร์เชนจะไม่สามารถต่อกรกับฟาร์ชูลันได้เลยแม้แต่น้อย

ในการต่อสู้ของฟาร์ชูลัน พวกเขาคิดไปว่าถ้าคู่ต่อสู้คือฟานยังดูจะเป็นเรื่องยากมากกว่าการต่อสู้กับฟาร์เชนซะอีก

“เงาอสรพิษ” ฟาร์เชนสร้างร่างแยกของตนออกมา แต่ทันทีที่ร่างแยกจำนวนมากค่อย ๆ กระจายตัวออก ดาบแสงสีขาวก็ทะลวงใส่ร่างแยกเหล่านั้นจนสลายหายไป ไม่ทันได้โชว์ฝีมือให้ได้เห็นเลย

“จบแค่นี้ล่ะ” ฟาร์ชูลันกล่าวเสียงเย็นชา ด้วยขีดจำกัดทางกายทำให้เธอไม่ต้องการยืดเยื้อการต่อสู้ไปมากกว่านี้

“หึหึหึ”

“มีอะไรน่าขำ?” พอเห็นฟาร์เชนยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาก็ทำให้ฟาร์ชูลันรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาตงิด ๆ

“แข็งแกร่งจริง ๆ ด้านพลังการต่อสู้เจ้าเหนือกว่าข้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ไหวพริบกลับช้ากว่าข้าอีกซะแล้ว” ฟาร์เชนเหยียดแขนทั้งสองข้างออกมา สร้างความประหลาดใจให้กับฟาร์ชูลันเป็นอย่างมาก คำพูดของสตรีผู้นี้ทำให้ฟาร์ชูลันนึกถึงวันที่เธอพลาดท่าโดนจับตัวไป

หรือว่า!?

“มันไม่ได้มีแค่การสูดดมหรอก เพราะมันสามารถซึมผ่านผิวหนังได้เพียงแค่ปล่อยให้ล่องลอยไปตามอากาศ” เป็นความจริงดั่งที่ฟาร์เชนได้พูดเอาไว้ ร่างกายของฟาร์ชูลันเริ่มไม่รู้สึกถึงแรงกล้ามเนื้ออีกต่อไปแล้ว

“เล่นสกปรกอีกแล้ว!” ฟาร์ชูลันเดือดดาล แต่ก็สายไป เธอยอมรับว่าครั้งนี้ไม่ได้ประมาท เธอไม่ได้สูดดม แต่กลับโดนพิษของฟาร์เชนผ่านการซึมเข้าผิวหนังโดยไม่รู้ตัว เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ทำให้สมาธิในการควบคุมพลังเวทของเธอถดถอยลง วงแหวนพิทักษ์แห่งดาวเสาร์จึงหายไปทันที ส่งผลให้เธอไม่มีบาเรียคุ้มกันอีกต่อไปแล้ว

“ใครบอกให้เจ้าแข็งแกร่งกันล่ะ มันช่วยไม่ได้นี่นะ”

เปรี้ยงง!!

          ฟาร์เชนยกเท้าขึ้นเตะเสยใส่ปลายคางของฟาร์ชูลันจนกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ

“คมดาบราตรีทมิฬ”

ฉึก!

          ฟาร์ชูลันกระอักเลือดออกมา มีดาบเล่มใหญ่โผล่เข้ามาเสียบท้องของเธอกลางอากาศ เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ต่างก็นึกกันไปว่านี่จะมีเวทตัวตายตัวแทนเหมือนที่เธอเคยใช้อีกหรือเปล่า

คำตอบคือไม่ นี่คือร่างจริงของเธอแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเวทมนตร์สร้างร่างตัวตายตัวแทนนั้นเธอได้ใช้ผ่านรูนการ์ดจนหมดไปแล้วในการต่อสู้กับฟาน และการจะร่ายเวทสร้างร่างตัวตายตัวแทนขึ้นมาก็ต้องอาศัยระยะเวลาค่อนข้างมาก ซึ่งเธอไม่มีเวลามากพอจะไปทำอย่างนั้น

“ทัณฑ์อัสนี!” แต่เธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้ เธอใช้เวทสายฟ้าที่ยังพอมีเวลาร่ายออกมาได้โจมตีใส่ฟาร์เชนอย่างหนักหน่วง ฟาร์เชนเปล่งพลังปราณขึ้นต้านรับเอาไว้ก่อนจะสะบัดมืออย่างแรงเพื่อใช้พลังปราณขับไล่สายฟ้าเส้นนั้นออกไปอย่างง่ายดาย ฟาร์ชูลันเริ่มรู้สึกถึงความหนักหน่วงของน้ำหนักกาย เธอทรุดเข่าลงกับพื้นเมื่อรู้ตัวว่าไม่มีแรงยืนเหลืออยู่อีกแล้ว

เสียงหัวเราะของฟาร์เชนดังลั่นไปทั่วสนามประลอง พลังของแม่มดเป็นสิ่งที่เธอกังวลมาตลอด พอเอาเข้าจริงก็ไม่เท่าไหร่นี่นา เสียแรงที่ไปกังวลมากจนเกินเหตุจริง ๆ

ฟาร์เชนสาวเท้าเดินตรงเข้าหาฟาร์ชูลันอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งเดินมาถึงตัวก็ก้มลงแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งห้าหยิบจับปลายคางของฟาร์ชูลันแล้วยกขึ้นมามองอย่างดูถูก

“หลังจากที่ฆ่าเจ้า ข้าก็จะหายไปจากที่นี่ ตัวตนของฟาร์เชนจะหายไปตลอดกาล จะไม่มีใครได้ล่วงรู้ความจริง”

“เฮอะ ซิลเฟร์รู้ตัวตนของเธอดีพอ เธอไม่รู้หรือยังไง”

“ซิลเฟร์? มิน่าล่ะถึงได้มองข้าแปลก ๆ มาตลอด เจ้านั่นก็เป็นบุคคลที่ข้าควรจะกำจัดทิ้งก่อนไป”

“ถ้าทำได้นะ คนอย่างเธอถ้าไม่ใช้วิธีสกปรกเข้าว่าก็คงสู้ใครเขาไม่ได้หรอก”

“หุบปากซะ!”

ฟาร์เชนฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าของฟาร์ชูลันสุดแรง เกิดเสียงเพี้ยะดังสนั่น ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังผลักร่างของฟาร์ชูลันให้ล้มลงไป สร้างดาบพิษขึ้นมาในมือ เหวี่ยงปลายดาบฟาดฟันใส่ร่างกายอันบอบบางของฟาร์ชูลันจนกลายเป็นภาพที่ชวนให้รู้สึกสยดสยองเป็นที่สุด

เลือดของฟาร์ชูลันสาดกระจายออกไปโดยรอบจนทำเอากรรมการหวาดกลัวว่าจะเข้ามาหยุดการต่อสู้ตรงนี้ยังไงดี เพราะฟาร์เชนเป็นถึงเจ้าตำหนัก ไม่มีใครที่นี่ที่กล้าเข้ามายุ่มย่ามห้ามปรามเธอได้ ฟาร์ชูลันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดในขณะที่ร่างกายก็ขยับเคลื่อนไหวอย่างยากลำบาก ผลจากพิษที่เธอได้รับช่างหนักหน่วงเสียเหลือเกิน

ฟาร์เชนยกดาบขึ้นมา เตรียมแทงเข้าใส่ลำคอของฟาร์ชูลัน จิตสังหารพรั่งพรูอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้

แววตาของฟาร์ชูลันแลดูว่างเปล่า

ไม่มีใครอาจหาญทำลายเจตจำนงแห่งเอนด์เลสได้

            เสียงในอดีตดังขึ้นมาในจิตใต้สำนึกอีกครั้ง

หัวใจของเธอเต้นรัวอย่างต่อเนื่องเหมือนกับจะระเบิดออกมาข้างนอกเสียให้ได้

เจ้าคือผู้สืบเชื้อสายแห่งอำนาจเวทมนตร์ไร้ขอบเขต

            “อะ...อ๊า”

เจ้าคือผู้สืบเชื้อสายแห่งเอนด์เลส!

            บรึ้ม!

