ตอนที่แล้วตอนที่ 15 อยากอยู่ด้วยกัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 17 งานเทศกาล

ตอนที่ 16 การอยู่ร่วมกัน


ตอนที่ 16 การอยู่ร่วมกัน

 

ไม่ได้นอนเลย…

เสวี่ยหงเยว่กดข้อนิ้วลงกับหว่างคิ้วตัวเองไปพลางพ่นลมหายใจออกมา ความง่วงงุ่นอย่างแรงกล้าพยายามต่อสู้กับจิตใจด้านดีของเขา...และเขาต้องเลือกระหว่างการหลับในกับถ่างตาตื่นมานั่งฟังประชุม

กลับมาถึงบ้านของจงฉิงเจียก็มืดค่ำ กินข้าว อาบน้ำ ทำแผล กว่าอะไรจะเรียบร้อยจนนอนพักได้ก็กินเวลาไปมากโข อีกทั้งต้องรีบออกมาแต่เช้าก่อนเหอไป๋เทียนจะตื่น กลับโรงเตี๊ยมสลัดภาพของหงเกอกลับไปเป็นประมุขเสวี่ยหงเยว่เพื่อมาประชุมกับคณะหมู่บ้านให้ทัน

เพลียชนิดที่ไม่รู้จะเพลียยังไง

ในตอนนี้เขาอยู่ในศูนย์ประชุมของหมู่บ้านเพื่อมาประชุมการรับมือกับสัตว์ร้ายที่จะมาทำร้ายคนหาของป่า โต๊ะประชุมกำลังถกปัญหาหาทางแก้กันราวกับโต้วาที ที่จริงเขาเองก็ควรร่วมพูดคุยเหมือนกัน แต่ด้วยปัจจัยสภาพแวดล้อมตอนนี้แล้ว...แทบไม่อยากทำงานเอาเสียเลย

ลมเย็นพัดม่านพริ้วไหว ดอกไม้ป่าลอยหอมฟุ้งชวนเคลิ้ม ไอดินกลิ่นหญ้าแห่งธรรมชาติกำลังพาสติของคนคนง่วงให้หลุดลอย เสียงพูดคุยแทบไม่เข้าหัว เสวี่ยหงเยว่แสร้งตีสีหน้าครุ่นคิดคล้ายว่าเครียดกับการประชุม ทั้งที่ความจริงแล้วใกล้จะหลับใน

“ข้าคิดว่าพวกเราควรจัดกำลังออกตามล่าหรือไม่ก็เข้าไปสำรวจตรงป่าส่วนนั้นเพื่อให้รู้ว่ามีสัตว์ร้ายกี่ตัว”

“นั่นมันเป็นอันตรายต่อสัตว์ป่าและระบบนิเวศไม่ใช่หรือ ข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดเช่นนี้”

“มัวแต่ห่วงระบบนิเวศ...ท่านจะรอให้มันลงเขาบุกมาทำร้ายคนในหมู่บ้านก่อนหรือไร”

ใจอยากจะเข้าไปร่วมโต้วาทีมาก แต่ตอนนี้เขากลับจับประเด็นอะไรในห้องประชุมไม่ค่อยอยู่ เสียงพูดคุยพวกนั้นมันค่อยๆ ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ ใครพูดอะไรกันบ้าง เคร่งเครียดขนาดไหน หรือต่อให้มีการทะเลาะกันหนักหน่วงสักแค่ไหน สิ่งที่เขารับรู้ก็เหมือนกับเห็นเป็นภาพซีเปียเบลอๆ ไปหมด

ตาจะปิดแล้ว ทำไมโลกนี้ถึงไม่มีการนำเข้ากาแฟ...

“ประมุขเสวี่ยขอรับ” แล้วเสียงหนึ่งก็ปลุกคนหลับในให้ตื่นขึ้น เหมินจิ้นเค่อนั่นเอง เขามองหน้าของเสวี่ยหงเยว่คล้ายจะขอความช่วยเหลือเพราะห้องประชุมตอนนี้เริ่มมีเสียงแตกออกมาหลายเสียงและทะเลาะจนแทบจะวางมวยกันแล้ว

เมื่อเห็นภาพเหล่านั้นเสวี่ยหงเยว่ถึงกับตื่น เขายืดหลังนั่งตัวตรง จับจ้องคนจำนวนมากในห้องประชุม ต่อให้ในใจรู้สึกผิดเหลือจะกล่าวแต่เขาก็ต้องทำทีจริงจังหนักแน่น แสร้งว่าฟังทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้แอบหลับในแม้แต่น้อย

“หากพวกเจ้าเห็นสภาพข้าตอนนี้แล้ว...คงมองออกว่าเมื่อวานข้าได้พบกับสัตว์ร้ายนั้นแล้ว” เมื่อพูดจบเสวี่ยหงเยว่ก็ได้ยินเสียงฮือฮาจากคณะกรรมการหมู่บ้าน

พวกเขาสงสัยกันอยู่แล้วว่าทำไมประมุขเสวี่ยถึงมีแผลตามเนื้อตัวมากมายขนาดนี้ตอนมาประชุม...แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถามอะไร ยิ่งมารู้ว่าเป็นเพราะเจอสัตว์ร้ายก็ยิ่งสร้างความตระหนกตกใจได้มากกว่าเดิม!

“ในเมื่อข้ามีบาดแผลเหล่านี้เป็นหลักฐานแล้ว...ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะเชื่อฟังในสิ่งที่ข้าพูดต่อจากนี้” ตามเนื้อตัวของเขายังหลงเหลือร่องรอยของการต่อสู้อยู่ ต่อให้ทำแผลอย่างเรียบร้อยและแต่งกายในชุดประจำกายของประมุขเสวี่ยอยู่แต่มันก็เก็บซ่อนความสะบักสะบอมนี้ไม่ได้

ที่จริงแล้วบาดแผลที่ได้จากหมาป่านั้นมันก็มีแค่แขนจุดเดียว...แต่ก็ตีเนียนว่าไปบุกป่าฝ่าดงสู้ได้อยู่

เขาวางถุงบรรจุของบางอย่างลงบนโต๊ะประชุม สั่งให้สักคนที่เขาจำชื่อไม่ได้เปิดดูของข้างใน ซึ่งสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นคือขนเนื้อละเอียดเรียงตัวสวยแม้ว่าจะถูกอัดอยู่ในถุงอย่างหนาแน่นก็ตาม อีกทั้งเมื่อแสงแดดส่องกระทบ เส้นขนพวกนั้นมันก็มีประกายเหลือบหลากสีราวกับรุ้งเกิดขึ้นมา

มันเป็นขนจากสัตว์ไม่ผิดแน่ แต่ก็มาจากสิ่งมีชีวิตที่หาได้อยากยิ่ง

“มันเป็นขนจากสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์บนโลกใบนี้” เขาเอ่ยตอบ เพื่อนำมาใช้เป็นข้อโต้แย้งในการประชุม เขาได้สอบถามข้อมูลของสัตว์ตัวนั้นมาจากเหมยฉีมาหมดแล้ว

“หมาป่าพระจันทร์สีนิล”

เมื่อได้ยินคำตอบผู้อาวุโสบางท่านที่เกิดทันยุคของหมาป่าพระจันทร์สีนิลก็ทำหน้าตกใจเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์หายากชนิดนี้คือหมาป่าขนาดยักษ์ที่มีนิสัยดุร้ายและความดุร้ายของมันนั้นเองเป็นเหตุที่ทำให้ใกล้สูญพันธุ์จากน้ำมือของมนุษย์...

ทุกอย่างก็เพื่อความปลอดภัยของสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์

“ถ้าเช่นนั้นเราควรจัดตั้งกองกำลังออกตามล่า…!?” แต่แล้วข้อเสนอแนะนั้นก็ชะงัก เมื่อโดนสายตาเหยียดจากเสวี่ยหงเยว่มองใส่จนตัวชา

“แต่พวกเรากำลังรุกรานสัตว์ตัวนั้นก่อนไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าก็ได้ยินคำสารภาพของผู้รอดชีวิตแล้วนี่ ทำไมเขาถึงออกไปนอกเขตทำกิน ทำไมถึงบาดเจ็บหนักกลับมา” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยกล่าว

เขาให้เหมินจิ้นเค่อทำทีเป็นเจ้าหน้าที่สอบถามผู้รอดชีวิตว่าเจอสัตว์ร้ายนั่นที่ไหน แน่นอนว่าคนทำความผิดย่อมตีเบลอไม่ยอมบอกความจริง ไม่ได้ไม่ดีก็ปฏิเสธเสียท่าเดียว แต่มีหรือที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอบสวนอย่างนายทัพเหมินจะปล่อยไป แค่ใช้กลวิธีส่วนตัว (?) เพียงเล็กน้อยคำสารภาพก็พร่างพรูออกมาจนหมด

และเป็นอย่างที่เสวี่ยหงเยว่คาดเดาไว้ทุกอย่าง คนพวกนั้นออกนอกเขตทำมาหากินเพื่อตามหาล่าสมบัติในตำนานจริงๆ

เสวี่ยหงเยว่ทำหน้าปลง คิดในใจ ถ้าพวกนั้นได้ลงดันเจี้ยนน้ำตกอย่างที่เขาลง ขี้คร้านจะวิ่งกลับไปกอดขาเจ้าหมาป่าแทบไม่ทัน...

“หลังจากนี้ไปข้าจะกางอาณาเขต จำกัดพื้นที่การออกทำมาหากินของพวกเจ้าไม่ให้ออกเส้นทางไปถึงสถานที่อยู่ของหมาป่านั้นอีก” คำตัดสินของเสวี่ยหงเยว่ทำให้ที่ประชุมร้องฮือด้วยความตกใจ “เหตุใดจึงส่งเสียงเช่นนั้น ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของสัตว์ที่ควรสงวนและความปลอดภัยคนในหมู่บ้าน ไม่ดีหรือ?”

“แต่มันทำร้ายเรา ต่อให้เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์แต่ก็ต้องกำจัดเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์นะขอรับ--!” คนใจกล้าคนหนึ่งเอ่ยแย้งทันทีอย่างไม่เห็นด้วย ก่อนจะเงียบกริบสนิทเพราะโดนมองแรงใส่

สร้างบรรยาการเย็นเฉียบให้กับที่ประชุมจนไม่มีใคนกล้าเอ่ยแทรก

ประมุขเสวี่ยพ่นลมหายใจยาวออกมา ท่าทางเขาดูเหนื่อยหน่าย บางครั้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสิ่งมีชีวิตชนชั้นตัวประกอบถึงชอบมีบทพูดอะไรโง่ๆ ให้ชวนคิ้วกระตุกอย่างนี้อยู่เรื่อยกันนะ

“ความอยู่รอด...ของมนุษย์ที่ไประรานการใช้ชีวิตของสัตว์อื่นหรือ หากไม่รู้จะพูดอะไร ช่วยคิดดีๆ ก่อนจะออกความเห็นเถิด ข้าไม่ได้ใจร้อนกับการสนทนาหรอกนะ” ความสุภาพของเสวี่ยหงเยว่ค่อยๆ จางลง น้ำเสียงเริ่มเข้มและดุดันขึ้นคล้ายจะดุเพื่อให้คณะกรรมการ...ตัวประกอบพวกนั้นได้คิดและจะได้ไม่แสดงความเห็นอะไรโง่ๆ ออกมาอีก

“ตอนที่ข้าพบหมาป่าตัวนั้นมันก็อยู่อย่างสงบในที่ของมัน แต่เพราะข้าล้ำเส้นข้าจึงถูกทำร้าย” พูดพร้อมกับยกแขนข้างที่ถูกคมเขี้ยวของหมาป่าให้ที่ประชุมได้เห็น

อันที่จริงก็ไม่สงบเท่าไร เจ้าหมานั่นพุ่งเข้ามาหาเขาทันทีที่เจอหน้า แต่บางครั้งการใส่ไข่โกหกมันก็เป็นหนทางจำเป็นในการโน้มน้าวคน

“ลองนึกดูซิ สัตว์ชนิดนี้ใช้เวลากี่ปีถึงจะโตเต็มวัยและเราทำอาชีพหาของป่ามานานกี่ปี? ทำไมการทำร้ายถึงเพิ่งเกิดขึ้นทั้งที่เราทำมาหากินเช่นนี้ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ไม่ใช่ว่าเพราะเราออกนอกเขตไปรุกรานมันก่อนหรือ?”

เขาคลายสายตาเย็นชาและน้ำเสียงดุลง ดูสงบจากเมื่อครู่ ค่อยๆ เอ่ยพูดด้วยสำเนียงที่อ่อนลงมาขึ้นเพื่อทำการโน้มน้าวจิตใจ

วางตัวน่าเชื่อถือและโน้มน้าวด้วยโทนเสียงที่ชวนฟัง คือสิ่งที่คนเป็นเซลส์ถนัดดีนักแหละ

“ต่างคนต่างอยู่ก็ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกันอย่าให้ความโลภหรือความกลัวตายบังตาเลย พวกเจ้าจงลองตรึกตรองคิดให้รอบคอบ โลกใบนี้ใช่ว่าจะมีแต่มนุษย์อาศัยอยู่ เหล่าสัตว์น้อยใหญ่ต่างยอมเสียสละร่างกายเพื่อเป็นอาหารให้พวกเรา แล้วทำไมเรื่องง่ายๆ อย่างการที่ไม่รุกรานที่อยู่ของเขา เรากลับทำให้เพื่อนร่วมโลกไม่ได้เล่า”

รอยยิ้มบางเบาที่หาได้ยากยิ่งจากประมุขเสวี่ยทำให้ถ้อยคำเหล่านี้ดูมีน้ำหนัก คณะกรรมการหมู่บ้านมีท่าทางอึกอัก หากแต่ก็ต้องยอมรับ

คำพูดของเสวี่ยหงเยว่นั้นเสียดแทงหัวใจให้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากมายนัก

และการประชุมครั้งนี้ก็จบลงไป โดยไม่มีใครแย้งเสวี่ยหงเยว่เลยสักคน

 

เมื่อการประชุมเสร็จสิ้น เขาก็ต้องรีบกลับมายังโรงเตี๊ยม เปลี่ยนเสื้อผ้าและสีผมของตัวเองให้เป็น ‘หงเกอ’ เพื่อกลับไปหาเหอไป๋เทียน แต่ทว่าเมื่อไปถึง จงฉิงเจียกลับบอกว่าตอนนี้เหอไป๋เทียนออกไปทำธุระอีกสักพักจะกลับมา ทำให้เสวี่ยหงเยว่ต้องหาอะไรทำฆ่าเวลา

ตอนนี้เสวี่ยหงเยว่จึงอยู่ที่หลังร้าน นั่งหน้ามันถือพัดโบกหวี่อยู่หน้ากองไฟ เขากำลังเผาขนของหมาป่าที่เขานำมาใช้ต่างพยานอยู่ แม้จะรู้สึกเสียดายเพราะสีดำเหลือบแสงนั้นสวยมาก แต่เพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมาทีหลังเขาจะต้องทำลายไม่ให้มีหลงเหลือ

ขนเหล่านั้นเป็นขนที่เขาได้มาจากหมาป่าตัวนั้นก็จริง แต่เขาไม่ได้ฆ่าหรือทรมาณเพื่อดึงขนมันมาเป็นหลักฐานแต่อย่างใด

อย่างที่ทราบกันดีว่าเขาและเหอไป๋เทียนบาดเจ็บ อีกทั้งเส้นทางจากน้ำตกไปถึงเมืองนั้นสลับซับซ้อน เหมยฉีจึงให้หมาป่าตัวนั้นพาพวกเขาไปส่งที่ชายป่า ไม่ใกล้พอให้คนในหมูบ้านพบเจอ แต่ก็ไม่ไกลสำหรับการเดินทางของคนเจ็บ

เป็นการตกลงที่ยุติธรรมดีก็จริงแถมการได้ขี่หลังหมาป่ายักษ์มันก็เป็นประสบการณ์ชีวิตอันแปลกใหม่ แต่มันก็ดันติดขัดตรงที่…

กลิ่นสาบหมามันเกินจะทานทน

หากต้องร่วมทางกันจริงๆ เขาคงเป็นลมตายเพราะกลิ่นสาบแน่ เสวี่ยหงเยว่จึงได้พา (จนเหมือนถูลู่ถูกัง) หมาป่าไปอาบน้ำแปรงขนใหม่ให้ตัวหอมฟุ้งก่อนออกเดินทาง ขนที่เอามานั่นก็เป็นผลพวงจากการอาบน้ำแปรงขนให้นั่นแหละ

เสวี่ยหงเยว่ถอนหายใจระหว่างที่มองก้อนขนพวกนั้นไหม้เป็นเถ้า

แม้การประชุมจะจบลงโดยที่ความคิดเห็นของเขาเป็นฝ่ายชนะ ทว่าเขาก็ไม่รู้ว่ามีคณะกรรมการหมู่บ้านเห็นด้วยกับเขาอย่างจริงใจสักแค่ไหน จะมีคนไม่พอใจกับการตัดสินใจของเขาหรือเปล่า ฟีดแบ็คจากชาวเมืองหลังประกาศออกไปจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ผลสรุปมันก็ออกมาแล้ว เขาเลือกวิธีการที่ดีที่สุดและส่งผลเสียหายต่อส่วนรวมน้อยที่สุดแล้ว

การขึ้นเป็นผู้นำอะไรสักอย่างมันก็เหนื่อยเหมือนกันนะ...รู้สึกอยากกลับไปเป็นปุถุชนคนชั้นธรรมดาที่ไม่ต้องรับผิดชอบบ้านรับผิดชอบเมืองอย่างบอกไม่ถูก

“หงเกอ ทำอะไรหรือขอรับ?” เสียงใสดังข้างหลังกับลมหายใจแผ่วเบาคลอเคลียระดับใบหูอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เสวี่ยหงเยว่สะดุ้งตกใจ เขาลืมรักษามาดผู้ดีเอามือจับหูตัวเองรีบหันไปมองอย่างเลิกลั่ก

“น้องทำให้หงเกอตกใจหรือ?” เป็นเหอไป๋เทียนนั่นเอง เขากำลังยืนอยู่ด้านหลังกอดเสี่ยวจูเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอันใสซื่ออย่างเช่นทุกที...ท่าทางที่น่าเอ็นดูจนคนโดนทักระยะประชิดโกรธไม่ลง

เสวี่ยหงเยว่พ่นหายใจออกมาระหว่างที่พยายามทำใจให้เย็นลง ความตกใจมันทำให้หัวใจเขาเต้นแรงดังตุบๆ จนหน้าอกแน่นไปหมด

น้องครับ น้องกำลังจะทำคนแก่หัวใจหยุดเต้นนะครับ!

“อืม...ไม่มีอะไรหรอก” เสวี่ยหงเยว่กระแอมเล็กน้อยกลบสีหน้าตื่นตระหนก พอพูดจบก็กระดิกนิ้วเรียกให้มานั่งข้างๆ ซึ่งเหอไป๋เทียนก็ทำตามอย่างว่าง่าย พวกเขาทั้งสองมองดูกองไฟที่ใกล้จะมอดดับ บรรยากาศทิ้งช่วง เป็นความเงียบที่ไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาเช่นไร

“ที่จริงน้องมีบางอย่างอยากจะถามหงเกอ...น้องถามได้ไหมขอรับ” สุดท้ายคนเริ่มก็คือเหอไป๋เทียนด็กชายหันมองคนข้างตัวเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหงเยว่พยักหน้าอนุญาตเขาจึงเอ่ยปากถาม

“วิชาที่ยันต์ที่หงเกอใช้ในถ้ำ เป็นวิชาของสกุลเสวี่ยใช่ไหมขอรับ?”

และถามด้วยถามคำถามที่ทำให้เสวี่ยหงเยว่ชะงักไปทันตา!

แม้จะทำหน้านิ่งสักแค่ไหนแต่เขาก็ตกใจจนแทบกัดลิ้นตัวเองอยู่รอมร่อ ในหัวคิดนั่นคิดนี่ปั่นป่วนอย่างคนไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวอย่างไรดี สถานการณ์มันฉุกละหุกทำให้เขาลืมว่าตัวใช้วิชายันต์ของสกุลเสวี่ยกับจิตอาฆาตนั้นต่อหน้าเหอไป๋เทียน

ทั้งที่ต้องปกปิดสถานะของตัวเองแต่ดันใช้วิชายันต์กำจัดจิตอาฆาตที่เป็นจุดเด่นของสำนักเสวี่ย!

จะแถยังไงดีละเนี่ย...

ดวงตาสีทองจับจ้องอย่างไร้เดียงสา เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าภายใต้หน้ากากนิ่งเฉยเสวี่ยหงเยว่กำลังเครียดมากแค่ไหน

“หงเกอเป็นศิษย์ของสำนักเสวี่ยหรือขอรับ”

สิ้นคำนั้นก็ดูราวกับมีแสงสว่างส่องลงมาจากฟ้า เป็นดังสายทิพย์เปิดดวงตาเห็นธรรม ชี้แนะแนวทางการเอาตัวรอดให้กับเสวี่ยหงเยว่

“ชะ...อะ...อื้ม ใช่แล้ว ข้าเป็นศิษย์ของที่นั่น” ตอบรับทันทีแล้วแสร้งทำเป็นภูมิใจ “อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนบนเขาเสวี่ย ต้องเป็นศิษย์สำนักบ้านเกิดตัวเองอยู่แล้ว”

เขามองดูสายตาที่เป็นประกายของเหอไป๋เทียนแล้วก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย เด็กคนนั้นเชื่อเขาอย่างสนิทใจซ้ำยังเอ่ยปากชมในเรื่องโกหกของเขา ‘หงเกอเก่งอย่างนั้น หงเกอเก่งอย่างนี้’ อยู่ไม่ขาดปาก

เอ้ย! ไม่! ไม่สิ! ไม่ใช่! เขาไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น เขาเกิดและโตบนเขาเสวี่ยที่นี่เป็นบ้านเกิดของเขาและยังได้ร่ำเรียนตำราวิชาสำนักอย่างเคร่งครัดเทียบเท่ากับศิษย์มาโดยตลอด นั่นก็เท่ากับว่าเขาก็เป็นศิษย์คนหนึ่งเช่นกัน!

แม้ว่าศิษย์คนนั้นจะพ่วงสถานะประมุขอยู่ก็ตามที่เถอะ...

ช่วงนี้งัดวิชาหลอกตัวเองมาใช้บ่อยเกินไปแล้ว...

“ฉิงเจียบอกว่าเจ้าไปทำธุระ...ธุระอะไรงั้นหรือ?” เมื่อเริ่มรู้สึกว่าหลอกตัวเองไม่ได้ผลอีกทั้งสายตาใสซื่อของเหอไป๋เทียนก็ช่างทิ่มแทงจิตใจ เสวี่ยหงเยว่จึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“น้องกลับไปเอาของที่โรงเตี๊ยมขอรับ ตั้งใจว่าพอบาดแผลหายดีแล้ว น้องจะออกเดินทางต่อ” คำตอบที่ได้ยินทำให้เสวี่ยหงเยว่เงียบไปชั่วครู่ เขาลืมไปเสียสนิทว่าในตอนนี้เหอไป๋เทียนกำลังอยู่ในช่วงเดินทางฝึกวิชาอยู่

“ออกเดินทางงั้นหรือ?” แม้จะรู้อยู่แล้ว แต่เสวี่ยหงเยว่ก็แสร้งถาม เขาทำตัวประหนึ่งชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้ธรรมเนียมของสามสกุล

“สกุลของน้องน่ะมีธรรมเนียมให้ทายาทออกเดินทางหนึ่งปีก่อนเข้าพิธีบรรลุนิติภาวะอยู่” เหอไป๋เทียนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกอดเสี่ยวจูเอาไว้ เพื่อไม่ให้มันเข้าใกล้กองไฟ และเพื่อระบายความรู้สึกอันอัดแน่นอยู่ในอกตัวเอง “มันเหมือนกับการศึกษาหาวิชานอกรั้วบ้านก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่น่ะขอรับ”

“สกุลเหอนี่ก็ลำบากเหมือนกันนะ” แม้เขาจะรู้จักธรรมเนียมนี้อยู่แล้ว ทั้งจากการเป็นคนในสกุลใหญ่และจากการอ่านเรื่องย่อ แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันลำบากสำหรับเด็กอยู่ดี...

เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะด่าบรรพบุรุษสกุลเหอหรือยัยคนแต่งเรื่องนี้ก่อนดี การให้เด็กตัวแค่นี้ออกเดินทางคนเดียวมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ถึงจะบอกว่าให้เรียนรู้โลกภายนอก แต่มันก็ยังอันตรายอยู่ดี ยิ่งนึก...เขาก็ยิ่งหงุดหงิด

แม้จะอยู่บนโลกเดียวกันแต่กฏหรือธรรมเนียมของแต่ละสกุลก็มีความต่างกันไป สกุลหนึ่งก็มีกฏหนึ่ง อีกสกุลก็มีอีกกฏหนึ่ง ยกตัวอย่างที่เห็นชัดก็กฏของผู้ยังไม่บรรลุนิภาวะของสกุลเหอและสกุลเสวี่ยนั่นไง ในขณะที่เสวี่ยหงเยว่โดนจำกัดพื้นที่ให้อยู่แค่ในเรือนแต่เหอไป๋เทียนกลับต้องเดินทางไกลบ้านไกลเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย

มันเป็นเรื่องที่เขาช่วยไม่ได้ ในเมื่อเซ็ตติ้งของโลกใบนี้มันแบบแบบนี้

“ถามว่าลำบากไหม น้องคิดว่าสิ่งที่ลำบากที่สุดคือการที่ไม่รู้จะไปที่แห่งใดมากกว่า”

เขาเดินทางมาสักพักแล้ว ออกจากเมืองสังกัดสกุลเหอขึ้นเรือเดินทางเรื่อยมาจนถึงเขาเสวี่ย เรียนรู้หลายสิ่งมากมายทั้งความเป็นอยู่ที่ไร้ซึ่งความสะดวกสบาย ทั้งวิชาที่ไม่เคยมีในตำราสกุล ตั้งใจบ้าง เที่ยวเล่นบ้าง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังหาเป้าหมายหรือจุดประสงค์ในการเดินทางไม่ได้

จนกระทั้ง...เดินทางมาถึงที่นี่ เหอไป๋เทียนคิดว่าตัวเองได้พบกับจุดหมายของตัวเองแล้ว

“ถ้าเจ้าไม่รู้จะไปที่ไหน...ก็อยู่ที่นี่เถอะ...” เสวี่ยหงเยว่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาเรียกให้เด็กชายที่กำลังครุ่นคิดเงยหน้าขึ้นมาทันที เหอไป๋เทียนชะงัก ถ้อยคำทุกอย่างที่เสวี่ยหงเยว่ลอยวนซ้ำไปซ้ำมาในหัว ถ้อยคำที่บอกว่าให้อยู่ที่นี่...มันทำให้หัวใจเขาพองโตขึ้นมา

แล้วน้ำตาเม็ดโตก็ไหลออมาจากดวงตาสีทอง เหอไป๋เทียนร้องไห้ออกมาโดยไม่ตั้งใจ ไหล่นั้นสั่นไปหมดจากอาการสะอื้น เขาอยากอยู่ที่นี่ต่อแต่ไม่กล้าขอ เพราะต่อให้ผ่านพ้นเรื่องอันตรายมาด้วยกันมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็เป็นเพียงเด็กแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียว

การที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้มันทำให้เขาดีใจ ...และโล่งอกที่ไม่ต้องลาจากกับอีกฝ่าย ความรู้สึกทุกๆ อย่างมันกลั่นกรองออกมาเป็นหยดน้ำไหลออกจากตา

และเขา...ก็ห้ามมันไม่อยู่อีกต่อไป

“น้อง...น้องอยู่ที่นี่ได้เหรอขอรับ?”

“ได้สิ...แต่ข้าทำงานให้กับสกุลเสวี่ย ข้าคงลงมาหาเจ้าได้ไม่บ่อยนัก” ฝ่ามือของเสวี่ยลูบเส้นผมสีดำขลับนั้นอย่างแผ่วเบา เขามีงานหลวงมากมายในสถานะประมุขที่ต้องทำ มีทั้งช่วงที่รัดตัวจัดจนขยับไปไหนไม่ได้ หากไม่ทำงานให้เรียบร้อยก็ปลีกตัวเที่ยวเล่นลำบาก

“แต่หากข้ามีเวลาว่าง ข้าจะลงจากสำนักมาหาเจ้าแบบนั้นได้ไหม?”

เหอไป๋เทียนรีบพยักหน้า แค่บอกว่าจะเจียดเวลาว่างมาหาเขานั่นก็ถือว่าดีมากแล้ว

“เอาล่ะ...หยุดร้องไห้ได้แล้วเด็กดี” เสวี่ยหงเยว่มองเด็กชายที่ดีใจจนร้องไห้แล้วก็นึกเอ็นดู ต่อให้อนาคตจะโตขึ้นเป็นแบบไหน เหอไป๋เทียนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ก็เป็นน้อยใจสะอาดแสนบอบบางอยู่ดี

โดนแซวแบบนั้นเหอไป๋เทียนก็กระหวัดตาใส่ งอนนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมา

“ขอรับ”

เสวี่ยงหงเยว่ไม่รู้ว่าการที่ตนชักชวนให้เหอไป๋เทียนอยู่ที่นี่จะเป็นผลดีหรือไม่

แต่เขาปล่อยไปไม่ได้ หากปล่อยให้เดินทางไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้จะได้เจอกับอะไรบ้าง ต่อให้กลายเป็นพระเอกเทพ เก่งขึ้นอย่างจมหูก็จริง แต่สภาวะทางจิตใจเล่า...เด็กตัวแค่นี้คลาดสายตาผู้ใหญ่ไปไม่แคล้วโตมาเป็นพระเอกปมหนาปัญหาเยอะ...

สู้เอามาไว้ใกล้ตัว อยู่ใกล้หูใกล้ตาคนไว้ใจได้ แล้วคอยฝึกฝนให้เก่งไปเรื่อยๆ เสียจะดีกว่า อย่างไรซะในเรื่องย่อก็ไม่ได้ระบุว่าไปฝึกที่ไหนฝึกอย่างไรหรือเจออะไรบ้าง ในเมื่อตั้งใจจะแทรกแซงบทเพื่อนสมัยเด็กแล้วก็จะต้องทำให้สุด หากเหอไป๋เทียนเก่งเพราะเจอเพื่อนคนนั้น เขาก็จะทำให้ให้เหอไป๋เทียนเก่งเพราะเขาให้ได้ แถมเลี้ยงดีๆ ลดปมในใจพระเอกบ้าง มันก็น่าจะสบายแรงนางเอกในอนาคตด้วย

เห็นไหมล่ะ ทำแบบนี้ก็ได้ผลประโยชน์ทั้งสองทาง

...เขาคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้น...

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด