ตอนที่แล้วบทที่ 21 คะแนนพิศวาส
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 23 พระเอกละคร

บทที่ 22 ค่ายมวย


บทที่ 22 ค่ายมวย

เวลา 5 ชั่วโมงในต่างโลกวันนี้ นอกจากไปดูอาการยัยนาตาเลีย กับเสียเงินให้คู่หูอ้วนผอมค่าพาลงดันแล้ว ก็เป็นการไล่ศึกษาข้อมูลจากกองหนังสือตรงหน้าเพียงเท่านั้น ถึงภารกิจวันนี้จะดูน่าเบื่อแต่ผมก็ได้รู้เรื่องราวในต่างโลกมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น อีตาลุงจอร์น วินเชสเตอร์ในหนังสือนี่คือพ่อของชาล็อตนั่นเอง ลุงแกแม่งโคตรเทพบุกตะลุยหักร้างถางพงแดนเหนือที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ป่าเถื่อน ก่อร่างสร้างเมืองในดินแดนสุดกันดารที่ได้รับพระราชทานมาจากราชา จนกลายเป็นเมืองใหญ่อันดับต้น ๆ ของอาณาจักร มีตำแหน่งเป็นถึง ‘เอิร์ล’ ขุนนางชั้นสูงรองจาก เคานต์และดยุค

ถึงลุงจอร์นจะมีชีวิตโคตรจะประสบความสำเร็จแต่แกก็ผ่านอะไรมาไม่น้อย ในหนังสือเขียนไว้ว่าแรกเริ่มแกเป็นแค่พลทหาร แต่ทำผลงานดีเลิศมาตลอดจึงได้เลื่อนขั้นและได้รับที่ดินรกร้างพร้อมกับตำแหน่งบารอน ตรงนี้ผู้เขียนหนังสือได้วงเล็บไว้ด้วยว่าแกโดนพวกขุนนางเบื้องสูงเหม็นขี้หน้าไม่น้อยเลยได้ดินแดนที่อันตรายที่สุดในอาณาจักรเป็นรางวัล แต่หลังจากแกทำผลงานปราบมอนสเตอร์และพัฒนาที่ดินจนสร้างเมืองได้ใหญ่โต มีชาวบ้านอพยพมาอยู่อาศัยมากขึ้น ๆ แกก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเอิร์ลดูแลเมืองเล็กเมืองน้อยในแดนเหนือ

ส่วนชีวิตครอบครัวของแก แกพึ่งมีเมียตอนอายุ 40 กว่าที่โคตรจะสวย ในหนังสือเขาว่ามางั้นอ่านะ ถึงไม่มีรูปเมียแกแต่ผมก็คิดว่ามันจริง ไม่งั้นชาล็อตจะออกมาน่ารักขนาดนี้ได้ยังไง เพราะผมดูจากภาพสเก็ตลุงในหนังสือแล้วลูกลุงไม่น่าออกมาน่ารักขนาดนั้นได้เลยสักนิด หน้าแกแม่งโคตรเถื่อน

ผมนั่งอ่านได้พักหนึ่งก็ต้องลุกมายืดเส้นยืดสายแล้วค่อยกลับไปนั่งอ่านอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่มีแว่นตาสุดโกงของป้าบรรณารักษ์ช่วยให้อ่านไวขึ้น แต่คนไม่ถูกโรคกับหนังสืออย่างผม การนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาและหนักจนข้อมือแทบเคล็ดเป็นเวลานาน ก็พาให้ร่างกายเหมื่อยขบ เดินวนๆ รอบหนึ่งก็กลับมานั่งอ่านต่อเป็นเรื่องของแดนเหนือ

แดนเหนือมีเมืองอยู่ทั้งหมด 4 เมือง เมืองหลวงของแดนเหนือคือ ลินบอนแลนด์ เป็นเมืองที่อากาศหนาวเย็นหิมะตกเกือบตลอดปี รายได้หลักส่วนมากของเมืองมาจากการล่ามอนสเตอร์ และนอกจากลิมบอนแลนด์แล้ว ก็มีเมืองย่อยอยู่อีก 3 เมือง และหมู่บ้านอีก 9 หมู่บ้าน

ขุนนางผู้ดูแลแดนเหนือคือ เอิร์ล จอห์น วินเชสเตอร์ ทั้งที่เป็นเพียงขุนนางระดับเอิร์ลแต่กลับได้ดูแลเมืองใหญ่เป็นเพราะเขาคือผู้บุกเบิกและพัฒนาดินแดนทางเหนือจนกลายเป็นเมืองใหญ่ขึ้นมาอีกแห่ง ปกติแล้วจะประจำอยู่ที่ลิมบอนแลนด์เป็นหลัก

ระหว่างที่อ่านหนังสือเล่มนี้ผมก็กางแผนที่ของแฟรงกลินขึ้นมาดูประกอบด้วย ภาพในแผนที่นั่นแตกต่างกับแผนที่ใน Google Map มาก ถึงระดับความแป๊ะจะไม่เท่าแผนที่ของโลกเรา แต่นับว่าเข้าใจได้ง่ายแม้คนอ่านแผนที่ไม่เป็นก็ดูรู้เรื่อง ตรงจุดที่เป็นป่า ภูเขา แม่น้ำ และเมืองก็เป็นภาพวาดอย่างสวยงาม พอดูแผนที่เทียบกับหนังสือภูมิศาสตร์แล้วดูเหมือนรายละเอียดบางอย่างในแผนที่จะไม่มีเขียนไว้ในหนังสือ เป็นอย่างที่ชาล็อตบอกแผนที่ของแฟรงกลินละเอียดมาก นอกจากสถานที่และเส้นทางทั่ว ๆ ไปแล้วยังมีรายละเอียดชนิดมอนสเตอร์แต่ละจุด หัวกะโหลกเตือนสถานที่อันตราย ถ้ำ ดันเจี้ยน และอื่น ๆ หยิบย่อยอีกมากมาย

ปุ๊บปั๊บเวลาไลฟ์สตรีมก็ใกล้จะหมด ผมเอาแว่นไปคืนป้าบรรณารักษ์ ตั้งแต่ผมเริ่มอ่านเล่มแรกยันเล่มสุดท้ายเวลาปาเข้าไป 3 ชั่วโมงกว่า ค่าแว่นก็ปาไปเกือบหมื่น รวม ๆ แล้ววันนี้วันเดียวเสียไปเกือบ 3 หมื่นบาท จะบอกว่าเป็นหนี้ก้อนโตก็พูดไม่เต็มปาก คราวที่แล้วซื้อของเซเว่นมาขายงบไม่ถึงพัน ได้กลับไปเกือบหมื่น กลับไปผมก็คงต้องหอบของมาขายให้ชาล็อต แต่คราวนี้ผมคงไม่โลภจนแลกเป็นทองหมดให้ลำบากเหมือนเดิมแน่ ๆ

คนดูไลฟ์สตรีมวันนี้ก็เงียบกริบ ไม่สิ ในช่องแชทมีเกรียนมาพิมพ์ด่าอยู่สองสามประโยค แบบ ไลฟ์สตรีมอ่านหนังสือหาพ่องเหรอตั้ง 3 ชั่วโมง อะไรประมาณนี้ ผมก็ยอมรับแหละว่าน่าเบื่อจริง ก็เลยไม่ได้ด่ากลับไป ผมปั่นจักรยานกลับโรงแรม ไม่นานก็โดนวาร์ปกลับห้อง แล้ววันนี้ก็ผ่านไป

...................

ทางฝ่ายภาวินกลับโลกตัวเองไปแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปเนิบ ๆ ถึงกับได้ความรู้ประดับสมองไปเป็นกระบุง แต่ทางฝั่งจวนเจ้าเมือง 4 ชั่วโมงก่อนหน้านี้หลังจากภาวินเดินออกไป ผู้คนวิ่งกันวุ่นวายขั้นสุดกับการตามหาชายผู้เขียนแผนที่แดนเหนือที่มีชื่อว่า ‘แฟรงกลิน’

ณ ห้องทำงานใหญ่ภายในจวนเจ้าเมือง

“หาตัวเจอรึยังไรลี่ย์” ชาล็อตพูดขึ้นเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน บนโต๊ะมีแผนที่แดนเหนือของภาวินฉบับคัดลอกแบบหยาบ ๆ วางอยู่

“เมื่อสักครู่ทางกองอัศวินเจอตัวเขาแล้ว แต่โดนสลัดหลุดกลางคัน ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังโดนเราตามตัวอยู่ เขาดูระวังตัวแจเลย” ไรลี่ย์ตอบ

“ตอนนี้เราวางกำลังทหารตรวจเช็คประตูเมืองอย่างละเอียดทุกทางแล้ว อย่างที่คุณหนูบอกแค่ตรวจเช็คอย่างละเอียดไม่ได้ปิดประตูเมือง นอกจากนั้นยังวางกำลังคนเฝ้าด้านหน้าทางเข้าดันเจี้ยนซากโบราณสถานที่ล่มสลาย ขอแค่เมื่อไหร่ที่ชายคนนั้นโผล่มา เราก็รู้ได้ทันที”

“ดี ถ้ายังไม่เจออีกก็เปลี่ยนเวรทุก ๆ 4 ชั่วโมง ยังดีสถานการณ์ยังอยู่ในการควบคุมของเรา เขากำลังเก็บเศษชิ้นส่วนบอสลับอยู่ไม่นานก็ต้องโผล่มา” ชาล็อตกล่าว ใจจริงเธออย่างสั่งปิดประตูเมืองไปเลยแต่กลัวว่าผู้คนจะตื่นตระหนกและเสียขวัญ เมื่อวันก่อนก็พึ่งเกิดเรื่องวิหารเทพแห่งความมืดคนตายเป็นร้อย เธอไม่อยากให้เรื่องบานปลาย เธอแค่อยากพูดคุยกับเขาเลยส่งคนไปเชิญ เพียงแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีชนักติดหลังเลยพยายามหลบหน้าทหารกับอัศวินของเธอไปทั่วเมืองก็เท่านั้น นี่ก็ผ่านมา 4 ชั่วโมงแล้วพวกทหารยังหาตัวเขาไม่เจอ แต่ก็สมแล้วที่ชายคนนั้นเป็นถึงนักสำรวจระดับสูง

ตอนแรกเธอนึกว่ากำลังฝันไปด้วยซ้ำ ไม่น่าชื่อว่าท่านพ่อมดจะนำลาภก้อนใหญ่มาให้จริง ๆ ทุกครั้งที่ภาวินโผล่มาก็มักมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน แผนที่แดนเหนือที่ภาวินนำออกมาให้เธอดู มันไม่ใช่แผนที่ธรรมดาเลย แม้แต่แผนที่ความละเอียดสูงที่ท่านพ่อของเธอครอบครองก็ไม่ละเอียดเท่านี้ คนที่ทำมันออกมาได้ต้องเป็นนักสำรวจแรงค์ A ที่มีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยในทวีบตะวันตกแน่นอน

ถ้าเธอได้ตีสนิทด้วยต้องจะทำประโยชน์ให้กับแดนเหนือได้มหาศาลแน่ ๆ และโอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้มีมาบ่อย ๆ เธอจำต้องคว้าไว้ให้ได้ เห็นเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนี้ แต่เธอก็เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของวีรบุรุษแดนเหนือนะ

เพราะแบบนั้นทันทีที่เธอเห็นแผนที่ในมือท่านพ่อมด เธอก็รู้ทันทีว่ามันมีค่ามากมายแค่ไหน ณ ตอนนั้นแทนที่เธอจะอธิบายรายละเอียดงานที่ได้ไหว้วานไว้เมื่อวันก่อนกับท่านพ่อมด แผนก็ต้องถูกเปลี่ยนมาเป็นยกกระดาษข้อมูลที่เตรียมมาไปให้เขาศึกษาเอาเอง แถมยังขอแผนที่ให้เลขาไปคัดลอกแบบเร่งด่วน ถึงจะดูเสียมารยาทไปบ้างแต่ท่านพ่อมดก็ดูไม่ถือสาเอาความ ท่านภาช่างเป็นพ่อมดที่ใจดีจริง ๆ ต่างจากพ่อมดแม่มดคนอื่น ๆ ที่เธอเคยเจอลิบลับ

ระหว่างรอข่าวของแฟรงกลิน เธอก็ทำการวิเคราะห์แผนที่เบื้องหน้า ถึงฉับบคัดลอกเร่งด่วนจะไม่ละเอียดเท่าฉบับจริงในมือท่านพ่อมด แต่แค่นี้เธอก็นั่งวิเคราะห์ได้เป็นวันแล้ว ถ้ารายละเอียดตามแผนที่เป็นเรื่องจริงการป้องกันชายแดนจากการรุกรานของมอนสเตอร์ประจำปีก็ง่ายดายขึ้นมาก และนั่นย่อมหมายถึงอัตราการรอดชีวิตของเหล่าทหารที่เพิ่มมากขึ้น

นี่ยังไม่รวมถึงรายละเอียดจำพวกเหมืองแร่และแหล่งชุมนุมมอนสเตอร์ชนิดใหม่ที่เธอไม่เคยรู้

........................

ตอนบ่ายภาวินตื่นมาก็อาบน้ำแต่งตัวลงไปกินข้าว วันนี้เป็นวันแรกที่ผมต้องเริ่มตารางชีวิตใหม่ ในตารางกำหนดไว้ว่าช่วงบ่ายถึงก่อนเข้างาน ผมจะต้องฝึกฝนร่างกายเพื่อพร้อมรบกับอุปสรรคในต่างโลก เพราะฉะนั้นเมื่อกินข้าวร้านอาเฮียเจ้าประจำเสร็จ ผมก็ปั่นจักรยานไปท้ายซอย สถานที่ที่มีค่ายมวยขนาดเล็กตั้งอยู่ ผมจอดจักรยานไว้หน้าประตูเหล็กดัดแล้วเดินเข้ามาด้านใน

สิ่งแรกที่เห็นเด่นสะดุดตาเมื่อเดินเข้ามาเลยก็คือกระสอบทรายที่แขวนไว้บนขื่อเพดาน 2-3 อันถัดมาเป็นเวทีมวยขนาดเล็ก อุปกรณ์ฝึกถูกวางเก็บไว้เป็นระเบียบ มีคนอยู่เพียงไม่กี่คนในลานฝึก ก็นะ นี่มันยังไม่ใช่เวลาเลิกเรียน ถ้ามาเย็น ๆ ละก็ จะเห็นเด็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าพ่อแม่เดี๋ยวนี้กลัวลูกว่างเกินไปรึเปล่า จากที่ผมเคยคุยเล่นกับพวกเด็ก ๆ นอกจากไปโรงเรียนกับเรียนมวยแล้วมากกว่าครึ่งยังไปเรียนพิเศษเสริมต่อด้วยเรียนดนตรีและเรียนศิลปะ ฟังแล้วผมละเหนื่อยแทนเด็กยุคนี้จริง ๆ

ผมกล่าวทักทายคนอื่น ๆ ในลานฝึกระหว่างที่เดินผ่านไปด้านหลังลานฝึก ลึกเข้าไปด้านในจะเป็นตัวบ้านทรงไทยสมัยเก่าด้านบนทำจากไม้ด้านล่างเป็นปูน ดูก็รู้ว่าเป็นที่อยู่อาศัย แน่นอนว่ามาค่ายมวยก่อนจะทำอะไรก็ต้องมาไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ โดดซ้อมมาหลายวันไม่รู้วันนี้จะโดนอะไรบ้าง ถึงจะไม่ต้องมาทุกวันก็ได้แต่สำหรับผมที่มาทุกวันไม่เคยขาด หายไปถึง 3- 4 วันไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้คงทำให้แกเป็นห่วงน่าดู

ผมเดินเข้ามาในตัวบ้านที่เปิดประตูทิ้งไว้อย่างคุ้นเคย และยกมือไหว้ชายวัยกลางคนที่นั่งเอกเขนกดูทีวีอยู่บนโซฟาเก่า ๆ ที่ผุจนฟองน้ำทะลัก “สวัสดีครับครู”

ชายคนนั้นคือครูมวยผู้สอนวิชามวยไทยฉบับดั้งเดิมให้ภาวินนั่นเอง เขาเป็นชายหนุ่มผิวสีแทนหน้าตาบ้าน ๆ ตามแบบฉบับชาวไทยแท้ ๆ อายุปาเข้าไป 50 ตอนปลายแต่ร่างกายยังฟิตปั๋ง และแตะกระสอบทรายดังปัก ๆ อยู่เลย

“ไอ้ภา! ในที่สุดก็มานะเอ็ง ข้านึกว่าเอ็งโดนฆ่าหมกศพในวันเกิดไปแล้ว ไอ้ฉิบหายนี่ หายไปไม่บอกไม่กล่าว” ชายวัยกลางคนดีดตัวขึ้นมาจากโซฟาพร้อมรีโมทในมือเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาหา

ภาวินเรียนมวยอยู่ในค่ายนี้มานานเกือบจะ 10 ปีแล้วตั้งแต่เริ่มคิดจะทำตามพี่โทนี่ จา เมื่อได้ตั้งปณิธานแล้วในวันนั้นภาวินก็เดินทางมาสมัครเลยทันทีไม่มีรีรอ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเจ้าหนูภาวินสมัย ม.สาม ยังตัวผอมแห้งเก้งก้าง และอายุเลยวัยฝึกมวยที่ดีไปนานแล้ว แต่ครูแกก็รับไว้เนื่องจากเห็นถึงความตั้งใจแน่วแน่ของภาวิน

ถึงเดือนแรกเจ้าหนูภาวินจะเบี้ยวค่าเรียน เพราะไม่ได้บอกที่บ้านว่ามาสมัครเรียนมวย ทำไงได้ล่ะถึงบอกไปที่บ้านต้องไม่ให้เรียนแน่ ๆ สมัยนั้นผู้ปกครองคิดว่ามวยมันอันตรายไม่เหมือนสมัยนี้ ที่ผู้ปกครองคิดว่ามันเป็นศาสตร์ต้องกันตัว แต่เรื่องค่าเรียนครูทศก็ไม่คิดมาก เพราะชีวิตปกติครูแกก็อยู่อย่างพอมีพอกิน ด้านหลังบ้านก็มีที่ปลูกผักสวนครัวเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไปวัน ๆ และภาวินอยู่มานานจนรู้ว่า ที่ครูแกเปิดค่ายมวยเพราะอยากสานต่อศิลปะแม่ไม้มวยไทยให้คงอยู่สืบไป

แกชอบบ่นว่าสมัยนี้หาคนเรียนมวยแบบจริง ๆ จัง ๆ อยาก นอกจากผมแล้วยังมีรุ่นพี่ผมอีก 2 คนเท่านั้นที่เรียนวิชามวยไทยคาดเชือกจากแก ส่วนพวกเด็กวัยประถมในค่ายก็เรียนมวยสากลธรรมดามีวิชาไว้ป้องกันตัวนิดหน่อยกับท่ารำโชว์หน้าเวทีให้เหล่าผู้ปกครองได้ชื่นใจ แหมถ้าทำลูกเขาตาเขียวเพราะเรียนมวยจริงจังค่ายนี้คงโดนลงโซเชียลว่อนเน็ตแน่ สมัยนี้ทำอะไรก็ต้องระวังขนาดครูลงโทษเด็กโดยการตีก้นในห้องยังเป็นข่าวได้เลย

“โธ่ ผมมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” ผมกล่าวแบบขอโทษขอโพย

“เอ็งนิทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่เป็นห่วง จะลาก็โทรมาบอกหน่อยสิวะ นี่อะไรหายเงียบ”ครูทศถลึงตาใส่ กล่าวเสียงดุ

“โทษครับครูทศ” ผมกล่าว

“เฮ้อออเอ็งนิ เอ่อ ๆ ว่าแต่วันนี้มีอะไรล่ะมาตั้งแต่บ่ายสอง ปกติเอ็งจะมาเย็น ๆ นี่คงไม่ใช่มาขอโทษข้าอย่างเดียวใช่ไหม” ครูทศถอนหายใจเบา ๆ และถามกลับมาอย่างรู้ทัน

"คือผม...อยากจะขอเรียนมวยของจริง พวกท่าอันตรายที่ครูเลยพูดถึง"ผมพูดออกมาเสียงเบาแบบกล้า ๆ กลัว ๆ

"ห๊าาา เอ็งว่าอะไรนะ ไอ้ภาอีกทีซิ"ครูทดเหมือนจะไม่เชื่อหูตัวเอง เขายกนิ้วก้อยขึ้นแคะหูรอฟังลูกศิษย์ตัวเองอีกรอบ

รอบนี้ผมพูดเสียงดังฟังชัด อกผายไหล่ผึ่งแต่ดันหลับตาปี๋ เตรียมตัวโดนด่าเต็มที่ "ผมอยากจะขอเรียนมวยของจริง แบบที่ใช้สู้จริงได้ครับ!" จบคำครูทศที่ได้ยินแบบชัดแจ๋วถึงกับปล่อยรีโมทในมือร่วงลงพื้นจนถ่านกระจาย

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด