ตอนที่แล้วตอนที่ 18 ความสงบที่ไม่สงบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 20 พัฒนาการ

ตอนที่ 19 ไปด้วยกันเถอะ


ตอนที่ 19 ไปด้วยกันเถอะ

 

เสวี่ยหงเยว่เดินนิ่งหลังตรงเพื่อกลบเกลื่อนความล้าอยากกลายเป็นซากศพของตัวเอง เขาเหนื่อยในการพูดคุยกับอาจารย์ในวันนี้เป็นอย่างมาก แค่เพียงไม่กี่ประโยคแท้ๆ แต่กลับสูบพลังของไปได้มากโข

แม้ผลลัพธ์ครั้งนี้จะทำให้เขาได้ค้นพบเรื่องเหลือเชื่อบางอย่างของหลานซิ่นหลิงก็ตาม แต่การที่ได้เห็นอาจารย์อยู่ในสถานที่แห่งนี้แล้ว...นับว่าเป็นการผิดแผนอย่างร้ายกาจ

ไม่สิความจริงก็ผิดแผนมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว นับตั้งแต่การที่เขาค้นพบน้ำตกของเหมยฉีไวกว่ากำหนดการ

เส้นเรื่องจริงตามเรื่องย่อก็คือเหอไป๋เทียนจะต้องเจอหานหลิ่งตอนอายุสิบเก้าปี และเสวี่ยหงเยว่จะเข้าด้านมืดหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน

เท่ากับว่ามันมาไวกว่าเนื้อหาเดิมถึงสี่ปี

เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของเสวี่ยหงเยว่ก็ดูครุ่นคิดขึ้นมากกว่าเดิม

หากนับภาพนิมิตที่เขาเห็นในถ้ำใต้น้ำตกด้วยแล้ว เสวี่ยหงเยว่ต้นฉบับจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองสำเร็จวิชาต้องห้าม สืบค้นตำราทุกแขนง ลงทุนลงแรงไปมากมายจนเจอเรื่องเล่าของอัญมณีลึกลับที่สามารถเพิ่มพลังปราณมารได้ หลังจากนั้นก็บุกไปทำลายน้ำตก ฆ่าเหมยฉี ทำลายล้างชนิดที่แม้แต่หญ้าต้นเดียวก็ไม่มีเหลือรอด

แต่..

สถานการณ์ปัจจุบันคือเหมยฉียังไม่ตาย คลอดลูกปลอดภัย ชีวิตดีไม่มีใครเข้ามารบกวนแถมยังเอาของสร้างปัญหาสองชิ้นออกไปจากตัวได้ในครั้งเดียว

การกระทำเหล่านี้ทำให้เส้นเรื่องในเรื่องย่อดั้งเดิมเริ่มคาดเคลื่อน ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินเข้าเนื้อหาไวกว่าต้นฉบับ ต่อให้ตอนนี้ยังไม่เจอผลกระทบอะไรแต่ก็ควรกันไว้ดีกว่าแก้หากมันกลายเป็นเรื่องผิดกฏผิดสัญญาขึ้นมา เขาต้องเร่งสตอรี่ตัวเองให้ทันตามกำหนดการณ์ใหม่ เดินทางเข้าสู่การเป็นตัวร้ายไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นหนุ่มใสวัยยี่สิบสามแล้ว

และกำหนดการแรกในการเดบิวต์เป็นตัวร้ายก็คือ...เมืองท่าแห่งนี้ในคืนเทศกาลลอยโคม!

เขาจะต้องแอบสร้างความปั่นป่วนให้กับเทศกาลดึงความสนใจจากปรัมพิธีเพื่อจุดประสงค์บางอย่างและมีเหอไป๋เทียนพระเอกแสนดีที่บังเอิ๊ญบังเอิญอยู่ในที่แห่งนั้นด้วยมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้กลับมาดีดังเดิม

เรียกได้ว่าการที่เขาพาเหอไป๋เทียนมาด้วยกันนอกจากจะพาเด็กมาเที่ยวแล้วยังต้องพามาให้อวดสกิลพระเอกต่อหน้าสาธารณะอีกด้วย

แม้ในตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าควรเริ่มจากอะไรหรือเปิดฉากแบบไหนดี แต่เขาอยากจะให้แผนการณ์ก่อความวุ่นวายครั้งนี้รัดกุมและมีความเสียหายต่อประชาชนน้อยที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วคืนนี้เขาจะไปนอนคิด ขุดความทรงจำเกี่ยวกับนิยายและอนิเมชั่นที่เคยดูมาเป็นไอเดียให้ตัวเองแล้วล่ะ

แต่...

เรื่องแผนการณ์น่ะเอาไว้ให้ตัวผมในอนาคตเป็นคนคิดก็แล้วกันนะ

ในเมื่อตอนนี้ยังมีหน้าที่สำคัญที่ทำให้เขามาที่เมืองแห่งนี้รออยู่

บานประตูไม้ของโรงเตี๊ยมค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าและเบาอย่างที่สุด ชายหนุ่มค่อยๆ เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงของตน เหลียวมองเตียงอีกหลังที่อยู่ด้านข้าง รอยยิ้มกว้างก็ปรากฏบนใบหน้าที่มักเสแสร้งเป็นคนใจเย็นนั้น

เหอไป๋เทียนกำลังหลับโดยอ้อมแขนกอดเสี่ยวจูเอาไว้ ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกได้ว่าเด็กชายจมลงไปสู่ห้วงนิทราอันลึกนัก เสวี่ยหงเยว่คิดว่าอีกฝ่ายคงกลับมาถึงก่อนและรอเขานานโข ด้วยความเพลียจากการเดินทางอีกทั้งยังโดนเตียงแสนนุ่มดึงดูด

เสวี่ยหงเยว่จึงไม่แปลกใจเท่าไรหากเหอไป๋เทียนจะหลับสบายเช่นนั้นเพราะกว่าที่จะกลับมาถึงห้องพักพระจันทร์ก็ขึ้นสูงมากแล้ว

เมื่ออยู่คนเดียวแล้วรอยยิ้มกว้างอันหาได้ยากก็ปรากฏ ในใจของคนรักเด็กนั้นปลื้มปริ่มแทบคลั่ง อยากเข้าไปจิ้มแก้มนุ่มๆ นั้นเป็นนักหนา

ทำไมยุคนี้ถึงไม่มีสมาร์ทโฟนนน

ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปปลุกแต่อีกใจก็คิดว่าปล่อยให้อีกฝ่ายนอนต่อแบบนี้ไปน่าจะดีกว่า

แต่แล้วความคิดก็หยุดลงเมื่อดวงตาสีทองค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาจากความฝัน เสวี่ยหงเยว่รีบหุบยิ้ม สวมหน้ากากคนขี้เก็กอย่างรวดเร็ว

“หงเกอ...กลับมาถึงนานแล้วหรือขอรับ” เหอไป๋เทียนค่อยๆ ยันร่างลุกขึ้นไปพลางขยี้ตาไปพลาง ท่าทางดูงัวเงียยังไม่ตื่นเต็มตาสักเท่าไรนัก

“ข้าเพิ่งมาถึงก่อนเจ้าตื่นไม่นานนี้เอง ขอโทษด้วยที่ออกไปข้างนอกโดยไม่บอกกล่าว” เขาตอบ นั่งจ้องคนที่อยู่ตรงหน้าสักพักจึงนึกอะไรออก เสวี่ยหงเยว่ลุกขึ้นไปหยิบหวีแล้วนั่งลงที่เตียงของอีกฝ่าย ฝ่ามือยกขึ้นลูบเส้นผมสีดำขลับที่ยุ่งเหยิงจากการนอนนั้นเบา ๆ

“หันหลังมาสิเด็กดี ข้าจะรวบผมให้เอง”

เด็กชายพยักหน้าตอบรับด้วยความดีใจ เหอไป๋เทียนแกะเครื่องประดับรัดผมของตัวเองออกมา ปล่อยเส้นผมให้ทิ้งตัวลงแผ่สยายกับแผ่นหลัง โดนมีเสี่ยวจูสะลึมสะลืมเอาคางเกยหลับบนตักมองอยู่

“เป็นเส้นผมที่ดีนะ” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยชม เขาใช้สกิลคนเคยมีน้องสาวในชาติก่อนลงมือถักเปียขนาดเล็กด้านข้างให้แล้วค่อยๆ รวบผมที่เหลือทั้งหมดขึ้นเป็นทรงหางม้าสูงทรงเดิม ดวงตาสีแดงมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ ผมยาวขนาดนี้มันอดที่จะถักผมให้ไม่ได้จริงๆ

“เอาล่ะเสร็จแล้ว”

เหอไป๋เทียนเอามือจับเส้นผมตัวเอง ค่อยๆ ไล้นิ้วมือไปจนเจอผมเปียอันน้อยๆ ทัดอยู่กับผมหางม้า เด็กชายก็ยิ้มออกมา คำชมเล็กน้อยทำให้เขาดีใจ

“เด็กดี ตอนนี้เจ้ายังง่วงหาวอยากนอนอยู่อีกหรือไม่” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยถาม ส่วนเหอไป๋เทียนก็ส่ายหน้า เมื่อครู่นี้เขานอนมากพอแล้ว

“งั้นก็ดี...” เสวี่ยหงเยว่พยักหน้า เพราะเขาได้ยินเสียงเพลงดังคลอเบาๆ ลอยตามลมมาสักพักใหญ่แล้ว บทเพลงเหล่านั้นถูกบรรเลงจากสถานที่ซึ่งไม่ไกลไปจากโรงเตี๊ยมที่พวกเขากำลังพักอยู่เท่าไรนัก คล้ายกำลังจะส่งสัญญาณให้ผู้คนได้รู้ว่าช่วงเวลาหนึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

“ไปเดินเล่นข้างล่างกันเถิด”

 

คืนนี้เป็นงานเทศกาลลอยโคมคืนแรก ก่อนถึงวันจริงในคืนพรุ่งนี้

คนทั้งสองเดินปะปนไปกับฝูงคน เรื่อยเปื่อยท่ามกลางความคึกคักของงานเทศกาล แสงสีที่ชวนสะดุดตา กลิ่นอาหารหอมหวนลอยฟุ้งชวนน้ำลายสอ อีกทั้งยังการตกแต่งเมืองที่เต็มไปด้วยโคมทรงกลมสีแดง ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้สองข้างทางตอนนี้แตกต่างจากเมื่อกลางวันผิดหูผิดตา

ช่วงเวลาค่ำเหมาะแก่การเดินเที่ยวชมเมืองนัก ต่อให้เป็นช่วงเปลี่ยนฤดูแต่ลานจัดงานนั้นติดแม่น้ำใหญ่ อีกทั้งเขาเสวี่ยตั้งอยู่ในเขตหนาวทำให้อากาศไม่ได้ร้อนเท่ากับหน้าร้อนของเขตอื่น

เหอไป๋เทียนทำตาลุกวาวแต่ก็ไม่ได้กระโตกกระตากไปกับแสงสีงานเทศกาล ต่อให้ตื่นเต้นมากแค่ไหนก็ยังคงกริยาสำรวมมีมารยาทสมกับที่ถูกอบรมมาอย่างคนชนชั้นสูง เด็กชายไม่วิ่งทะเล่อทะล่าหรือซุกซนจนหลงทางหายไปกับฝูงคนที่เดินกันเต็มลานจัดงาน

ซึ่งมันก็ผิดจากที่เสวี่ยหงเยว่คาดเอาไว้นิดหน่อย

เพราะนิสัยเหอไป๋เทียนดูเป็นเด็กน้อย ตอนแรกเลยเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องเหนื่อย เขาคิดว่าคงเหมือนชาติก่อน เวลาพาน้องไปเที่ยวงานวัดสมัยยังเด็ก เจ้าพวกนั้นชอบวิ่งซนสนใจสิ่งรอบตัวไปทั่วต้องคอยจับคอยดูไม่ให้หลงทางหรือรบกวนคนอื่นจนหมดแรงเที่ยว

แต่นี่ดูเหมือน…

“หงเกออยากได้ขนมไหมขอรับ ข้าจะได้ไปซื้อมาให้”

“หงเกออยากไปตรงนั้นหรือเปล่าขอรับ เดี๋ยวข้าจะพาไปนะ”

“หงเกอ อยากนั่งพักไหมขอรับ เดินงานมาตั้งนานแล้ว…”

เหมือนเป็นฝ่ายโดนดูแลมากกว่านะเนี่ย…

พวกเขาทั้งสองมานั่งพักกันที่ริมทางเดินห่างจากโซนแผงลอยขายของไปไม่ไกล สองมือก็ถืออาหารโดยเฉพาะขนมของโปรดเจ้าตัวเล็กเต็มไปหมด พวกเขานั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย (ซึ่งอันที่จริงน่าจะเป็นเหอไป๋เทียนชวนคุยอยู่ฝ่ายเดียว) กินอาหารบ้าง ป้อนขนมให้หมูบ้าง

แม้เสวี่ยหงเยว่นั้นจะหมดวัยตื่นเต้นกับการเที่ยวงานแบบนี้ไปนานมากแล้ว นับตั้งแต่บรรลุนิติภาวะเขาก็มีหน้าที่จะต้องลงมางานนี้ทุกปี ทั้งสถานที่จัดทั้งแพทเทิร์นของงานแทบไม่ต่างจากงานลอยกระทงหรืองานยี่เป็งที่โลกของสมจิตร ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เบื่อจนไม่รู้จะเบื่อยังไง

แต่การที่ได้มาเดินกับใครสักคนนั้นมันสนุกดี

พอรู้สึกตัวอีกทีการที่มีอีกฝ่ายมาคอยเดินป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ ๆ มันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว ได้ยินเสียง ได้เห็นรอยยิ้ม มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจากภาระหลายอย่าง อยากรักษาช่วงแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยากทำหน้าที่ของการเป็นเพื่อนเป็นพี่ชายคอยดูแลเด็กคนนี้นี้ให้ดีที่สุด แม้ว่าภายภาคหน้าเขาต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้อีกฝ่ายรู้ก็ตาม

พอคิดถึงช่วงเวลานั้นเขาก็เอามือแตะอกตัวเอง รู้สึกโหวงและเหงาก่อเกิดขึ้นมาเล็กน้อย ความเอาแต่ใจตัวเพื่ออยากเข้าใกล้พระเอกจะสร้างผลอะไรตามมาบ้างเขาไม่อาจคาดเดาอนาคตได้เลย

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไป เขาไม่ได้ทำเพราะจะเอาตัวรอดจากความตายที่ต้องเกิด เสวี่ยหงเยว่ไม่เคยคิดจะหนีจากบทบาทตัวร้ายของตัวเองแม้แต่น้อย

แต่ที่ทำไปทั้งการรับบทหงเกอ ทั้งกายคอยอยู่ข้างๆ เขาก็แค่เอ็นดู อยากเห็นเด็กคนนี้โตไปในทางที่ดี เป็นพระเอกที่ดีก็เท่านั้น

ไม่ได้คิดหวังอะไรไปมากกว่านี้

...ไม่เคย...

“หลังจากนี้ไปซื้อประทีปสำหรับใช้ลอยในวันพรุ่งกันไหมขอรับ?” เหอไป๋เทียนเอ่ยถาม เรียกสติที่กำลังคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยของเสวี่ยหงเยว่ให้กลับมา

เห็นดังนั้นเสวี่ยหงเยว่ก็ส่ายหน้า เหอไป๋เทียนเคียวขนมจนแก้มตุ่ย เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าเอ็นดู

“วันพรุ่งข้าต้องไปทำงาน ไม่มั่นใจเรื่องเวลาเสร็จ หากเจ้าอยากลอย ลอยไปก่อนได้เลย” แม้จะรู้สึกผิดเพราะเห็นเจ้าตัวเล็กทำหน้าเป็นหมาน้อยโดนเจ้าของทิ้ง แต่มันช่วยไม่ได้ เขามาที่นี่เพราะเรื่องงาน ประมุขเสวี่ยมีหน้าที่มาเข้าพิธีสวดภาวนาต่อเทพและลอยโคมแรกขึ้นฟ้า

กว่าจะเสร็จพิธีและมาหาเหอไป๋เทียนเสร็จคนคงลอยโคมกันเสร็จแล้ว

เหอไป๋เทียนถอนหายใจเลิกทำหน้ามุ่ยแล้วพยักหน้า ถึงจะเสียดายโอกาสที่จะได้ลอยโคมด้วยกันมากสักแค่ไหน แต่ก็มันก็ช่วยไม่ได้ ที่อีกฝ่ายลงมาที่นี่นั้นก็เพราะมาทำงาน

ถึงจะน้อยใจแต่ให้งี่เง่าน่ะเขาทำไม่ได้หรอก

แต่ยังไม่ทันที่เหอไป๋เทียนจะได้พูดอะไรต่อ...

อยู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ดังขึ้นมาจากลานจัดงาน!

สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาณ. ตอนนี้ก็คือ น้ำจากแม่น้ำบิดเป็นเกลียววนอย่างรุนแรง มันพุ่งตัวสูงขึ้นสู่ฟ้าพร้อมกับที่ระเบิดแตกตัวออกเป็นหยดน้ำร่วงลงสู่เบื้องร่างไม่ต่างจากสายฝน!

สายเส้นขนาดยาวลื่นเป็นเมือกสีดำแกมเขียวจำนวนมากผุดพุ่งขึ้นมาจากน้ำ เข้าจู่โจมร้านร้านรวงที่อยู่ใกล้ ผูกมัดพันขาและดึงคนให้จมลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว เสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นพร้อมกับฝูงชนแตกฮือวิ่งหนีตายกันถ้วนหน้า

เสวี่ยหงเยว่และเหอไป๋เทียนรีบวิ่งสวนทิศ แหวกคนหนี เพื่อตรงเข้าไปที่ริมน้ำทันทีเพื่อไปสังเกตเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้กลิ่นเหม็นเขียวอับชื้นปะปนไปกับกลิ่นคาวคล้ายซากศพ

คิ้วขมวดจนแทบจะติดกัน สิ่งที่เขาเห็นกับกลิ่นที่เขารับรู้ มันช่างคุ้นเคยนัก

เขารีบหยุดวิ่ง เมื่ออยู่ใกล้ระยะที่เส้นสีเมือกนั้นจะคว้าได้ ยกมือขึ้นกันไม่ให้เหอไป๋เทียนที่วิ่งตามมาเข้าไปใกล้น้ำไปมากกว่านี้ เรียวนิ้วจรดริมฝีปากส่งเสียงชู่ว-- ออกมาเบาๆ คล้ายจะบอกให้เด็กชายนั้นเงียบเสีย

เขาดึงข้อมือเหอไป๋เทียนให้เลี้ยวไปทางอื่นซึ่งเป็นสะพานสูงสำหรับข้ามที่เห็นแม่น้ำทั้งหมดได้ชัดเจน

“อย่าเพิ่งขยับ” พูดจบก็คลี่ยันต์จำนวนหนึ่งออกมาปาใส่เส้นเมือกเขียวที่กำลังพยายามถูลู่ถูกังลากคนลงไปในน้ำ ประกายไฟสีฟ้าค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากยันต์ลุกลามไปทั่ว มันไม่ได้ทำให้คนร้อนหากแต่แผดเผาสิ่งมีชีวิตปริศนานี้จนเหลือเพียงเถ้า

เมื่อคนหลุดพ้นจากการรัดตรึงก็รีบวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น เสวี่ยหงเยว่ได้ยินถึงคำพูดขอบคุณที่ได้ช่วยชีวิตมากมายไหลผ่านเข้ามาในหู หากแต่เขาก็ไม่ได้สนใจนัก

เพราะเขากำลังจับจ้องอยู่กับสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้าตัวเองอยู่นั่นเอง

เมื่อลองใช้วิชานี้กับมันและได้ผลออมาเป็นเช่นนี้ นั่นก็เป็นหลักฐานชั้นดี ที่ทำให้เสวี่ยหงเยว่มั่นใจว่าความวุ่นวายนี้เกิดมาจากฝีมือของตัวอะไร เพราะมันเคยเป็นภารกิจแรกของเขาในช่วงที่ออกไปศึกษานอกสำนักเสวี่ยมาก่อน

...เพียงแต่ว่า

เสวี่ยหงเยว่เอามือแตะที่เอว จับปลายกระบี่ให้มั่นพร้อมที่จะใช้งาน

เสียงไอค่อก ๆ แค่ก ๆ คล้ายอาการสำรอกอาหารดังขึ้นก่อนที่เส้นเมือกสีดำแกมเขียวนั้นจะโยนร่างของคนจำนวนมากซึ่งเคยถูกดึงลงน้ำให้กลับขึ้นมาบนบกจนหมด...ทว่าก็กลับมาแค่ร่างเท่านั้นส่วนของศรีษะได้ถูกบิดดึงแยกออกจากตัวของคนเหล่านั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หรือก็ตอนนี้กำลังมีศพไร้หัวจำนวนมากถูกพ่นขึ้นมาจากน้ำอยู่นั่นเอง!

เสียงกรีดร้องหวีดด้วยความตกใจกลัว ลานจัดกิจกรรมตอนนี้เจิงนองไปด้วยน้ำผสมกับเลือด!

เมื่อศพสุดท้ายถูกพ่นขึ้นมาแล้ว น้ำก็ค่อย ๆ ถูกสูบจนลดลงต่ำ แม่น้ำขอดลงเรื่อย ๆ พร้อมกับขมวดก้อนสีดำแกมเขียวขนาดใหญ่จำนวนมากลอยตัวขึ้นมาอยู่บนน้ำ มันเป็นสาหร่ายนับร้อยนับพันเส้นเกี่ยวพันเป็นขดเป็นก้อนขนาดใหญ่กว่าตัวคน

หนึ่ง สอง สาม สี่...และอีกนับไม่ถ้วน พวกมันยิ่งรวมตัวกันมากเท่าไรเขาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าชวนปวดหัวลอยฟุ้งขึ้นมามากเท่านั้น เพราะสิ่งที่ติดและพันอยู่ระหว่างเส้นสายสาหร่ายคือซากหัวคนจำนวนมาก ทั้งใหม่เลือดสดยังติด ทั้งเริ่มเน่าเปื่อยตลอดจนย่อยสลายเหลือเพียงหัวกระโหลก

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหัวของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดคือสิ่งโปรดปรานของพวกมันนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเส้นผม ผิวหนัง สมอง ตา ปาก ลิ้น ทุกสิ่งทุกสำหรับสาหร่ายพวกนี้คือสารอาหารอันโอชะ

“หงเกอ ตัวพวกนั้น อย่าบอกนะว่ามันคือสาหร่าย...” เหอไป๋เทียนหันมองข้างๆ กลืนน้ำลายลงคอ เขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นจำนวนเยอะและใหญ่ขนาดนี้มาก่อน

“ใช่...มันคือสาหร่ายหัวผี...” เสวี่ยหงเยว่พึมพำเสียงเบา เรียวคิ้วขมวดมุ่นจนติดกันเพราะจากจำนวนของมันแล้วเขาควรเรียกว่า ‘สาหร่ายหัวผีส์’ จากการเติมตัว S ไว้ด้านหลังเพื่อแทนคำนามพหูพจน์

เยอะเกินไปแล้ว ไอ้สาหร่ายเฟติซหัวเอ๊ย!!

เสวี่ยหงเยว่นึกอยากจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง หน้าที่การสร้างความวุ่นวายในช่วงเทศกาลลอยโคมนี้มันคือบทของตัวร้ายเช่นเขาไม่ใช่หรือ แต่นี่ยังไม่ทันได้วางแผนหรือลงมืออะไรสักอย่างก็โดนสาหร่ายหัวผี Lv.99+ แย่งซีนไปเสียฉิบ

เสวี่ยหงเยว่ค่อยๆ ขยับมือแตะที่เอวของตัวเอง จับด้ามกระบี่ไว้ให้มั่น การโจมตีในครั้งแรกทำให้พวกมันหยุดไล่ล่าหัวมนุษย์แล้วก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะรั้งเอาไว้ได้ตลอด ถ้าฟื้นตัวหายตกใจได้เมื่อไร พวกมันต้องเริ่มไล่ล่าอีกครั้งเป็นแน่

ตอนนี้เขาต้องถ่วงเวลาให้คนลี้ภัยออกไปจากบริเวณนี้ให้หมด

เสียงโลหะเสียดสีดังขึ้นเบาๆ จากการดึงกระบี่ออกจากฝัก นับจากวันที่บุกถ้ำใต้น้ำตกจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาได้ร่วมเดือนกว่าแล้ว แต่เขายังนึกหงุดหงิดการทิ้งกระบี่เอาไว้ที่โรงเตี๊ยมของตัวเองไม่หาย ความประมาทชะล่าใจไม่ยอมเอาอาวุธติดกายในครั้งนั้นมันทำให้เขาเกือบเอาตัวเองไม่รอด

แต่เรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว!

ริจะรับบทลิ่วล้อพระเอก ก็ต้องเตรียมตัวหาทางเอาตัวรอด ตอนนี้เขาในมือของเขากำลังถือกระบี่เนื้อดีสีเงินสะอาดตารูปทรงสวยงามเหมาะสมกับการใช้งานต่อสู้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เฟยฉีที่เป็นดาบสืบทอดของประมุข แต่กระบี่เล่มนี้ก็ทรงคุณค่าและสั่งสมประสบการณ์การใช้งานมาอย่างยาวนาน มันคอยเที่ยวท่องช่วยเหลือผู้คนมามากมายพร้อมกับเจ้านายคนเก่า อีกทั้งเขาก็คุ้นเคยกับคลื่นพลังของมันเป็นอย่างดี

กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่เล่มแรกของเสวี่ยจินหรง...มันเคยเป็นของพ่อของเขา

“เจ้าอยากทดสอบฝีมือช่วงนี้ของตัวเองหน่อยไหม ไป๋เทียน?” มองตาก็รู้แล้วว่าเหอไป๋เทียนคงไม่ปล่อยให้เขาลุยเดี่ยวแน่ จึงได้ถามออกไปเช่นนั้น

เสวี่ยหงเยว่ขยับเท้าก้าวขึ้นเหยียบราวสะพาน แม้จะยืนอย่างหมิ่นเหม่แต่ก็ยังพอทรงตัวได้ ลมเบาบางพัดเส้นผมสีดำขลับให้พริ้วไหว พระจันทร์กลมเด่นปรากฏอยู่เบื้องหลัง แสงนวลกระจ่างตาสาดส่องใบหน้า รอยยิ้มเพียงบาง ๆ ที่ส่งมอบให้เด็กชายนั้น…

จะเป็นภาพอันงดงามที่เหอไป๋เทียนจะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

“สนับสนุนข้าด้วยล่ะ” พูดจบก็กระโดดพุ่งตัวลงไปด้านล่างทันทีด้วยความรวดเร็ว

สายลมพัดผ่านใส่ร่าง เสวี่ยหงเยว่วาดกระบี่ซัดพลังออกไปด้านหน้าสร้างไฟสีฟ้าเผาผลาญสาหร่ายหัวผีตัวใกล้สุดให้เป็นซากผงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหมุนตัวทิ้งร่างลงยืนบนหลังคาเรือลำหนึ่งซึ่งจอดอยู่ที่ใต้สะพาน ดวงตาสีแดงมองผลงานของตัวเองแอบนึกกระหยิ่มพึงพอใจ จัดการปิศาจแถมแลนดิ้งลงด้วยท่าสวยสุดอะไรสุด ฟินกับความสามารถในการเก็กของตัวเองเหลือจะกล่าว

ชะเอ๊ย! เดี๋ยวก่อนสิ ในบทหอเกอเขาต้องเป็นแค่ตัวสมทบทำหน้าที่ดันให้พระเอกเด่นสิถึงจะถูก--!!

แต่ยังไม่ทันคิดอะไรจบเสวี่ยหงเยว่ก็รู้สึกถึงคลื่นความเย็นรุนแรงซัดผ่านไปในระยะใกล้ เฉียดเขาไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด