ตอนที่แล้วบทที่ 7 : ผู้ถูกเลือกปะทะนิดฮอก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 : หายนะจากฟากฟ้า

บทที่ 8 : ความสงบก่อนพายุ


บทที่ 8 : ความสงบก่อนพายุ

 

“งานนี้ฉันเป็นเจ้ามือเอง ทุกคนกินดื่มกันให้เต็มที่เลย” เสียงกึกก้องตอบรับคำกล่าวเปิดงานเลี้ยงของฉลองให้กับชัยชนะดังก้องทั้งห้องโถงสุดหรูออกไปไกลถึงห้องอื่นที่อยู่ติดกัน โคมระย้าห้อยตัวบนเพดานห้องเองก็แกว่งไกวเบา ๆ ตอบรับกับเสียงเช่นกัน เกิดแสงกระจายทั่วทั้งห้อง สีทองสลับเงินแกว่งไกวไปมาจาง ๆ ห้องโถงใหญ่โตหรูหรามโหฬารสมกับสมญานามห้องรับรองอันดับหนึ่งของดิกนิตี ผ้าปูโต๊ะเป็นประกายสีขาวระยิบระยับ ของประดับแกะสลักอย่างประณีตวางตกแต่งสลับกับชุดที่นั่งสีเงินผสมทองอยู่รอบห้อง ดูตระการจนแทบจะกลายเป็นลายตาแทน

 

แมดเดอลีนยกแก้วใบโตที่บรรจุของเหลวสีทองขึ้นซดรวดเดียวจนหมด “เอ้า มัวมองอะไรอยู่ เริ่มงานฉลองกันเถอะเจ้าพวกลูกเจี๊ยบ” ราวกับเป็นเสียงคำสั่งก็มิปาน บรรดาหุ่นรับใช้ก็ทยอยโผล่เข้ามาในห้องพร้อมกับรถเข็นอาหารสารพัดชนิด

 

อาหารทั้งหมดเป็นแบบนานาชาติ มีทั้งคาวหวาน แถมยังถูกคัดสรรมาอย่างดีจากเชฟมือหนึ่งนับร้อยรายที่ถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของยาน โต๊ะนับสิบตัวเริ่มมีหุ่นเรียงแถววางอาหารทีละนิด ๆ ถาดชั้นถูกเรียงสูงขึ้นเป็นสามชั้น กับอาหารที่มีรสชาติเข้ากันวางอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องกลัวเลยว่าอาหารจะไม่ถูกปากหรือมีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องไป

 

ที่เห็นจะโดดเด่นสุดก็คงไม่พ้นซุ้มเครื่องดื่มและของทานเล่น น้ำพุสิบสองชั้นสิบสองสีสูงตระหง่านกลางซุ้ม มีโต๊ะตั้งแก้วกับกระชอนตักอยู่เคียงกัน หุ่นรับใช้ยืนขนาบข้างน้ำพุคอยบริการตักน้ำให้ดื่ม เครื่องดื่มบางชนิดก็มีทั้งควันและกลิ่นเปรี้ยวหวาน บ้างก็มีไฟลุกแต่กลับไม่ลวกลิ้น บ้างก็มีรสขมแต่กลับไม่ทำให้หยุดชิมได้เลย สีของน้ำต่าง ๆ ยังไม่เท่าสีสันของขบเคี้ยวนานา ที่มีสารพัดรูปร่าง ตั้งแต่ขนมที่เรียงชั้นเป็นหน้าตาเหมือนนิดฮอก หรือของกินเล่นเสียบไม้อยู่หลายชิ้นในโหลที่ต้องเอาจิ้มสิ่งที่คล้ายก้อนเยลลี่สีเขียวก่อนกิน ไปจนถึงของธรรมดาที่เห็นได้ทั่วไป อย่างลูกอมเม็ดกลมสีรุ้งเป็นพันชิ้นวางเรียงบนถาดสูง

 

เห็นได้ชัดว่าแมดเดอลีนทุ่มสุดตัวกับงานเลี้ยงครั้งนี้

 

กิลเลนรู้สึกแปลกใจที่เขาไม่เห็นอคาลาในงานเลี้ยง เธอดูสนอกสนใจทุกสิ่งทุกอย่างในดิกนิตีเสมอ หลายครั้งที่เธอโผล่มาในโรงอาหารและชี้นิ้วถามกิลเลนว่าไอ้นี่คืออะไร รสชาติเป็นยังไง และเขาชอบรึเปล่า แต่วันนี้ที่มีงานเลี้ยงและเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาประหลาดนับสิบนับร้อยชนิด กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ

 

“ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหน้าแล้วจะคิดถึงอะไรแบบนั้นหรอกนะ ก็แค่แปลกใจ” เขาแก้ตัวกับตัวเองแต่ก็ห้ามไม่ให้เหลียวมองหาเธอตลอดเวลาไม่สำเร็จ

 

“อย่าได้หลงคิดไปนะ ว่าเป็นคนสุดท้ายที่จัดการนิดฮอก แล้วคนอื่นจะมองแกเป็นฮีโร่น่ะ” โอเวนทักทายกิลเลนด้วยประโยคที่ไม่เป็นมิตรอย่างทุกครั้ง “มันไม่ได้เปลี่ยนความจริงหรอกว่าแกเป็นฆาตกรฆ่าเด็ก”

 

...วัยรุ่นหน้าแก่… กิลเลนอยากจะแก้คำพูดของโอเวนเหลือเกินแต่เขาก็ได้แต่ตัดใจ อคติมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว สำหรับบางคนแล้วลองถ้าได้ฝังใจเชื่ออะไรอย่างหนึ่งไปแล้วจะพยายามอธิบายเหตุผลแบบไหนเขาก็ไม่คิดจะรับฟัง

 

กิลเลนเตรียมจะเดินหนีแต่โอเวนก็เข้ามาคว้าแขนเอาไว้ทัน เมื่อเข้าใกล้เขากลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ที่ลอยมากระแทกจมูกทำให้กิลเลนรู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะดื่มมาไม่น้อย

 

“จะหนีไปไหนข้าไม่ยังพูดไม่จบ”

 

“ปล่อย…”

 

“ความกล้าก่อนหน้านี้มันหายไปไหนหมดล่ะ”

 

กิลเลนสะบัดจนหลุดจากการจับ แต่ด้วยแรงที่มากเกินไปทำให้โอเวนถึงกับเซและล้มก้นจ้ำเบ้า

 

“นายไม่มีสติแล้ว กลับห้องตัวเองไปเถอะ”

 

“แกชอบเด็กคนนั้นใช่ไหม ยัยเด็กผมบลอนด์ชุดแดง” คำพูดของโอเวนทำให้กิลเลนที่กำลังจะเดินจากไปต้องหยุดเพื่อฟังต่อว่าเขากำลังจะบอกอะไร

 

“รู้ใช่ไหมว่า ถ้าคาตาลิสต์เสียผู้ถูกเลือกไป พวกเธอจะต้องจับคู่ใหม่กับคนที่เหลือ แกก็คงจะเล็งมันอยู่สินะ”

 

“ฉันไม่รู้ว่านายไปได้ยินอะไรมา...”

 

“จะบอกว่าไม่เคยคิดเลยสินะ งั้นถ้าเกิดอะไรขึ้น... ข้าจะแย่งยัยนั่นมาก็ไม่เป็นไรสินะ”

 

“นายเมามากไปแล้ว”

 

“อยากรู้นักถ้าฉันได้นังนั่นมาเป็นคาตาลิสต์ของตัวเองอีกคน แกยังจะตีหน้าเป็นคนดีต่อได้อีกรึเปล่า”

 

กิลเลนพยายามสะกดกลั้นไว้ บางทีเขาก็แปลกใจว่าคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ทำไมไม่มีใครคิดจะห้ามโอเวนบ้างเลย เขาพยายามย้ำกับตนเองว่าอย่าไปถือสาคนเมาแต่พอเป็นเรื่องของพีโอเนียมันก็ทำให้เขาระงับอารมณ์ยากขึ้น

 

แม้ว่าพีโอเนียจะไม่เลือกเขาก็ตาม แต่ความจริงก็คือเธอเป็นคาตาลิสต์เพียงคนเดียวที่เคยยืนหยัดอยู่ข้างเขา เป็นคนแรกที่ทักเขาด้วยรอยยิ้มที่สดใส

 

“อย่าได้พูดถึงพีโอเนียเหมือนกับว่าเธอเป็นสิ่งของอีก” ทั้งที่บอกไม่ให้ตัวเองต่อปากต่อคำแต่กิลเลนก็พูดออกไป

 

“คอยดูตอนยัยนั่นอยู่ในอ้อมกอดของข้าเถอะ”

 

กิลเลนเดินตรงเข้าไปพร้อมกับกำปั้นที่กำแน่น แต่ยังไม่ทันที่ถึงตัวโอเวน เขาก็รู้สึกปวดวาบขึ้นมาที่ท่อนแขนขวา เมื่อยกขึ้นมาดูก็พบว่าแขนซีดของเขาถูกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งแล้ว

 

กิลเลนกระโดดถอยหลังออกมาตั้งหลัก ไม่ใช่แค่เจโรมเท่านั้นที่เล่นงานเขา บาร์เรตเองก็พยายามคว้าตัวเขาไว้ให้ได้

 

...ประมาทไปสินะ คิดว่าเคยสู้กับนิดฮอกมาด้วยกันแล้วพวกนี้จะเลิกมองเราเป็นศัตรู มันไม่ใช่เลย…

 

ขณะที่คิดว่ากำลังจะแย่แล้ว บากะอินุที่ไม่รู้ว่าวิ่งมาจากไหนก็พุ่งเข้าชาร์ตใส่บาร์เรตจนล้มคะมำ เหตุการณ์ยิ่งชุลมุนขึ้นอีกจีคเข้ามาช่วยฝ่ายกิลเลนแถมยังพาเอาพอลและเบรนตัน สองคนที่เคยช่วยกิลเลนต่อสู้กับนิดฮอกก่อนใครเพื่อนเข้ามาช่วยรุมทึ้งฝ่ายโอเวน

 

โอเวนใช้ลูกไม้เก่า แต่จากหนูที่ใคร ๆ ก็เห็นจนชินตา คราวนี้กลายเป็นสัตว์ที่ตัวโตขึ้นอีกขั้น แมวนั่นเอง แมวสามสีหน้าตาเอาเรื่องกระโดดเข้าใส่บากะอินุช่วยบาร์เรตที่กำลังเสียท่า เบรนตัน ซัมเมอร์จากบีตาเปลี่ยนผิวของเขาเป็นเหล็ก แม้ว่ามันจะยังไม่แกร่งพอจะต้านการโจมตีของนิดฮอกได้แต่ก็สามารถรับมือกับการแช่แข็งของเจโรม พอล ดูแรนท์จากบีตาเช่นกันก็ใช้ร่างกายที่ยืดหยุ่นเหมือนยางผลักอีกหลาย ๆ คนที่ทำท่าจะวิ่งเข้ามาช่วยพวกโอเวน

 

เป็นความวุ่นวายที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะจบลงเช่นไร ถ้าไม่ใช่เพราะว่า...

 

ตุบบบ พลั่ก กร๊อบบ โครม

 

สารพัดเสียงจากมือ เท้า เข่าและศอกของแมดเดอลีนประเคนใส่ทุกคนจนถ้วนหน้า เหลือแค่กิลเลนที่รอดมาได้เพราะยังกุมแขนข้างที่ยังชาเพราะความเย็นจัดไม่ได้เข้าไปผสมโรงกับคนอื่น ๆ

 

แมดเดลลีนเดินขาปัดโยกซ้ายทีขวาทีเข้าไปใกล้ หน้าที่แดงก่ำและกลิ่นฉุนของสิ่งมืนเมาบอกได้เลยว่าเธอกำลังเมาเสียยิ่งกว่าโอเวนซะอีก

 

“เฮ้ เจ้ เดี๋ยวสิ ผมไม่ใช่คนก่อเรื่องนะ” กิลเลนรีบยกสองแขนขึ้นมากันแต่ไม่ทันเสียแล้ว

 

ตุ๊บบบบ

 

กำปั้นหนัก ๆ กระแทกเข้าท้องของชายหนุ่มอย่างจัง ความแรงนั้นถึงกับทำให้กิลเลนขาไม่ติดพื้น

 

“บอกแล้วว่าอย่าเรียกเจ้”

 

แมดเดอลีนตวาดแว้ดใส่จนทุกคนต้องวงแตก เธอเมาและฉุนจัดที่พวกเขาบังอาจมาก่อเรื่องในวันที่เธออุตส่าห์จัดงานเลี้ยงฉลองให้ ก่อนที่เธอจะไล่เตะก้นทุกคนซ้ำอีกรอบ กิลเลนและบากะอินุก็ชิงออกวิ่งไปอย่างรู้ทัน

 

“หนีเร็ว! เจ้าหมาโง่”

 

“โบร๋วววว”

 

ระหว่างที่เดินออกห่างจากงานเลี้ยง กิลเลนสัมผัสได้ว่าอคาลาอยู่ไม่ห่างออกไปเขาจึงลองออกเดินหา ไม่นานนักขาทั้งคู่พามาหยุดอยู่ที่หน้าห้องที่มีประตูขนาดใหญ่

 

ที่นั่นมีอคาลายืนเหม่อมองอยู่เบื้องหน้าประตูสีขาวที่กิลเลนเองก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไป เขาหยุดมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตัดสินใจเข้าไปทัก

 

“รู้สึกไหม” อคาลาที่ไม่ได้เหลียวกลับมาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน ดูเหมือนเธอจะรู้ตัวตั้งแต่แรกที่กิลเลนโผล่เข้ามาแล้ว

 

“รู้สึกอะไร” เขาถามกลับไปซื่อ ๆ

 

“หลังประตูบานนี้ บางสิ่งที่น่ารังเกียจ”

 

กิลเลนไม่เข้าใจว่าอคาลาพยายามจะบอกอะไร เขาเองก็ไม่เคยเห็นสิ่งที่อยู่หลังประตูบานใหญ่นี้ ที่เคยได้ยินได้ฟังมาบ้างก็มีเพียงมันเก็บอุปกรณ์พิเศษเอาไว้

 

“แมดเดอลีนเรียกมันว่า อะครอสเดอะยูนิเวิร์ส มันคือเครื่องจักรที่ใช้ดึงผู้ถูกเลือกมาจากยุคอื่น”

 

“...หรือโลกอื่น”

 

“งั้นเหรอ ทำแบบนั้นได้ด้วยสินะ”

 

กิลเลนเผลอจินตนาการตาม จากที่เคยได้ยินมาแวนเดียร์เองก็มาจากต่างมิติ ถ้าแวนเดียร์ถูกใครบางคนพามาโลกนี้ด้วยอุปกรณ์แบบเดียวกันนี้จะเป็นยังไงกันนะ

 

“คงไม่ใช่ว่าแวนเดียร์มาที่โลกนี้ด้วยสิ่งนี้นะ”

 

อคาลาส่ายหน้าช้า ๆ

 

“ทำไมถึงมั่นใจล่ะ ลองคิด ๆ ดูแวนเดียร์ก็ไม่น่ามีเทคโนโลยีที่ทำให้ข้ามมิติมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว บางทีแวนเดียร์ตัวแรกสุดอาจจะถูกดึงมาด้วยวิธีนี้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ”

 

“เป็นการคาดเดาที่น่าสนใจ แต่ไม่ใช่หรอก นายเข้าใจผิด”

 

“เรื่องไหน…”

 

“ก็เกือบทุกเรื่องนั่นแหละ”

 

“เอ้าาา… คิดจะตัดบทก็ตัดกันดื้อ ๆ เลยแฮะ วิญญาณนี่เอาใจยากจัง”

 

“กำลังคุยกับใครอยู่เหรอคะ” เสียงหวานที่ดังมาจากข้างหลังทำให้กิลเลนสะดุ้งเล็กน้อย เธอคือสาวผมทองในชุดแดงนั่นเอง บางทีเขาก็สงสัยว่าทำไมแต่ละคนชอบมาโผล่ข้างหลังเขาเงียบ ๆ กันนะ แล้วนี่เธอได้ยินเขาคุยอะไรกับอคาลาบ้างล่ะเนี่ย

 

“เปล่าครับ ผมคุยกับบากะอินุน่ะ” กิลเลนชี้ไปที่บากะอินุที่กำลังใช้เท้าหลังเกาหูอย่างไม่รู้เรื่อง

 

“ถะ ถึงกับต้องมาคุยกับสุนัขเลยเหรอคะ” สีหน้าแสดงความสงสารของพีโอเนียทำให้กิลเลนรู้สึกเจ็บแปลบในอก

 

“ถ้าไม่รู้จะคุยกับใครจริง ๆ ก็เข้ามาคุยกับฉันได้นะคะ ไม่ต้องกังวลเรื่องจัสตินหรอกค่ะ”

 

...เอ่อ อย่าพูดเรื่องแบบนี้ด้วยสีหน้าจริงจังแบบนั้นสิแม่คุณ…

 

กิลเลนเพิ่งสังเกตว่าพีโอเนียถือห่อกระดาษและขวดแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มมึนเมาเอาไว้ เธอรีบอธิบายว่าเธอเห็นกิลเลนออกจากงานมาก่อนจึงเอาของพวกนี้ติดมือมาด้วยเผื่อว่าเขาจะยังหิว

 

ในห้องพักของกิลเลน ได้เกิดสภาพที่น่าอึดอัดใจยิ่งกว่าเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับแวนเดียร์ เก้าอี้ตรงหน้าของเขามีร่างเล็ก ๆ ของพีโอเนียนั่งอยู่อย่างไม่ค่อยเป็นสุข ส่วนบนเตียงก็เขาก็มีอคาลานั่งกอดอกไขว่ห้างมองมาที่ทั้งคู่

 

“อื้มมม งั้นเรามารีบกินเรียบร้อยเถอะ” กิลเลนพูดกับพีโอเนียที่วันนี้ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง

 

“ฉันอยากจะปรึกษาเรื่องของจัสตินน่ะค่ะ...”

 

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก ผมกับจัสตินน่ะ เดี๋ยวเราก็เข้าใจกันได้…”

 

“มะ ไม่ใช่เหรอนั้นหรอกค่ะ” พีโอเนียเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ฉะ… ฉันคิดว่าบางทีฉันอาจจะตัดสินใจเร็วไปที่เลือก…”

 

“หยุดเถอะ!!” กิลเลนแทรกไม่ให้เธอพูดจบ “ผมไม่รู้ว่าพวกคุณมีปัญหาอะไรกันบ้าง และจะไม่เสเสร้งทำเป็นว่ารู้ดีด้วย แต่อย่าพูดอะไรที่จะทำให้ต้องเสียใจทีหลังเลย”

 

“แต่ว่า… คุณไรน์ฮาร์ท ฉันคิดว่า…”

 

กิลเลนคว้าเอาขวดเหล้าที่พีโอเนียเอาติดตัวมา เขากระดกรวดเดียวจนหมดขวดโดยที่อีกฝ่ายก็มัวแต่ตกใจจนร้องห้ามไม่ทัน อึดใจเดียวเท่านั้นของเหลวที่เคยเต็มขวดก็หมดเกลี้ยง

 

“ผมว่าผมเมาแล้ว ขอโทษนะวันนี้ผมอยากพัก”

 

“กิลเลน…” พีโอเนียเรียกชื่อเขาด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ที่เธออยากบอก ก็มีแค่เธอรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เลือกเขาตั้งแต่แรก แต่ผู้ชายที่ห่วงเธอมากกว่าใครคนนี้กลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้เธอได้สารภาพอะไรแม้แต่น้อย

 

พีโอเนียตัดสินใจกลับแต่เธอก็ยังทิ้งท้ายเอาไว้ “ฉันยังไม่ได้ตัดใจหรอกนะคะ” เธอตั้งใจแบบนั้นจริง ๆ แม้จะรู้ว่าเรื่องของจัสตินยังเป็นสิ่งเธอยังหาทางออกไม่ได้

 

...ทำบ้าอะไรลงไปเนี่ยตู เมื่อกี้มันโอกาสที่อาจจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก ในชีวิตของแกแล้วนะเว้ยกิลเลน…

 

ฤทธิ์ของเครื่องดื่มมึนเมาทำให้กิลเลนง่วงและผล็อยหลับลงไปอย่างรวดเร็ว

 

“นายท่าน นายท่าน ตื่นเถอะค่ะ”

 

แสงที่แยงตาทำให้กิลเลนต้องเอามือมาบังเอาไว้ เบื้องหน้าของเขามีเด็กสาวไม่คุ้นหน้ากำลังเขย่าตัวเขาอยู่

 

“ตื่นเถอะเจ้าค่ะ อินุจิโยะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว” สาวน้อยหูหมาพยายามลากเขาลงจากเตียงให้ได้ จนในที่สุดกิลเลนก็ฝืนไว้ไม่ได้อีกต่อไป

 

“เวรกรรม ฝันอีกแล้วรึเนี่ย บากะอินุกลายเป็นอินุจิโยะเฉยเลย”

 

“รีบไปแต่งตัวได้แล้ว วันนี้เราจะไปล่าแวนเดียร์กัน” คราวนี้เป็นเสียงอคาลา แต่เธอไม่ได้อยู่ในชุดราตรีสีดำอย่างทุกครั้ง หญิงสาวที่งามราวกับภาพวาด วันนี้เธอเกล้าผมเป็นทรงซาลาเปาสองลูก แถมยังแต่งตัวเหมือนนักสู้หญิงในไลท์โนเวลที่กิลเลยเคยอ่านไม่มีผิด

 

จากนั้นกิลเลนก็เพิ่งสังเกตว่าอินุจิโยะเองก็อยู่ในชุดนักบวชสาวเช่นกัน นี่มันความฝันบ้าอะไรกัน

 

“เอาวะ มีสาวน้อยสุดน่ารักเป็นพวกแบบนี้ ฝันก็ฝันเว้ย ไปล่าแวนเดียร์กันเถอะ”

 

โลกความจริงและความฝันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ห้องบัญชาการดิิกนิตี

“จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้บอกอะไรพวกนั้นรึ” ผู้บัญชาการชราเอ่ยกับแมดเดอลีนผู้ที่เพิ่งจะสร่างเมา

 

“ให้พวกนั้นได้มีความหวังเหลือบ้างเถอะค่ะ” เธอตอบ “ถ้าพวกนั้นรู้ว่าข้อมูลของนิดฮอกเป็นข้อมูลเก่าของหลายปีก่อน พวกนั้นคงจะเสียกำลังใจแย่”

 

อาเบลได้ฟังแล้วก็หันหลังกลับโดยไม่พูดอะไรอีก ส่วนแมดเดอลีนก็เหม่อมองลอดหน้าต่างออกไปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

 

“อย่างน้อย ในตอนนี้ก็ขอให้พวกนั้นได้อยู่กับฝันดีสั้น ๆ บ้าง”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด