ตอนที่แล้วChapter 18 : เดินทางต่อ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 20 : สนามโน้มถ่วงของแอรีส

Chapter 19 : งานเทศกาลดนตรี


Chapter 19 : งานเทศกาลดนตรี

        ผมเดินออกมานอกห้องอีกทีหลังจากจัดการใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองเสร็จเรียบร้อย

        บริเวณด้านนอกของเครื่องบินลำนี้กว้างขวางพอสมควร บริเวณส่วนกลางเป็นเหมือนห้องนั่งเล่นสำหรับผู้โดยสาร มีโซฟาและโต๊ะกลมให้สำหรับผู้โดยสารนั่งเล่นผ่อนคลายพร้อมกับเครื่องฉายภาพโฮโลแกรมสามมิติ ที่ผมเห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นผู้หญิงสี่ห้าคนกำลังดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งอยู่ อีกมุมหนึ่งเป็นมินิบาร์ที่มินจุนนั่งดื่มเครื่องดื่มพร้อมกับภูติดวงดาวของเขา ไอรีนก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน ว่าแล้วผมก็เดินไปหามินจุนกับไอรีน อยากรู้เหมือนกันว่าตอนนี้เรามาอยู่บนเครื่องบินสุดหรูแบบนี้ได้ยังไง

“ไง ไอรีน ขอบใจนะที่เป็นห่วง” ผมพูดออกไป ส่งยิ้มให้ไอ้รีน ที่เมื่อสักครู่เจ้าตัวรีบพรวดพราดเข้าไปในห้องผมขณะกำลังเช็ดตัวอยู่ แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่าเจ้าตัวก็น่าจะเป็นห่วงผมเหมือนกัน

“ใครเป็นห่วงนายกัน ก็แค่เข้าไปดูว่ายังไม่ตายแน่ ๆ ก็แค่นั้น”

ดูคำตอบของเธอซิ เกรี้ยวกราดจังเลย ...

ผมหัวเราะขำเดินไปนั่งที่เก้าอี้ทรงสูงข้าง ๆ มินจุน ตรงบริเวณด้านหน้ามีเครื่องดื่มมากมายซึ่งถูกจัดวางอยู่บนชั้น และมีหุ่นยนต์ AI ผู้ชายที่เป็นบาร์เทนเดอร์เข้ามาถามว่าอยากดื่มอะไร ผมเลยสั่งเลมอนมินต์ม็อกเทลไป อยากได้อะไรดื่มให้สดชื่นขึ้นเหมือนกัน

“นายทำให้ฉันโดนด่า” ผมพูด พร้อมชกเบา ๆ ไปที่ไหล่ของมินจุนหนึ่งที

“ก็เห็นอยากให้ไอรีนเช็ดตัวให้ เลยช่วย ผิดซะงั้น” มินจุนพูดออกมาทำหน้าล้อเลียนพร้อมหัวเราะขำ นั่งคุยกันไปสักพักผมก็ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากตัวเองสลบไป มินจุนกับไอรีนก็เลยเล่าเรื่องตอนนั้นให้ผมฟัง เลยทราบว่าพวกเราได้รับความช่วยเหลือจากพ่อของเด็กหญิงที่ผมช่วยเอาไว้ เธอกำลังจะเดินทางไปงานเทศกาลดนตรีเหมือนกับพวกเรา พ่อของเธอก็เลยส่งเครื่องบินมารับเป็นการตอบแทน พวกเราก็เลยได้มานั่งบนเครื่องบินหรูส่วนตัวแบบนี้

นั่งเล่นไปสักพักผมก็เห็นเด็กผู้หญิงที่ผมช่วยไว้เดินเข้ามาหา มินจุนบอกว่าน้องคนนั้นชื่อ อลิซ เจ้าตัวเป็นเด็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ผมสีทองยาวสลวยเหมือนเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ เห็นแล้วก็อยากมีน้องสาวขึ้นมาเลย ตอนนี้อลิซดูร่าเริงขึ้นแล้ว แต่บริเวณลำคอผมยังเห็นร่องรอยสีขาวจากการถูกมีดของมิเกลกดไว้อยู่ แต่ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็มองไม่เห็น มินจุนคงช่วยรักษาบาดแผลให้แล้ว ทิ้งไว้สามสี่วันน่าจะไม่เหลือร่องรอยอะไรเหมือนกับแผลบนตัวผมตามที่หมอนั่นบอกให้ฟัง

“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยหนูเอาไว้พี่วิน” เด็กหญิงพูด ยิ้มกว้างให้ผม

“หืม รู้ชื่อพี่ด้วย ใครบอกครับเนี่ย” ผมบอกน้องไป ส่งยิ้มคืนกลับไปให้ พลางเอามือไปขยี้ผมน้องอย่างเอ็นดู เจ้าตัวตัวเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับพวกเรา สูงประมาณอกไอรีนได้มั้ง ผมก็พอเข้าใจน้องนะที่มาเที่ยวเล่นกับเพื่อนด้วยวิธีแบบนี้ เพราะตอนสมัยเด็ก ๆ ผมก็ชอบออกมาเที่ยวกับเพื่อน ๆ ไปไหนไกล ๆ เหมือนกัน แต่น้องคนโชคร้ายไปหน่อย ที่มีคนไม่หวังดีมาทำแบบนี้

“พี่มินจุนบอกค่ะ พี่วินเท่มากเลยตอนจัดการกับหมอนั่น” อลิซพูด ก้มหน้างุดขณะชมผม ผมหัวเราะให้น้องเบา ๆ พลางโยกหัวน้องเล่น

“แล้วเราไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจ แต่จากที่ดูน้องก็น่าจะโอเคแล้ว แถมเป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายอีก

“ค่ะโอเคแล้ว หนูกับเพื่อนจะไปงานเทศกาลดนตรีกัน ไปดูพี่มินจุนเล่นคอนเสิร์ต”

พูดจบอลิซก็เหลือบตาไปมองมินจุนแล้วหันกลับมาหาผมเขิน ๆ

“แฟนคลับนายนี่หว่ามินจุน” ผมหันไปคุยกับมินจุน หมอนั่นหัวเราะเบา ๆ ยื่นหน้าก้มลงมาหาน้องร่วมวงคุยด้วยกัน

“แล้วระหว่างพี่กับพี่วิน ใครเท่กว่ากันคะ” มินจุนพูด

“พี่มินจุนสิคะ”

อ้าว ...

ตามมาด้วยเสียงหัวเราะขำจากมินจุนและไอรีนที่ได้ยินคำตอบของน้องอลิซ

 

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เครื่องบินก็ลงจอดที่เมืองทางตอนเหนือ ถือว่าเร็วกว่ากำหนดการที่พวกเราแพลนมาเยอะเลย เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีภูเขาล้อมรอบ ก่อนที่เครื่องบินจะลงจอดก็จะเห็นพื้นที่ด้านล่างเต็มไปด้วยสีเขียวเต็มไปหมดจากต้นไม้ มีบ้านพักเล็ก ๆ ที่มีลักษณะเป็นทรงของยุโรปเป็นสีสันแปลกตา เป็นอีกเมืองที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายร้อยปี ก่อนที่เทคโนโลยียังไม่ได้เจริญเท่ากับปัจจุบัน

พวกเราโบกมือล่ำลาน้องอลิซกับเพื่อน ๆ เพื่อแยกย้ายไปยังที่พักซึ่งมินจุนเป็นคนจัดการ ก่อนแยกย้ายไปพักผ่อน เพื่อน ๆ และน้องอลิซก็เข้ามาถ่ายรูปกับมินจุนและพวกเราก่อนจะจากไป พร้อมบอกจะรอฟังเพลงที่มินจุนจะร้องในวันพรุ่งนี้ช่วงเย็น พวกเราเดินเข้าบริเวณหมู่บ้านที่มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ติด ๆ กัน มีคนที่มางานเทศกาลดนตรีที่จำมินจุนได้เข้ามาทักและขอถ่ายรูปด้วยประปราย ผมกับไอรีนเลยต้องทำหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับหมอนั่น

งานครั้งนี้มีนักร้องเข้าร่วมรับเชิญมาหลายคนทั่วโลก เนื่องจากงานเทศกาลจัดยาวนานเกือบหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งวันแรกจะเป็นวันพรุ่งนี้ ผู้คนเลยเริ่มทยอยกันมาพักผ่อนที่นี่เพื่อรอดูคอนเสิร์ตของนักร้องที่ตนเองชื่นชอบ พวกผมเดินไปบนถนนที่ถูกปูด้วยพื้นอิฐสีเทาอ่อนไปเรื่อย ๆ บริเวณสองข้างทางเป็นบ้านกึ่งที่พักให้สำหรับนักท่องเที่ยว และคนที่มางานได้เข้าไปพัก เดินกันไปสักระยะ มินจุนก็บอกว่าถึงที่พักของพวกเราแล้ว

ที่พักเป็นบ้านสไตล์อิตาลีที่มีสีส้มและสีเหลืองอ่อนปรากฏให้เห็นรอบบ้าน มีสีเขียวจากต้นไม้ที่พันขึ้นไปบนตัวบ้านเป็นพุ่ม ๆ พร้อมกับดอกไม้สีม่วงอ่อนที่เพิ่มสีสันขึ้นมา บ้านหลังนี้มีสนามหญ้าเล็ก ๆ อยู่ด้วย ผมเห็นมีเตาปิ้งบาร์บีคิวอยู่ตรงนั้น ถือว่าเป็นที่พักแบบพรีเมียมเลยทีเดียว ซึ่งมินจุนบอกว่าเขาได้สิทธิพิเศษในการจองบ้านพักหลังนี้เพราะเป็นนักร้องที่เข้าร่วมงาน ที่พักเลยอยู่ห่างออกมาจากบริเวณของนักท่องเที่ยวอีกระยะหนึ่ง ซึ่งพื้นที่บ้านพักแถวนี้จะไม่แออัด ห่างกันนิดหน่อย แต่ลักษณะบ้านพักก็จะคล้าย ๆ กันหมด

ตอนนี้ลีโอออกมาจากกุญแจได้แล้ว หมอนั่นเข้ามาจับตัวผมพลิกซ้ายพลิกขวาอีกทีอย่างเป็นห่วง ผมก็บอกไปว่าตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว สบายใจได้ อยู่กับลีโอมาเกือบเดือนกว่า ก็ทำให้รู้สึกว่าภูติดวงดาวไม่ใช่แค่สิ่งที่ผู้ใช้เวทอัญเชิญมาเพื่อปกป้องตัวเองอย่างเดียว พวกเขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหรือลูกน้อง ภูติดวงดาวเป็นเหมือนส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา หลังจากเราได้ทำพันธสัญญากับเขา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะรับรู้ถึงความรู้สึกเราเวลาเราได้รับอันตรายหรือรู้สึกแย่ ตอนนี้ผมเองก็รับรู้เหมือนกันว่าหมอนั่นเป็นห่วงผมมาก ไม่ต่างจากภูติดวงดาวของคนอื่นที่เป็นห่วงผู้ถือครองกุญแจเลย

มันทำให้ผมที่เป็นลูกคนเดียวรู้สึกว่าตอนนี้ ผมมีพี่ชายอีกคน ...

 

ช่วงเย็นของวันหลังจากพักผ่อนจากเดินทางกันมาไกล ผมนอนหลับไปอีกเกือบสองชั่วโมง ตื่นมาก็พบว่าห้าโมงเย็นพอดี บ้านพักหลังนี้มีทั้งหมดสี่ห้อง พวกภูติดวงดาวก็เลยได้ออกนอกกุญแจมาพักผ่อนได้เต็มที่ ผมนอนห้องเดียวกับลีโอ มินจุนนอนห้องเดียวกับซาจิททาเรียส ไอรีนนอนกับอควาเรียส และอีกห้องพวกเรายกให้สองฝาแฝดไพส์ซีสไป เราตกลงกันว่าช่วงเย็นจะมาปิ้งบาร์บีคิวกันที่สวนเล็ก ๆ หน้าบ้านพัก ผมที่มีความรู้เรื่องการทำอาหารมากที่สุดเพราะอยู่กับพ่อมานานก็เลยเสนอตัวเองไปซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหาร

ผมลากไอรีนไปด้วย เจ้าตัวมีงอแงว่าไม่อยากไปกับผม แต่ผมก็คะยั้นคะยอพาเธอมาจนได้ มินจุนไม่ได้ออกมาด้วย หมอนั่นบอกว่าไม่อยากเจอบรรยากาศแฟนคลับรุมเหมือนเมื่อตอนเราเดินมาที่บ้านพักอีก พวกเราเลยทิ้งหมอนั่นไว้ที่บ้านพร้อมกับภูติดวงดาว แต่ผมกับไอรีนก็ไม่ประมาทหยิบกุญแจภูติของตัวเองมาด้วยเผื่อมีเหตุฉุกเฉินอะไรเกิดขึ้นกับพวกเรา

ช่วงเย็นของวัน คนออกมาเดินเล่นกันเยอะมาก แถวนี้มีห้างสรรพสินค้าให้เลือกซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ด้วย มองออกไปตรงหน้าเป็นน้ำพุที่มีรูปปั้นสิงโตกำลังอ้าปากกว้างและมีน้ำพ่นออกมา ผมเห็นแล้วก็ขำ นึกถึงลีโอทันที เลยจูงมือไอรีนตรงไปยังบริเวณนั้นเจ้าตัวก็ได้แต่ฮึดฮัดไปตามเรื่องตามราว ซึ่งบริเวณนั้นเป็นเหมือนกลางสี่แยกถนนสำหรับคนเดิน เพื่อไปถ่ายรูปเล่น เป็นจุดเช็คอินอีกที่ ที่เมื่อใครมาเมืองนี้ต้องได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้

“โอ๊ย ! อะไรนายเนี่ย มาซื้อของไม่ใช่หรอ รีบไปซื้อเถอะ ฉันไม่ชอบถ่ายรูป” ไอรีนพูดขึ้นมาทำท่าแกะมือผม

“น่าขอรูปหนึ่ง ๆ นะ ไปถ่ายด้วยกัน” ผมพูดยิ้มกว้างให้เจ้าตัว พร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าของไอรีน ประกอบกับการทำเสียงอ้อนใส่ ไม่สนใจคำบอกปฏิเสธของเจ้าตัว ถือวิสาสะดึงมือตรงไปยังรูปปั้นสีโตพ่นน้ำกลางถนนคนเดินสี่เส้นที่มาบรรจบกัน

“ยิ้มเก่ง อ้อนเก่ง เป็นเด็กหรือไง เลิกยิ้มได้แล้ว จะถ่ายก็ถ่ายเร็ว ๆ จะยิ้มอะไรนักหนาเนี่ย” ไอรีนพูดขึ้นมา ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อยก่อนเดินตามผมมายังรูปปั้นสิงโตพ่นน้ำตรงนั้นอย่างไม่ขัดขืน

“ยิ้มหน่อย ชีส” ผมหันไปพูดกับไอรีน หยิบมือถือขึ้นมาใช้คำสั่งเสียงถ่ายภาพ ก่อนภาพโฮโลแกรมสามมิติจะสะท้อนให้เห็นภาพของเรา กรอบสี่เหลี่ยมสองกรอบจับใบหน้าของเราให้เห็นชัดและภาพด้านหลังเบลอนิดหน่อยเพื่อให้องค์ประกอบของภาพสวยงามขึ้นมา และ

แชะ !

ผมมองภาพโฮโลแกรมสามมิติเกือบเต็มตัวตรงหน้าพร้อมกับฉากด้านหลังเหมือนกับที่บริเวณที่เรากำลังยืนอยู่ ในภาพผมกำลังยืนยิ้มกว้าง ขณะที่ไอรีนก็ยิ้มกว้างไม่ต่างกัน มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ฝืน ผมรู้สึกได้ ผมหันไปมองตัวจริงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกจากเมื่อเดือนก่อนได้เปลี่ยนไปแล้ว ...

“มองอะไรของนาย เลิกยิ้ม ! ได้รูปแล้วก็ไปซื้อของซิ”

เกรี้ยวกราดตลอด ...

 

“วิน”

เสียงเรียกเสียงหนึ่งทักผมขึ้นมาหลังจากผมกับไอรีนซื้อของอุปกรณ์มาทำบาร์บีคิวกันเสร็จ ตอนนี้ถือของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ผมหันไปมองที่มาของเสียง คนที่เรียกเป็นผู้หญิงผมยาว หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง ผิวขาวอมชมพู ดวงตาเรียวยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นผม เธอเดินเข้ามาใกล้ ๆ ผมเลยส่งยิ้มทักทายเธอเมื่อเจอคนรู้จัก

“อ้าวนามิ เธอมางานนี้ด้วยหรอ” ผมพูดออกไปทักทาย ส่งยิ้มให้เธอ

“อื้ม นามิมากับเพื่อน คิดถึงจัง ไม่เจอกันหลายเดือนแล้วนะเนี่ย วินยังเหมือนเดิม” นามิพูด พร้อมเข้ามากอดผมไว้แน่นจนตั้งตัวไม่ทัน ของที่ถือไว้สองมือเกือบร่วงแนะ

“ฮ่าฮ่า นามินี่ไอรีน ไอรีนนี่นามิ” ผมแนะนำไอรีนไปเมื่อสังเกตเห็นนามิเหลือบไปมองที่ไอรีนอยู่พลางยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

หลังจากนั้นผมก็ยืนคุยกับนามิอีกสักพัก เนื่องจากไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่สมัยเรียนจบแล้วแยกย้ายกันไปทำงาน คุยไปหัวเราะไปจนเพลิน เสียงของไอรีนก็ดังแทรกขึ้นมา

“เดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ” ไอรีนหันไปพูดกับนามิ ก่อนเจ้าตัวจะรีบเดินจ้ำหนีผมไปเลย

“เอ่อ ... ไอรีน เดี๋ยวรอด้วย ฉันไปก่อนนะนามิ ไว้ค่อยคุยกัน” ผมหันไปมองไอรีน ก่อนรีบบอกลานามิแล้ววิ่งตามคนที่เดินหนีไปก่อนอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เดินตามทัน

“รีบไปไหนของเธอเนี่ย” ผมพูดออกไป หอบออกมานิดหน่อยเพราะของที่ถือมาสองมือก็ไม่ใช่น้อย

“นายจะตามฉันมาทำไม ไม่คุยต่อล่ะ”

อะไรคือน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดกว่าปกติ ...

“ก็คุยเสร็จแล้ว เลยตามมาไง”

“หรอ”

“เป็นไรเนี่ย ดูเหวี่ยงแปลก ๆ ตอนไม่เจอนามิยังดี ๆ อยู่เลย” ผมถามออกไป มองหน้าเจ้าตัวแบบไม่เข้าใจ แต่ก็ยิ้มสู้

“ไม่ได้เป็นอะไร”

ชัดเลย ... เป็น พ่อผมเคยสอนไว้ เวลาผู้หญิงบอกไม่เป็นอะไรคือเป็น

“ไม่ถามหน่อยหรอว่านามิเป็นอะไรกับฉัน” ผมถามไอรีนไป เดินขนาบไปข้าง ๆ เจ้าตัว

“ไม่ได้อยากรู้”

“นามิเป็นแฟนเก่าน่ะ เลิกกันหลายเดือนแล้ว”

พูดจบไอรีนก็เหลือบตามองผมแวบหนึ่งแล้วเดินจ้ำต่อไปยังบ้านพักของเรา

“แล้วจะมาบอกฉันทำไม”

“อืม ไม่รู้สิ กลัวคนแถวนี้เข้าใจผิด”

หัวเราะขำคนที่ไม่อยากรู้นิดหนึ่ง ก่อนรีบจ้ำเท้าตามไปเมื่อเห็นว่าไอรีนเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก

 

ช่วงเย็นของอีกวันก็เป็นวันแรกของงานเทศกาลดนตรี ซึ่งถูกจัดที่สนามหญ้าที่กว้างหลายไร่ ตรงนั้นมีเวทีขนาดใหญ่พร้อมกับจำนวนคนมหาศาลที่หาผ้าปูมานั่งดูกันเป็นกลุ่ม ๆ บนสนามหญ้าเต็มไปหมด ส่วนผมกับไอรีนพร้อมกับพวกภูติดวงดาวได้สิทธิพิเศษเข้าไปนั่งโซนเกือบด้านหน้าแบบ VIP ที่มินจุนได้ใช้สิทธิของตัวเองจองไว้ให้ หมอนั่นได้ขึ้นไปร้องเพลงประมาณสิบห้านาทีก่อนจะผลัดเปลี่ยนเป็นนักร้องคนอื่น ผมเองก็เพิ่งเคยฟังมินจุนร้องเพลงครั้งแรก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหมอนั่นร้องเพลงเพราะมาก เสร็จสิ้นหน้าที่ของตัวเองมินจุนก็มานั่งรวมกับพวกเรา

พวกเรานั่งฟังเพลงพร้อมกับของทานเล่นแถวนั้นไปอย่างเพลิดเพลิน จากเพลงสนุก ๆ ที่ทุกคนออกมาเต้นกัน ตอนนี้กลายเป็นเพลงช้า ๆ ชิว ๆ ให้ทุกคนได้เพลินไปกับบรรยากาศ ยิ่งดึก อากาศก็ยิ่งเย็นมากยิ่งขึ้น ผมหันไปมองไอรีนที่นั่งกอดเข่าอยู่ข้างตัว มองก็ดูออกว่าหนาว ผมเลยถอดเสื้อคลุมของตัวเองเอาไปคลุมไหล่ให้ ไอรีนหันมามองผม ทำท่าจะดึงเสื้อคลุมผมออก แต่ผมดึงมือเธอไว้

“เอาไปเถอะ ฉันรู้ว่าเธอหนาว”

“เปล่าสักหน่อย”

“ปากแข็ง หนาวก็บอกว่าหนาวซิ อยู่กับฉันเธอไม่ต้องทำตัวแข็งแกร่งขนาดนั้นก็ได้นะ ฉันไม่รู้หรอก ว่าอะไรในอดีตมันทำให้เธอเป็นแบบนี้ แต่เวลาเธออยู่กับฉัน เธอเชื่อใจฉันได้” ผมพูดออกไป มองตาไอรีนนิ่ง ๆ เจ้าตัวหลบตาผม ไม่พูดอะไร ก่อนหันไปสนใจกับนักร้องบนเวทีต่อ ผมยิ้มส่ายหัวเบา ๆ ก่อนลุกขึ้นเดินไปซื้อเครื่องดื่มอะไรแถวนั้นกับมินจุนมาให้พวกภูติดวงดาวที่นั่งคุยกันอยู่ เห็นบ่นบอกว่าคอแห้งเพราะร้องเพลงกันเยอะไปหน่อย

“อะไรอะ” ไอรีนถามผม ขณะที่ผมยื่นแก้วอุ่น ๆ ส่งให้

“โกโก้ร้อน”

“ขอบใจนะ” ไอรีนตอบผมกลับมาพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ

 

ท่ามกลางผู้คนมากมายรอบ ๆ ตัว ผมหันไปมองผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ แล้วก็ได้แต่ยิ้ม มองเลยผ่านไปก็เจอมินจุนกับภูติดวงดาวที่คุยกันอย่างออกรสเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

คืนนี้ฟ้าเปิด แสงดาวระยิบระยับตัดกับความมืดยามค่ำคืน แบบที่ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีภาพฉายโฮโลแกรมสามมิติเพื่อเพิ่มความสวยงาม เสียงเพลงจากนักร้องคนแล้วคนเล่ายังคงดังมอบความสุข และความเพลิดเพลินให้กับคนฟังไปเรื่อย ๆ อากาศกำลังเย็นสบาย

ผมไม่รู้หรอก ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเราทั้งหมด ...

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมรู้ ตอนนี้ วันนี้ก็คือ ...

งานเทศกาลดนตรีครั้งนี้ ...

เพลงมันเพราะกว่าทุกปีที่ผมเคยมา ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด