ตอนที่แล้วบทที่ 13 : ความหวาดกลัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15 : สมรภูมิ

บทที่ 14 : คำสั่งภารกิจ


บทที่ 14 : คำสั่งภารกิจ

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้องจากกลุ่มเมฆบนท้องฟ้าและห่าฝนที่ตกลงมาเป็นซากของฝูงวิหค สร้างบรรยากาศน่าขนลุกหวาดกลัวกลืนกินไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เพราะการอพยพนั้นเพิ่งจะเริ่มได้ไม่นานยังมีผู้คนตกค้างอยู่มากมาย พอได้เห็นภาพเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้พวกเขาทั้งหลายแตกตื่นขึ้นไปอีก

จนกระทั่งชาวบ้านได้เห็นร่างที่ลอยอยู่บนฟ้า ผู้เป็นเจ้าของเสียงกรีดร้องนั้นเอง ความหวาดหวั่นในตอนแรกจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นความหวังขึ้นมา

บัดนี้อดีตมหาจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ เหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าใจกลางหมู่เมฆที่เคลื่อนหมุนวนรอบปลายคทาเอเลเมนโต้ เสียงกรีดร้องฟังดูไม่เหมือนเสียงซึ่งเกิดจากความเจ็บปวดหรือทรมาน หากแต่กลับกันมันแอบซ่อนเสียงหัวเราะขบขันทรงพลัง คล้ายสิงหนาทเสียงคำรามเปิดศึก มันเย้ยหยันและข่มขู่สวรรค์ให้พรั่นพรึงถึงอำนาจที่นางมี อำนาจที่แม้แต่เทพอัสนีก็ยังต้องสยบแทบเท้า

สายฟ้ามากมายนับไม่ถ้วนก่อตัวฟาดฟันกันในหมู่เมฆสร้างเป็นแสงวาบสว่างไสวและเสียงดังกัมปนาท นับพันนับหมื่นครั้งตอนมันปะทุเข้าใส่มหาคทาแก้ว

ละอองพลังเวทเข้มข้นแผ่กระจายเป็นสายออกจากร่างสาว ยามที่นางคว้าจับคทานั้นแล้วชี้ไปทางเหล่าโกเลมที่กำลังเยื้องย่างก้าวเข้ามาใกล้หมู่บ้านเต็มที ก่อนจะหมุนบิดคทาเบาๆ สายอัสนีจำนวนมหาศาลก็พลันพุ่งออกมาฟาดฟันเข้าใส่พวกมันจากระยะไกลสร้างความเสียหายที่แม้แต่หินติดไฟบนร่างของมันก็ยังระเบิดแตกหลุดร่วง แม้จะไม่ถึงกับถูกทำลายแต่ก็มากพอจะทำให้ทุกสายตาที่มองดูอยู่รู้ว่าแม้แต่โกเลมก็ยังสามารถมีบาดแผลได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายฟ้าที่ฟาดฟันลงไปไม่เพียงสร้างความเสียหายกับอสูรยักษ์ หากแต่ยังทำให้ฝูงบลัดคลอว์ใกล้ๆ ถูกลูกหลงโดนฟ้าผ่าจนไหม้เกรียมตายไปเกือบหมด จะมีก็แต่ฝูงที่บุกเป็นแนวหน้าเข้าประชิดหมู่บ้านได้แล้วเท่านั้นที่นางจงใจปล่อยผ่านไปเพราะสายฟ้าอาจถูกคนในหมู่บ้าน

ทว่าสำหรับจอมเวท หรืออย่างน้อยหากได้ร่ำเรียนวิชาเวทมนตร์มาบ้างก็คงจะรู้ได้ทันที ว่าถ้าองค์ราชินีไม่เลือกใช้เวทมนตร์ผิดประเภท นางก็คงตั้งใจสร้างภาพความยิ่งใหญ่ให้ชาวบ้านประจักษ์มากกว่าจะคิดทำลายพวกโกเลมอย่างจริงจัง เพราะบนโลกนี้มีจอมเวทน้อยคนที่ใช้เวทมนตร์ทำลายล้างประเภทสายฟ้าได้ และน้อยยิ่งกว่าที่คิดจะใช้มันใจกลางฝูงชน

ดั่งเช่นชื่อของมัน มันคือเวทมนตร์ทำลายล้าง สายฟ้าเพียงเส้นเดียวก็มากพอจะคร่าชีวิตคนรวมทั้งสร้างความเสียหายต่อเนื่องเป็นอัคคีภัย ทั้งยังควบคุมเป้าหมายได้ยาก โดยเฉพาะถ้าสายฟ้านั้นมากมายเป็นพันเป็นหมื่นเส้น คงเหมาะกว่าหากต้องการฆ่าล้างกองทัพใดๆ ที่มีเลือดเนื้อ หรือลบเมืองทั้งเมืองให้หายไป ไม่ใช่ใช้มันฟาดฟันใส่ก้อนหินยักษ์

เว้นแต่ต้องการให้ผู้คนได้เห็นแสงสีอลังการและเสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหวของมันเท่านั้น

แต่สำหรับหมู่บ้านห่างไกลทั้งยังไร้ซึ่งโรงเรียนเวทมนตร์อย่างเทรียล แน่นอนคงไม่มีจอมเวทประจำหมู่บ้านที่จะจับพิรุธขององค์ราชินีได้ กระทั่งนักผจญภัยจากต่างแดน ผู้ใช้เวทมนตร์เฉพาะตัวอย่างมนต์อัญเชิญกระดูก หรือวิชาลวงตาระดับสูงได้อย่างชำนาญก็ยังไม่เอะใจ

ด้วยว่าพวกเขาทั้งสองไม่แม้แต่จะสนสิ่งองค์ราชินีกำลังทำด้วยซ้ำ สมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่บนร่างของหุ่นสงครามจากบรรพกาลพันปี ที่บัดนี้ยืนมองทั้งสองด้วยสายตาสีดำสนิทไร้ชีวิต พร้อมด้วยมือขวาที่ยังมีโลหิตและชิ้นเนื้อของอสูรบลัดคลอว์เปรอะเปื้อนอยู่

ฮอรัสหันหน้ามองร่างของชายหนุ่มที่สลบอยู่บนรถเข็นใกล้ๆ ด้วยสายตาเลื่อนลอย แม้ภายนอกไม่ปรากฏอาการบอบช้ำหรือบาดเจ็บใดๆ แต่ประสาทรับรู้ของหุ่นก็บอกได้ว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยความผิดปกติซึ่งไม่อาจเยียวยาได้

ไม่ว่าด้วยยาชั้นเลิศหรือด้วยฝีมือหมอเทวดาก็ยากจะรักษาให้หาย เพราะร่างกายมนุษย์นั้นถึงจะยอดเยี่ยมแต่ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัดมากมาย

เมื่อเทียบกับรูปแบบโครงสร้างรากฐานของฮอรัสแล้ว ส่วนหนึ่งก็ดูคล้ายจะลอกแบบกันมา ทว่าอีกส่วนนั้นก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการวิวัฒ

“ผมขอโทษ...” ฮอรัสเอ่ยเบาๆ กับร่างของชายหนุ่ม ก่อนเงยหน้าขึ้นฟ้าจับสัมผัสไปที่ร่างงดงามขององค์ราชินีอยู่ชั่วครู่พยายามประมวลสิ่งที่เขาสัมผัสได้จากนาง แม้ยากจะบอกว่าคืออะไรกันแน่ แต่มันทำให้เขานึกถึงพลังของอาร์มุนผู้สร้าง

แล้วจึงหันกลับไปยังเอลฟ์สาวเอลีอาที่ด้านในสมาคม ใบหน้านั้นยังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่ใส่ใจ ทว่าอีกฝ่ายที่เห็นเช่นนั้นรู้ดีว่าไม่ใช่ โดยเฉพาะตอนที่นางได้ยินประโยคต่อมา

"ผมทำผิดไปรึเปล่า ต้องขอโทษแบบนี้ใช่รึเปล่า... ” เขาเอ่ยมาทางเอลฟ์สาว ถามถึงสิ่งที่เธอเคยสอนเมื่อทำสิ่งใดที่ไม่สมควรทำลงไปโดยไม่ตั้งใจ เพื่อขอให้ยกโทษให้

“ฮอรัส...” ท่ามกลางความสับสน ในเหตุการณ์หลากหลายที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ทุกสายตาในบริเวณนั้นแทบจะลืมเลือนแสงสีของมหาเวทบนท้องฟ้าและติดอยู่ในห้วงเหตุการณ์ตรงหน้า เมื่อเอลฟ์สาวเอลีอากลืนน้ำลาย เรียกชื่อหุ่นสงครามกลับไปอย่างเห็นใจ

ไม่ว่าจะมองยังไงสำหรับเธอ หุ่นตนนี้คือความผิดพลาดของโชคชะตา เขาอาจไม่พูดหรือแสดงออกมา แต่นั่นคือคำถามของความโศกาโดดเดี่ยว ในฐานะแม่คนหนึ่ง เธอเองเคยเห็นการแสดงออกเช่นนี้จากเอเดลมาก่อน มันคือการพยายามมองหาที่พึ่ง

“นี่มัน... เรื่องบ้าอะไรกัน!” ชาวช่างชราไม่อาจทนรับสถานการณ์อึมครึมเช่นนี้ได้ ก็กดเสียงเข้มเอ่ยออกมา เพราะสายตากร้านโลกแค่มองดูร่างของฮอรัสก็รู้ว่าสิ่งนื้มีประกายของความรุนแรงไม่ต่างอะไรกับอาวุธที่ผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน

ทว่าไม่ทันจะได้คำตอบ เสียงอึกทึกคึกโครมก็ดังขึ้นเมื่อฝูงบลัดคลอว์แถวหน้าที่ราชินีปล่อยให้หลุดนั้นเข้ามาถึงหมู่บ้านในที่สุด พวกมันเริ่มสัญชาตญาณบ้าคลั่งของตัวเองทันที ทั้งฉีกทึ้งและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า โชคดีที่ชาวบ้านตอนนี้ไปรวมกันที่อีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านเพื่อเตรียมอพยพจึงยังไม่มีใครได้รับอันตราย แต่ก็คงอีกไม่นานนักเมื่อเสียงกรีดร้องดังขึ้นในสมาคม

“กรี๊ด..!” ฉับพลันนั้นเองที่อสูรบลัดคลอว์จำนวนมากกระโจนทะลุหน้าต่างเข้ามาในสมาคม แล้วกระจายกันเข้ารุมจู่โจมทุกคนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะนักวิเคราะห์สาวที่อยู่ใกล้หน้าต่างที่สุด รู้ว่าหลบไม่พ้นก็เผลอหลับตากรีดร้องด้วยความตื่นตกใจ

แต่จนแล้วจนรอดผ่านมาหลายอึดใจ สาวเจ้าก็ยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ จึงลืมตาขึ้น

สิ่งที่เห็นคือภาพของพื้นหินและกำแพงสมาคมที่บัดนี้ถูกย้อมกลายเป็นสีโลหิตสาดกระจายไปทั่วบริเวณ และใกล้ๆ เหนือศีรษะของเธอเพียงไม่กี่คืบ คือค้อนโลหะอันคุ้นเคยของบิดาที่ถูกชโลมด้วยเลือด ซ้ำยังมีเศษชิ้นกะโหลกของอสูรติดอยู่

เธอมองดูใบหน้ากร้านโลกของช่างเหล็กที่บัดนี้บึ้งตึงและแสดงความโกรธาออกมาอย่างอำมหิตเป็นคนละคนกับพ่อที่เธอรู้จัก ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นยิ้มละไมปลอบใจตอนที่สบตากับลูกสาวสุดรัก

ขณะเดียวกันนั้นเองที่เธอกวาดตามองไปรอบโถง สิ่งที่เห็นก็ทำเอาความมั่นใจในฐานะนักวิเคราะห์แทบจะพังทลาย เพราะคนที่เธอไม่เคยคิดว่าจะสู้เป็นอย่างพ่อครัวประจำสมาคม คนเดียวกันกับที่ทำอาหารเลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กนั้น บัดนี้กำลังสะบัดเลือดออกจากมีดอย่างชำนาญ หลังจากใช้มันชำแหละเนื้อบลัดคลอว์สี่ตัวจนเหลือแต่กระดูกในชั่วพริบตา

แต่ที่ทำให้เธอเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะก็คือเอลฟ์สาวเอลีอาที่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่มีเลือดกระเซ็นถูกตัวซักหยด ทั้งที่รอบๆ ตัวนางนั้นเต็มไปด้วยซากศพของอสูรนับได้ร่วมสิบร่าง เกือบทุกร่างมีแผลจ้วงแทงทะลุหน้าอกและมีแค่สองร่างที่มีลูกศรปักทะลุศีรษะ บ่งบอกว่าเป็นฝีมือของเอเดล ซึ่งตอนนี้กำลังยืนมือสั่นหอบหายใจรุนแรง

ไม่ใช่เพราะเธอเหนื่อยอ่อน ทว่าเป็นความหวาดกลัว ด้วยต่อหน้าของสาวน้อยคือหุ่นสงครามในระยะประชิดจนจมูกแทบจะชนกันอยู่แล้ว ฝ่ามือทั้งสองข้างนั้นยังเปียกโชกไปด้วยเลือด เป็นการยืนยันว่าคือเขาเองที่สังหารอสูรเหล่านั้นหมดภายในชั่วอึดใจเดียว ไม่รวมเวลาที่เข้ามาจากด้านนอกสมาคม

กระทั่งจระเข้หนุ่มอย่างคร๊อกคัสที่เห็นการบุกจู่โจมดังกล่าวก็ยังต้องกลืนน้ำลาย เพราะฮอรัสกระโจนเข้าไปฆ่าอสูรเสร็จหมดก่อนที่เขาจะอัญเชิญอวตารกระดูกขึ้นมาช่วยคนในสมาคมสำเร็จเสียอีก

ในชั่วขณะของความกลัวและอึดอัดนั้นเองนัยน์ตาสีนิลนิ่งเฉยไม่แสดงประกายอารมณ์ใดๆ ยามที่มันจับจ้องเข้าไปที่ดวงตาสีฟ้าคู่ตรงข้าม ที่บัดนี้เหมือนจะมีน้ำเอ่อออกมาอยู่รอมร่อด้วยความกลัว ทั้งที่ก่อนหน้าเพิ่งจะปกป้องเอลฟ์สาวและจัดการอสูรลงไปอย่างกล้าหาญได้ถึงสองตน แต่ตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกนิ้ว

กระทั่ง สัมผัสรับรู้ของฮอรัสมองเห็นความเหมือนกันในดวงตาอีกฝ่าย จึงรู้ว่าสาวคนนี้คือเอเดล และมันก็ทำให้คำสั่งของเอลีอาที่เขาจัดไว้ให้เป็นหนึ่งภารกิจเมื่อนานมาแล้วมีเงื่อนไขครบถ้วนพอดี

“คุณคือเอเดล? ... ผู้สร้างกับคุณเอลีอาเรียกผมว่าฮอรัส ยินดีที่ได้รู้จัก ผมช่วยงานในสวนของคุณเอลีอา ผมไม่ต้องนอน แต่จะขอใช้ห้องโถงเฝ้ายามในเวลากลางคืน” ฮอรัสเอ่ยแนะนำตัวเองตามวิธีที่เอลฟ์สาวสอนไว้ทันที เปลี่ยนความกลัวในตอนแรกให้กลายเป็นความกระอักกระอ่วน พร้อมๆ กับสายตาฉงนปนแปลกใจของทุกคนว่ามันกำลังเรื่องเกิดอะไรขึ้น

แม้แต่เอลีอาที่เป็นคนสั่งเอาไว้เองพอได้ยินการแนะนำตัวอย่างไม่คาดฝันในสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำเอาเธอเข่าอ่อนขึ้นมา “ตะ ตอนนี้มันคงไม่เหมาะนะจ๊ะ ฮอรัส...”

ฮอรัสหันไปเอียงคอเป็นภาษากาย คล้ายจะสื่อว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ก่อนที่เสียงเข้มของชาวช่างชราจะดังขึ้นเปลี่ยนบรรยากาศอึดอัดน่าเวียนหัวนี้ให้กลับมาจริงจังอีกครั้ง

“เจ้าว่าเขาไม่อันตรายงั้นสิ... เอลีอา” เขาพาดค้อนโลหะขึ้นบนบ่า เงยหน้าจ้องเขม็งไปยังเอลฟ์สาวตั้งใจเอาคำตอบจริงจัง เพราะถึงตัวเขาจะไม่รู้จักหุ่นสงครามตนนี้ ไม่รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนหรืออาจจะสร้างเรื่องอะไรไว้ ทว่าในฐานะช่างเหล็ก สิ่งที่เขาเห็นคือเครื่องสังหาร

เครื่องมือทุกชนิดบนโลกล้วนแต่ถูกออกแบบเพื่อทำงานอย่างใดเป็นสำคัญเสมอ และในสายตาเขา หุ่นตนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อฆ่า ทั้งสรีระพละกำลังและรูปแบบการเคลื่อนไหวที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ ทั้งหมดถูกคิดมาอย่างดีว่ามันจะสามารถการันตีโอกาสในการสังหารได้อย่างรวดเร็วฉับไวและแน่นอน

ทว่าขณะเดียวกันในฐานะช่างศิลป์ รูปลักษณ์ของหุ่นตนนี้ก็งดงามสมบูรณ์แบบอย่างที่สุด ราวกับเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายในชีวิตของผู้ออกแบบ เขามองเห็นความใส่ใจและความรักที่ใส่ลงไปในทุกๆ รายละเอียด ถ้าบอกว่าผู้สร้างใช้เวลาทั้งชีวิตเพียงเพื่อปั้นหน้าหุ่น เขาก็เชื่อ และชาวช่างทุกคนที่รักงานศิลป์ก็จะเชื่อเช่นเดียวกันว่านี่คือผลงานชิ้นเอกอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นทำให้เขาเองก็ชั่งใจถึงจุดประสงค์ของคนที่สร้างมันขึ้นมาว่าต้องการอะไรกันแน่ เพราะไม่มีช่างเหล็กคนไหนบนโลกหรอกที่จะลงรักฝังอัญมณีและฉลุลายปิดทองบนใบดาบที่จะนำไปใช้ฆ่าฟันจริงๆ

“เขาช่วยชีวิตฉันไว้ เขาไม่เป็นอันตรายแน่... ฉะ ฉันเชื่ออย่างงั้น” เอลีอาที่ได้ยินคำถามของช่างเหล็กดังนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง แม้ว่าในตอนท้ายจะฟังดูคล้ายไม่มั่นใจก็ตาม “เชื่อเถอะนะ.. เอเดล เชื่อแม่ใช่มั้ย” เอลฟ์สาวยืนยันอีกครั้ง พร้อมกับจับมือของลูกสาวและฮอรัสขึ้นมาสัมผัสกันอย่างกะทันหันจนสาวน้อยถึงกับสะดุ้งเฮือกตกใจ

ก่อนที่ช่างเหล็กชราจะแค่นเสียงลมหายใจเอ่ยตอบ

“ก็ได้... ถ้าเจ้าว่าเขาไม่เป็นอันตราย งั้นข้าก็จะเชื่อ”

“พ่อคะ!”

นักวิเคราะห์สาวตัวเล็กได้ยินคำพูดที่ทึกทักเอาเองโดยปราศจากการไตร่ตรองจากปากของผู้เป็นบิดาเช่นนั้นก็รีบขึ้นเสียงขัด เพราะเรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าจะตัดสินใจกันเอาเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่ผ่านความเห็นของนักวิเคราะห์อย่างเธอด้วยแล้ว

ทว่าไม่เป็นผลเมื่อพ่อของเธอส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะใบหน้าบึ้งตึงของเธอสำหรับเขาแล้วก็ยังคงน่ารักเป็นเด็กน้อยเสมอในสายตาเขา

“คำพูดของนักปรุงโพชั่นประจำสมาคมเราน่าจะมีน้ำหนักพอนะพ่อว่า” ชาวช่างชรากล่าวพลางหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ ทำเอาลูกสาวต้องถอนหายใจเพราะอย่างไรมันก็สายเกินไปแล้วสำหรับระเบียบการและเหตุผล

ไม่มีอะไรเลยในวันนี้ที่มีเหตุผลพอให้เธอนำมาวิเคราะห์ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนเทพเจ้ากำลังเล่นตลกให้หมู่บ้านนี้เป็นแค่ฉากหนึ่งของนิยายสักเรื่อง เพราะแม้ภาพลักษณ์ของฮอรัสจะเป็นภัย แต่หากเขาเป็นอันตรายพวกเธอก็คงตายไปแล้ว เช่นนั้นมันก็ยังพอจะทำใจเชื่อตามบิดาได้บ้าง

ช่างเหล็กชราที่เห็นลูกสาวยอมแล้ว จึงเดินด้วยขาสั้นๆ ของตัวเองไปหยุดต่อหน้าหุ่นสงคราม พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาจริงจังหนักแน่น

“ฮอรัสใช่มั้ย... ข้าไม่รู้จักเจ้า ไม่สนด้วยว่าเจ้าจะเคยทำอะไรหรือเป็นอะไรมาก่อน แต่เอลีอาเชื่อใจเจ้าและนางรักหมู่บ้านนี้... เจ้าสู้เป็นนี่ งั้นก็ออกไปข้างนอกนั่น ปกป้องมันเอาไว้ อย่าทำให้นางผิดหวัง”

“นั่นเป็นคำสั่งภารกิจรึเปล่า” ฮอรัสที่ได้ยินคำพูดนั้นเพียงแค่ถามต่อด้วยเสียงเรียบเฉยอย่างปกติ แต่สายตาส่องประกายไม่มีใครเห็น

“ชะ ใช่.. เป็นภารกิจ แต่เราต้องวางแผนกัน... ก่อน” เป็นนักวิเคราะห์สาวที่ตอบคำถามนั้นแทนบิดา ทว่ายังไม่ทันที่เธอจะพูดจบประโยค ฮอรัสก็เดินออกไปพร้อมกับกำหมัดอย่างฉับพลันก่อเสียงปะทะกันของเหล็กในกำปั้นบ่งบอกว่าเขาอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมจะทำภารกิจ

"ไฟแรงดีจริงๆ เฮ้อ... พวกเราเองก็ออกไปเคาะสนิมเสียบ้างดีกว่า” ช่างเหล็กชราผู้มีนามว่า กูล เอ่ยกับพ่อครัวของสมาคมซึ่งตอนนี้เผยรอยยิ้มมุมปากบางๆ ออกมาคล้ายว่ากำลังรอให้อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมานานแล้ว ก่อนจะใช้นิ้วรีดคราบเลือดออกจากใบมีดเดินตามหุ่นสงครามออกไป

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด