ตอนที่แล้วตอนที่ 19 น้ำตาที่ไม่มีทางเหือดแห้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 21 ฝากด้วยนะ

ตอนที่ 20 ความหมายที่แท้จริง


 

ตอนที่ 20 ความหมายที่แท้จริง

 

        ประตูที่ปิดกระแทกไปอย่างรุนแรงสร้างเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณ ฟอแกนด์พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามตั้งสติเมื่อรู้ตัวว่าเผลอปล่อยความหงุดหงิดออกมา เมื่อยังคว้าน้ำเหลวอีกครั้งจากการสอบปากคำคนร้าย

หญิงสาวผู้ใช้พลังวิญญาณสร้างโคลนยังคงเงียบไม่ปริปากพูดอะไร แม้จะสืบทราบได้ว่าชื่อจริงและอาชีพของเธอเป็นใครแล้วก็ตาม แต่ดูตามข้อมูลที่ขาวสะอาดดีไม่มีประวัติอาชญากรรมแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ผู้หญิงคนนี้เชื่อมโยงถึงเจ้าหญิงเฌอรีนที่เป็นต้นตอพลังเลยแม้แต่น้อย ช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่เป็นปัญหานั้นหญิงสาวซึ่งมีอาชีพเป็นนางแบบทำงานอยู่อีกประเทศที่ห่างออกไปด้วยซ้ำ

และแม้จะขู่สารพัด แต่ราวกับความลับทุกเรื่องในโลกวิญญาณที่เธอมีส่วนเกี่ยวข้องนั้นจะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า

ดูท่า...ต้นตอของการเกิดพลังนี้ดูจะลึกลับซับซ้อนกว่าที่คาดการณ์กันไว้ คงต้องรอข้อมูลจากวันนัดเข้าพบเจ้าหญิงเฌอรีนจริงๆ

 

เสียงเคาะประตูห้องนอนของเคนเซย์ดังขึ้นในยามเช้าจากผู้ที่เป็นเจ้าของห้องเสียเอง แล้วก็เป็นพาเทลพ่อของเฟย์นะที่เดินมาเปิดรับ

“เมื่อเช้านี้ผมเห็นว่าสั่งข้าวต้มกับทางโรงครัวไปสองที่ เฟย์นะตื่นแล้วสินะครับ”

เคนเซย์ถามขึ้นที่หน้าประตูโดยไม่ได้ก้าวเข้าไป

“ตื่นแล้วล่ะ ดูเหมือนจะเริ่มทานอะไรได้บ้างแล้ว เธอทานข้าวต้มไปแล้วครึ่งถ้วยน่าจะได้”

พาเทลตอบพร้อมกับเปิดประตูออกกว้างให้เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่บนฟูกนอน เธอกำลังหันไปวางแก้วน้ำที่ดื่มเสร็จไว้ข้างตัว

“ขอขออนุญาตตรวจอาการอีกสักครั้งนะครับ”

หนนี้เป็นเสียงจากชายวัยกลางคนสวมแว่นท่าทางใจดีคนหนึ่ง ด้านหลังของเขายังมีผู้หญิงอีกคนที่อยู่ในชุดกิโมโนสีเข้มแบบเรียบๆ แต่ให้ความรู้สึกหรูหรา ผมยาวที่เป็นสีดำเช่นเดียวกับเคนเซย์ถูกรวบไว้ง่ายๆ อย่างเรียบร้อย ดูอายุยังไม่มากขนาดจะมีลูกชายโตขนาดนี้ได้เลย

ทั้งสามคนเดินเข้าไปภายในห้องนอน แล้วก็เป็นเคนเซย์คนเดิมที่จัดหาเบาะนั่งสำหรับทุกคนก่อนจะเริ่มคุย

“เฟย์นะ แพทย์วิญญาณคนนี้คือคุณอาของฉันเอง ส่วนทางนี้คือท่านแม่”

เคนเซย์แนะนำทุกคนให้เฟย์นะได้รู้จัก ส่วนพาเทลที่อยู่มาหลายวันจึงได้รู้จักทุกคนอยู่ก่อนแล้ว เฟย์นะเปลี่ยนท่าจากนั่งเหยียดขาใต้ผ้าห่มเป็นนั่งเก็บขาให้เรียบร้อย ก่อนจะค้อมตัวลงคำนับทุกคนเป็นการทำความเคารพ แม้จะข้องใจกับสรรพนามที่เรียกอาว่าคุณ เรียกแม่ว่าท่านอยู่บ้างก็ตาม

“ขอบคุณที่ดูแลหนูกับคุณพ่อเป็นอย่างดีนะคะ”

หญิงสาวกล่าวกับทุกคน ผู้ใหญ่ที่มาใหม่ทั้งสองยิ้มรับก่อนที่จะเริ่มขออนุญาตตรวจอาการ คุณอาแพทย์วิญญาณใช้เพียงฝ่าแตะที่ข้อมือของเฟย์นะเล็กน้อยก่อนจะหลับตาลง ใช้เวลาเพียงไม่นานหลังจากนั้นทุกอย่างก็เสร็จสิ้น

“สภาพวิญญาณปกติดีแล้วครับ ไม่เหลือร่องรอยของพลังวิญญาณสีดำแล้ว”

พ่อของเฟย์นะ กับนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลยูคิฮารุยิ้มออกมาเมื่อได้ยิน เคนเซย์ก็ถอนใจราวกับโล่งอกได้เสียที

“ค่อยยังชั่วแล้วนะคะโล่งอกกันได้เสียที นอกจากนี้แล้วยังไม่สบายตรงไหนเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่าจ๊ะ หนูเฟย์นะ”

หนนี้เป็นท่านแม่ของเคนเซย์ที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี

“คิดว่าไม่เป็นไรแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่นา”

คำพูดนี้ทำเอาทั้งห้องเงียบกริบขึ้นมาชั่วขณะ คุณอาแพทย์วิญญาณทำท่าไอกระแอมขึ้นมาเบาๆ มีเพียงเฟย์นะที่ขมวดคิ้วอย่างงุนงง

“ท่านแม่...เธอยังไม่รู้” เคนเซย์หันไปกระซิบบอกกับแม่ของตัวเองเบาๆ

“เอาล่ะ จะรู้ตอนไหนแต่สุดท้ายก็ต้องรู้อยู่ดีแหละจ้ะ จะให้แม่บอกเองหรือลูกจะบอกล่ะ หรือคุณพาเทลอยากจะบอกเฟย์นะเองคะ”

ชายหนุ่มสองคนต่างวัยรู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อยกับข้อเสนอสายฟ้าแลบนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีใครคนหนึ่งที่ต้องบอกเฟย์นะอยู่ดี

“ทุกคนช่วยออกไปก่อนได้มั้ยครับ ผมจะบอกเธอเอง”

เคนเซย์เอ่ยขึ้นในที่สุด เขาไม่แน่ใจว่าหากให้ท่านแม่เป็นคนบอก ข้อความที่มีความจริงอยู่เป็นห้าจะเพิ่มเป็นเจ็ดแปดเก้าสิบหรือไม่ และถ้าให้คุณพาเทลบอกเองมันก็คงจะไม่ครบตามความจริงเหมือนกัน ดังนั้นเขาควรบอกเธอเองนั่นแหละคงจะดีที่สุด

พาเทลลูบหัวลูกสาวเบาๆ ก่อนที่ผู้ใหญ่ทั้งสามจะลุกขึ้นเดินออกประตูไป ในขณะที่เฟย์นะได้แต่ทำสีงุนงง

“ยังมีเรื่องร้ายแรงอะไรมากกว่าเมื่อคืนนี้อีกเหรอ”

หญิงสาวถามขึ้นอย่างกังวล เคนเซย์ยังไม่ตอบอะไร เขาเคลื่อนตัวมานั่งบนเบาะของคุณอาที่นั่งอยู่เมื่อสักครู่ซึ่งเป็นที่นั่งที่อยู่ใกล้เฟย์นะที่สุด ชายหนุ่มมองหน้าสบตาของเธออย่างจริงจัง

และแววตานั้นก็ทำเอาหญิงสาวรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

“ในตอนที่เกิดเรื่อง กองปราบวิญญาณไม่มีหนทางรับมือกับพลังวิญญาณสีดำที่พุ่งออกจากตัวเธอเลย เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ลองใช้คาถาไล่วิญญาณแล้วแต่ก็ใช้ไม่ได้เพราะเธอไม่ได้ถูกสิง พลังพวกนั้นเป็นพลังวิญญาณของเธอจริงๆ และมันก็เริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดผลกระทบกับผู้คนโดยรอบแล้ว จนท้าย...เราได้รับคำสั่งให้วิสามัญฆาตกรรมเพื่อหยุดพลังของเธอให้ได้”

สีหน้าเฟย์นะบ่งบอกถึงความตื่นตระหนก แต่หญิงสาวก็ไม่ได้ร้องตกใจหรือพูดอะไรออกมาขัดการเล่าออกมา

“แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น ฉันก็เลยทำพิธีชำระวิญญาณให้กับเธอ...”

“พิธีที่นายบอกเมื่อคืนนั่นใช่มั้ย”

หญิงสาวถามทวนกลับอย่างติดตามเรื่องราว เคนเซย์พยักหน้ารับ

“ใช่ พิธีชำระวิญญาณ คือคาถาที่แรงที่สุดที่จะช่วยล้างขจัดวิญญาณร้ายและสิ่งไม่ดีทั้งหมดออกไปจากวิญญาณ แต่ว่าในชั่วชีวิตของนักปราบวิญญาณคนหนึ่ง เราจะสามารถทำพิธีชำระวิญญาณได้เพียงครั้งเดียว กับคนๆ เดียวเท่านั้น”

เฟย์นะจ้องหน้าเคนเซย์อย่างตกตะลึง... นั่นคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสินะ บรรยากาศเมื่อครู่ทุกคนถึงได้ดูจริงจังกันขนาดนี้ เพราะเคนเซย์มาทำพิธีนั่นให้กับเธอไปแล้ว

“นอกจากจะชำระล้างวิญญาณแล้ว พลังวิญญาณของฉันส่วนหนึ่งจะเข้าไปปรุงแต่งวิญญาณของเธอใหม่ หากคนที่ได้รับการทำพิธีนี้เป็นคนธรรมดาก็จะปะทุพลังวิญญาณเป็นนักปราบวิญญาณเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเธอถึงได้เริ่มมองเห็นวิญญาณ มองเห็นทิมได้”

“เอ่อ...หมายถึงว่าฉันจะมีพลังอะไรสักอย่างเหมือนพวกนายน่ะเหรอ”

“พลังวิญญาณมีหลายสาย แต่ส่วนมากคนที่ปะทุพลังจากพิธีนี้ก็จะมีพลังสายเดียวกับคนที่ทำพิธีให้ พลังวิญญาณของตระกูลเราเป็นรูปแบบสายหลัก แปรพลังวิญญาณเป็นอาวุธสักอย่างแล้วใช้อาวุธนั้นกำจัดวิญญาณร้าย มันก็เหมือนสิ่งที่เรากำลังเรียนตั้งใจจะเป็นในอนาคตนั่นแหละ แค่เปลี่ยนจากไล่จับคนร้ายเป็นไล่จับผีร้ายเท่านั้นเอง”

“ฉันเอง...เอ่อ คือต่อจากนี้ไปฉันก็ต้องไปทำงานเหมือนนายงั้นเหรอ”

“ไม่มีการบังคับแบบนั้นหรอก มันก็เหมือนอาชีพประเภทหนึ่งนั่นแหละขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเราว่าอยากจะทำงานนั้นหรือเปล่า ท่านแม่เองเมื่อก่อนก็เป็นคนธรรมดา ถึงจะปะทุพลังวิญญาณเพราะพ่อทำพิธีให้แล้วแต่ก็ไม่ได้ออกไปทำงานอะไรแบบนั้น อยู่บ้านเป็นแม่บ้านปกติทั่วไป”

เฟย์นะก้มลงจ้องมองมือของตัวเอง เธอยังนึกภาพตามที่เคนเซย์พูดมาไม่ออกเท่าไร ในตอนนั้นเองเคนเซย์ที่เหมือนเข้าใจอาการของหญิงสาวได้ เขาจึงยื่นมือออกมาตรงหน้าแล้วเรียกดาบวิญญาณของตัวเองออกมา

การปรากฏของดาบเล่มยาวแบบปุบปับสร้างความตื่นตาให้หญิงสาวอย่างที่สุด

“ทุกคนในสายพลังนี้จะมีอาวุธวิญญาณของตัวเองตามความถนัด เดี๋ยวอีกหน่อยเธอก็จะทำแบบนี้ได้เหมือนกัน”

“...พอเข้าใจแล้ว แล้วก็ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องทำพิธีนั่นให้ฉัน”

เคนเซย์เก็บอาวุธวิญญาณกลับไป เขากำมือเข้าแน่นก่อนจะต้องบอกความจริงอีกเรื่อง

“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษเธอ ปกติพิธีชำระวิญญาณยังหมายถึงการผูกวิญญาณของคนสองคนเข้าด้วยกัน และเพราะมันใช้ได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต คนส่วนมากก็เลยร่ายคาถานี้กับบุคคลสำคัญที่สุด และเพราะอย่างนั้น...”

เฟย์นะอ้าปากค้าง นึกย้อนไปถึงคำว่า ‘เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว’ ของท่านแม่ของเขาเมื่อครู่แล้วมันก็ทำให้นึกถึงบางอย่าง อย่าบอกนะว่านั่นมัน...

“ที่จริงแล้วมันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่พวกนักปราบวิญญาณใช้การทำพิธีนั้นเอ่ยคำสัตย์สาบานในพิธีแต่งงาน...”

หญิงสาวช็อกจนลืมหายใจ นานทีเดียวกว่าที่เธอจะกลับมามีปฏิกิริยาขยับปากพูดได้อีกครั้ง

“แต่ตอนนั้นเป็นกรณีฉุกเฉิน นายทำเพราะช่วยชีวิตฉัน แบบนั้นก็นับด้วยเหรอ”

“ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไร แต่ความจริงที่ว่าฉันทำพิธีนั้นให้เธอไปแล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในสังคมโลกวิญญาณตอนนี้เรา...แต่งงานกันแล้ว”

น้ำตาของเฟย์นะไหลหยดลงมา แม้เธอจะไม่ได้สะอึกสะอื้นแต่ก็ห้ามให้น้ำตาหยุดไหลไม่ได้ เฟย์นะยังคงพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ เธอพยายามเรียบเรียงไล่หาเหตุผลคำพูดต่างๆ เพื่อที่จะมาปฏิเสธสิ่งนั้น

“ตะ...แต่ว่า ที่นายทำเพราะสถานการณ์คับขัน ใครจะว่ายังไงก็ตามแต่นายก็ไม่ต้องจำเป็นต้องแต่งงานกับฉันก็ได้นี่นา ถ้านายรักคนอื่นนายก็แต่งงานกับเธอคนนั้นก็ได้ ฉันไม่มีปัญหาอะไรไม่ว่าอะไรสักคำแน่นอน”

เคนเซย์คิดไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องโดนปฏิเสธ แต่พอมาได้ยินเข้าจริงๆ แล้ว มันก็เจ็บปวดจนบรรยายไม่ถูกเลย

“ตระกูลยูคิฮารุเป็นตระกูลเก่าแก่ของโลกวิญญาณ เป็นตระกูลที่มีนักปราบวิญญาณคนแรกของโลก พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดจะสืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คนตระกูลของฉันจะทำพิธีนี้กับคนที่แต่งงานด้วยเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งที่การันตีได้ว่าจะทำให้เด็กที่จะเกิดออกมานั้นมีพลังของวิญญาณตามสายตระกูลอย่างแน่นอน ที่ทางบ้านของฉันต้องจริงจังก็เพราะฉันเป็นลูกชายคนเดียว เป็นคนที่จะต้องเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป...”

เฟย์นะนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง เธอติดตามเรื่องราวได้ทัน เข้าใจทุกอย่างที่เคนเซย์พูดมา หากว่ากันตามเหตุผลแล้วเธอก็พอเข้าใจได้ แต่หากมองในมุมมองส่วนตัวแล้ว ตอนทำพิธีนั่น... เธอไม่ได้ยินยอม ไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรเลยด้วยซ้ำ!

“ทำไม...” หญิงสาวพูดออกมาในที่สุด “ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันตายไปซะ ทำไมนายต้องช่วยฉันขนาดนั้น นายเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าพิธีนั่นสำคัญต่อนายมากแค่ไหนแล้วเอามาใช้ชุ่ยๆ แบบนี้ได้ยังไง!”

หญิงสาวตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธ ก่อนที่หยดน้ำตาจะเอ่อคลอไหลออกมาอีกละรอก ทิมก็ตายไปเพราะพยายามช่วยเธอ แล้วถ้าเธอยังรอดมาเพื่อพรากสิ่งสำคัญจากคนคนไปอีกแบบนี้ ก็สู้ให้เธอตายตามทิมไปคงจะดีซะกว่า

เคนเซย์สบสายตานั้นกลับอย่างนิ่งสงบ ทุกอย่างไม่ผิดไปจากที่เขานึกภาพไว้เลย

“เธออาจคิดว่าฉันทำแบบนั้นเพราะเพื่อช่วยชีวิตเธอ ถึงนั่นจะเป็นความจริงแต่ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอกนะ ไม่มีใครบังคับฉันได้ ไม่ได้มีใครบอกให้ฉันทำพิธีนั้น ถึงตอนนั้นเธอจะถูกวิสามัญฆาตกรรมไปจริงๆ ฉันหรือใครๆ ก็คงไม่ถูกตำหนิเพราะมันเป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ แต่ว่า...”

เคนเซย์กำมือตัวเองเข้าแน่น หยุดพักสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า มันไม่ง่ายสำหรับเขาเลยที่จะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ในสถานการณ์อย่างนี้

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาเพราะเธอมีแค่ทิม เธอก็เลยมองไม่เห็นว่าใครคนอื่นคิดยังไงบ้าง ทุกอย่างมันคงไม่เกิดขึ้นถ้าฉันเห็นเธอเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นธรรมดาคนหนึ่ง เฟย์นะ... เพราะฉันรู้ดีต่างหาก รู้ดีแก่ใจว่าพิธีนี้สำคัญมากแค่ไหน ฉันถึงได้ทำพิธีนี้ให้กับเธอ”

สิ่งต่างๆ ที่ได้รับรู้เริ่มมากเกินกว่าหญิงสาวจะรับมันได้ไหวอีกต่อไปแล้ว แม้ไม่ได้มีคำพูดสารภาพอะไรออกมาตรงๆ แต่ฟังแค่นี้ก็รู้แล้วว่าคำพูดของเคนเซย์มีความหมายยังไง เป็นอีกครั้งที่เฟย์นะแน่นิ่งไป และครั้งนี้ดูจะหนักหนาสาหัสกว่าครั้งที่ผ่านมา

“แต่ฉัน......” หญิงสาวพยายามหาทางตอบอะไรสักอย่างออกไป

“ฉันรู้...” เคนเซย์ถอนใจก่อนจะพูดต่อ “ฉันรู้ดีว่าเธอกับทิมรักกันแค่ไหน ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจอะไรตอนนี้ เธอมีเวลาเท่าที่ต้องการ จะหนึ่งปีห้าปีสิบปีหรือจะยี่สิบปีให้มากเท่ากับที่เธอรู้จักทิมมาก็ตาม เฟย์นะ... ฉันจะรอ”

พูดจบเคนเซย์ก็ลุกขึ้นและเดินออกจากประตูไปทันที คุณอาและท่านแม่ของเขามองตามหลังลูกชายไปแล้วหันกลับไปมองด้านใน ตอนนี้คงต้องให้เวลาสำหรับว่าที่สะใภ้ของตระกูลได้ทำใจจริงๆ

พาเทลเดินเข้าในห้องนอนเมื่อล่ำลากับญาติผู้ใหญ่ของว่าที่ลูกเขยจำเป็นเสร็จเรียบร้อย

“เฟย์นะ”

ผู้เป็นพ่อเดินมานั่งลงบนฟูกที่นอน ก่อนจะโอบลูกสาวเข้ามากอดไว้เมื่อเฟย์นะกลั้นเสียงร้องไห้ไม่ได้อีกต่อไป

“หนูจะทำยังไงดี ทิม... ทิมเพิ่งตายไปแล้วหนูจะมีหน้าไปแต่งงานกับคนอื่นได้ยังไง หนูจะมองหน้าพ่อแม่ของเขาได้ยังไง เขาตายเพราะช่วยหนู แล้วหนูจะทำแบบนั้นได้ยังไง!”

พาเทลน้ำตาซึมเมื่อได้ยินอย่างนั้น ทั้งเขาทั้งครอบครัวของทิมต่างก็วาดฝันกันมานานแล้วว่าสักวันคงได้เห็นวันที่ทั้งคู่สมหวังและได้อุ้มหลานที่จะเกิดขึ้นจากเด็กสองคนนี้ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เขาเองก็เอ็นดูทิมเหมือนลูกชายคนหนึ่ง เขาเสียใจและใจหายไม่น้อยไปกว่าใคร แต่ว่า...

แต่มันอาจเป็นความเห็นแก่ตัวของพ่อคนหนึ่ง เขารู้สึกขอบคุณคุณชายตระกูลยูคิฮารุอย่างสุดซึ้งที่ทำพิธีอะไรนั่นเพื่อช่วยลูกสาวของเขาไว้ เฟย์นะรอดพ้นจากความตาย มิหนำซ้ำยังรอดพ้นจากการเป็นฆาตกรฆ่าคนตายที่อาจทำให้เธอไม่อาจมีชีวิตอยู่เป็นปกติได้อีกเลยถ้าฟื้นขึ้นมาพบความจริง

“เข้มแข็งไว้นะลูกนะ ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดไปก็ได้ ทางบ้านนี้ก็ดูจะไม่ได้เร่งรัดอะไรเรานี่นา นะลูกนะ สิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือกินข้าวเยอะๆ พักฟื้นให้แข็งแรงดีเหมือนเดิม จากนั้นแล้วค่อยว่ากัน”

 

เวลาดำเนินไปให้ค่ำคืนผ่านเข้ามาอีกครั้ง เคนเซย์พลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบแต่ก็นอนไม่หลับ สุดท้ายชายหนุ่มก็ยอมแพ้จนลุกขึ้นจากที่นอน

บ้านของตระกูลยูคิฮารุเป็นคฤหาสน์แบบโบราณคล้ายกับของตระกูลชามันด์ สิ่งปลูกสร้างทำจากไม้ทั้งหลังและมีเพียงชั้นเดียว โซนห้องต่างๆ ถูกแยกออกจากกันด้วยระเบียงไม้ทางเดินขนาดยาว และรอบข้างระเบียงทางเดินโดยรอบเหล่านั้นก็เป็นสวนสวย มีบ่อน้ำใสสะอาดเลี้ยงปลาสวยงาม

จุดหมายปลายทางที่เขาเดินออกจากห้องไปไม่ใช่ห้องนอนของตัวเองที่เฟย์นะกับพ่อของเธอนอนอยู่ แต่เป็นห้องที่เก็บรวบรวมป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษ ซึ่งเขาทำป้ายสถิตวิญญาณชั่วคราวให้ทิมได้เข้าไปพักผ่อนในนั้น

ทิมปรากฏร่างวิญญาณออกมา เคนเซย์เองก็เปลี่ยนโหมดนำร่างเข้ามิติของวิญญาณเพื่อที่ทั้งสองจะได้สามารถพูดคุยกันรู้เรื่อง ทิมเดินทะลุผนังออกไปยังระเบียงไม้ทางเดินนอกห้อง เคนเซย์จึงเปิดประตูตามออกไป ทั้งสองนั่งหย่อนขาลงนั่งคุยกันที่ข้างสวนหย่อมท่ามกลางอากาศที่เริ่มหนาวเย็น

“เฟย์นะเป็นยังไงบ้าง”

ทิมถามขึ้นในทันที แม้จะเหม็นเบื่อความรักของแฟนคู่นี้เหลือเกินแต่เคนเซย์ตอบก็ทุกอย่างออกไปตามตรง

“เธอรู้เรื่องทุกอย่างที่ควรรู้แล้ว ที่เหลือก็รอดูว่าเธอจะตัดสินใจยังไง”

“เฟย์นะจะต้องมีลูกให้นายจริงๆ ใช่มั้ย”

ชายหนุ่มผู้เป็นคนนิ่งเงียบไป จนท้ายก็ถอนใจแล้วพูดไปตามที่คิด

“ฉันจะไม่บังคับให้เธอทำแบบนั้น ไม่บังคับหรือขอร้องอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เธอก็แค่กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม”

“แล้วตระกูลนายจะไม่เป็นไรรึไง”

“ฉันยังมีน้องสาว ลูกพี่ลูกน้องน่ะเป็นลูกสาวของคุณอา ก็แค่ยกทุกอย่างไปให้ยัยตัวแสบนั่นจัดการต่อ”

ชายหนุ่มผู้เป็นวิญญาณได้แต่หันไปมองคนข้างๆ ก่อนจะขำออกมา

“ฉันเคยคิดอยู่หลายครั้งเหมือนกันนะว่า ถ้าเราไม่ได้ชอบผู้หญิงคนเดียวกัน เราคงเข้ากันได้ดีจนเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ ไปแล้ว”

“ไม่มีทาง เพราะต่อให้เป็นเพื่อนกันก่อนมาเจอเฟย์นะทั้งคู่ เราก็คงชอบผู้หญิงคนเดียวกันอีกนั่นแหละ”

ทิมหัวเราะมากขึ้นกว่าเดิม

“ขอบคุณที่ช่วยเฟย์นะ อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันตายเปล่า”

“เลิกขอบคุณซะทีเหอะ ฟังแต่ละทีเหมือนโดนมีดแทงทีละแผล”

“เสียใจที่ทำแบบนั้นรึไง”

“ไม่เลย เฮ้อ...ช่างเถอะ ว่าแต่สภาพวิญญาณนายดูเห็นชัดเจนขึ้นนะ อดทนอยู่ในนี้ไปก่อนก็แล้วกัน เฟย์นะฝึกเปลี่ยนโหมดพลังได้เมื่อไหร่พวกนายคงคุยกันได้แล้ว”

“เคนเซย์ ไอ้คนที่ทำร้ายพวกเรา นายรู้มั้ยว่ามันเป็นใคร...”

เคนเซย์เหลือบไปมองเพื่อนร่วมสายชั้น ทั้งน้ำเสียงแววตาท่าทางและสถานการณ์ความแค้นแบบนี้ ทิมอยู่ในจุดที่น่าเป็นห่วงแล้วจริงๆ

“ตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ชัด แต่ถึงรู้ฉันก็ไม่บอกนาย”

“ทำไม”

“วิญญาณที่อยากแก้แค้นแบบนายนั่นแหละที่จะกลายเป็นดิคเคนส์ในที่สุด ฉันไม่อยากจะต้องมาฟันนายทิ้งทีหลังอีกรอบหรอกนะ ปล่อยวางเถอะ เชื่อฉัน...ต่อให้ไม่มีเรื่องพวกนายไอ้บ้านั่นเป็นศัตรูตัวร้ายของกองปราบวิญญาณที่เราต้องจับให้ได้อยู่แล้ว ฉันสัญญาว่าจะแก้แค้นแทนพวกนายให้เอง...”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด