ตอนที่แล้วบทที่14: งักฮัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่16: งักหลิว

บทที่15: งักเจียง


บทที่15: งักเจียง

ตั้งแต่จำความได้งักเจียง คุณชายรองของสกุลงักจะเป็นคนสำคัญเสมอ ไม่ว่ากับใคร ทั้งคนภายในบ้าน นอกกำแพงคฤหาสน์หรือกระทั่งในบ่อน จะทำอะไรหรือต้องการสิ่งใด ทุกอย่างมักได้สมดังใจ

ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งเขาคิดว่าเพราะงักหลิวที่เป็นพี่ชายคนโตเกิดมาพร้อมร่างกายที่อ่อนแอ จำได้ว่าครั้งหนึ่งเมื่อตอนแปดขวบ เขาเห็นงักหลิวที่มีอายุมากกว่าสองปีกระอักออกมาเป็นเลือดขณะที่กำลังนั่งทานข้าวอยู่ดีๆ ก่อนที่จะสลบไป

เหตุการณ์วุ่นวายจนบิดาต้องรีบให้บ่าวไปตามหมอมา มารดาเอาแต่นั่งร้องไห้ เขาไม่แน่ใจว่าเมื่อหมอมาดูอาการแล้ววินิจฉัยโรคยังไง แต่หลังจากนั้นบิดามารดาก็ดูจะใส่ใจเขาเป็นพิเศษ ราวกับว่าตนคือผู้สืบทอดสกุลในรุ่นต่อไป

พอโตมาหน่อยงักเจียงถึงได้แอบรู้ ว่าโรคที่พี่ใหญ่เป็นมีโอกาสตายได้ตั้งแต่อายุสิบห้าปีบริบูรณ์ ถึงนี่จะผ่านมานานมากกว่าที่หมอกล่าวไว้ร่วมสิบกว่าปีโดยที่งักหลิวไม่ตายไป ทว่าร่างกายของพี่ก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาเห็นพี่ต้องกินอะไรอย่างจำกัด ทำอะไรอย่างระวัง อาการเย็นห้ามออกจากห้อง อาการร้อนห้ามอยู่ลำพัง เกิดลมฝนห้ามให้ต้องกาย เหมือนมีชีวิตโดยไร้ชีวิต

ลึกๆ เขาสงสารพี่ใหญ่นะ เพราะมีสุขภาพแบบนั้นทำให้งักหลิวกลายเป็นคนขี้กังวล เคร่งเครียดและไร้ความสุข บางทีหากตายไปเลยตั้งแต่แรก อาจจะดีเสียกว่า...

กล่าวถึงคนที่ควรตาย ก็ทำให้นึกถึงคนที่ไม่ควรอยู่ เสี่ยวจือ สตรีที่เขาไม่นับญาติแต่ดันเป็นหอกข้างแคร่อยู่ข้างกายท่านย่าตลอดเวลา พอนึกถึงนางคนนี้ก็พาลให้หัวเสีย รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งไป

คนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจได้นอกจากการไปผ่อนคลายที่บ่อน คงมีเพียงงักโยว น้องชายคนเล็กของตน ถ้าให้พูดตามความรู้สึกจากใจ เขาเอ็นดูน้องคนนี้ที่สุด น่าเสียดายเพราะเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในวันที่บิดามารดาตาย ทำให้น้องชายคนนี้กลายเป็นคนเสียสติคุ้มดีคุ้มร้าย เสียดายที่สถานะทางบ้านไม่ได้ดีเช่นดังเมื่อก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงรบเร้าให้ท่านย่าพาหมอมารักษาน้องให้หายดีดั่งเดิม

พูดถึงท่านย่าก็มีเรื่องให้ไม่สบายใจ ทั้งการปล่อยปละละเลยให้อิสระกับคนในบ้านมากจนเกินไป ทั้งเสี่ยวจือ ทั้งงักฮัว น้องคนที่เขาไม่อยากยุ่งด้วยมากที่สุด

จำได้เมื่อตอนที่เขาอายุสิบสี่ อยู่ๆ มารดาก็ท้องน้องคนนี้ นับเป็นลูกหลงที่อายุห่างจากพี่ทุกคนเกือบสิบปี ตอนที่งักฮัวเกิด เป็นปีเดียวกันกับที่เกิดอาเพศครั้งใหญ่ทั่วแผ่นดิน มีแต่ความวุ่นวาย ท้องฟ้าเต็มไปด้วยฝนเลือด แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เขาไม่อยากข้องเกี่ยวกับน้องคนนี้

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกกับนางมาจากพฤติกรรมประหลาดและข่าวลือจากคนที่เคยเห็นนางเข้าไปในป่าแห่งนั้น เขาได้ยินจากคนในบ่อนร่ำลือ จึงลองแอบตามไปพิสูจน์ด้วยตา ก็เห็นเป็นจริงดังนั้น

ยิ่งในตอนนี้มีคดีห้าสิบสองศพที่ถูกแขวนคอตายปริศนาตรงกำแพงนอกด่าน ซึ่งอยู่ติดกับอีกด้านของป่าที่ว่า ยิ่งทำให้มีคนซุบซิบในทำนองที่ว่างักฮัวมีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกวันนี้สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดคือการที่ตื่นเช้ามาแล้วจะมีเจ้าหน้าที่มือปราบมาตามตัวนางไปสอบปากคำเกี่ยวกับคดีดังกล่าว เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ชื่อเสียงของสกุลต้องหม่นหมองลงไปอีก

และเพราะเป็นเช่นนั้น เขาจึงปล่อยปละละเลยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็ยังถูกนับเป็นคนในสกุล เป็นน้องคนหนึ่งของเขาอยู่ดี เขาที่ถูกคาดหวังให้เป็นผู้นำครอบครัวในรุ่นถัดไป จึงมีหน้าที่ต้องแก้ไขเรื่องนี้ และตามความคิดของงักเจียง เงินทำได้ทุกอย่าง

ทว่าวิกฤตของสกุลที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คือ สถานะทางการเงินที่ย่ำแย่ลง ไม่ได้ร่ำรวยเช่นเหมือนก่อน เขายอมรับว่าตนเองก็มีส่วน ที่ทำให้เงินทองในกองกลางลดลงไปมาก แต่เหตุผลหลักน่าจะมาจากบ่าวรับใช้ที่มีมากเกินจำเป็น ท่านย่าไม่คิดจะขับไล่ใครออกไป ถึงอย่างนั้นเขาก็คิดที่จะรับผิดชอบ และวิธีแก้ไขที่เขาคิดออก คือการหาสมบัติที่ถูกเก็บซ่อนไว้ของสกุล

มีข่าวลือมาช้านานว่าบรรพชนของเขาเก็บซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายหลังการโดยใส่ร้าย เพราะไม่ต้องการให้ราชสำนักที่หักหลังตนและขุนนางกังฉินยึดเอาไป

งักเจียงรู้ว่ามันมีอยู่จริงและถูกซ่อนไว้ไม่ไกลเกินพื้นที่ของสกุล เมื่อไม่นานมานี้ เขาได้เจอแผนที่นั่นโดยบังเอิญ มันถูกเก็บไว้อยู่ในฐานพระพุทธรูปที่เขาตั้งใจจะเอาไปจำนำเพื่อหาเงินใช้หนี้พนันในบ่อน เพียงแต่เขาตีความมันไม่ออก จึงนำความนี้ไปหารือกับอาซาน ทว่ายังไม่ทันได้เอาแผนที่ให้ดู ท่านย่าก็รู้เสียก่อนว่าแผนที่หายไปจากพระพุทธรูป

เขาถูกซักไซ้ไล่เบี้ยกล่าวหาว่าเป็นคนนำไป แน่นอนว่าถึงจะเป็นเรื่องจริง งักเจียงก็ไม่ยอมรับ ยืนกรานแค่ไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใด เมื่อโดนรุกหนักเข้า เขาจึงอาละวาดโวยวายด้วยอารมณ์ คิดในใจว่าทั้งที่ตนต้องการหาสมบัตินั่นเพื่อมาช่วยเหลือตระกูลให้ดีขึ้นแท้ๆ แต่ท่านย่ากลับทำเหมือนกับเขาเป็นคนผิด

สิ่งที่แย่กว่านั้นคือ หลังการกล่าวหานั้น แผนที่ดังกล่าวกลับหาไป เขารู้ว่าต้องเป็นฝีมือของท่านย่าจึงทนไม่ไหวที่จะไปอาละวาดใส่นางอีกครั้ง

“ช่วยเจ้า ช่วยเจ้า”

ท่านย่าเอาแต่พร่ำบอกแล้วยังตะคอกใส่เมื่องักเจียงด่าเสี่ยวจือว่าเป็นคนนอก เช่นนี้นับเป็นการช่วยได้เช่นไร

เมื่อคิดถึงตรงนี้งักเจียงได้แต่ถอนหายใจครุ่นคิดอย่างทนทุกข์ เขาหยิบห่อยาซองเล็กที่อาซานให้มาแล้วนึกถึงคำกระซิบของอีกฝ่ายเมื่อตอนสายของวัน

“ใส่ยาห่อนี้ลงไปในน้ำแกงตอนมื้อเย็น ข้ารับรองพวกคนในบ้านเจ้าจะหลับยาวจนถึงเช้า ช่วงนั้น เจ้ามีเวลามากพอที่จะค้นหาแผนที่ ที่ท่านย่าเจ้านำไปซ่อน”

งักเจียงถอนหายใจอีกครั้งและยิ่งครุ่นคิดพิจารณายิ่งกว่าเดิม ท่านย่าอายุมากแล้ว หากทานเข้าไปจะเป็นอะไรไหม ไหนจะงักโยวอีกแล้วยังสุขภาพของพี่ใหญ่

ตรงหน้าเป็นหม้อน้ำแกงที่กำลังเดือด อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามจะได้เวลาอาหาร เวลานี้เสี่ยวจือที่ดูแลเรื่องอาหารออกไปดูแลท่านย่า บ่าวส่วนใหญ่ถูกเขาสั่งให้ไปทำงานอื่น เขามีเวลาตัดสินใจไม่นาน

ใส่หรือไม่ใส่?

ระหว่างที่กำลังลังเล เกิดเสียงหนึ่งดังขึ้นจากนอกห้องครัว

“หายไปไหนกันหมด จะเรียกใช้ก็หาไม่ได้สักคน” เสี่ยวจือพร่ำบ่นน้ำเสียงไม่เป็นมิตร

นางเดินเข้ามาใกล้ ทีละน้อย งักเจียงยิ่งร้อนรน เขาหยิบห่อยาขึ้นมาแล้วตัดสินใจเด็ดขาด...

ทันที่เสี่ยวจือโผล่พ้นประตูห้องครัว ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นงักเจียง คุณชายสองเจ้าสำอางของสกุลยืนอยู่ภายในนั้น

“อาเจียง เจ้ามาทำอะไรในนี้?”

“...”

งักเจียงไม่ตอบแต่เลี่ยงเดินหนีออกมา เสี่ยวจือคว้าไหล่เขาไว้อย่างจับพิรุธ งักเจียงสะบัดออกแล้วหันมาเผชิญหน้าดวงตากร้าวแข็ง

“ข้าถามเจ้า มาทำอะไรในห้องครัว”

“ข้าจะมาทำอะไรมันก็เรื่องของข้า ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก!” งักเจียงตวาดใส่อย่างไม่เก็บอารมณ์แล้วพยายามจะเดินหนีอีกครา

“เดี๋ยว!!” เสี่ยวจือยังคงรั้งไว้

สองคนยื้อยุดกันอยู่เช่นนั้น จนชายหนุ่มทนไม่ไหวออกแรงสุดกำลังผลักหญิงสาวออกไปให้พ้นตัว เสี่ยวจือเซเสียหลักแต่ไม่ล้ม นางถอยห่างมาสองก้าวท่าทางเหนื่อยหอบ มีสีหน้าไม่พอใจ งักเจียงก็เช่นกัน

“สองคนทำอะไรกัน”

เสียงหนึ่งร้องทัก ขัดตาทัพทั้งสองฝ่าย หนึ่งหญิงหนึ่งชายหันไปมองต้นเสียง จึงได้เห็นงักหลิวเดินมา

“พี่ใหญ่” งักเจียงเอ่ยเสียงเบา ราวกับเกรงใจ

“คุณชายใหญ่” เสี่ยวจือเรียกอีกฝ่ายเช่นนั้น แตกต่างกับที่เรียกงักเจียง

“มีอะไรกันทำไมมายื้อยุดกันอยู่หน้าห้องครัวเช่นนี้” งักหลิวถามซ้ำ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเข้มงวด

“คะ คือ ข้า... ข้าแค่”

“เขาเข้ามาในห้องครัว ข้าแค่นึกสงสัยว่ามาทำไมจึงไต่ถาม แต่เขาไม่ยอมบอก ซ้ำยังทำท่าทางมีพิรุธ ข้าเกรงว่า...”

“พอแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว” งักหลิวบอกเสี่ยวจือ แล้วหันไปหาน้องชาย

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ช่วงวูบหนึ่งในความคิด งักหลิวคิดถึงห่อยานอนหลับที่น้องชายได้มาจากเพื่อน ถึงจะไม่รู้เจตนา แต่ก็พอเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร

งักเจียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ส่งสายตามองเสี่ยวจืออย่างอาฆาต

‘นังคนปากพล่อย’ เขาไม่ได้กลัวพี่ใหญ่เท่าไหร่ เพราะรู้ดีว่าคุยกันได้ แต่หากหนึ่งในสองคนนี้นำความไปบอกท่านย่า...

รวมกับความที่เพิ่งมีกันมา ท่านย่าคงคาดการณ์ได้ไม่ยากว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร และนั่นจะยิ่งทำให้เขายากที่จะหาแผนที่ที่ถูกริบหายไปเจอ

“พอดีว่าข้าหิวข้าว ซ้ำยังอยากรู้ว่าอาหารมื้อนี้มีอะไรบ้าง คุณชายรองเห็นว่าข้าเป็นแขก จึงได้อาสาช่วยเหลือมาดูเพื่อไขข้อข้องใจนั้น”

ไป่ยู่เดินเข้ามาพร้อมกล่าวคำอ้าง

คนทั้งสามหันไปมองต่างคนต่างมีสีหน้าต่างกัน

“ไป่ยู่!?” งักหลิวเอ่ย

“...” เสี่ยวจือสีหน้าประหลาดใจ

“ชะ ใช่ ใช่ๆๆ ไป่ยู่เขาเป็นแขกแล้วนึกสงสัย ขะ ข้า ข้าก็เลยจะช่วยหาคำตอบเพื่อบอกเขาได้ แต่ แต่พอดีบ่าวมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เรียกหาก็ไม่มี ข้าเลยต้องมาดูเอง ใช่ไหม จริงไหมไป่ยู่” งักเจียงพูดรัวเร็วตอบคำพี่ใหญ่ ก่อนจะหันไปพูดย้ำกับไป่ยู่

“เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้น” ไป่ยู่รับคำ

“แต่นังนี่ มันไม่รู้ที่ต่ำที่สูง จ้องจะหาเรื่องข้า ปั้นเรื่องมดเท็จไม่รู้ความ ท่านพี่ต้อง...”

“สรุปแล้วอาหารมื้อนี้มีอะไรหรือ คุณชายรอง” งักเจียงกล่าวยังไม่ทันจบ ไป่ยู่กลับขัดขึ้นเสียก่อน ทำเอาคนที่กำลังเดือดดาลผงะงง

“อะ เอ่ออ... คือ น้ำแกง น้ำแกง...” ถูกถามกะทันหัน งักเจียงถึงกับตอบไม่ถูก

“น้ำแกงไก่ดำตุ๋นเก๋ากี้” เสี่ยวจือเอ่ยเบา

“น่ารับประทานยิ่งนัก ขอบคุณที่บอกกล่าว” ไป่ยู่หันไปพูดกับเสี่ยวจือ ทว่าอีกฝ่ายกลับหน้านิ่งไม่ยินดีหรือยินร้าย

งักเจียงสีหน้าเหลอหลา งักหลิวมีรอยประดับยิ้มที่มุมปาก

“เช่นนั้นก็หมดความแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายไปเถิด” คุณชายใหญ่สกุลงักกล่าวขึ้น

“ค่ะ คุณชายใหญ่” เสี่ยวจือกล่าวแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว งักเจียงก็ปลีกตัวออกไปเช่นกัน

เหลือเพียงสองคนหนึ่งเจ้าบ้าน หนึ่งแขกผู้มาพักพิง

“เจ้าเล่ห์นัก” เจ้าบ้านกล่าวขึ้นลอยๆ

“คุณชายใหญ่กล่าวหนักไปแล้ว ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้เรื่องราวใหญ่โต ในเมื่อคุณชายรองไม่ได้ใส่ยานอนหลับลงไปในน้ำแกง ข้าก็คิดว่าไม่ควรจะไล่ต้อนเขาเช่น...” ไป่ยู่ตอบเบาถึงแค่นั้นก็หยุดลง เพราะรู้ว่าตัวเองพลาดในบางจุดและเพิ่งเข้าใจความหมายที่คุณชายใหญ่กล่าวถึง

เมื่อเห็นงักหลิวมองมาไม่วางตา ไป่ยู่ถอนหายใจจำต้องชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา

“ใช่ข้าเห็นเหตุการณ์เมื่อตอนสาย ว่าคุณชายรองรับยานอนหลับมาจากเพื่อนของเขา และโป้ปดกับท่านว่าไม่เห็น แต่ที่ทำเช่นนั้นเพราะไม่ต้องการให้ท่านเป็นกังวล”

“นับว่าเจ้ามีความเอื้อเฟื้อ” งักหลิวกล่าวยิ้ม พลันสีหน้ากลับเคร่งขรึม

“แต่เรื่องในสกุลข้า คงไม่ต้องให้คนนอกมาวุ่นวาย”

“คุณชายใหญ่กล่าวถูกแล้ว ข้าผิดเอง ข้าล่วงเกินมากไป โปรดอภัยด้วย” ไป่ยู่เอ่ย งักหลิวนิ่งมองแล้วถามย้ำ

“เจ้าแน่ใจนะว่าเห็นเขาไม่ได้ใส่ยานอนหลับลงไป”

“เรื่องนี้ข้าแน่ใจ และไม่ได้โป้ปดคุณชายใหญ่อย่างแน่นอน” ไป่ยู่ตอบ งักหลิวไม่ต่อคำใดอีก เขาเดินห่างออกไป

ไป่ยู่มองตามได้แต่ทอดถอนใจ...

เมื่อมื้อเย็นมาถึง ทุกคนนั่งพร้อมหน้าในห้องรับประทานอาหาร ไป่ยู่ถูกเชิญมาด้วยในฐานะแขกและผู้ช่วยชีวิตงักฮัว เขาเพิ่งฟื้นคืนสติในวันนี้ ท่านย่าจึงอยากตอบแทนอย่างจริงจัง

แสงไฟที่จุดจากโคมให้ความสว่างชัด ภายในห้องไม่ได้หรูหราอะไร ออกไปทางเรียบง่ายและดูดี โต๊ะเป็นทรงกลมเนื้อไม้สัก ผิวสลักเป็นรูปพยัคฆ์อยู่ตรงขอบล้อมรอบวง ใครดูเป็นจะมองออกว่าเป็นของเก่าและดูแลมาอย่างดี เก้าอี้มีทั้งหมดครบจำนวนคนคือเจ็ดที่นั่ง เรียงตามลำดับโดยวนขวาไปซ้ายดังนี้

ท่านย่าฝู, งักหลิว, งักเจียง, ไป่ยู่,งักฮัว,งักโยว,เสี่ยวจือ

อาหารถูกบ่าวยกมาวางตามลำดับทั้ง ผัดผักเจ็ดชนิด ปลานึ่งซีอิ้ว เส้นก๋วยเตี๋ยวผัด กุ้งอบ เป็ดย่าง ไก่นึ่ง น้ำซุปกระดูกหมู รวมทั้งของทอดเช่น ปอเปี๊ยะ หมูสามชั้นทอดกรอบ ยังมีขาหมู ซาลาเปาและอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อทุกอย่างวางครบ ท่านย่าฝูจึงกล่าวกับไป่ยู่

“ไม่ต้องเกรงใจนะ กินให้เต็มที่ นี่ถือเป็นการขอบคุณที่เจ้าได้ช่วยงักฮัวเอาไว้ และถือเป็นการยินดีที่เจ้าฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัย”

“ขอบคุณแม่เฒ่า” ผู้เป็นแขกรับคำ

“เอาละทานกันได้แล้ว” ท่านย่าฝูบอกทุกคน

ทุกคนจึงเริ่มลงมือรับประทาน...

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด