ตอนที่แล้วตอนที่ 21: บอกใบ้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 23: เมเดียน VS คีห์ ประลองตามข้อตกลง

ตอนที่ 22: บรอธ ผู้สนับสนุน (?)


ตอนที่ 22: บรอธ ผู้สนับสนุน (?)

 

เฮเซคียาห์ถูกเกลี้ยกล่อมจากเมเดียนให้นอนหลับพักผ่อนที่หน้าสุสานของเอเทรัส ภายในเต็นท์ที่เมเดียนนำติดตัวมาด้วย แต่พอเขาตื่นขึ้นในตอนเช้า เขาพบว่าเมเดียนหายตัวไป และกองไฟหน้าเต็นท์ดูเหมือนมอดดับลงนานแล้ว ไม่มีไออุ่นของกองไฟเหลืออยู่ เขาจึงเริ่มหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง

 

เขาอยากรีบกลับไปเจอมูนนี่...

 

“บรอธ ทำไมแกไม่ปลุกฉัน” เขาหยิบบรอธขึ้นมาแล้วตำหนิอย่างเคืองๆ

 

“ไม่จำเป็นต้องปลุก การเทรนนิ่งที่สถานที่แห่งนี้ยังไม่เสร็จสิ้น”

 

“หมายความว่ายังไง? เมเดียนบอกอะไรแกไว้” เฮเซคียาห์คุยกับบรอธซึ่งเขาถือไว้ในอุ้งมือ

 

“เขาจะฝึกฝนนายต่อที่นี่ จนกว่าเขาจะพอใจ แล้วเขาถึงจะพานายออกจากที่นี่ และถ้านายต้องการท้าสู้กับเมเดียนหลังจากเขาฝึกฝนนายเสร็จ นายก็สามารถทำได้เลยที่นี่”

 

“เมื่อคืนเขาไม่ได้บอกไว้ว่าจะกักตัวฉันเอาไว้ที่นี่ ฉันนึกว่าจะได้กลับเลย ฉันต้องการคุยกับมูนนี่”

 

“คำถาม: ต้องการส่งโทรจิตหามูนนี่หรือไม่ ฉันสามารถเป็นสื่อกลางให้นายได้ ถ้าหากนายต้องการ แต่เขาต้องอยากคุยกับนายด้วย ถ้าเขาปฏิเสธการเชื่อมต่อกับฉัน ฉันไม่สามารถบังคับเขาได้”

 

“โอเค ลองส่งโทรจิตหาเขาดู” เฮเซคียาห์เลือกเป็นฝ่ายรุกในการติดต่อ ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาอยากจะคุยกับมูนนี่ตัวต่อตัวมากกว่า

 

“มูนนี่ปฏิเสธการเชื่อมต่อ และฝากบอกข้อความว่าเขาจะรอคุยกับนายตอนนายกลับไปถึง พร้อมกับกำชับด้วยว่าให้เอาวีวี่กับมีดของเขาทั้งสองเล่มไปคืนเขาด้วย”

 

“บอกเขาได้ไหมว่าฉันไม่รู้ว่าจะกลับไปได้เมื่อไหร่”

 

“เขาบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นายจะได้เจอเขาแน่ถ้ากลับออกไป”

 

เฮเซคียาห์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขามองไปรอบๆ แล้วเดินไปนั่งข้างสุสานของเอเทรัส ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดเมื่อลมเย็นๆ พัดมา อากาศในช่วงเช้าในป่าแห่งนี้ถือว่าดีมาก มันชวนให้รู้สึกอยากกลับไปนอนหลับในเต็นท์ต่อ แต่เฮเซคียาห์บอกตัวเองว่าเขาจะเกียจคร้านไม่ได้ หลังจากเขาได้รับรู้มาแล้วว่าเขามีโอกาสตกอยู่ในที่นั่งลำบากหรือแพ้ในการต่อสู้

 

“แกคิดว่าฉันพอจะทำอะไรเป็นการฝึกฝนได้บ้าง ระหว่างที่เมเดียนยังไม่กลับ” เฮเซคียาห์ถามบรอธทั้งที่มีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้ว

 

“ลองฝึกควงเพนดูลัมให้คล่อง แล้วฟาดไปตามต้นไม้”

 

“จะได้กะแรงที่ต้องใส่ลงไปในเพนดูลัม ความแม่นยำ และปรับปรุงท่าทางสินะ” เฮเซคียาห์ยิ้มออก เขาได้รับคำตอบเหมือนกับที่คิด

 

เขาแตะสายสายเพนดูลัมด้านหลังคอ จับมันและวาดมือที่จับสายสร้อยไปทางด้านขวา แรงสะบัดข้อมือทำให้สายสร้อยเพนดูลัมขยายความยาวออกไปอีก และเมื่อเฮเซคียาห์ฟาดมันลงกับพื้น สายสร้อยเพนดูลัมขยายความยาวออกเป็นเมตร เฮเซคียาห์ตวัดแขนและข้อมือไปด้านหน้า ตั้งใจฟาดสายสร้อยและลูกตุ้มเพนดูลัมไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป แต่ความยาวของสายสร้อยเพนดูลัมยาวไม่พอ จึงต้องกระตุกกลับด้วยการลากมือขวาไปทางด้านซ้ายใกล้หูของตัวเอง ก่อนตวัดมือขึ้นกลับไปทางด้านขวาเพื่อให้สร้อยเพนดูลัมที่ได้รับแรงเข้าไปสะสมเพิ่มความยาวขึ้นอีกหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นแรงที่ส่งไปยังสายสร้อยและลูกตุ้มเพนดูลัมซึ่งฟาดเข้ากับต้นไม้ก็ยังไม่แรงมาก ทั้งสายสร้อยและลูกตุ้มเพนดูลัมเพียงสะกิดเข้าเปลือกไม้ไปเล็กน้อย

 

เฮเซคียาห์กวาดมือของเขาไปทางซ้ายและขวาสลับกัน เพิ่มพลังที่ส่งเข้าไปสะสมในสายสร้อยเพนดูลัม ทำให้สายสร้อยและลูกตุ้มเพนดูลัมกระทบกับต้นไม้แรงขึ้นทุกครั้งเมื่อเขาตวัดแขนฟาดมือ จนในที่สุด สร้อยเพนดูลัมสามารถเข้าถึงเนื้อไม้ได้

 

“อ๊ะ! ติด...” เฮเซคียาห์อุทาน ลูกตุ้มเพนดูลัมเข้าไปปักอยู่ในเนื้อไม้

 

เขาออกแรงดึง แต่เอาไม่ออก

 

“โอ๊ย! ไอ้โง่เอ้ย” เฮเซคียาห์กัดฟันกรอด พยายามกระตุก กระชาก และออกแรงดึง แต่ไม่เป็นผลแม้แต่น้อย

 

“นายควรถากเนื้อไม้ออกไปให้กินรัศมีกว้างขึ้นเรื่อยๆ ฉันหมายถึงตีเนื้อไม้หลายๆ แนว แทนที่จะฟาดไปที่จุดเดียวซ้ำๆ ในแนวเดียวกันเหมือนพยายามจะล้มต้นไม้ลงไป เพนดูลัมไม่ใช่อาวุธที่เหมาะสำหรับการเอามาตัดต้นไม้” บรอธมองภาพใหญ่ได้ดีกว่าเฮเซคียาห์

 

เฮเซคียาห์ถอนใจแรง เขาเหนื่อยกายที่เพิ่งออกกำลังไป และเหนื่อยใจที่เขามองอะไรทื่อๆ ต่างจากตอนมีไลฟ์ควอตซ์คอยช่วยให้คิดทุกอย่างอย่างเฉียบแหลม เขาปล่อยมือจากสายสร้อยเพนดูลัมของเขา และนั่งลงกับพื้น

 

“ถ้าฉันเอาชนะเมเดียนไม่ได้ สุดท้ายเรามีแต่ต้องออกเดินทางต่อไปใช่ไหม เราต้องรักษาคำพูด” เฮเซคียาห์ปรับทุกข์กับบรอธ เพราะไม่มีคนอื่นหรือสิ่งอื่นให้เขาสามารถสนทนาด้วยได้ในเวลานี้

 

“ใช่ นายควรรักษาคำพูด และคงไม่มีคนอื่นสามารถช่วยให้นายกลับไปที่เมืองหลวงได้อีกแล้ว”

 

“ต่อให้ฉันรวบรวมเศวตศาสตรามาเป็นร้อยอัน ฉันก็ไม่สามารถบุกเข้าไปในเมืองหลวง เพื่อไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ หรือติดต่อกับไลฟ์ควอตซ์ และถามทุกอย่างที่สงสัยให้รู้เรื่องใช่ไหม”

 

“นายเองก็เคยเล่าเอง ว่าเคยเห็นผู้ใช้เศวตศาสตรานับร้อยสังเวยชีวิตแก่ชาวมัสตินในการต่อสู้”

 

“ถ้าฉันเข้าไปในเมืองหลวงไม่ได้ ฉันก็มีทางเลือกว่าอาจต้องค้นคว้าหาทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมด้วยตัวเอง และมันอาจล้มเหลว ฉันอาจใช้เวลาทั้งชีวิตนั่งค้นคว้าหาคำตอบแต่คว้าน้ำเหลว” เฮเซคียาห์หมกมุ่นเกี่ยวกับตัวเขาเอง ยกมือหนึ่งเท้าคาง วางศอกบนหน้าขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ “ถ้าสมมติว่าฉันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ชีวิตฉันจะเป็นแบบไหน”

 

“อาจมีความสุขมากๆ มีครอบครัวเล็กๆ อบอุ่นกับมนุษย์สักคน”

 

“เห้อ? มนุษย์เหรอ นั่นไม่ใช่รสนิยมของฉัน”

 

“หรือจะเอาเผ่าพันธุ์อื่น” บรอธชี้ให้คิดในกรอบที่กว้างขึ้นอีก

 

“ไม่!” เฮเซคียาห์ส่ายหน้า

 

“เอาเป็นว่าชีวิตต้องดำเนินต่อไป หรือถ้านายจะฆ่าตัวตายอีกเพราะทนที่จะอยู่อย่างมนุษย์ไม่ได้ ฉันก็ต้องพยายามห้ามอีก”

 

“ฮะๆๆๆ การฆ่าตัวตาย?” เฮเซคียาห์ถอนหญ้าบนพื้นเล่น “มันขึ้นอยู่กับฉันอยากลืมตาขึ้นมาในวันต่อไปไหม ถ้าหากในวันต่อไป ไม่มีสิ่งที่ทำให้ฉันอยากลืมตาขึ้นมา ฉันคิดว่าตายๆ ไปซะก็ดี”

 

“อะไรคือสิ่งที่ทำให้นายอยากลืมตาขึ้นมาในวันถัดไปตอนเป็นเจ้าชายรัชทายาทของพวกมัสติน”

 

เฮเซคียาห์ยิ้มเพราะถูกใจคำถาม

 

“ความภาคภูมิใจในฐานะชาวมัสติน และหน้าที่การงาน ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมให้เผ่าพันธุ์มัสตินแข็งแกร่งขึ้น” เฮเซคียาห์นึกถึงเรื่องในวันเก่าๆ แล้วแสนมีความสุข “ฉันรู้สึกว่าโชคดีมาตลอดที่มาเกิดในเผ่าพันธุ์ที่แทบไม่มีบันทึกของความแตกแยกในลักษณะของสงคราม และมีความร่วมมือกันจนทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ไหนๆ ความคิดที่ว่าเราจะแข็งแกร่งไปด้วยกันต่อไปอีกเรื่อยๆ มันทำให้ฉันมีความสุข”

 

“พอมานึกดูว่า ความสุขทั้งหมดในชีวิตของชาวมัสตินก็คือการเกิดมาเป็นชาวมัสติน ฉันก็พอเข้าใจว่านายรับไม่ได้จริงๆ ที่ต้องมาใช้ชีวิตแบบมนุษย์”

 

“ใช่ มันเป็นอะไรที่สุดๆ จริงๆ เมื่อมาคิดว่าฉันไม่ใช่ชาวมัสตินแล้ว และไม่สามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์ของตัวเองได้ ชีวิตของฉันตอนนี้ มันเปล่าประโยชน์แล้วจริงๆ”

 

“...”

 

“อ้าว! เงียบไปซะงั้น”

 

“ฉันกำลังประมวลหาคำพูดเพื่อชักชวนนายให้เข้าพวกกับมนุษย์ แต่โอกาสจะชักชวนสำเร็จถูกคำนวณออกมาเป็น 0%”

 

“ก็แหงล่ะ ฉันนี่นะ จะต่อสู้กับพวกมัสติน” เฮเซคียาห์ถอนใจแรง “ฉันควรถูกชีล่าฆ่าตายตั้งแต่แรก มันน่ากลัว แต่ฉันสมควรตายตั้งแต่ตอนนั้น ก่อนที่จะมีชีวิตแบบนี้ ฉันว่าไลฟ์ควอตซ์เลือกออกคำสั่งกับเธอให้ฆ่าฉันเพราะมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันแล้ว

 

แต่ในความคิดของราชินีเอสเธอร์ ความตายไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนาย”

 

“เสด็จแม่คงทรงตัดสินพระทัยผิดพลาด เพราะทรงรักฉัน คงแค่ทรงมีพระประสงค์อยากให้ฉันมีชีวิตรอดโดยไม่ได้ไตร่ตรองว่าการที่ฉันเปลี่ยนเป็นสิ่งที่พวกมัสตินไม่ยอมรับฉันอีกต่อไป ฉันจะทุกข์ทรมานได้ขนาดไหน ต่างจากไลฟ์ควอตซ์ที่ล่วงรู้ทุกอย่าง และจัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่มัสตินทุกๆ คน

 

“...นายควรปลง แล้วปลดแอกความคิดแบบชาวมัสตินออกไปจากสมองซะ”

 

“หมายความว่ายังไง” เฮเซคียาห์ไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจสิ่งที่บรอธเพิ่งบอก

 

“ถ้านายกลับไปเข้าพวกกับมัสตินไม่ได้ ก็หยุดคิดอย่างมัสติน เพราะนั่นจะทำให้นายมีชีวิตต่อไปอย่างลำบาก”

 

“แต่ฉันเป็นมัสติน...”

 

“เฉพาะช่วงต้นของชีวิต แต่หลังจากนี้ ถ้านายพบว่านายกลับไปเป็นมัสตินไม่ได้ นายก็ไม่จำเป็นต้องคิดและดำเนินวิถีชีวิตแบบพวกเขา” คำพูดของบรอธเป็นตรรกะที่น่ารับฟัง แต่เฮเซคียาห์ต่อต้านอยู่ในใจ อย่างไรก็ตามเขาเงียบ จึงได้ยินมันพูดต่อไป “ถ้านายไม่รู้ว่าในฐานะมนุษย์ เป้าหมายในการใช้ชีวิตของนายในวันพรุ่งนี้คืออะไร นายก็ควรใช้ชีวิตต่อไปเพื่อจะได้พบเป้าหมายนั้น และพอนายมีเป้าหมายนั้น ชีวิตจะไม่น่าเบื่อ”

 

“เช่นอะไรล่ะ? ฉันอาจต้องการที่อยู่ อาหาร และเครื่องนุ่งห่มเหมือนกับมนุษย์ แต่ก็นึกไม่ออก มีอะไรที่ฉันจะเอามาเป็นเป้าหมายได้เมื่อฉันเป็นมนุษย์ ฉันไม่มีอาชีพในฝัน ไม่ได้อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นกับมนุษย์ และก็แน่นอนล่ะ ฉันไม่อยากช่วยเหลือมนุษยชาติด้วยการทำลายชาวมัสติน”

 

“การเป็นเพื่อนกับใครสักคนล่ะ นายชอบมูนนี่ใช่ไหม นี่ไง มีเป้าหมายหนึ่งอย่างเหมือนมนุษย์แล้ว” บรอธเข้าใจยกตัวอย่าง “อย่างวันนี้นายก็กำลังรอคอยอยู่ว่าในวันต่อๆ จะได้เจอกับเขา คุยกับเขา แล้วจะได้ปรับความเข้าใจกัน”

 

“ถ้ามูนนี่ปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนฉันต่อ ในวันต่อๆ ไป ฉันก็ไม่มีเขาเป็นเป้าหมาย ชีวิตก็จะกลับมาว่างเปล่าอีก คิดไม่ออกเลย มีอะไรอีกที่จะทำให้ชีวิตมนุษย์มีความหมายขึ้นมา ชีวิตแบบมนุษย์ ฉันคิดไม่ออกเลยมันจะมีอะไรดี”

 

“ถ้านายยังหายใจ มันไม่ว่างเปล่าทุกวันหรอก มันต้องมีเรื่องดีๆ เข้ามาบ้าง อาจจะมีคนอย่างมูนนี่เข้ามาอีก”

 

“ฉันไม่สนใจคนอื่น เอาจริงๆ ฉันก็แปลกใจนะที่ถูกมูนนี่ดึงดูดเข้าไปหา คงเพราะเขาเป็นมนุษย์ที่ดี แล้วฉันก็ไม่สามารถใจร้ายกับคนที่ดีกับฉันจากใจจริงได้ เขาไม่ใช่คนเสแสร้ง แถมบางทียังซื่อเกินไปอีกต่างหาก” เฮเซคียาห์ประทับใจในตัวมูนนี่

 

“อาจมีมนุษย์แบบเดียวกันอีก นายไม่ลองออกตามหาดูล่ะ”

 

“ทำไมฉันต้องออกตามหา”

 

“ฉันก็แค่ลองหาเป้าหมายในการใช้ชีวิตให้กับนาย นายไม่อยากรู้เหรอว่ามีมนุษย์ที่เป็นเหมือนกับมูนนี่อีกไหม แล้วถ้านายเจอเข้า ฉันคิดว่านายคงมีความสุขมาก แล้วพอจะเป็นมนุษย์ต่อไปได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ”

 

“มนุษย์? ฉันยังติดว่ารูปลักษณ์ภายนอกของฉันดูไม่เหมือนซะทีเดียว”

 

“มีฉันอยู่ด้วย พอบอกไป ใครเขาก็ต้องเชื่อ”

 

“ยังไงพวกเขาก็ต้องระแวงอยู่บ้าง มูนนี่ยังระแวงอยู่บ้างเลย เขาก็ดูสงสัยมาตั้งแต่แรก แต่เพราะซื่อไง เพราะแบบนั้นฉันเลยหลอกได้นานหน่อย”

 

“แต่ถ้านายไม่พูดว่าตัวเองเป็นมัสติน ไม่ใช่ทุกคนจะพุ่งเป้ามาตัดสินหรือพยายามพิสูจน์ว่านายเป็นชาวมัสติน”

 

“แน่ใจเหรอ มนุษย์น่ะขี้ระแวงนะ” เฮเซคียาห์นึกถึงเรื่องซึ่งเอ็กซัสเคยเล่าให้เขาฟัง เนื่องจากเอ็กซัสเป็นชาวมัสตินที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมของตัวเอง ทั้งสีผม สีผิว และหน้าตาให้เหมือนคนอื่น และมักแฝงเข้าไปตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะในชุมชนของพวกมนุษย์เพื่อสืบข่าวและทำลายแหล่งกบด่าน เอ็กซัสเองยังถูกจับได้ในบางครั้งว่าเป็นชาวมัสติน

 

“ถ้าเจอแบบนั้นก็สู้และหนี”

 

“น่าสมเพช! ต้องมาหนีพวกมนุษย์”

 

“หรือจะฆ่าให้หมดล่ะ แต่ฉันขอแค่รับชมนะถ้าเป็นไปได้ ฉันไม่ได้ถูกสร้างมาให้มนุษย์เอาไปฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าพวกเขาทำร้ายนาย ฉันก็ต้องช่วย เพราะฉันเป็นเศวตศาสตราของนาย”

 

“ก็น่าสนใจนะ” เฮเซคียาห์หัวเราะ “เอาจริงๆ ถ้ากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ฉันควรไปทำอะไรที่ได้ฆ่าพวกมนุษย์เยอะๆ นี่ก็เป็นอีกตัวเลือกนะ ถ้าชาวมัสตินไล่ฉัน ก็ไม่จำเป็นจะต้องเข้าพวกกับมนุษย์สักหน่อย ฉันฝึกตัวเองให้เก่งๆ แล้วตั้งตัวเองเป็นปรปักษ์กับมนุษย์แต่หนีให้ห่างจากพวกมัสตินไปด้วยก็ได้”

 

“ถ้านายทำแบบนั้น มูนนี่จะเกลียดนาย”

 

“ฉันไม่อยากให้เขาเกลียดฉัน แต่ถ้าเขาไม่เป็นเพื่อนกับฉันต่อ ฉันจะถนอมความรู้สึกของเขาต่อไปเพื่ออะไร”

 

บรอธนิ่งงันไป เฮเซคียาห์ที่ถูกปล่อยให้อยู่กับความเงียบเริ่มผ่อนคลายลงมากกว่าเดิม การสนทนาเรื่องตัวตนของเขาที่บรอธมักจุดประเด็นว่าต้องเลือกฝั่งมนุษย์มักทำให้เขาตึงเครียด

 

 

เมเดียนกลับมาหาเฮเซคียาห์ และหัวเราะขำแทบเป็นแทบตายเมื่อพบว่าเพนดูลัมของเฮเซคียาห์ค้างอยู่ในเนื้อต้นไม้ เจ้าตัวช่วยเฮเซคียาห์เอาเพนดูลัมออกจากเนื้อไม้โดยใช้เพียงมือเดียวฟาดไปบนต้นไม้ขนาดใหญ่ ต้นไม้ที่มีขนาดลำต้นกว้างเท่ายี่สิบคนโอบรอบหักโค่นไปพิงกับต้นอื่นอย่างง่ายดาย และเฮเซคียาห์ได้รับเพนดูลัมของเขาคืนมาใส่มือ

 

‘เป็นแค่ความเห็น แต่ฉันมองว่านายอาจถูกหักเป็นสองท่อนแน่ ถ้าสู้กับเขา’ บรอธส่งเสียงเข้ามาในหัว

 

เฮเซคียาห์ถอนใจ

 

‘วิเคราะห์ซิ ฉันจำได้ว่าโอกาสที่จะชนะเขา มัน 50% ไม่ใช่เหรอ’

 

ยืนยัน: โอกาสชนะเมื่อต่อสู้ 50%’

 

เฮเซคียาห์พอใจเมื่อพบว่าโอกาสได้รับชัยชนะในการต่อสู้กับเมเดียนไม่ลดลง ตัวเขาเองไม่หวาดกลัวเรื่องพละกำลังมากมายของเมเดียน ถ้าเขาตั้งใจ จะต้องเอาชนะอีกฝ่ายได้แน่

 

“เธอฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า” เมเดียนเรียกเฮเซคียาห์ให้ออกจากภวังค์

 

“ครับ?”

 

“ฉันอยากเห็นเธอใช้เพนดูลัมได้คล่องกว่านี้ แล้วเป็นการใช้งานร่วมกับการต่อสู้ของบรอธด้วย ดังนั้นเธอไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปที่บ้านฉันตอนนี้ ที่นี่เหมาะกับการฝึกสอนเธอมากกว่า”

 

“คุณดูกระตือรือร้นจะสอนผมจังนะ”

 

“ก็น่าสนุกดี” เมเดียนยิ้มใสๆ ปากตรงกับใจ “ฉันไม่เคยรับลูกศิษย์เลย เคยสอนก็แต่พวกลูกๆ ของฉันนานมาแล้ว ไหนๆ เราก็ตกลงกันแล้ว ฉันตั้งใจจะฝึกเธอออกมาให้ดี ไม่ให้เสียชื่อว่าฉันเป็นคนฝึก”

 

“ผมไม่เที่ยวโพนทะนากับใครหรอกว่าคุณเป็นคนฝึกฝนผม”

 

“โพนทะนาก็ได้ ฉันชอบ” เมเดียนยังคงมียิ้มเย็นๆ บนใบหน้า “มันเป็นหน้าเป็นตานะ”

 

“ผมก็แค่อยากให้คุณยอมพาผมกลับบ้านให้ได้ ถึงได้มีข้อตกลงบ้าๆ กับคุณ ถ้าบรอธไม่เริ่มไว้แล้ว โดยตั้งเงื่อนไขให้คุณทำในสิ่งที่ผมอยากให้คุณทำ ผมก็ไม่โดดลงมาเล่นลูกศิษย์กับอาจารย์กับคุณหรอก”

 

“ฉันก็ยืนยันคำเดิม ฉันไม่อยากพาเธอไปพบกับราชินีเอสเธอร์ ฉันรับข้อต่อรองกับเธอเพราะอยากให้เธอยอมไปให้พ้นๆ หน้าบ้านฉันน่ะแหละ ฉันรู้ว่าบรอธคำนวณว่าเธอมีโอกาส 50% ที่จะเอาชนะฉันได้ มันบอกฉัน ซึ่งก็เท่ากับว่าฉันมีโอกาส 50% ที่จะชนะเธอ และฉันก็แน่ใจว่าจะชนะเธอได้แน่นอน”

 

“เราต่างคนต่างก็มั่นใจสินะ” เฮเซคียาห์กำหมัด เขารู้ดีว่าเขาต้องเอาจริง

 

แต่ว่าบรอธ มันคิดอย่างไร ถึงบอกระดับความเป็นไปได้ของชัยชนะที่เฮเซคียาห์จะได้รับเมื่อสู้กับเมเดียน

 

“บรอธ ฉันหวังว่าแกจะไม่ส่งเสริมให้ฉันแพ้เขา ด้วยการบอกเขานะว่าต้องสู้กับฉันยังไงถึงจะชนะ” เฮเซคียาห์อดระแวงไม่ได้ ในเมื่อเขาตรวจสอบไม่ได้ตลอดว่าบรอธคุยอะไรกับใคร ที่ไหน และเมื่อไร และเขาหยั่งความคิดของบรอธไม่ได้ทั้งหมดหรือตลอดเวลา

 

เศวตศาสตราไม่ควรเป็นอิสระจากเจ้าของขนาดนี้ เฮเซคียาห์มีความรู้สึกไม่ชอบมาพากลหลายครั้ง

 

คำพูดของมูนนี่สะกิดใจเขา เศวตศาสตราของเขา มันคือเศวตศาสตราแน่หรือ?

 

“ไม่ ฉันไม่พูดข้อมูลที่จะเป็นผลลบกับนาย ไม่ต้องห่วง”

 

“แน่นะ” เฮเซคียาห์ไม่ค่อยสบายใจ

 

“ฉันซื่อสัตย์กับนาย เชื่อใจฉัน” บรอธปฏิญาณตน “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็จะอยู่ฝั่งนายเสมอ

 

“อยู่ฝั่งเดียวกับฉัน? แกไม่อยากให้ฉันกลับไปเข้าพวกกับมัสตินนี่”

 

“ฉันถูกสร้างมาเพื่อสนับสนุนเจ้าของผู้เป็นมนุษย์ ฉันไม่สามารถทำสิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ที่จะเป็นการทำร้ายนาย ในการต่อสู้ครั้งนี้ ถ้านายชนะ แม้จะเข้าไปในเมืองหลวงได้ ไม่มีอะไรรับประกันว่านายจะกลับไปเป็นมัสตินแล้วเป็นภัยกับมนุษย์ แต่ถ้านายแพ้ เท่ากับฉันสนับสนุนการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ของนาย ฉันทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับนายที่ไม่ขัดแย้งจุดประสงค์ของการคงอยู่ของฉัน”

 

“ฉันจะช่วยให้แกสมหวังนะบรอธ เพราะต่อให้ฉันฝึกให้คีห์เต็มที่ เด็กคนนี้ก็ยังเร็วไปที่จะเอาชนะฉันได้ในเร็ววันนี้”

 

“แกเข้าข้างฉันจริงๆ ใช่ไหมบรอธ ไม่ได้คิดเอาไว้แล้วใช่ไหมว่าฉันจะแพ้” เฮเซคียาห์รู้ดีว่าคำพูดไม่เคยเป็นหลักประกันที่เชื่อถือได้ แต่อย่างน้อย ถ้าบรอธยืนยันว่ามันพูดจริงที่ว่าเขามีโอกาสชนะ ก็หมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องท้อแท้กับคำขู่ของเมเดียน

 

คนที่มั่นใจในตัวเองมาก และสุดท้ายก็แพ้ได้ ต้องไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว

 

ยืนยัน: โอกาสชนะเมื่อต่อสู้ 50%”

 

เฮเซคียาห์มองหน้าเมเดียนที่ยักไหล่

 

“กี่วันล่ะ ในหัวของคุณตอนนี้ คิดเอาไว้ว่าผมต้องฝึกสักกี่วันถึงจะล้มคุณได้ เมื่อไหร่ที่มันไม่เร็วไป” เฮเซคียาห์ทำจิตใจให้เข้มแข็ง และตั้งปณิธานในใจว่าเขาต้องเอาชนะเมเดียนให้ได้ เขาจะเพิ่มโอกาสชนะจากครึ่งต่อครึ่ง เป็นมากกว่านั้น

 

“ฉันเห็นฝีมือเบื้องต้นของเธอแล้ว แต่คงเป็นสิบๆ ปี แม้ว่าฉันจะฝึกให้เต็มที่ แล้วตอนนั้นไม่แน่ว่าเธอแก่ แรงเธออาจจะตก ก็คงเอาชนะฉันไม่ได้อีก”

 

“ผมเรียนรู้ได้เร็ว เดี๋ยวคุณต้องมองผมใหม่ ถ้าคุณจะฝึกผมอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ดีแต่ปาก”

 

“อ้อ เธอจะเป็นคนบอกฉันเองว่าพร้อมที่จะสู้เพื่อเอาผลแพ้ชนะใช่ไหม เพราะถ้าแค่ฝึกให้ ฉันคงฝึกไปเรื่อยๆ ฉันไม่มีทางคิดว่าเธอพร้อมที่จะเอาชนะฉันแล้วแน่เลย” เมเดียนหัวเราะ ยังหน้าระรื่นและอารมณ์ดีต่อไป “พอเธอคิดว่าจะสู้เอาผลแพ้ชนะได้เมื่อไร ฉันจะทำให้เธอยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองซะ แล้วไปจากหน้าบ้านของฉัน หรือถ้าเธอไม่รังเกียจ จะไปอยู่ที่เซนต์กิลเจนก็ได้”

 

“ผมไปให้พ้นๆ ให้คุณหมดความรำคาญแน่ แต่ผมไม่ไปที่หมู่บ้านนั่น และไม่ไปอยู่กับพวกมนุษย์ที่ไหน ผมจะกลับไปที่เมืองหลวง” เฮเซคียาห์มีแต่ความหวังที่จะเอาชนะอยู่ในใจ

 

เมเดียนหัวเราะในลำคอ หน้าตาและท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนถึงความมั่นใจว่าจะได้เห็นความล้มเหลวของเฮเซคียาห์

 

“ผมมีมูนนี่รออยู่ ดังนั้นผมกำหนดว่าผมจะใช้เวลาเพื่อฝึกฝนกับคุณแค่ 3 อาทิตย์ที่นี่ พอครบ 3 อาทิตย์ผมจะเอาชนะคุณให้ได้”

 

“เอาเลย ใช้ทุกอย่างที่เธอมี อาวุธของเธอทั้งเพนดูลัม และบรอธ ทักษะของเธอ และสมองของเธอ”

 

เมเดียนยกมือขึ้น และใช้นิ้วชี้เคาะเข้ากับขมับ ตาแฝงรอยยิ้มและปากยิ้มน้อยๆ ยังคงมั่นใจว่าตัวเองจะชนะใสๆ แต่เฮเซคียาห์ก็เชื่อในโอกาสที่จะเอาชนะอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เขาต้องทำเบื้องต้นคือไม่ประมาท และพยายามเร่งเค้นพัฒนาตัวเองในเวลาสั้นๆ ตามที่เขาเลือกกำหนดเอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด