DC บทที่ 13: รู้สึกละอายใจ
ผู้อาวุโสหลานใช้พลังงานและความพยายามทั้งหมดเดินกลับไปยังที่พักของเธอ ขาของเธอไม่เป็นไปตามใจนึกอยู่บ่อยครั้ง และความรู้สึกเสียวซ่านบริเวณริมฝีปากด้านล่างยังไม่ลดน้อยลงเป็นเหตุให้มีน้ำไหลออกมาเล็กน้อยทุกย่างก้าว เมื่อบรรดาศิษย์เห็นเธอพวกเขาต่างเชื่อว่าเธอดื่มมาหนักมาก
เมื่อสุดท้ายเธอกลับถึงที่พัก เธอสังเกตเห็นเด็กหญิงตัวเล็กหลับอยู่หน้าประตู
“ชีเยวี่ย..” อารมณ์ของผู้อาวุโสหลานดีขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าน่ารัก
“พี่สาวหลาน ท่านกลับมาแล้ว” ชีเยวี่ยสังเกตเห็นเงาร่างผู้เข้ามาทัก เธอรีบยืนขึ้น
“เรื่องเป็นเช่นไรบ้าง ท่านได้พบศิษย์พี่ชายซูหรือไม่” เธอกล่าวถึงชื่อที่ผู้อาวุโสหลานไม่อยากได้ยินในเวลานั้น
“...ข้าพบเขา...” เธอถอนใจ
“งั้น เขาช่วยท่านได้ไหม”
แม้ไม่อยากจะตอบคำถามเธอ ผู้อาวุโสหลานกัดฟันผงกศีรษะ
“แล้วทำไมท่านถึงเดินแบบนั้น.. อ๋า..” ชีเยวี่ยนึกขึ้นได้ทันใดว่าคำถามเธอช่างโง่เขลา ทำไมเธอจึงจะไม่รู้จักท่าเดินล้มลุกคลุกคลานของผู้อาวุโสหลาน ในเมื่อเธอเองก็เป็นแบบนั้นมาก่อน
ผู้อาวุโสหลานขมวดคิ้วเมื่อเธอสังเกตเห็นชีเยวี่ยหน้าแดง ทำไมเธอต้องหน้าแดง
ทันใดนั้นผู้อาวุโสหลานก็นึกถึงค่ำคืนที่ชีเยวี่ยมาที่บ้านเพื่อพูดเกี่ยวกับซูหยาง เธอจำได้ชัดเจนถึงวิธีเดินไปมาด้วยขาซาลาเปาของชีเยวี่ยคล้ายกับเธอประสบกับบางสิ่งที่ดูดกลืนพละกำลังของเธอไป
“มิ...มิมีทาง… ซูหยางได้แตะตัวเจ้าหรือไม่...” ผู้อาวุโสหลานปิดปากอย่างตกใจไม่อยากเชื่อความคิดของตนเอง
ชีเยวี่ยเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำถามของผู้อาวุโสหลานผิดและผงกหัวอย่างเชื่องเชื่อ
“เจ้าเลวซูหยาง ลืมเรื่องข้าก่อน ทำไมมันกล้าแตะตัวบางคนที่ยังเด็กเช่นชีเยวี่ย เธอแค่ 12” ผู้อาวุโสหลานด่าเขาอยู่ในใจ
“ข้าจะฆ่าเจ้านั่น ข้าต้องฆ่าเจ้าลามกนั่น” เธอคำรามเสียงต่ำ
ชีเยวี่ยมองเธอด้วยความตกใจ “พี่สาวหลาน”
“และเจ้า ชีเยวี่ย นิกายห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ยุ่งเกี่ยวกับการฝึกคู่มิว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม เจ้าคิดว่าข้าจะทำเป็นมองมิเห็นเพียงเพราะว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งสองงั้นรึ”
ชีเยวี่ยกระพริบตาหลายครั้งติดต่อกัน ดูงุนงงกับใบหน้าเครียดของผู้อาวุโสหลาน “พี่สาวหลานพูดถึงอะไร” เธอถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อ
“เจ้ายังแสดงเป็นมิรู้อีกรึ เจ้าเพิ่งพูดเองว่าซูหยางแตะตัวเจ้า”
“อ๋า” ในที่สุดชีเยวี่ยก็เข้าใจเหตุการณ์และหน้าแดง “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ศิษย์พี่ชายซูมิได้ทำอะไรพรรค์นั้นกับข้า เขาเพียงแค่ดูดพิษออกจากขาหลังจากคลายกล้ามเนื้อแล้วเท่านั้น”
ผู้อาวุโสหลานชะงักค้างกับคำพูดของเธอ “อะไร แต่...”
“ศิษย์พี่ชายซูมิใช่คนลามก เขาเพียงทำสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อรักษาขาข้า” ชีเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเจือโทสะ แม้ว่าจะเป็นพี่สาวที่รักของเธอ เธอก็ไม่สามารถนิ่งเฉยเมื่อมีใครพูดว่าร้ายคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้
"..."
เป็นครั้งแรกสำหรับเธอที่เห็นชีเยวี่ยมีอารมณ์เพราะบางคนที่เธอเพิ่งพบ และภาพของซูหยางที่หน้าเรียบเฉยปรากฏในห้วงคะนึงทำให้เธอเกิดความสับสนใจ
“เขาเพียงแค่ทำสิ่งที่ต้องทำเพื่อช่วยเจ้า...” ผู้อาวุโสหลานสำรวจกลับไปยังร่างกายของตนเอง นั่นไม่มีความเจ็บ… มีแต่ความสุข
“ถ้าเขาต้องการ เขาสามารถเอาเปรียบข้าได้ระหว่างที่ข้าอ่อนแอ แม้กระทั่งพรหมจารี แต่เขาก็มิได้ทำเช่นนั้น” ผู้อาวุโสหลานมั่นใจว่าช่วงเวลาที่เร่าร้อนนั้น เธอคงไม่สามารถปฏิเสธซูหยางถ้าเขาต้องการล่วงเกินไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน เธอเริ่มเสียใจกับคำพูดรุนแรงที่เธอใช้กับเขา นับประสาอะไรกับเธอเป็นคนที่ไปขอให้เขาช่วยอย่างไร้หนทาง
“ข้าละอายใจตนเองที่ล่วงเกินเขาและทำให้เขาโกรธ...อาาา… ข้านี่ช่างโง่เง่านัก….” ผู้อาวุโสหลานถอนใจลึก เธอละอายใจตนเมื่อเธอเธอนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างการรักษา ทำไมเธอต้องทำตัวเหมือนหมาถูกน้ำร้อน
ใบหน้าที่เปี่ยมความกระสันรัญจวน คำพูดสัปดนที่ออกมาจากปากเธอ ร่างกายที่บิดไหวไปด้วยความต้องการ ทุกสิ่งที่เธอทำระหว่างที่ซูหยางรักษาทำให้เธอต้องสาปแช่งตนเองด้วยความอับอาย
“พี่สาวหลาน...” ชีเยวี่ยมองไปที่ใบหน้าท้อแท้ของผู้อาวุโสหลานด้วยความกังวลใจ
“เจ้าพูดถูก ชีเยวี่ย ข้าขอโทษที่พูดล่วงเกินซูหยาง เขาช่วยชีวิตเจ้าไว้ นับประสาอะไรกับบั้นท้ายข้า...” เธอยิ้มอย่างสุภาพ
หลังจากอยู่ร่วมกับชีเยวี่ยชั่วครู่ ทั้งคู่ก็แยกย้ายไป
เมื่อเธอกลับถึงห้อง ผู้อาวุโสหลานถอดเสื้อผ้าออกและทำความสะอาดตนเอง ภายในห้องน้ำเธอจ้องมองร่างเปลือยเปล่าของตนเองด้วยความรู้สึกสับสน เธอรำลึกถึงเวลาที่เธออยู่ในห้องซูหยางจดจำถึงวิธีการที่เขาสัมผัสร่างกายของเธอและความรู้สึกเป็นสุขที่หว่างขาขณะที่เธอปลดปล่อย
มือเรียบนวลของเธอเริ่มรุกล้ำช่องทางเบื้องล่าง เริ่มเล้าโลมอัญมณีเม็ดเล็กสีชมพูภายในช่องเปิด เธอไม่เข้าใจว่าทำไม่เธอทำเช่นนี้ แต่มือเธอเคลื่อนไหวต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง พยายามเลียนแบบความรู้สึกดังสู่สรวงสวรรค์ที่เธอสัมผัสมาก่อนหน้านั้น
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเธอจะลูบคลำสัมผัสตัวเองอย่างไร ความรู้สึกนั้นก็แตกต่างอย่างมากกับสิ่งที่ได้รับจากการรักษาของซูหยาง มีบางสิ่งที่แตกต่างจากวิธีการที่เธอสัมผัสตนเอง มันเหมือนกับว่าร่างกายของเธอไม่พอใจกับมือของเธอและต้องการซูหยางเท่านั้น
“ฮาาา...” ผู้อาวุโสหลานออกจากห้องน้ำ ถอนใจ รู้สึกอายกับการกระทำของตนเอง
–
–
–
มันเป็นเวลาเที่ยงคืนที่ซูหยางตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากลืมตาขึ้นคือการฝึกปราณ เขานั่งไขว้ขาบนเตียงและรัศมีลึกลับก็ห่อหุ้มตัวเขาไว้
มื่อเขาพลันเปล่งแสงเรื่อเรืองสีน้ำเงิน เขากำลังหลอมพลังหยินที่สะสมจากน้ำทิพย์ของผู้อาวุโสหลาน แม้ว่าปริมาณมันจะน้อยนิด แต่มันก็เป็นประโยชน์ต่อพลังการฝึกปรือของเขาอย่างมาก
“พรหมจรรย์ช่างสุดยอด...” ซูหยางค่อยดูดซับพลังหยินบนมือของเขาอย่างเงียบๆ พลังการฝึกปรือของเขาเพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ
คุณภาพของหยินหรือหยางที่ได้รับจากผู้ที่ยังบริสุทธิ์กับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์นั้นเปรียบได้ดังฟ้ากับเหว นั่นเป็นเหตุที่ว่าหญิงพรหมจารีนั้นมีค่ามากล้นในโลกนี้
ซูหยางเปิดเปลือกตาขึ้นเกิดประกายแสงวาบวับผ่านออกมา เขาเลื่อนระดับถึงขั้นที่ห้าเขตปฐมวิญญาณ ส่วนความก้าวหน้าทางร่างกายนั้นแทบจะไม่ขยับ นั่นเป็นความแตกต่างระหว่างการหลอมปราณกับการหลอมร่าง ทุกร้อยขั้นที่ได้รับจากการหลอมปราณ จะมีผลเพียงสิบขั้นสำหรับการหลอมร่าง
ซูหยางมองไปยังดวงจันทร์ผ่านหน้าต่างอย่างโศกเศร้า เงาจันทร์เฉกภาพลักษณ์ของความงามที่มิอาจเทียบของผู้ที่รู้จักกันในนามเทพีจันทราในชีวิตก่อนปรากฏขึ้นในใจเขา
ในช่วงเวลาที่เหลือยามค่ำคืน เขานั่งเหม่อมองดวงจันทร์ รำลึกถึงประสบการณ์ตื่นเต้นที่ได้ประสบในชีวิตก่อน