          รอบตัวฟาร์ชูลันเกิดระเบิดออกมาจนพัดเอาร่างของฟาร์เชนกระเด็นล่าถอยไปไกล แรงระเบิดส่งผลให้บาเรียที่ครอบคลุมสนามประลองอยู่ยังต้องสั่นสะเทือนจนแทบจะพังทลาย เมื่อกลุ่มควันถูกกระแสลมพัดหายไปก็พบเห็นร่างของฟาร์ชูลันที่ลอยตัวอยู่เหนือพื้นลานประลอง ดวงตาของเธอกลายเป็นสีฟ้าพาสเทล รอบตัวเปล่งออร่าสีเดียวกันออกมา

พลังเวทมนตร์พุ่งขึ้นอย่างหยุดไม่อยู่จนทุกคนในที่นี้สัมผัสได้แม้จะไม่รู้จักเส้นกระแสเวทมนตร์เลยก็ตาม

“อริศัตรูแห่งข้า” เสียงของฟาร์ชูลันเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่ตัวเธอ “จงแหลกสลายหายไปซะ!”

คลื่นแสงสีฟ้าถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือเพียงหนึ่งข้าง มันขยายขอบเขตขึ้นและถาโถมเข้าใส่ฟาร์เชนที่กลายเป็นเป้านิ่งในการจู่โจม

ตูม!!

          มีเสียงฮือฮาจากผู้คนทั่วสนามประลอง เมื่อคลื่นพลังขนาดยักษ์นั้นถูกใช้ออกไป พลังเวทมนตร์ที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของฟาร์ชูลันก็สงบลงอย่างว่าง่าย สติรับรู้ของฟาร์ชูลันกลับคืนมาดังเดิม พิษที่กระจายตัวอยู่ในร่างหายไปจนหมด เหมือนกับว่ามันถูกระบายออกมาพร้อมกับคลื่นพลังก่อนหน้านี้แล้ว

ฟาร์เชนปรากฏตัวออกมาท่ามกลางเศษซากของลานประลองที่พังทลายไม่เป็นชิ้นดี ร่างของฟาร์เชนเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัสสากรรจ์ สายตาชิงชังเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ฟาร์ชูลันกลืนน้ำลายลงคอเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่อีกฝ่ายเปล่งออกมา เธอทรุดเข่าลงกับพื้นเพราะความเหนื่อยล้าที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักในคราวเดียว เธอรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายราวกับมันกำลังกรีดร้องบอกกับเธอว่ากำลังจะแตกสลายในไม่ช้านี้

พลังเวทขนาดยักษ์ที่ใช้ออกมาเมื่อสักครู่มีผลทำให้ร่างกายของเธอไม่อาจทนรับไหว!

ทั้งที่เป็นอย่างนั้น ฟาร์เชนกลับยังมีชีวิตอยู่และยังมีแรงเดินขโยกเขยกมาทางนี้อีกด้วย ให้ตายเถอะ ไปเอาความอึดตายยากแบบนี้มาจากไหนกัน

“แสบนักนะ ยัยแม่มด” สตรีผิวดำยื่นมือเข้าไปเอื้อมคว้าลำคอของแม่มดน้อยไว้แน่นหนา ก่อนจะยกร่างบางเล็กนั้นให้ลอยขึ้นมา หมายจะบีบคอให้ตายไปเสียตรงนั้น

“เอ่อ...ทะ...ท่านเจ้าตำหนักอัคคี ถ้าทำแบบนี้ล่ะก็อีกฝ่ายจะตายเอาจริง ๆ นะครับ” ผู้บรรยายสดใช้ความกล้าทั้งหมดวิ่งเข้ามา เขาลดไมค์ลงก่อนจะพูดกับฟาร์เชนด้วยเสียงที่ดังพอให้เธอได้ยินแค่คนเดียวเท่านั้น

“ก็ใช่น่ะสิ! ข้าจะสังหารมันทิ้งซะ!” แต่ฟาร์เชนกลับเปล่งเสียงดังจนเล็ดลอดผ่านไมค์โครโฟนของผู้บรรยายสดออกไป ทำเอาผู้ชมทั้งหมดได้ยินคำพูดของเธอเป็นเสียงเดียวกัน

เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาจนกลายเป็นเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นไม่หยุด แม้จะเป็นแบบนั้นฟาร์เชนก็ยังไม่สนใจอยู่ดี เธอออกแรงบีบลำคอของฟาร์ชูลันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจะกำจัดอีกฝ่ายลงที่นี่แล้วรีบหนีไปซะ

สายตาของฟาร์ชูลันเริ่มขาวโพลน สติของเธอกำลังจะหลุดลอยไปแล้ว

ฉับพลันนั้น ฟาร์เชนกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ถาโถมเข้ามาใส่เธอ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ว่าเป็นอะไร แต่ที่แน่ ๆ คือมันไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นมิตรต่อเธอ

มวลอากาศที่ว่างเปล่ารอบข้าง อยู่ ๆ ก็ระเบิดออกสร้างกลุ่มควันหนาแน่นขึ้นมา ฟาร์เชนเบิกตาโพลงก่อนจะคลายมือที่กำคอของฟาร์ชูลันออกแล้วกระโดดถอยออกจากกลุ่มควันออกไปไกล

หยาดเหงื่อไหลลงมาอาบผิวแก้มอย่างเชื่องช้า หยดลงสู่พื้นทีละหยดโดยไม่รู้สึกตัว

ฟาร์ชูลันกระแอมไอค่อกแค่กออกมา สติของเธอกลับคืนมาอีกครั้ง หญิงสาวพยายามปรับลมหายใจที่แสนอึดอัดให้กลับเข้าที่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง เธอพบว่ามีใครบางคนยืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่แสนคุ้นเคยนั่น ต่อให้ยังมองไม่เห็นหน้าก็พอจะรู้ได้

สาเหตุที่ฟาร์ชูลันเดินทางมาที่จักรวรรดิซีและเข้าเป็นนักเรียนที่สถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่งมีอยู่สองข้อด้วยกัน ข้อแรกคือตามหาสิ่งของอย่างหนึ่ง ส่วนอีกข้อก็คือการเป็นผู้พิทักษ์เพื่อปกปักษ์ชีวิตของชายผู้หนึ่งอย่างสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าข้อหลังนี้เธอจะบอกกับเขาว่าขอเลื่อนการพิจารณาไปก่อนแต่ก็ยังคิดอยู่ในใจลึก ๆ เรื่อยมาว่าควรจะรีบดำเนินการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

แต่เพราะเกิดเหตุการณ์หลายอย่างขึ้นมากมายทำให้เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะทำสัญญาผู้พิทักษ์กับเขาเลย พอรู้ตัวอีกทีก็มาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้

ทั้งที่เธอควรจะเป็นผู้พิทักษ์ให้กับเขาแท้ ๆ

“ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน”

น้ำเสียงขึงขังฟังดูจริงจังแฝงไว้ด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไม่อาจบรรยายได้ หญิงสาวรับรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังโกรธ...บางทีอาจจะโกรธเพราะเห็นเธอตกอยู่ในสภาพแบบนี้กระมัง

“รอตั้งนาน...เจ้าบ้า” เธอตอบกลับไป วินาทีนั้นพอมองจากด้านหลังเหมือนจะเห็นผิวแก้มของเขาเปลี่ยนรูปนิดหน่อย เดาไม่ยากว่าเขาคงจะยิ้มออกมาเพื่อตอบรับคำพูดของเธอ

เมื่อชายหนุ่มจ้องเขม็งไปยังเจ้าตำหนักอัคคี แววตาก็เปลี่ยนจากความเรียบเฉยกลายไปเป็นความดุดัน  ความโกรธเกรี้ยวที่ได้เห็นฟาร์ชูลันต้องตกอยู่ในสภาพไม่สู้ดีแบบนี้ทำให้บางอย่างในตัวขาดผึงออก ร่างกายปรากฏพลังปราณสีม่วงเข้มไหลหลั่งออกมา ย้อมเปลี่ยนบรรยากาศแถบนี้จนกลายเป็นความน่าสะพรึงกลัว

แต่ทั้งที่บรรยากาศมันน่ากลัวแบบนั้น แต่ใจของฟาร์ชูลันกลับรู้สึกโล่งอกขึ้นมา เธอไม่ได้หวาดกลัวในสิ่งที่เขาเป็นแม้แต่น้อย เธอรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังผ่อนคลาย ร่างกายของเธอกำลังได้รับการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง พอยิ่งมองแผ่นหลังนั้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการเยียวยามากเท่านั้น

ฉันควรจะเป็นผู้พิทักษ์เขา

            ปกป้องเขา

            ทว่า...

            หยาดน้ำตาแห่งความปิติเอ่อล้นออกมาทั้งสองข้าง

เขากลับกลายเป็นผู้พิทักษ์ของฉันไปแล้ว...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด