ตอนที่แล้วตอนที่ 29 ความอัปยศของ1ดาบ [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 31 วิชายุทธระดับสูงที่ไม่สมบูรณ์ [อ่านฟรี]

ตอนที่ 30 กุญแจ ปลุกเคล็ดวิชาทางวิญญาณ [อ่านฟรี]


ตอนที่ 30 กุญแจ ปลุกเคล็ดวิชาทางวิญญาณ

"แลกเปลี่ยน? แลกเปลี่ยนอะไร" หลินหานมองสาวงามหยดย้อยที่อยู่ต่อหน้าเขา แต่พูดด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

เมื่อมองดูใบหน้าที่ไม่มีอารมณ์ของหลินหาน ในใจของหลินหรูเยียนแอบรู้สึกงอล

อีตาบ้าหลินหาน แสร้งวางท่าเย็นชา หรือว่าไม่สั่นไหวต่อความสวยสดงดงามของข้าเลยหรือ?

อย่างไรก็ตาม หลินหรูเยียนรู้สึกว่าความเป็นไปได้อย่างแรกมีแนวโน้มมากกว่า เพราะนางมองเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของหลินหาน

“พอแล้ว หลินหาน เจ้าอยู่ต่อหน้าข้า ยังจะแสร้งทำเป็นไม่แยแสอีก!” หลินหรูเยียนพูดค้อนเสียงใส่ทันที

"ไม่นะ ข้าก็เป็นแบบนี้กับทุกคน" หลินหานโบกมือ แล้วยิ้มด้วยใบหน้าที่ดูไร้เดียงสา

"เอาล่ะ ไม่ล้อเล่นแล้วก็ได้"

หลินหรูเยียนย่นจมูก ก่อนที่จะยิ้มร่าด้วยดวงตาเป็นประกาย แล้วพูดว่า: "จริงๆแล้วข้าไม่ได้มีแลกเปลี่ยนกับเจ้า แต่เป็นอีกคนต่างหาก ข้ามาที่นี่เพื่อมาบอกเจ้าแทนเขา"

"คนๆนั้นใคร?" ดวงตาของหลินหานแสดงอารมณ์แห่งความสงสัย

“คือลุงของข้าคนหนึ่ง ชื่อว่า 'ลุงกุ่ย'” หลินหรูเยียนกล่าว ดวงตาก็แสดงความสงสัยเช่นกัน กล่าวว่า:“ลุงกุ่ยชอบทำตัวลึกลับซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยรู้จักมักจี่กับคนอื่น ไม่รู้ครั้งนี้ทำไมถึงบอกให้ข้ามาหาเจ้า เขายังพูดอีกว่า ขอเพียงข้าพูดคำนี้ออกไป เจ้าจะไปหาเขาแน่นอน”

"คำว่าอะไร?" หลินหานเปลี่ยนอารมณ์

"นักพรตวิญญาณ"

หลินหรูเยียนเอ่ยปากพูดออกมาอย่างช้าๆ

อะไรนะ?

นักพรตวิญญาณ?

ดวงตาของหลินหานเปล่งประกายแวววาวเล็กน้อย แต่สามารถสงบลงได้ในทันที เขามองหลินหรูเยียนที่อยู่ด้านหน้า แล้วพูดว่า "พาข้าไปที่นั่น"

“ได้” ดูเหมือนหลินหรูเยียนจะไม่เข้าใจความหมายของ“นักพรตวิญญาณ” นางเพียงแค่มาถ่ายทอดคำพูดของลุงกุ่ย

......

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ค่ำคืนเปิดม่าน

หลินหานก้าวเข้าไปในสวน หลินหรูเยียนยืนที่ประตู แล้วพูดว่า: "ลุงกุ่ยอยู่ข้างใน วางใจ เขาจะไม่ทำอันตรายเจ้าหรอก"

"ดี."

หลินหานพยักหน้าและเดินลึกเข้าไปในสวน

สวนสนามยามค่ำคืน แลดูมืดมิดและเงียบสงบ แสงจันทร์ส่องประกาย ยังไม่สามารถสาดส่องทะลุความมืดในสวนเล็ก ๆ นี้

บรรยากาศขนลุกซู่กระจายออกไป

ในเวลานี้หลินหานแอบครุ่นคิดอย่างลับๆเกี่ยวกับลุงกุ่ยอะไรนั่น เขารู้ได้อย่างไรว่าตัวของหลินหานได้ก้าวเข้าสู่วิถีการฝึกฝนนักพรตวิญญาณ?

นอกจากนี้ สิ่งที่เขาพูดคุยเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน มันเกี่ยวข้องกับการฝึกตนเป็นนักพรตวิญญาณด้วยหรือ?

เป็นไปได้ไหมว่าลุงกุ่ยผู้นั้น ก็เป็นนักพรควิญญาณผู้ลึกลับด้วยเช่นกัน?

แม้ว่าในใจจะมีข้อสงสัยมากมายนับไม่ถ้วน แต่หลินหานก็รู้ดีว่าเมื่อเขาเจอ "ลุงกุ่ย" ที่ออกปากของหลินหรูเยียนเมื่อไหร่ ความสงสัยจะถูกคลี่คลายทั้งหมด

ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน ในสวนที่มีหนาวเย็น มีเพียงแสงจากดวงดาวอันริบหรี่ มืดสลัวและเงียบสงบ

หลินหานเดินเข้าไปลึกยิ่งขึ้น ด้วยสีหน้าระแวดระวังเล็กน้อย

ทันใดนั้น เขาปลดปล่อยพลังการรับรู้ของตัวเองให้แผ่ออกไป ก็พบว่ามีออร่าแปลก ๆสะท้อนกลับมา

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กัน ร่างประหลาดในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้มาปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังแล้ว

สายตาของหลินหานตกตะลึง ภายในหมวกคลุมหัวสีดำ มีเปลวไฟสีเขียวขจีสองกลุ่มกำลังลุกโชนอยู่ภายใน มันเหมือนดวงตาผีคู่หนึ่ง ที่กำลังจ้องมองเขา

"ผู้อาวุโสคือ?" ร่างกายของหลินหานรู้สึกเสียววาบ เขายกมือคำนับ

"ข้าคือลุงกุ่ยที่คุณหนูใหญ่เอ่ยถึง" เสียงแหบแห้งดึงมาจากเสื้อคลุมสีดำนั้น

คุณหนูใหญ่?

น่าจะเป็นหลินหรูเยียน

หลินหานกระพริบตา แล้ววกกลับมาที่ประเด็นหลักโดยพูดว่า: "ผู้อาวุโส ลุงกุ่ย ไม่รู้ทราบว่าต้องการแลกเปลี่ยนอะไรกับข้า?"

"แค่อยากผูกกรรมด้วยเท่านั้น" ลุงกุ่ยพูดช้าๆ

"กรรม?" หลินหานดูงุนงง

“ช่วงนี้ เจ้าน่าเคร่งเครียดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะก้าวเข้าสู่หนทางนักพรตวิญญาณใช่ไหม?” ดูเหมือนว่าลุงกุ่ยจะมองทะลุความคิดในใจของหลินหาน

"ใช่."

หลินหานพยักหน้า

ลุงกุ่ยผู้นี้ ลึกลับมากเกินไป บางทีเขาอาจจะเป็นนักพรตวิญญาณที่มีพลังระดับสูงก็เป็นได้

ยิ่งไปกว่านั้น มันไม่ได้มีผลร้ายกับตัวเองเลย การที่เขาสามารถมองเห็นการฝึกตนสู่การเป็นนักพรตวิญญาณของตัวเองแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก

"เจ้าเป็นนักพรตวิญญาณที่ปลุกจิตวิญญาณมาแต่กำเนิด ลึกลงไปในจิตวิญญาณ จะต้องมีกฎของการฝึกวิญญาณที่เป็นของเจ้าเอง บางที อาจจะเป็นมรดกของบรรพบุรุษ บางทีอาจจะเป็นของขวัญจากสวงสวรรค์ ... ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ต้องผ่านกระบวนการกระตุ้นจิตวิญญาณ"

ในขณะนี้ที่ลุงกุ่ยกล่าว ทันใดนั้นเขาชี้นิ้วหนึ่งไปตรงหว่างคิ้วของหลินหาน มีแสงวาบพุ่งเข้าไปในจิตของหลินหานทันที

วินาทีต่อมา หลินหานยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้ ลุงกุ่ยก็ได้ดึงมือของเขากลับมาแล้ว

แต่วินาทีสุดท้ายนั้น วิสัยทัศน์ของหลินหานทันที่จะมองเห็น ฝ่ามือที่ยื่นออกมาภายใต้เสื้อคลุมของลุงกุ่ย เป็นมือกระดูกสีขาวโพลนจริง ๆ !

หรือว่า ภายในเสื้อคลุมสีดำนี้จะเป็น ...

"ทำตาม"เคล็ดวิชากระตุ้นวิญญาณ"ที่ข้าพึ่งมอบให้เจ้า หวังว่าเจ้าจะสามารถหาวิธีฝึกตนสู่การเป็นนักพรตวิญญาณของตัวเองจากจิตวิญญาณของเจ้า" ลุงกุ่ยพูดเสียงแหบห้าว และยิ้มแย้มให้

เคล็ดวิชากระตุ้นวิญญาณ?

ในเวลานี้ หลินหานก็ได้"เห็น"ในความทรงจำของตัวเองมีเคล็ดวิชาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งบท

เคล็ดวิชากระตุ้นวิญญาณ เปรียบดั่งกุญแจสู่การฝึกตนของนักพรตวิญญาณ ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งมีค่า แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเปิดโซ่ตรวนแห่งการเริ่มต้น

ในเวลานี้ หลินหานจึงได้เข้าใจอย่างชัดเจน

ดูเหมือน ที่เขาไม่สามารถหาวิธีฝึกตนจากในเปลสไฟศักดิ์สิทธิ์สีทองได้ กลัวว่าคงเป็นเพราะขาด "กุญแจ" ดอกนี้

"ขอบคุณผู้อาวุโส ลุงกุ่ย"

หลินหานยกมือคำนับอย่างเคร่งขรึมและกล่าวว่า: "ต่อไปภายหน้าหากผู้อาวุโสต้องเผชิญกับความยากลำบาก ถ้าผู้น้อยมีพลังที่สามารถช่วยได้ จะต้องเข้าช่วยอย่างสุดพลัง"

หลินหานรู้ว่าลุงกุ่ยผู้นี้เห็นศักยภาพการฝึกเป็นนักพรตวิญญาณของเขา จึงมาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย

จะทำด้วยใจจริงก็แล้วแต่ หรือเพียงเพื่อประโยชน์ก็ช่าง

ไม่ว่าในกรณีใด ลุงกุ่ยผู้นี้ก็ช่วยตัวเขาได้มาก

หลินหานไม่ใช่คนที่อกตัญญู แต่เขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรหนักหนา ดังนั้น ตอนที่เขาสัญญาเมื่อครู่เขาจึงพูดว่า "ถ้าผู้น้อยมีพลังที่สามารถช่วยได้ จะต้องเข้าช่วยอย่างสุดพลัง"

คำสัญญานี้ ผ่านการคำนวณเล็กน้อย พอลุงกุ่ยได้ยินจึงหัวเราะเป็นธรรมดา แล้วพูดว่า: "มองไม่ออกเลย ว่าเด็กน้อยเช่นเจ้าจะมีเล่เหลี่ยมได้ขนาดนี้"

เป็นธรรมดาที่ลุงกุ่ยไม่ได้ใส่ใจ

สิ่งที่เขาต้องการ คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินหาน

สำหรับนักพรตวิญญาณ ทั้งรัฐเยียนเล็กๆนี้ หรือทั่วทั้งทวีปหลิงอู่ เรียกได้ว่าหายากมาก ทั้งยังสูงศักดิ์อีกด้วย

การต่อสู้ระหว่างนักพรตวิญญาณนั้นอันตรายอย่างยิ่ง มีสหายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ดีกว่าเพิ่มศัตรูอีกคนหนึ่ง

......

ยามค่ำคืน หลินหานกล่าวลาลุ่งกุ่ยและหลินหรูเยียน แล้วกลับไปยังเรือนของตัวเองทันที อดใจไม่ไหวที่จะเริ่ม "เคล็ดวิชากระตุ้นวิญญาณ"

คราวนี้ เขารู้สึกถึงความรู้สึกที่แตกต่างอย่างชัดเจน ราวกับวิญญาณของตัวเองตามจังหวะพิเศษ ไปผสานรวมเข้ากับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีทอง

สิ่งที่ทำให้หลินหานเปี่ยมปิติมาก คือ ภายใต้การชี้นำของเคล็ดวิชากระตุ้นวิญญาณ ในที่สุดวิญญาณของเขาก็เข้าสู่ภายในของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีทอง

"บูม"

ในเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ หลินหานไม่ได้มองเห็นภาพดินแดนอันกว้างใหญ่แต่ในโบราณเหมือนในอดีตที่เขาเคยเห็น แต่เขาได้มองเห็นหนังสือโบราณไร้รูปร่างและมืดมัวกำลังล่องลอยอยู่

หนังสือโบราณนั้นมีลักษณะเหมือนวิญญาณที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของความเนิ่นนานผ่านกาลเวลาและความโบราณกาล

ใจของหลินหานเต้นตุ้มๆต่อมๆ หนังสือโบราณนั้น เริ่มเปิดหน้าแรกอย่างช้าๆ

"เวิง"

ในขณะนี้ มีลูกตาที่เหมือนดวงวิญญาณปรากฏล่องลอยในหน้าแรกทันที

ทันใดนั้น ข้อความได้กรูเข้าไปในใจของหลินหาน

"เส้นทางแห่งนักพรตวิญญาณ ต่ำที่สุดคือนักพรตวิญญาณระดับหนึ่ง สูงที่สุดคือนักพรตวิญญาณระดับเก้า" คัมภีร์วิญญาณนภา" เป็นหนังสืออัศจรรย์เล่มแรกของนักพรตวิญญาณแต่โบราณกาล สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณกาล มีทั้งหมดเก้าหน้า แต่ละหน้าจะมีวิชาของนักพรตวิญญาณอันเป็นพิเศษ"

ดวงตาของหลินหานเป็นประกายสว่างขึ้น ลูกตาสภาวะวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในหน้าแรก ดูเหมือนจะเป็นพลังเวทย์พิเศษรูปแบบที่หนึ่ง

นี่ก็หมายความว่า เขาก้าวเข้าสู่การเป็นนักพรตวิญญาณระดับหนึ่งได้สำเร็จ!

ในเวลาต่อมา หลินหานใช้สภาวะจิตใจไปสื่อสารกับดวงตาที่อยู่ในสภาวะวิญญาณในหน้าแรกของ "คัมภีร์วิญญาณนภา" เขาสามารถเข้าใจการทำงานของมันได้ในทันที ลูกตานี้ทำให้เขาสามารถมองตรวจจับตบะของจอมยุทธิ์ได้

ความสามารถนี้ ตอนแรกเริ่มหลินหานคิดว่าเป็นเพราะผลจากเคล็ดวิชาจักรพรรดิมังกรไทกู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นความสามารถทางวิญญาณของเขาเอง

หลังจากนั้น หลินหานพยายามที่จะเปิดหน้าสองของ "คัมภีร์วิญญาณนภา" แต่ไม่ว่าจะเปิดมันอย่างไรก็เปิดไม่ได้ พลังวิญญาณไม่เพียงพอ

ทันใดนั้น หลินหานก็เข้าใจว่าหากวิญญาณอยู่ในระดับหนึ่งที่แน่นอน เขาจะสามารถเปิดหน้าสองได้ และก้าวสู่การเป็นนักพรตวิญญาณระดับสอง

เพียงแต่ วิธีการฝึกฝนจิตวิญญาณที่ได้จากลุงกุ่ย ขั้นแรก คือการจับอสูรวิญญาณจำนวนหนึ่งที่เกิดจากธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม วิญญาณของอสูรวิญญาณก็เหมือนกับนักพรตวิญญาณ นั่นคือพบเจอได้ยากมาก แม้แต่ในทวีปหลิงอู่ยังหายากมาก

ขั้นที่สอง คือการฝึกฝนตนเอง แน่นอน ความเร็วในการพัฒนาจะเชื่องช้าอย่างหาที่สุดไม่ได้

ก่อนลุงกุ่ยจากไป เขาบอกกับหลินหานในทุกๆขั้นตอนของนักพรตวิญญาณ แบ่งเป็น: ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสมบูรณ์

ในเวลานี้ เขารู้สึกลางๆว่าวิญญาณและจิตของเขายังอ่อนแอมาก

หลินหานรู้ ตอนนี้เขาทำได้แค่พยายามกระตุ้นวิญญาณให้สำเร็จ และถือเป็นเพียงนักพรตวิญญาณระดับหนึ่งเท่านั้น

เป็นนักพรตวิญญาณที่อ่อนแอที่สุด

แต่ในเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้หลินหานรู้สึกผิดหวัง

คืนนี้สามารถกระตุ้นวิญญาณได้สำเร็จ ทั้งยังได้รับ "คัมภีร์วิญญาณนภา" อันเป็นหนังสืออัศจรรย์แต่โบราณเล่มนี้ มิหนำซ้ำ ยังเปิดวิชาแรกในฐานะนักพรตวิญญาณที่ตัวเองเป็นผู้ครอบครอง นั่นคือลูกตาวิญญาณที่ล่องลอยในหน้าแรก หลินหานตั้งชื่อมันว่า "เนตรนภา"

เมื่อเนตรนภาลืมตา จะมองเห็นภาพลวงตา หัวใจของหลินหานรู้อย่างชัดเจน ว่าหากพลังวิญญาณของเขาแกร่งกล้ายิ่งๆขึ้น เนตรนภาจะไม่ใช่แค่มีผลในการมองทะลุตบะของจอมยุทธเท่านั้น

เวลาต่อจากนั้น

หลินหานยังคงนั่งฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิมังกรแห่งไท่กู่ต่อไปในที่พัก

ก่อนงานเลี้ยงน้ำชาแห่งวิถียุทธะเริ่มขึ้น อย่างน้อยเขาจะต้องก้าวสู่จุดสูงสุดในระดับยุทธปัญจสวรรค์ หรือกระทั่งก้าวสู่ยุทธฉะสวรรค์

ไม่อย่างนั้น คงยากที่จะเอาชนะหลินกู่เทียนที่ลึกลับและทรงพลังที่สุด เพราะแม้แต่อันดับสามอย่างหลินต้วนเจี้ยนยังสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย

วันต่อมา

ผู้อาวุโสทำเนียบภายในมาเยี่ยมอีกครั้ง นำห้าร้อยตำลึงทองและยาตันนิ่งหยวนมามอบให้

หลินหานสีหน้าเริงร่า รับยาตันนิ่งหยวนแล้วกลืนทันที แต่พบว่าหลังจากเคล็ดวิชาจักรพรรดิมังกรไท่กู่ได้ดูดกลืน ได้เพิ่มสสารถ่องแท้ขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ปรากฏการณ์นี้ทำให้หลินหานรู้สึกทึ่ง

แต่หลินหานค้นพบเหตุผลได้หลังจากที่ครุ่นคิดเล็กน้อย เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิมังกรไท่กู่ จนก่อเกิดสสารถ่องแท้แห่งพลังมังกรที่ทรงพลังและมากมายมหาศาล

ดังนั้น ทุกๆการทลายขอบเขตยุทธแต่ละครั้ง ต้องใช้พลังงานที่แข็งแกร่งอย่างเพียงพอในการทลายด่านอุปสรรค

เห็นได้ชัดว่ายาตันนิ่งหยวนไม่สามารถตอบสนองความต้องการในปัจจุบันของเขาได้อีกต่อไป

แม้ว่าเรื่องนี้ทำให้หลินหานมีความกังวล แต่เขาก็ยังรู้สึกมีความสุขในหัวใจ

ยิ่งเคล็ดวิชาจักรพรรดิมังกรไท่กู่ต้องการพลังงานที่ทรงพลังมากเพียงใด นั่นหมายถึง พลังต่อสู้หลังจากที่เขาทลายขอบเขตยุทธก็จะยิ่งทรงอานุภาพมากเท่านั้น เมื่อใดที่ทลายขอบเขตยุทธ ในระดับจอมยุทธด้วยกันเขาคงมีพลังปานทำลายล้าง

"เหลือเวลาอีกสี่วันก่อนจะถึงงานเลี้ยงน้ำชาแห่งวิถียุทธ ข้าต้องออกไปหาจังหวะทลายขอบเขตยุทธข้างนอก การรออยู่อย่างนี้ ไม่ใช่หนทางที่"

ดวงตาของหลินหานแสดงความเด็ดเดี่ยว

เขาต้องการที่จะเข้าสู่ป่าหม่างอีกครั้ง และต้องการเข้าไปให้ลึกกว่าครั้งที่แล้ว เพื่อมองหาสมุนไพรล้ำค่ามาช่วยให้เขาทลายขอบเขตยุทธ

เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินหานเดินออกจากที่พัก และเดินตรงไปในทิศทางหนึ่ง

ก่อนที่จะเข้าไปในป่าหม่างของเมืองต้วนเทียน เขาต้องการการเตรียมพร้อม เพราะคราวนี้หลินหานตั้งใจที่จะเข้าไปให้ลึกยิ่งขึ้น ซึ่งเปี่ยมอันตรายร้ายแรงมาก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด