ตอนที่แล้วChapter 6: ผู้บุกรุก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 8: การแลกเปลี่ยน

Chapter 7: สัตว์วิญญาณ


 

“อืมมม... จากรอยเท้าแล้ว นี่เป็นรอยเท้าสัตว์ที่ตัวไม่ใหญ่ไม่เล็กขนาดแค่ราวสุนัขล่าเนื้อ...”

ฟางหยวนคุกเข่าลงและสำรวจรอยเท้าชัดเจนตรงหน้า “รอยเท้าลึกไปบนดินไม่มากนักดังนั้นตัวมันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก หมาป่า? สุนัขจิ้งจอก? หรือว่าเพียงพอนหรือหมาหริ่ง?”

“เป็นสัตว์ที่ฉลาดนัก มันจัดการทำลายกับดักของเรา...”

เพราะว่าโตมาบนเขา ฟางหยวนจึงมีความสามารถในการจับสัตว์ป่าเพราะมักจะจับไก่ป่าหรือกระต่ายมาเป็นอาหารอยู่บ่อยครั้ง

ส่วนกับดักนี้ติดตั้งไว้อย่างดีชนิดที่ว่าหมาป่าหรือหมูป่าก็ยังไม่สามารถหนีได้

แต่ตอนนี้ กับดักที่ว่าถูกทำลายเละราวกับสัตว์นั่นคิดท้าทายคนติดตั้งกับดัก

“อาจารย์เคยบอกว่าลึกเข้าไปบนเขาจะมีสัตว์ที่พิเศษ แม้ว่าพวกมันจะเกิดมาเป็นสัตว์ธรรมดา แต่ถ้ามีสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่เหมาะสม พวกมันสามารถวิวัฒนาการและฉลาดขึ้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าหนึ่งในสัตว์ที่ฉลาดเฉลียวพวกนั้นเข้ามาที่นี่?”

ขณะที่จัดการติดตั้งกับดักและตั้งใจจะ “จับ” สัตว์ตัวนั้น ฟางหยวนรู้สึกราวกับว่าไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ธรรมดาสักตัว แต่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง นั่นทำให้เขารู้สึกหนักใจ

“อืม... ข้ายังสูญเสียไม่มากนัก...”

เขามองไปรอบ ๆ แล้วก็แทบจะกระเด้งขึ้นจากพื้น เขารีบพุ่งไปทางไร่ชา “นี่ไม่ดีแล้ว... พืชวิญญาณของข้า!!!”

เพราะว่าหัวขโมยไม่ใช่สัตว์ธรรมดา พืชทั่วไปไม่น่าสามารถดึงดูดความสนใจของมันได้ ดังนั้น ความเป็นได้ก็คือชาชำระจิตและข้าวหยกแดงดึงดูดมันมาเท่านั้น

หลังจากคิดดูแล้ว ฟางหยวนก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีและไม่สามารถสงบตัวเองลงได้

ผ่านไปครู่เดียว ฟางหยวนก็ยิ่งโมโหกว่าเดิม เขาตะโกนก้องอยู่ในหุบเขา “ไปตายซะ... อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ..”

ฟางหยวนยืนอยู่ตรงหน้าต้นชาชำระจิตด้วยใบหน้าเศร้าโศก

ต้นชาที่เคยมีใบสีเขียวหยกตอนนี้เหลือแต่กิ่งเปล่า และมีรอยแทะอยู่บนบางกิ่งที่หักเสียหาย

ทั้งต้นดูกะรุ่งกะริ่งนัก โชคดีที่รากของมันไม่ได้รับความเสียหาย ไม่เช่นนั้นฟางหยวนคงจะสูญเสียต้นชานี่ไปตลอดกาล

“นี่อะไร?”

หลังจากตรวจสอบดูใกล้ ๆ ฟางหยวนก็เจอร่องรอยมากขึ้นที่รอบ ๆ ต้นชาชำระจิต

เขาลูบมือขวาลงที่กิ่งหัก ๆ ของต้นชา มีเกล็ดใสละเอียดราวแก้วเคลือบบนปลายนิ้วของเขา เขาพบว่าเกล็ดใสละเอียดนี้ปกคลุมอยู่ทั่วต้นชาไม่เพียงแค่กิ่งที่หักแต่ใกล้ ๆ โคนต้นใกล้รากก็มีเช่นกัน

“ข้าไม่ได้เป็นคนทำ หรือว่าเจ้าขโมยนั่นเป็นผู้นำเกล็ดพวกนี้มา?”

ฟางหยวนยกเกล็ดพวกนั้นขึ้นมาใกล้ ๆ จมูก และก็ได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่งก่อนจะตามมาด้วยกลิ่นเน่าเปื่อย

“ปุ๋ย?”

เขามองที่ต้นชาชำระจิตที่รุ่งริ่งนักก่อนจะเดาและรู้สึกบอกไม่ถูก

เจ้าหัวขโมยพืชวิญญาณนี้กล้าทำราวกับต้นชาชำระจิตนี้เป็นของมัน ถึงกับมาขับถ่ายใส่เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะโตขึ้นมาใหม่ให้มันได้เก็บกินอีกครั้ง

“มันคงออกไปจากที่นี่แล้ว เพราะถ้ามันเห็นข้า มันคงจะจู่โจมข้าแล้ว...”

ฟางหยวนส่ายหัว และรีบเดินไปทางแปลงข้าวหยกแดงที่ปลูกไว้

ตรงกันข้ามเลย ข้าววิญญาณสีแดงสดนั้นไม่ถูกแตะต้อง และยังโตขึ้นอีกนิดหน่อยจากก่อนหน้านี้ พืชรอบ ๆ ต้นข้าววิญญาณสีแดงดูจะแห้งตายหมดแล้ว

“ข้าววิญญาณสีแดงนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของมันเลย ขโมยผู้นี้ช่างเลือกได้ดีนัก...”

เมื่อเห็นว่าแปลงเพาะปลูกที่เหลืออยู่นั้นไม่ถูกแตะต้อง และขโมยนั่นมีความตั้งใจที่จะทำลายแค่ต้นชาชำระจิตฟางหยวนก็รู้สึกพูดไม่ออก “ข้าจะต้องติดกับดักอื่น ๆ ในทันทีและจะรออยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืนดูซิว่าใครคือไอ้หัวขโมยนั่น!”

เมื่อความโมโหคลายลง ฟางหยวนก็คิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและรู้สึกสนใจขึ้นมานิด ๆ จนแทบทนรอดูไม่ไหวว่าผู้ใดเป็นผู้ขโมยใบชาของเขา

...

หลังจากคำนวณความเสียหายทั้งหมดแล้วเขาก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติ

ฟางหยวนจัดการผสมผงหรดาลแดงเข้ากับส่วนผสมอื่น ๆ ตามสัดส่วนและพักไว้ในห้องใต้ดินสามวันก็ได้ไหหั่วเย่ปริมาณมาก

สูตรนี้สืบทอดมาจากอาจารย์เวิ่นซิน เป็นปุ๋ยที่เหมาะสมกับพืชฤทธิ์ร้อนมาก

เพราะว่าข้าวหยกแดงเป็นพืชวิญญาณที่ฟางหยวนต้องรดน้ำวันละสามครั้งเพื่อให้มันเจริญเติบโต มันจึงไม่จำเป็นต้องดูดซับสารอาหารจากพืชรอบ ๆ เพื่อให้ตัวมันเองอยู่ได้แล้ว ฟางหยวนจึงเบาใจขึ้น

หลายวันผ่านไปแต่หัวขโมยปริศนายังไม่ปรากฏตัว ตรงกันข้าม การเฝ้าระวังทั้งวันทั้งคืนนั้นทำร้ายฟางหยวนนัก

กลางดึก พระจันทร์กระจ่าง

ฟางหยวนวางกับดักที่เตรียมไว้แล้วแอบซุ่มสังเกตอยู่เงียบ ๆ ในที่ลับตา

ภายในไร่ชานั้นเงียบและได้ยินเสียงจักจั่นร้องเป็นระยะ ๆ ก้องอยู่ในหุบเขา

“เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าขโมยนั่นเห็นข้าและตัดสินใจไม่เข้ามา?”

หลังจากเฝ้าอยู่หลายชั่วยาม ฟางหยวนก็รู้สึกง่วงและเริ่มหงุดหงิด “ข้าจะเฝ้าถึงแค่คืนพรุ่งนี้และถ้าหัวขโมยนั่นไม่ปรากฏตัว ข้าจะย้ายต้นชาชำระจิตไปไว้ที่อื่นที่ปลอดภัย ส่วนเกล็ดแก้วใส ๆ นั่น น่าเสียดาย...”

เมื่อผ่านการสังเกตมาหลายวัน ฟางหยวนก็แน่ใจว่าเดาถูกว่าเกล็ดใส ๆ นั่นคือปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณ

ไม่เพียงแค่สภาพของต้นชาชำระจิตจะดีขึ้น กิ่งก้านที่เสียหายก็ดีขึ้น ส่วนข้าววิญญาณสีแดงที่เขาขูดเอาเกล็ดใส ๆ ส่วนหนึ่งไปโรยไว้ก็เริ่มโตขึ้นกว่าปกติ

ปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณโดยเฉพาะนี้กระตุ้นความสนใจของฟางหยวนนัก เขายังคิดจะปล่อยตัวขโมยไปถ้าเจ้าขโมยนั่นยอมบอกว่ามันไปเอาปุ๋ยนี่มาจากที่ไหน

“ฮ้าววว..”

เมื่อถึงเที่ยงคืน เปลือกตาฟางหยวนหนักกว่าเดิมเสียอีก เขาพร้อมที่จะหลับลงเวลาใดก็ได้

“ดูเหมือนว่าคืนนี้มันจะไม่มา แล้วพรุ่งนี้เช้าข้ายังต้องตื่นมาพรวนดินให้ข้าวหยกแดงอีก ข้าควรจะไป.. เอ๋?”

ในขณะที่ฟางหยวนลุกขึ้นยืน มีประกายสีขาวผ่านตาไป

“มันมาแล้ว!”

ฟางหยวนรู้สึกมีแรงขึ้นมาทันที และไม่รู้สึกง่วงอีกต่อไปในทันที

ประกายสีขาวพุ่งไปทางสวนและเห็นกับดักที่ฟางหยวนสร้างเอาไว้ มันดูไม่สะทกสะท้านขณะค่อย ๆ เดินอ้อมกับดักไปแล้วยื่นเท้าหน้ามาดึงกิ่งไม้ออก การกระทำนี้กระตุ้นให้กับดักทำงานแต่ไม่สามารถจับตัวอะไรได้เพราะเจ้าสัตว์ประหลาดนั้นอยู่นอกระยะกับดักเรียบร้อยแล้ว

“โอ้! เป็นหนูเตียวสีขาวตัวใหญ่และแสนรู้!”

ฟางหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่

ไม่ผิดแน่ ตรงหน้าเขาคือหนูเตียวตัวใหญ่สีขาว มันมีดวงตาโต ขนยาว และมีอุ้งเท้าว่องไวคู่หนึ่ง หูของมันกระดิกไปมาเป็นครั้งคราวราวกับคอยฟังรอบ ๆ และขนสีขาวนั้นสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย

หนูเตียวธรรมดาจะมีขนาดเท่า ๆ กับแมว แต่ตัวนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตรเท่า ๆ กับเสือดาวตัวเล็กเลยทีเดียว

“หนูเตียวขาวตัวใหญ่อะไรเช่นนี้...”

มองวิธีการเคลื่อนไหวอย่างอิสระในไร่ชาของหนูเตียวแล้วฟางหยวนก็มองมาที่อุปกรณ์ของเขาที่ดูท่าจะไม่เพียงพอ “ทำไม...วันนี้ข้าไม่ปล่อยให้มันทำอย่างที่มันต้องการไปก่อน แล้วครั้งหน้าที่มันมา ข้าคงจะเตรียมพร้อมกว่านี้!”

เขาไม่ใช่พรานผู้เชี่ยวชาญอยู่ตั้งแต่แรก แม้ว่าเขาจะเตรียมของไว้มากมายแต่เมื่อมองไปที่หนูเตียว ’ปิศาจ’ แล้วเขาก็ไม่กล้าจับมัน

“กิกี๊!”

ในขณะที่หนูเตียวขาวนั้นเข้าไปในไร่ชา ตาดำขลับของมันก็จับจ้องมาที่จุดที่ฟางหยวนซ่อนตัวอยู่ราวกับพบเขาเข้าแล้ว!

“ช่างกล้า เจ้าสัตว์ประหลาด!”

ฟางหยวนไม่มีทางเลือกนอกจากแสดงตัวออกมา “เจ้าทำลายต้นชาของข้าครั้งแรก แล้วตอนนี้ยังกล้ากลับมาเป็นครั้งที่สอง เจ้าคิดว่าข้าไม่มีตัวตนหรืออย่างไร?”

ทันทีที่กระโจนออกมาฟางหยวนก็จุดคบไฟขึ้น

ภายใต้แสงเรืองรองจากคบไฟ ฟางหยวนสามารถมองเห็นว่าหนูเตียวขาวทำราวกับฟางหยวนกำลังล้อเล่น มันไม่วิ่งหนีแต่กลับสบตากับฟางหยวน

‘โอ้ ไม่นะ ไม่ใช่ว่าสัตว์ป่าพวกนี้จะกลัวไฟกับมนุษย์หรอกรึ? นี่มันดูไม่เป็นอย่างนั้นเลยนะ?’

ลึกลงไปฟางหยวนรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง

เมื่อเห็นว่าหนูเตียวขาวไม่ได้คิดว่าเขากำลังจริงจังและยังคงเคี้ยวกิ่งชาชำระจิตต่อ ฟางหยวนก็ระเบิดขึ้นมาทันที “เจ้ากล้าดีอย่างไร!”

เขาจับคบไฟแน่นในมือข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นมีดเล่มใหญ่ พุ่งตรงเข้าใส่หนูเตียวขาว “อย่าแตะต้องของของข้า!”

“ซี่—”

ทันใดนั้น เขาเห็นหนูเตียวขาวหมุนตัวกลับ ขนพองฟู และทำเสียงขู่ออกมา ฟางหยวนรู้ว่าสถานการณ์ของเขาไม่ดีนักแต่ก็ยังคงตรงเข้าไปพร้อมมีดในมือ

“ฉัวะ!”

เงาสีขาวพุ่งผ่านไปฟางหยวนรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ข้อมือของเขาทำให้เขาต้องถอยหลังหลายก้าว ข้อมืออ่อนแรงลงจนทำมีดและคบไฟหล่นลง

“สัตว์ประหลาดนี่แข็งแกร่งเกินไป รวดเร็วเกินไป!”

“กิ๊กี๊”

เมื่อเห็นว่าฟางหยวนไม่สามารถทนได้แม้การจู่โจมแรก หนูเตียวขาวก็เมินไปด้านข้างก่อนจะลูบท้องตัวเอง ราวกับกำลังเลียนแบบท่าหัวเราะของมนุษย์

มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้คิด มันโบกเท้าหน้าเล็ก ๆ ไปที่ฟางหยวนแล้วชี้ไปที่ต้นชาชำระจิต ราวกับกำลังบอกว่า “พืชวิญญาณต้นนี้ จากวันนี้เป็นต้นไป เป็นของข้า!”

“ไม่... ข้าไม่ยอมรับเรื่องนี้!”

ถูกสัตว์ประหลาดเยาะเย้ย ฟางหยวนรู้สึกไม่ยุติธรรม เขาพลิกตัวขึ้นจากพื้นแล้วคำราม “คอยดูอาวุธลับของข้า!”

เขาพลิกข้อมือ ห่อกระดาษเล็ก ๆ ปลิวออกจากมือของเขา

‘ฝุ่บ ฝุ่บ’

ควันระเบิดออกกลางอากาศส่งกลิ่นฉุนกึก

ฟางหยวนใจเย็นลงแต่ โดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง เขาหมุนตัวกลับและออกวิ่ง!

แม้ว่าอาจจะสู้แพ้ แต่ก็ควรจะต้องมองหาทางหนีก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการกับหนูเตียวขาวนั่นทีหลัง แก้แค้นสิบปีไม่สาย

“ซี่—”

ภายในหมอกควันมีเสียงโหยหวนจากหนูเตียวขาว ฟางหยวนหยุดเท้าลง

เขาหันกลับไปและเห็นหนูเตียวขาวเดินวนอยู่รอบ ๆ ควันสีขาวราวกับมันจะกลัวควันนั่นมาก

“เอ๋?”

ฟางหยวนรู้สึกโล่งอก

เขาแค่จะใช้ควันนั่นช่วยเปิดโอกาสให้เขาหลบหนี ในห่อกระดาษนั่นเป็นแค่ของธรรมดา ๆ ไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ใด

“ข้าโปรยผงไล่สัตว์ไปตั้งมากมาย ถ้ามันใช้ได้ผลแล้วสัตว์ประหลาดนี่เข้ามาได้อย่างไร? ดูท่าจะไม่ใช่เพราะพริกไทย... น่าจะเพราะ... ผงหรดาลแดง! ฮ่าฮ่า... คอยดูเถิด!”

‘ฝุ่บ!’

เพียงแค่พลิกข้อมือข้างขวา ผงหรดาลแดงจำนวนมากก็โปรยออกไปฟุ้งไปทั่วบริเวณ

แม้ว่าหนูเตียวขาวดูจะกลัวผงหรดาลแดงจริง ๆ และไม่กล้าแม้แต่จะขยับ

แต่เมื่อควันจากผงหรดาลสลายไป มันก็หายตัวไปเหมือนกัน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด