ตอนที่แล้วบทที่13: คฤหาสน์สกุลงัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่15: งักเจียง

บทที่14: งักฮัว


บทที่14: งักฮัว

ทุกเช้าตั้งแต่เล็กจนโต งักฮัวต้องเข้ามาที่ป่าแห่งนี้เพื่อเก็บสมุนไพรหรือไม่ก็ผลหมากรากไม้ จนบางครั้งแม้ไม่ได้เข้ามาเพื่อเก็บสิ่งใด นางก็ยังรู้สึกว่าควรต้องมาเพราะมันคล้ายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว ราวกับว่าลมหายใจของนางเริ่มต้นขึ้นทุกวันในป่าแห่งนี้

ป่าแห่งนี้อยู่ติดกับด้านหลังของคฤหาสน์สกุลงักจึงไปมาได้สะดวก แม้จะไม่ใช่ที่ดินส่วนตัวของสกุลที่จักรพรรดิพระราชทานให้และไม่เคยกีดกันห้ามใครเข้าไป ทว่าทุกคนต่างก็เรียกมันว่าเป็นสวนหลังคฤหาสน์ของตระกูลนี้ น้อยครั้งที่จะมีใครเข้าไปยุ่มย่าม ยิ่งเมื่อเกิดอาเพศรุนแรงขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ยิ่งทำให้มันกลายเป็นเหมือนป่าต้องห้ามที่ไม่มีใครอย่าเข้าไปยุ่ง

ไม่มีใครชอบที่นี่...

ยกเว้นแค่เพียงงักหลอ บิดาของนางที่เสียไป เขาเองก็เข้ามาที่ป่าแห่งนี้ทุกวัน ใช้เวลาอยู่กับมันนานๆ ราวกับว่ากำลังตามหาบางสิ่ง คงเพราะเช่นนี้งักฮัวซึ่งเป็นลูกที่ถูกเลี้ยงด้วยบิดา จึงติดนิสัยเข้าป่าทุกวันมาด้วยเช่นกัน ทุกครั้งที่ทุกข์ใจ เสียใจ เหนื่อยล้าหรือยินดี นางมักคิดถึงที่แห่งนี้ก่อนเสมอ คล้ายได้ถูกเติมเต็มด้วยความสุข ต่างกับการอยู่ในคฤหาสน์

สำหรับเด็กสาว ครอบครัวมีเรื่องราวมากมายที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ละคนคล้ายมีกำแพงที่มองไม่เห็นปิดกั้นตัวเองไว้ อาจเพราะเป็นลูกคนเล็ก ที่สำคัญคือเป็นเพียงสตรี จึงถูกละเลยเรื่องการยอมรับและความคิดเห็น หน้าที่ของนางจึงมีเพียงการไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครเท่านั้น

ซึ่งตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่านางไม่สามารถทำได้ การเข้าป่าไปเมื่อสองวันก่อนทำปัญหาหนึ่งให้เกิดขึ้น หลายครั้งแล้วที่งักฮัวถูกเตือนจากคนในครอบครัวว่าห้ามเข้าไปที่นั่น แต่นางก็มักจะยืนยันว่าที่นั่นปลอดภัยไม่มีภูตผีปีศาจ หรืออสูรกายใดๆ อยู่ ที่สำคัญคือนางเข้าไปไม่ลึก

หลายคนคร้านจะห้ามและเห็นว่าไม่มีอะไรจึงปล่อยเลยตามเลย ครั้งนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิด ทำให้เกิดคนบาดเจ็บ จึงกลายเป็นเหตุผลในการห้ามอย่างเด็ดขาดอีกต่อไป

งักฮัวเองก็รู้สึกผิด วันนั้นหลังจากที่ไป่ยู่สลบไป นางรีบวิ่งกลับไปที่คฤหาสน์เพื่อไปตามให้ อาซากับอาเจ๋อ คนสวนของคฤหาสน์ ช่วยกันแบกสองพี่น้องแซ่ไป่มารักษา ความเป็นตายของทั้งคู่ ทำให้นางกลัว จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นางไม่ได้ไปที่ป่าแห่งนั้นมาสองวันแล้ว

ใบหน้าของไป่หลงยามหลับในเวลานี้ ดูราวกับคนที่ไม่หายใจ ไป่ยู่อธิบายว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งของการฟื้นฟูร่างกายของพี่ชาย นางนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าเขาไปประสบอะไรมา จึงทำให้มีโรคประจำตัวเช่นนี้ หากแต่ว่าพอถามไป ไป่ยู่กลับเพียงยิ้มแล้วไม่ได้พูดคำใด นางจึงคิดว่าคงเป็นเรื่องส่วนตัวที่อีกฝ่ายไม่ต้องการให้ใครมาละลาบละล้วง

คนในสกุลนี้ก็เป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่นนางเองก็ไม่ต้องการให้ใครมาถามถึงสาเหตุการตายที่เกิดขึ้นกับบิดาและมารดา

งักหลิว พี่ชายคนโตของนางก็ไม่ชอบให้ใครมาถามถึงเรื่องอาการป่วยที่เป็นมาตั้งแต่เกิด

งักเจียง พี่ชายคนรองของนาง แม้จะชอบโอ้อวดทุกครั้งที่เสี่ยงโชคมาได้ แต่บ่อยครั้งก็ไม่ชอบให้คนถามว่าเสียเงินไปเท่าไหร่กับการพนัน

งักโยว พี่ชายคนเล็กของนางเป็นคนที่เข้าใจยากที่สุด เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมาคุยด้วยเลย แม้คนๆ นั้นจะเป็นน้องสาวเช่นนางก็ตามที ท่านย่าฝูอธิบายว่าเป็นเพราะเขายังกลัวและทำใจไม่ได้กับการตายของบิดามารดาที่ตนเองได้เห็นกับตา

งักฮัวมักคิดเสมอว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหมด งักโยวเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด แต่แท้จริงแล้ว นางก็รู้ว่ามีคนที่น่าสงสารยิ่งกว่านั้น ท่านย่าฝู

การตายของงักหลอกับหลานฟาน บิดามารดาของนาง หรือก็คือลูกชายลูกสะใภ้ของท่านย่าฝู คือเรื่องน่าเศร้าที่สุดในชีวิตของแม่เฒ่า การจากไปก่อนวัยอันควรทำให้คนหัวหงอกต้องมาส่งศพคนหัวดำ ยิ่งทำให้สุขภาพของท่าย่าฝูทรุดโทรมลงจนเดินไม่ได้อีก

ชีวิต... นอกจากการหายใจ ทุกสิ่งดูยากเข็ญ

ระทม... ด้วยใจโหยหา

ทุกข์... ด้วยความอาวรณ์

งักฮัวเริ่มคิดถึงป่าขึ้นมา จนอยากที่จะหนีหายเข้าไปในนั้นเสียในตอนนี้เหลือเกิน

“เสี่ยวฮัว เสี่ยวฮัว” เสียงหนึ่งเรียกนางจนหลุดออกจากพะวงความคิด

หันไปมองตามต้นเสียงจึงได้เห็นว่าเป็น งักหลิว พี่ชายคนโตที่กำลังเรียกตนอยู่

“พี่ใหญ่ มีอะไรเหรอคะ” เด็กสาวถามกลับด้วยท่าทีสุภาพ

เธอมักไม่เป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่คุยกับเขา ส่วนหนึ่งเพราะอายุที่ห่างกันเกินสิบปี สำหรับเธอ ถึงจะเรียกว่าพี่ใหญ่ แต่มันเหมือนกำลังคุยกับคนที่ไม่ใช่พี่น้องกัน

งักหลิวยิ้มในแบบที่ชอบทำเสมอเมื่อคุยกับนาง เขาเป็นคนหน้าตอบ ดวงตาคมแต่ดูไม่สดใส คิ้วเรียวเป็นเส้นแต่ปลายตกเล็กน้อย คางมน หน้าผากแคบ โครงหน้าเป็นวงรี หูเล็กไร้ติ่งลู่แนบศีรษะ ท่าทางคล้ายอิดโรยตลอดเวลา ดูแล้วชวนเศร้าซึม

รอยยิ้มแบบนั้นที่เขาชอบยิ้ม จึงดูดีและทำให้น่ามองสำหรับงักฮัว

“ได้ยินจากพวกบ่าว ว่าคนที่เจ้าพามาฟื้นแล้ว”

“ใช่ค่ะ”

“พี่อยากพบพวกเขา เจ้าพาไปหน่อยได้ไหม”

งักฮัวมีแววฉงนเล็กน้อย เพราะปกติถึงอีกฝ่ายจะไม่ใช่พวกเก็บตัวเหมือนพี่ชายคนเล็ก แต่ก็ไม่ช่ประเภทชอบสังคมแบบพี่ชายคนรอง งักหลิวมองข้อสงสัยนั้นออกจึงอธิบาย

“เขานับเป็นแขก ยังไงพี่ก็เป็นพี่ชายคนโต ควรไปพูดคุยกับพวกเขาบ้าง” งักฮัวจึงได้เข้าใจในเจตนา

“พี่ไป่เพิ่งกินข้าวเสร็จ ตอนนี้น่าจะกำลังดูอาการของพี่ชายเขาอยู่ค่ะ” งักฮัวชี้แจ้งระหว่างนำทางจากสวนหน้าจวนพักของตัวเองไปยังห้องที่ไป่หลงนอนพักฟื้นอยู่

“สองคนเป็นพี่น้องกันเหรอ”

“อืม แล้วพี่ใหญ่รู้ไหมคะ พี่ไป่คือไป่ยู่คนนั้น”

“ไป่ยู่คนนั้น?”

“คนที่มีข่าวลือเกี่ยวกับภูตผีปีศาจไงคะ”

งักหลิวไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ จึงคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ท่าทางน้องสาวเล่ามาด้วยความตื่นเต้น เขาจึงไม่ได้ขัดอะไร แค่เพียงยิ้ม หากเป็นปกติหรือเป็นคนอื่นมาพูด เขาคงตอบกลับไปว่า

‘งั้นข่าวลือเกี่ยวกับไป่ยู่คนนี้ก็เป็นเรื่องไม่จริง เพราะถ้าจริงคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพเช่นนี้’

แต่ที่งักหลิวคิดเช่นนั้น เพราะงักฮัวไม่ได้บอกความจริงกับใครว่าสองวันก่อนภายในป่าเกิดอะไรขึ้น นางเล่าเพียงแค่ว่าระหว่างที่อยู่ในป่าวันนั้น เกิดไปเจอหมีตัวหนึ่งเข้า ก่อนที่จะโดนมันทำร้าย ไป่ยู่กับไป่หลงเข้ามาช่วยจนทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัส

ที่นางบอกกล่าวทุกคนเช่นนี้มีหลายเหตุผล ส่วนหนึ่งเพราะเกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อความจริงว่านางไปเจอปีศาจหมูป่า อีกส่วนหากมีคนเชื่อเรื่องราวคงจะลุกลามใหญ่โตไปใหญ่ เพราะเพิ่งเกิดคดีคนตายห้าสิบสองศพปริศนาและยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ถ้าทุกคนเกิดกลัวเรื่องปีศาจแล้วโยงไปเกี่ยวข้องกัน นางมองว่าคงไม่ใช่เรื่องดี

เมื่อเห็นงักหลิวเพียงยิ้มตอบ งักฮัวจึงทำได้แค่เพียงยิ้มเจื่อน...

พอทั้งสองเดินมาถึงส่วนที่เป็นห้องพักของแขก งักหลิวกับงักฮัว เห็นงักจียงกับชายไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่บริเวณนั้น ซึ่งเป็นส่วนที่ติดกับทางไปป่า

“เชื่อข้าสิ ข้าว่ามันต้องใช่อย่างที่คิดไว้แน่ๆ แล้วถ้ามันเป็นจริงอย่างนั้นนะ เจ้าก็จะได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนในตระกูลรู้ ว่าเจ้าไม่ใช่ผีพนันอย่างที่ใครเข้าใจ” สิ้นคำนั้น งักเจียงท่าทางขัดหู รู้สึกไม่ชอบคำว่าผีพนัน แม้จะรู้ดีว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น

ชายแปลกหน้ารีบกลบเกลื่อนพูดจาลื่นไหล

“ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นแบบนั้นนะ เราสองคนเป็นเพื่อนกัน จริงๆ ข้านับเจ้าเป็นเหมือนพี่ชายในสายเลือดเลยด้วยซ้ำ เห็นเจ้าทุกข์ ข้าก็เจ็บปวด เห็นเจ้าอยากพิสูจน์ตัวเอง ข้ายิ่งอยากช่วยเหลือ เชื่อข้าสิ เจ้าทำได้ ข้ามั่นใจ” ท่าทางของเขาดูเจ้าเล่ห์ในสายตาของงักหลิวกับงักฮัวที่แอบมองดูอยู่

“เจ้าแค่พูดน่ะมันง่าย ตอนนี้ท่านย่าข้ารู้หมดแล้ว อย่าว่าแต่ตีความแผนที่นั่นเลย ตอนนี้มันหายไปไหนแล้วข้ายังไม่รู้แล้วจะให้ทำยังไง” งักเจียงบ่นขึ้นอย่างหัวเสีย

“มันจะหายไปไหน ก็อยู่ที่ย่าเจ้านั่นแหละ อย่าหาว่าข้าสอนเลยนะ” ชายแปลกหน้ามองซ้ายมองขวาท่าทางระวัง จนงักหลิวกับงักฮัวต้องรีบหลบ

สักพักสองคนจึงค่อยๆ แอบยื่นหน้าไปดูอีกครั้ง เห็นชายคนนั้นหยิบห่อยาขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้กับงักเจียง ก่อนจะกระซิบบ้างอย่าง ที่พวกเขาไม่ได้ยิน

“เชื่อข้า รับรองได้ผล”

งักเจียงมองห่อยานั่นดวงตาลุกวาว

งักฮัวเผลอยื่นหน้าออกไปมากเกินควรจึงทำให้กระถางต้นไม้ล้มจนเกิดเสียงดัง

“ใครน่ะ!” งักเจียงตวาดลั่นก่อนจะรีบเดินออกมาดู

แต่ก่อนที่จะถึงจุดเกิดเสียง ก็มีแมวสีเขียวตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากมุมนั้น มันร้อง เหงี้ยว มองเขาแล้ววิ่งหนีไป

ชายหนุ่มขมวดคิ้วแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นแมวตัวนี้มาก่อน โดยเฉพาะสีขนของมัน หรือบางทีตนอาจจะตาฝาด

เขามองเข้าไปในมุมที่มันโผล่ออกมา ทว่าไม่เห็นใคร พอมองตามทางที่แมววิ่งไปก็ไม่เห็นมันแล้ว จึงเดินกลับไปหาเพื่อนของตน

“ใครอยู่ตรงนั้นเหรอ”

“ไม่มี แค่แมวหลงมาน่ะ ไม่รู้มาได้ไง วิ่งไหนไปแล้วไม่รู้ อาซาน วันนี้เจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน”

ต่งซาน มองคุณชายรองสกุลงักคล้ายมีคำอยากพูด แต่ก็ไม่ได้กล่าวออกมา

“เรื่องนั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องห่วง ได้ความแล้วข้าจะบอก” พอจบคำ ต่งซานยิ้มระรื่น

“ดีๆ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ไปบ่อนโอวสี่กันหน่อยไหม ไปเล่นสักนิดให้ผ่อนคลาย”

“ไม่ละ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะลงมือ” เห็นอีกฝ่ายท่าทางเคร่งเครียด ต่งซานจึงไม่รบเร้าต่อ

“ได้ๆ งั้นข้ากลับก่อนนะ ได้เรื่องยังไงก็ไปบอกข้าด้วยละ”

งักเจียงมองต่งซานเดินจากไป ดวงตามีแววครุ่นคิดก่อนจะลุกเดินจากไปเช่นกัน

งักฮัวถอนหายใจโล่งอก ขณะที่งักหลิวแม้จะตื่นตะลึงแต่ก็ตีสีหน้านิ่งเฉย ไป่ยู่คลายมนต์บังตาที่พรางร่างทั้งสองรวมตนเองไม่ให้งักเจียงมองเห็น ก่อนจะเรียกแมวสีเขียวที่เสกจากใบม้ให้กลับมาแล้วทำให้มันคืนสภาพเดิม

“พี่ไป่ทำได้ยังไงน่ะ ไม่สิ! อย่างพี่ไป่ทำได้ก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่น่า แต่มันน่ารักจัง ไม่น่ารีบทำให้มันคืนกลับเป็นใบไม้เลย” งักฮัวกล่าวรัวเร็วหยิบใบไม้ใบนั้นขึ้นมาดู ท่าทางของนางเวลานี้ดูเป็นเด็กสมกับอายุตัว

ไป่ยู่ได้แต่มองเอ็นดู ในใจพาลนึกไปถึงเฉินหลิน

“พี่ไป่เสกให้เป็นแมวอีกทีหนึ่งสิ นะ นะ นะ ให้ข้าได้เล่นกับมันหน่อย”

“การใช้คาถาต้องใช้พลังปราณเยอะพอควร ไว้ข้าหายดีก่อนนะ” งักฮัวพยักหน้ายินยอมไม่วายยื่นนิ้วก้อยให้ไป่ยู่เกี่ยวกันเพื่อทำสัญญา

งักหลิวมองไป่ยู่นิ่งนาน จนคนที่ถูกมองรู้สึกตัว

“เจ้าคงเป็นไป่ยู่คนนั้นจริงๆ” ไป่ยู่ยิ้มบางแทนคำตอบ งักฮัวเพิ่งรู้ตัวว่ามาที่นี่เพื่อประสงค์ใด

“พี่ไป่ นี่พี่ใหญ่ของข้า พี่งักหลิว”

ไป่ยู่ผสานมือคำนับ

“คุณชายใหญ่ ข้าไป่ยู่”

“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครู่ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยไว้ ไม่งั้น...”

“มิได้ครับ ข้าแค่เผอิญเดินออกมาเจอพอดี”

“เผอิญ” งักหลิวกล่าวแค่นี้แล้วยิ้ม “ถ้าอย่างไร รบกวนเจ้าอย่านำความที่ได้เห็นไปบอกใคร”

“คุณชายใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เห็นอะไร”

เป็นอีกครั้งที่งักหลิวยิ้ม

“ดูจากท่าทางแล้วเจ้าไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว พี่ชายเจ้าละ ดีขึ้นหรือยัง”

“ตอนนี้จำต้องพักฟื้นก่อน คิดว่าคงอีกสองสามวัน อาการของเขาน่าจะดีขึ้นตามลำดับ”

“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด หากต้องการสิ่งใดก็บอกกล่าวกับเสี่ยวฮัว หรือไม่ก็พวกบ่าวได้เลยนะ”

“ขอบคุณคุณชายใหญ่”

“เจ้าอยู่เล่นที่นี่ก่อนก็ได้ แต่อย่าไปรบกวนไป่ยู่มาก” ประโยคนี้งักหลิวหันไปบอกกับงักฮัว

เด็กสาวพยักหน้ารับ งักหลิวจึงปลีกตัวเดินจากมา งักฮัวถอนหายใจคล้ายโล่งอก ในใจนึกอยู่ว่าเมื่อกี้จะเกิดเหตุทะเลาะอะไรกันไหมระหว่างสองพี่น้อง โชคดีที่ไป่ยู่ออกมาช่วยไว้ได้ทัน

“ขอบคุณนะคะพี่ไป่”

ไป่ยู่ทำหน้าแปลกใจ

“เรื่องเมื่อกี้น่ะค่ะ”

“เรื่องเล็กน้อย ว่าแต่เรื่องที่พี่รองของเจ้าคิดจะทำ... ห่อยานั่น จะไม่เป็นอะไรหรือ ถ้าปล่อยไว้เช่นนี้” งักฮัวไม่ตอบคำ ไป่ยู่จึงคิดว่าไม่ควรเข้าไปยุ่ง เขาทำท่าจะเดินกลับเข้าห้อง แต่งักฮัวก็กล่าวขึ้นมา

“พี่ไป่เห็น”

“ข้าเห็น เพียงแต่ไม่อยากให้คุณชายใหญ่กังวล จึงตอบไม่เห็น”

“พี่ไป่รู้ไหมว่าห่อยานั่นคืออะไร”

“รู้ เป็นยานอนหลับ”

งักฮัวได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิด ไม่แน่ใจว่าพี่ชายคนรองของตนมีประสงค์ใดและจะทำสิ่งใด นางเพียงเชื่ออยู่อย่าง ว่าหากงักหลิวไม่เอาความหรือว่ากล่าว เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ควรกังวล นางคิดเช่นนั้นและหวังให้เป็นเช่นนั้น...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด