ตอนที่แล้วบทที่ 20 เธออยากได้แบบไหนล่ะ?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 22 ค่ายมวย

บทที่ 21 คะแนนพิศวาส


บทที่ 21 คะแนนพิศวาส

ภาวินทำหน้าจริงจังสุดชีวิตและกล่าวออกไปเสียงเข้มว่า “แปะไว้ก่อนได้ไหมป้า”

หลังจบคำผมก็ได้รับรอยยิ้มหวานหยดจากคู่สนทนา พร้อมกับที่เธอยกมือขึ้นเหยียดนิ้วชี้ไปทางประตูห้องสมุด “ถ้าไม่มีเงินก็ออกไปย่ะ”

“เฮ้ ๆ นี่ป้าจะไม่ไหว้หน้าท่านเจ้าเมืองสักหน่อยเหรอ ผมทำเควสให้เธออยู่นะ ผมไหว้ล่ะ ให้ผมแปะโป้งค่าเรียนแบบที่ 3 เถอะ พรุ่งนี้ผมจะหาเงินมาจ่ายให้ ตอนนี้ทั้งตัวผมมีเงินอยู่แค่ 370 coin เอง” ผมพยายามอ้อนวอนเธอ พร้อมโชว์สัญลักษณ์คนของเจ้าเมืองให้เธอดู ที่จริงจะจ้างคนอื่นอ่านก็ง่ายแต่ชาล็อตดันบอกว่ามันเป็นข้อมูลลับห้ามแพร่งพราย

“หืม...เจ้าเมืองคนใหม่ส่งเจ้ามาเรียนหนังสือ?” ป้าบรรณารักษ์หรี่ตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพยักหน้าให้อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก “เอางั้นก็ได้ ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าเมืองมอบเควสให้พวกไร้การศึกษาทำไมก็เถอะ”

ลับหลังเธอที่ก้มลงไปหาอาร์ติแฟคผมก็ส่ายหัวออกมาอย่างหน่าย ๆ

หน้าตาก็ออกจะใจดีแท้ ๆ ดันเป็นพวกเหยียดชาวบ้านสะงั้น

คุ้ยหาอยู่ไม่นานป้าบรรณารักษ์ก็ยื่นส่งม้วนคัมภีร์สีสีน้ำตาลอันเล็ก ๆ ให้ผม “เอานี่! ถ้าเจ้าไม่จ่ายภายใน 3 วันข้าจะส่งบิลไปเก็บกับเจ้าเมือง”

“ครับ ๆ เข้าใจแล้วคร้าบ” ผมรับปากแบบขอไปที พร้อมเอื้อมมือไปรับมันมาแกะและเปิดออก ทันใดนั้นแสงสว่างก็วาปขึ้นมาจนผมตาพร่า พอลืมตาขึ้นมาอีกทีโลกทั้งใบก็เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ประหลาดเต็มไปหมด ผมพอจะจำบางตัวได้ คือตัวอักษร F-S ที่พนักงานกิลแนะนำให้จำเวลารับภารกิจ เผื่อที่คนอ่านหนังสือไม่ออกแบบผมจะได้แยกใบภารกิจออก เลยพอจะเดาได้ว่าพวกสัญลักษณ์แปลก ๆ ทั้งหมดนี่คือภาษากลางของโลกใบนี้

พอรู้แล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ไม่นึกเลยว่าแค่เปิดคำภีร์อันเล็กนิดเดียวจะถูกวาร์ปมาอยู่ในสถานที่ที่มีตัวอักษรลอยอยู่กลางอากาศแบบนี้ ผมกวาดตามมองไปรอบ ๆ นานเข้าก็สังเกตเห็นว่าสัญลักษณ์พวกนั้นบางทีพวกมันก็มีเพียงตัวเดียวบางทีพวกมันก็จับกลุ่มกันหลายตัว การสลับสับเปลี่ยนคำของตัวอักษรเป็นไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งตัวผมกำลังอยู่ในใจกลางการประมวลผลโค้ดคอมพิวเตอร์

นอกจากสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดแล้ว ตั้งแต่โดนวาร์ปมาผมก็ได้ยินเสียงกระซิบที่ฟังไม่ได้ศัพท์ดังระงมก้องไปมาอยู่ตลอด ฟัง ๆ ดูก็คล้ายสำเนียงเวลาพระสวด พระสวดบาลีเราแปลไม่ออกยังไง เสียงนี้ผมก็ฟังไม่รู้เรื่องเช่นกัน

จากนาทีเป็นชั่วโมง ผมที่ไม่มีอะไรทำเลยได้แต่ถ่างตามองสัญลักษณ์พวกนั้น จะหลับก็หลับไม่ได้ ไม่รู้ว่าผมอยู่ในโลกนั่นนานเท่าไหร่ แต่พอรู้สึกตัวอีกทีภาพเบื้องหน้าผมก็กลับเป็นปกติ แถมยังมาพร้อมกับอาการวิงเวียนศีรษะพะอืดพะอมจนอยากอ้วก และเหมือนป้าบรรณารักษ์แกจะเข้าใจผม หล่อนยื่นถังขยะมาจ่อหน้าผมทันทีที่อ้วกพุ่งออกมา

อ๊อก...อ้วกกกกก!!

“แค่ก ๆ ทำไมป้าไม่บอกผมก่อนล่ะว่ามันจะทรมานแบบนี้น่ะ!” ผมส่งสายตาเขียวปั๊ดไปให้ป้าแก ในห้องสัญลักษณ์นั่งเป็นชั่วโมงไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความเบื่อ แต่พอกลับมาห้องสมุดเท่านั้นแหละเรือหายเลย โคตรปวดหัว ปวดยิ่งกว่าไมเกรนอีก ผมอ้วกออกมาจนหมดไส้หมดพุง อ้วกจนสิ่งที่ออกมากลายเป็นเพียงน้ำใส ๆ

“เจ้าคิดว่าข้าอยากถือถังขยะให้เจ้าอ้วกนักรึไง ก่อนที่ข้าจะเตือนเจ้าไปหามุมอ้วก เจ้าก็เปิดมันซะแล้ว โลกนี้ไม่มีความสามารถไหนที่ได้มาโดยไม่พยายามหรอกนะ เมื่อเราทำการฝืนธรรมชาติก็ต้องแลกกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการตอบแทนทั้งนั้นแหละ เรื่องแค่นี้อย่ามาสำออยไปหน่อยเลย”

ไม่นานพออาการปวดหัวทุเลาขึ้นเหมือนทัศนคติต่อโลกใบนี้ของผมได้เปลี่ยนไป ตัวอักษรยึกยือที่ไม่เคยอ่านออกตอนนี้ดันเข้าใจความหมายของมันเพียงแค่กวาดตามองผ่าน ๆ

“อย่าบอกนะว่าป้ายืนรอผมกลับมาเป็นชั่วโมงเพื่อส่งถังขยะให้ผมอ้วกอ่ะ”

“นี่เจ้าโง่รึไง เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก ที่โดนดึงไปมีเพียงวิญญาณเจ้า ถ้าจะให้บอกล่ะก็ เจ้าโดนดึงวิญญาณไปจักรวาลภาษาเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น”

“3 นาที โดนดึงวิญญาณ จักรวาลภาษา?” เชี่ยไรวะ

“เอาเป็นว่าเมื่อกี้มันคือเวทมนต์ เวลาของโลกเรากับเวลาภายในโลกเวทมนต์ไม่เท่ากัน ข้ารอเจ้าเพียง 3 นาที ส่วนเจ้าอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง เข้าใจรึยัง” ดูท่าหน้าผมจะเอ๋อจัดป้าแกเลยโยนศัพท์วิชาการทิ้งไป แล้วอธิบายให้ผมฟังอย่างง่าย ๆ แทน

"อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนผมจะอ่านออกแล้ว ถ้างั้น ป้า ผมขอนั่งอ่านหนังสือแถวนี้นะ"

"ตามใจเจ้า นี่มันห้องสมุดสาธารณะ ส่วนถังขยะนั่น เอาไปล้างมาคืนข้าด้วยล่ะ ก๊อกน้ำอยู่หน้าประตู"ระหว่างที่พูดเธอก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูก อย่างมีจริต

โอเคผมรู้ว่าป้ารังเกียจอ้วกผม เป็นผม ผมก็หยี แย่หน่อยที่โลกนี้ไม่มีถุงพลาสติกถังขยะก็เลยทำจากไม้กาก ๆ ผมหิ้วมันไปเททิ้งเป็นปุ๋ยต้นไม้ ก่อนจะเอาไปล้างมาคืนป้าแก จากข้อมูลที่ชาล็อตให้มาแผ่นแรก ๆ จะเป็นรายละเอียดของพวกสาวกวิหารเทพแห่งความมืด ผมลองอ่านและจับใจความได้ว่าวิหารเทพแห่งความมืดพวกมันถือได้ว่าเป็นศัตรูร่วมกันของทุกผู้คนบนทวีปตะวันตก พวกมันมีวิหารลับเล็ก ๆ กระจายแฝงตัวอยู่ทุกซอกทุกมุมของทวีป และชาล็อตคาดว่าพวกมันต้องมีวิหารหลักอยู่แน่นอน พวกมันมักทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม งานหลักที่พวกมันชื่นชอบคือการสวดภาวนาต่อเทพแห่งความมืด ฝึกศาสตร์มืด บูชายัญและจับตัวหญิงสาวพรหมจรรย์

ลำดับชนชั้นของวิหารแห่งความมืด สูงสุดคือข้ารับใช้แห่งความมืด เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มีด้วยกัน 8 ตนตามจำนวนเจ้านรกทั้ง 8 รองลงมาคือนักบวช จอมเวทมืด นักรบทมิฬ อัครสาวก และสาวกธรรมดา ตามลำดับ และพวกมันคือกลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียวบนโลกที่ใช้เวทมืดได้ ความแข็งแกร่งของพวกมันแปรผันตามค่าความศรัทธาต่อเทพแห่งความมืด พวกมันเชื่อว่า ยิ่งสวดภาวนา ยิ่งบูชายัญยิ่งแข็งแกร่ง และจุดประสงค์ของพวกมันคือ การนำพาจอมอสูรในขุมนรกขึ้นมาบนโลกมนุษย์ เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับโลกใบนี้

เอิ่ม...บอกเลยว่าแค่ข้อมูลแรกผมก็งงแดกแล้ว อ่านเข้าใจอยู่ไม่กี่อย่าง นี่ถึงกับต้องงัดกลยุทธ์ GAT เชื่อมโยง ที่เคยสอบสมัย ม.6 ขึ้นมาใช่กันเลยทีเดียวถึงได้มาเป็นข้อมูลที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อกี้ แม้ผมจะใช้อาร์ติแฟคเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ แต่ผมกลับไม่มีภูมิความรู้พื้นฐานของโลกใบนี้เลยสักนิด ผมมีความรู้สึกเหมือนตัวเองเรียนอยู่ประถม แต่ริอ่านข้ามขั้นไปอ่านหนังสือฟิสิกส์เบื้องต้นยังไงยังงั้น

สงสัยคงต้องไปหาข้อมูลพื้นฐานของโลกนี้มาอ่านก่อนซะแล้วมั้ง แค่คิดก็ท้อแล้วเนี่ย การอ่านหนังสือไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเลยสักนิด อ่านกระดาษไม่กี่แผ่นของชาล็อต สมองผมก็แทบไหม้แล้ว

“ทีมงานซัง นายไม่มีวิดีโอฮาวทูเรื่องพื้นฐานของต่างโลกบ้างเหรอ”

ทีมงาน : ถ้าโฮสต์ขี้เกียจอ่านหนังสือ ทีมงานแนะนำให้อ่านนิทานแทน ในนั้นมันจะมีภาพประกอบเผื่อโฮสต์จะอาการดีขึ้น

“ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหนเลย!” ถึงจะบ่นโอดโอยแต่เพื่อพลังพิเศษผมก็ต้องฮึดสู้ ผมเก็บเอกสารลับที่อ่านไม่เข้าใจยัดใส่กระเป๋าตามเดิมก่อนจะลุกเดินไปหาป้าบรรณารักษ์อีกรอบ

“ป้า” ผมพูด

“มีอะไร” เธอปิดสมุดแล้วเงยหน้ามามองผม

“มีหนังสือ เกี่ยวกับวิหารเทพแห่งความมืด ขุมนรก กับแดนเหนือไหม อ่อ แล้วก็หนังสือพื้นฐานการใช้ชีวิตในแดนเหนืออะไรแบบนี้อ่ะ พอมีไหมครับ” ผมพูด

“หนังสือเกี่ยวกับวิหารเทพแห่งความมืดมีแต่นิยายกับนิทาน ขุมนรกมีอยู่ในไบเบิลเล่ม 8 โซนศาสนา แดนเหนืออยู่ในโซนภูมิศาสตร์กับท่องเที่ยว”

“ห๊าาา ขออีกรอบซิ” ป้าแกก็พูดซะรัวไม่เกรงใจคนเข้าห้องสมุดครั้งแรกเลย ถามว่าฟังทันไหม ก็ไม่ทันแน่อยู่แล้วสิ!

และเหมือนป้าบรรณารักษ์แกจะดูสีหน้าผมออก เธอเลยลุกขึ้นนำผมเดินไปหาหนังสือด้วยตัวเอง ผมมีหน้าที่แค่แบกหนังสือเล่มที่เธอหยิบเท่านั้น แต่ยิ่งเดินตามเธอหนังสือที่แบกอยู่ก็แทบจะท่วมหัวอยู่แล้ว

“เดี๋ยว ๆ ป้าพอก่อน ผมอ่านไม่หมดหรอกนะ ที่พูดตอนแรกมันเหมือนจะมีไม่กี่เล่มเองนิ ทำไมมันเยอะงี้อ่ะ”

“ข้าหยิบเผื่อไง หน้าอย่างเจ้าต้องอ่านเยอะ ๆ จะได้ดูฉลาดขึ้นมาบ้าง” ขณะที่ป้าบรรณารักษ์พูดเธอก็ยังเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเล่มใหม่มาวางเพิ่ม

“ป้าเกลียดผมปะเนี่ย ป้าเกลียดผมแน่ ๆ เลย!”

“โอ๊ะแน่นอน ดีที่เจ้ารู้ตัวไว” ป้าบรรณารักษ์พูดขึ้นก่อนจะหันมาหาผม

“อืมมม ครบรึยังน้า ไบเบิลเล่ม 8 เทพปกรณัม เรื่องเล่าเทพตกสวรรค์ สารานุกรมอสูร 2 เล่มจบ บาปทั้ง 8 นิยายนักสืบศาสตร์มืด โอ้เรื่องนี้ข้าชอบมาก มี 12 เล่มข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องชอบแน่ ๆ ทัวร์นรกกับนักล่าอสูร 3 เล่มจบ ท่องเที่ยวแดนเหนือ 10 ข้อห้ามที่อย่าเผลอทำในแดนเหนือ ภูมิศาสตร์แดนเหนือ จอร์น วินเชสเตอร์วีรบุรุษแดนเหนือ”

“โธ่ กี่วันผมจะอ่านจบเนี่ยป้า” ผมร้องออกมาทันทีที่แกร่ายชื่อหนังสือแต่ละเล่มในมือผม จะไม่ให้ผมร้องโอดโอยได้ยังไงก็แต่ละเล่มมันใช่จะบางซะที่ไหนล่ะ หนาสองนิ้วเป็นอย่างต่ำทั้งนั้น ถึงผมจะนั่งอ่านได้ทั้งวันก็เถอะ แต่ทำงั้นคนดูได้หายหมดแน่

“ข้ารู้ว่าเจ้าอ่านไม่หมดในวันเดียวหรอก แต่นั่นก็ต่อเมื่อเจ้าไม่มีสิ่งนี้” ว่าจบป้าบรรณารักษ์แกก็หยิบแว่นตากลม ๆ หน้าตาประหลาดขึ้นมา พร้อมส่งรอยยิ้มหวานเจี๊ยบยิ่งกว่าตอนเสนอขายโปรเรียนหนังสือ “ข้าขอแนะนำแว่นตาอ่านหนังสือความเร็วแสงเมื่อเจ้าใช้แว่นตาอันนี้อ่านหนังสือ เจ้าจะอ่านได้ไวขึ้นกว่าเดิม 20 เท่าแถมเจ้ายังจับประเด็นสำคัญและจำเนื้อหาในเรื่องที่อ่านได้อีกด้วย ราคาเช่าชั่วโมงล่ะ 300 Coin เท่านั้น”

นั่นไงตูว่าแล้ว ป้าแน่ใจนะว่าป้าเลือกทำงานถูกอาชีพ ตั้งแต่เข้ามาผมนึกว่ากำลังคุยกับเซลล์ขายของ ขายเก่งจริง ๆ

ตกลงที่หยิบหนังสือมา 20 กว่าเล่มคือกะขายของใช่ปะ นังมนุษย์ป้า! 300 coin มันไม่ใช่จะถูก ๆ นะโว้ย 100 coin ก็เท่ากับ 1000 บาทแล้วนะ 300 coin ก็ 3000 บาท เมื่อกี้ก็แปะไปแล้วหมื่นห้า แว่นอีกชั่วโมงล่ะสามพัน กระอักเลือดตอนนี้ทันไหม

“จัดมาเลยป้า” ผมถึงกับกัดฟันพูด เพราะถึงจะบ่นแต่ก็ต้องยอมจ่ายอยู่ดี เวลา 5 ชั่วโมงในต่างโลกแม่งโคตรน้อยเลย

“เลือกได้ดี เวลาชีวิตที่เพิ่มมาไม่กี่ชั่วโมงก็ทำเงินให้คนบางคนได้เป็นแสนเป็นล้าน กับราคาเช่าแค่ 300 มันคุ้มกว่ากันเป็นไหน ๆ เจ้าว่าไหมล่ะ” ป้าบรรณารักษ์พูดอย่างอ่อนโยนและบรรจงสวมแว่นตาในมือให้ผม “สำหรับวันนี้ข้าให้เจ้า 5 คะแนน”

“อะไร 5 คะแนน? แต้มสะสมเช่าแว่นฟรีหนึ่งครั้งไรงี้เหรอ” หลังจากโชว์โง่ออกไปผมก็ได้สายตาจิกกัดของป้าแกมาทันที โอเค คนงกอย่างป้าแกคงไม่มีของฟรีอยู่ในหัวแน่นอน

“มันคือคะแนนพิศวาสย่ะ ถ้าข้าพอใจเจ้า เจ้าก็จะสามารถยืมหนังสือต้นฉบับไปอ่านได้ ถ้าข้าพอใจเจ้ามากเจ้าก็อาจจะสามารถยืมหนังสือหวงห้ามไปอ่านได้เช่นกัน เข้าใจรึยัง”

“แล้ว 5 คะแนนผมใช้ทำไรได้บ้างอ่ะ” ผมทำหน้างงใส่

“ยังไม่มีย่ะ นั่นคะแนนต่ำสุด”

“...” เอิ่ม...ไอ้คะแนนพิศวาสนี่คืออะไร ฟังดูโคตรจะส่อเค้าความลำเอียงเลยเฟ้ย

ถึงในใจจะสบถไปเป็นสิบ ๆ เรื่องแต่ผมส่งยิ้มให้ป้าแก และแบกกองหนังสือ 20 กว่าเล่มเดินหนีไปที่โต๊ะ ผมกระชับแว่นบนดั้งจมูกที่ไม่ค่อยจะมี ถ้าไม่นับแว่นแฟชั่นที่เคยลองใส่ตามกระแสแล้วมันไม่เวิร์คนี่เป็นการใส่แว่นอ่านหนังสือแบบจริงจังครั้งแรกของผมเลย แว่นของจริงเลนส์แว่นหนักชะมัด

เล่มแรกที่ผมหยิบออกมาอ่านคือหนังสือที่มีชื่อว่า จอร์น วินเชสเตอร์วีรบุรุษแดนเหนือ เล่มหนาประมาณ 2 นิ้ว ที่หยิบมันออกมาก่อนไม่ใช่อะไร สะดุดตาตั้งแต่ชื่อหนังสือแล้ว จอร์น วินเชสเตอร์ ถ้าจำไม่ผิด ชาล็อตก็เคยบอกว่าเธอชื่อ ชาล็อต วินเชสเตอร์ ไม่แน่ไอ้คนชื่อ จอร์น อาจเป็นบรรพบุรุษเธอ

ระหว่างที่อ่านหน้าแรกผมก็รู้สึกเลยว่าตัวเองอ่านไวมาก ผลลัพธ์ของแว่นตาราคา 300 ช่างสุดยอดมาก หน้าหนึ่งจากที่ต้องใช้เวลาอ่าน จำ และตีความ กว่าจะจบก็ปาไปเป็นนาที แต่พอใส่แว่นแค่กวาดตาไม่กี่ครั้งผมกลับเข้าใจเนื้อหาและสามารถพลิกหน้าต่อไปได้ด้วยความไวหลักวินาที

โอ้โห นี่มันสุดยอดมาก ทำไมโลกเราไม่มีแบบนี้บ้างฟะ ตอนสอบจะได้ไม่ต้องใช้ปากกาเสี่ยงทาย ผมกวาดสายตาอ่านหนังสือตรงหน้าด้วยความไวเพียงไม่กี่นาที ผมก็อ่านมันจนจบเล่ม การอ่านหนังสือได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจมันเป็นอะไรที่สนุกมาก ตั้งแต่เกิดผมไม่เคยอ่านหนังสือแล้วรู้สึกดีเท่านี้มาก่อน

แว่น 300 นี่มันจะเทพเกินไปแล้ว!! ต่างโลกสุดยอด!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด