บทที่ 21 จุดอ่อนของปราณไร้ลักษณ์
บทที่ 21 จุดอ่อนของปราณไร้ลักษณ์
ห้องส่วนตัวของมีลาร์มีสภาพไม่ต่างไปจากห้องในโลกปกติเลย หากจะมองหาความแตกต่างจากมันก็คงจะเห็นแค่ว่ามันกำลังกลับด้านอยู่ก็เท่านั้น
“จะยังไงก็ไม่ชินกับห้องนี่สักที” สไปค์บ่นอุบอิบในขณะที่กำลังทำสมาธิรวบรวมพลังปราณอยู่ภายในห้องส่วนตัวแห่งนี้
มีลาร์ซึ่งนั่งท่าเดียวกันอยู่ฝั่งตรงกันข้ามตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจจนชวนให้รู้สึกหมั่นไส้
“ห้องส่วนตัวของข้าสามารถทำให้เจ้าพัฒนาพลังได้ไวขึ้นนะ ฉะนั้นอย่าบ่นแล้วฝึกฝนต่อไปเถอะ”
คำพูดของมีลาร์เป็นความจริง ห้องส่วนตัวนี้มีผลทำให้การฝึกฝนรุดหน้าขึ้นแบบก้าวกระโดด นั่นยิ่งทำให้สไปค์รู้สึกแปลกใจว่ามันมีกลไกอะไรกันแน่ เพราะที่นี่ไม่ได้มีผลเรื่องกาลเวลาที่จะเดินช้าหรือเดินเร็วกว่าโลกภายนอก ผู้ฝึกไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอยู่ที่นี่นานเป็นปีทั้งที่ข้างนอกพึ่งผ่านไปแค่วันเดียว ทั้งสองโลกต่างขับเคลื่อนด้วยระยะเวลาที่พร้อมเพรียงกัน ทั้งที่เป็นอย่างนั้นกลับมอบความรู้สึกพิเศษที่โลกภายนอกไม่มีมาให้
เมื่อตั้งใจควบคุมพลังปราณก็พบได้ว่ามันสงบนิ่งกว่าที่คิด สไปค์รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาขึ้นในด้านการควบคุมพลัง
พื้นที่รอบบริเวณที่เขานั่งอยู่แม้จะเต็มไปด้วยโต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ ซึ่งไม่เหมาะจะใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนฝีมือ แต่พอเอาเข้าจริงกลับรวมสมาธิได้ง่ายกว่าที่คิดเอาไว้
“เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว” มีลาร์กล่าวสั้น ๆ ก่อนที่สไปค์จะลืมตาตื่นขึ้นเพื่อคลายจากสภาวะสงบนิ่ง เขาลุกขึ้นยืนและมองไปที่แววตาเรียบเฉยของผู้เป็นอาจารย์
“ถ้ายังทำไม่สำเร็จล่ะก็ จะไม่มีโอกาสได้ออกไปจากที่นี่แล้วนะ”
“มันจะไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ แน่นอน”
ในความพยายามสำหรับสามสัปดาห์ที่ผ่านมา บทเรียนในการฝึกฝนหลัก ๆ มีแค่สองอย่างนั่นก็คือการฝึกสมาธิเพื่อควบคุมพลังปราณ และการต่อสู้เพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธีการที่เด็ดขาด ซึ่งในบทเรียนการต่อสู้ก็คือการต่อสู้กับมีลาร์และทำยังไงก็ได้เพื่อเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้
สไปค์ไม่เคยทำได้สำเร็จในระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดนี้
มีลาร์ดูเป็นคนที่ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีพละกำลัง แต่เอาเข้าจริงกลับไม่สามารถโค่นล้มได้ง่าย ๆ ความรู้สึกแตกต่างจากการต่อสู้กับซิลเฟร์หรือฟาร์เชนยิ่งกว่าฟ้ากับเหว สไปค์ไม่เคยรู้สึกถึงความลำบากใจในการเอาชนะคู่ต่อสู้มากถึงขนาดนี้
“เอาล่ะนะท่านอาจารย์ที่เคารพรัก” สไปค์เอ่ยเสียงยียวนเตรียมพร้อมจะลงมือ เขาตั้งมือขวาขึ้นมาพร้อมปล่อยก้อนพลังปราณสีม่วงราวกับก้อนเพลิงเล็ก ๆ ที่เริงระบำบนฝ่ามือ
มีลาร์ไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่ได้ตั้งท่ารับมืออะไรเลยด้วยซ้ำ
“ดูถูกกันตลอด เดี๋ยวได้เจอดีแน่” พูดจบก็วิ่งเข้าหามีลาร์ทันที เขาปล่อยเพลิงสีม่วงบนฝ่ามือออกไปมากกว่าสามลูก ในการฝึกฝนที่ผ่านมานี้รุดหน้าถึงขั้นสร้างปราณออกมาเป็นรูปลักษณ์สำหรับใช้จู่โจมได้แล้ว
ผู้เป็นอาจารย์ยกมือทั้งสองขึ้นมาขยับพลิ้วไหวบนอากาศเบื้องหน้า พลันปรากฏแผ่นกระจกใสบาง ๆ ออกมากั้นขวางก้อนเพลิงสามก้อนเอาไว้และสลายพลังทั้งสามนั้นให้หายไป เมื่อการจู่โจมครั้งแรกไม่ได้ผลก็ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับสไปค์ เขาเร่งฝีเท้าไปด้านหลังพร้อมทั้งเตะเข้าที่สีข้างของมีลาร์เต็ม ๆ
เสียงเปรี้ยงดังสนั่นลั่นห้อง กระแสลมจากแรงปะทะกระจายออกปัดเอาบรรดาโต๊ะตู้ให้สั่นไหว ลูกเตะของสไปค์ว่าเตะได้ฉับไวแล้ว มีลาร์กลับตั้งรับด้วยบานกระจกที่มองไม่เห็นได้รวดเร็วยิ่งกว่า
และยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ทั้งหมัดทั้งเท้าที่เต็มไปด้วยการห่อหุ้มของพลังปราณต่างก็ระดมใส่อย่างถี่รัวชนิดที่ไม่เปิดโอกาสให้มีลาร์ได้พักหายใจ แต่ไม่ว่าจะจู่โจมไปกี่ครั้งก็ไม่อาจทลายกระจกที่มองไม่เห็นนั่นได้เลยสักครั้งเดียว
ความสามารถของมีลาร์เท่าที่สไปค์ทำความเข้าใจได้ สามารถแบ่งแยกออกได้ดังนี้
1.การตั้งรับ ไม่ว่าจะโดนจู่โจมสักเท่าไหร่ก็จะมีบานกระจกที่มองไม่เห็นและทำลายไม่ได้ขึ้นมารับการจู่โจมไว้ได้ทุกทิศทาง
2.การรุก ในช่วงเวลาที่ประมาทหรือไม่ทันตั้งตัวอาจจะโดนของมีคมปริศนาตัดเฉือนเนื้อหนังไปได้ในพริบตา สไปค์เดาว่ามันมีรูปแบบคล้ายกับเศษกระจก
และคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะยังมีความสามารถแบบอื่นซุกซ่อนไว้อีก แต่ยังไม่เปิดเผยออกมาให้เห็น เพราะเพียงแค่สองอย่างนี้ก็เกินพอจะต้านรับไหวแล้ว
สไปค์เร่งเร้าการจู่โจมให้รวดเร็วมากขึ้นแต่ก็ยังไม่สามารถจู่โจมโดนอีกฝ่ายได้แม้แต่ครั้งเดียว นั่นทำให้อาการร้อนใจเริ่มถาโถมเข้ามาหาตัวเอง จังหวะนั้นที่มีลาร์เล็งเห็นเหมือนเป็นช่องว่างสำคัญ เขาปล่อยการโจมตีใส่สไปค์จนกระเด็น ร่างของสไปค์เต็มไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากของมีคมที่มองไม่เห็น
“ชิ บ้าจริง” ชายหนุ่มสบถอย่างไม่สบอารมณ์หลังจากที่ถูกทิ้งระยะห่างออกมาไกล
“เลิกจู่โจมแบบเดิมแล้วหัดเข้าใจจุดอ่อนของตัวเองได้แล้วน่า” มีลาร์เปล่งเสียงดังพอให้เขาได้ยิน “ต่อให้บุกสักเท่าไหร่ก็ไม่ใช่การจู่โจมที่ดีหรอก ถ้ามันเกิดขึ้นจากฝีมือของเจ้าน่ะนะ”
“ว่าไงนะ?” สไปค์ไม่เข้าใจความหมายที่มีลาร์พูด
“ข้าแค่จะบอกว่าปราณไร้ลักษณ์และกระบวนยุทธ์ไร้ลักษณ์ของเจ้ามันมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่น่ะสิ”
“จุดอ่อน?” สไปค์นิ่งเงียบไปทันที
ความจริงเขาเองก็ไม่เคยคิดมองหาจุดอ่อนของปราณไร้ลักษณ์มาก่อน ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่เคยคาดคิดว่ามันจะมี และยังเอาแต่คิดว่าจะพัฒนากระบวนท่าให้แข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อสามารถต่อสู้ได้ในทุกสถานการณ์
กระบวนท่าไร้ลักษณ์เมื่อนำมาผสานกับปราณจะสร้างวิชาที่ต่อต้านได้ทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะพบกับปราณหรือวิชาในรูปแบบไหนก็สามารถรับมือและต่อกรกลับไปได้หมด ทั้งที่เป็นอย่างนั้นอาจารย์ของเขากลับบอกว่ามันมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่ ถ้าอย่างนั้นจุดอ่อนที่ว่ามันคืออะไรกันแน่?
“ในทุกจังหวะที่เจ้ารุกเข้ามาจู่โจมข้า เจ้าทำไม่เคยสำเร็จสักครั้งเลยจริงมั้ย”
“ก็จริง แต่นั่นเป็นเพราะท่านแข็งแกร่งเกินไปไม่ใช่รึ”
“ก็ใช่ แต่ถ้าเกิดว่าเจ้ารู้จักพลังของตัวเองดีพอล่ะก็ ต่อให้เป็นข้าก็คงเผลอต้านรับพลังของเจ้าไว้ไม่อยู่เหมือนกัน” มีลาร์ตอบกลับตามความเข้าใจของตัวเอง
“กระบวนท่าไร้ลักษณ์รวมถึงพลังปราณไร้ลักษณ์จะแสดงผลความสามารถได้อย่างเต็มที่เมื่อเจอกับสิ่งเร้าสองกรณีด้วยกัน” ชายหนุ่มลูบผมสีครีมให้ไหลลู่ไปทางด้านหลัง ขยับใบหน้าให้ก้มลงนิด หลับตาลงในขณะที่กำลังอธิบาย “หนึ่งก็คือการต่อสู้ตัวต่อตัว และสองก็คือการเป็นฝ่ายตั้งรับ”
สไปค์พอจะเข้าใจเกี่ยวกับข้อแรก แต่กับข้อสองนี่มัน
“การเป็นฝ่ายตั้งรับ?”
“ใช่ เพราะความสามารถแท้จริงของปราณไร้ลักษณ์คือการรับเพื่อรุก ซึ่งจะแสดงผลออกมาเต็มที่เมื่อได้เห็นกระบวนท่าและพลังปราณของอีกฝ่ายเพื่อคำนวณหาช่องโหว่และจุดอ่อนในการตอบโต้กลับเพื่อทำลายวิชาของฝ่ายตรงข้าม ในกรณีที่เจ้าเป็นฝ่ายตั้งรับเจ้าจะสามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อกลายเป็นฝ่ายที่ต้องรุก พลังของเจ้าน่ะมีไม่ถึงครึ่งของทั้งหมดที่ทำได้เสียด้วยซ้ำไป ตัวอย่างก็มีให้เห็นเมื่อตอนที่เจ้าพยายามจู่โจมข้านั่นล่ะ” คำอธิบายของมีลาร์ทำให้สไปค์ถึงกับเผลอร้องอ๋อออกมาโดยไม่รู้ตัว
ที่แท้จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องนี้นี่เอง ถ้าพูดตามความจริงตัวเขาเองก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ได้รู้ถึงขนาดแยกแยะออกมาเป็นคำบรรยายได้ทะลุปรุโปร่งมากถึงขนาดนี้
“ดังนั้นการจะปราบเจ้าได้อย่างเด็ดขาด คือการอาศัยจำนวนคนหมู่มาก หรือไม่งั้นก็ไม่ต้องรุกเข้าหา หากรอให้เจ้าบุกเข้ามาเองเจ้าก็จะเปล่งความสามารถได้ไม่เต็มที่เท่าที่คิด” สิ้นสุดคำกล่าว มีลาร์ก็ขยับมือขึ้นมาทั้งสองข้าง
พลันนั้นก็ปรากฏกระจกใสบาง ๆ ลอยเด่นเป็นสง่ารอบตัวเขาหลายต่อหลายบาน
“เอาเข้าจริงข้าก็คือคู่ต่อสู้ที่เจ้าไม่ปรารถนาจะเจอมากที่สุด เพราะข้าเด่นเรื่องการตั้งรับมากที่สุดในบรรดาสี่สรรพสิ่ง (กระจก บุปผา จันทรา วารี)”
“เข้าใจละ นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าไม่สามารถทำอะไรท่านได้เลยนี่เอง”
“แต่เพราะอย่างงั้นแหละ ข้าถึงต้องรับเจ้าเป็นศิษย์”
“เพราะอย่างงั้นที่ว่ามันหมายความว่ายังไงกัน”
“การที่เจ้าไม่มีความสามารถในเชิงรุกที่สมบูรณ์แบบ มันจะกลายเป็นจุดอ่อนแสนสำคัญ ดังนั้นหน้าที่ของข้าก็คือการทำให้เจ้าค้นพบวิชาในการรุกของตัวเองยังไงล่ะ” แล้วสิ่งที่เป็นเป้าหมายของมีลาร์ก็เผยโฉมออกมาจนได้ สไปค์เบิกตาโตเมื่อได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา จริงสินะ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย
แต่ทว่า...มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายขนาดนั้น
“กระบวนท่าของข้าทุกอย่างมันเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญและสถานการณ์พาไป ข้าไม่ได้คิดค้นมันขึ้นมาเอง ดังนั้นข้าไม่มั่นใจหรอกนะว่ามันจะมีกระบวนท่าสำหรับใช้ในเชิงรุกอยู่ด้วย”
“ทุกอย่างมีรุกและรับเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการรับเพื่อรุกหรือรุกเพื่อรับก็ตามที” คำพูดของมีลาร์แฝงปรัชญาเอาไว้นิดหน่อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำความเข้าใจยากนัก
“แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้น เรามาดูอะไรสนุก ๆ กันหน่อยดีกว่า เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าฝึกฝนต่อได้”
สิ้นเสียงของผู้เป็นอาจารย์ พลันปรากฏกระจกขึ้นบานใหญ่เหนือศีรษะทั้งคู่ขึ้นไป มันปรากฏภาพฉายบางอย่างบนนั้นราวกับตัวมันกำลังทำหน้าที่แทนจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ ภาพที่ฉายออกมาคือบรรยากาศของงานที่ใหญ่โตโอ่อ่า เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่งและแน่นหนา
มันคือบรรยากาศของงานประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นในสถาบันปราณ ณ ขณะนี้นั่นเอง
“นั่นมัน!” สไปค์อุทานออกมาเมื่อเห็นอะไรบางอย่าง
ภาพที่ปรากฏบนจอกระจกคือใบหน้าของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคย ผิวพรรณที่ขาวใส ดวงตากลมโตเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ หมวกทรงสูงบนหัว แว่นตาทรงกลมที่มักจะใส่อยู่เสมอ พร้อมด้วยชุดที่เป็นเอกลักษณ์นั่น
“ฟาร์ชูลัน...” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของสไปค์โดยไม่อาจฝืนธรรมชาติ
เธอกลับมาเป็นเธอคนเดิม ไม่มีร่องรอยของความบาดเจ็บเมื่อครั้งก่อนหน้านั้นเลยสักนิดเดียว นั่นทำให้สไปค์รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แต่ความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อมุมกล้องที่ฉายอยู่บนจอกระจกเริ่มขยายวงกว้างให้เห็นภาพรวมมากขึ้น สไปค์ก็ต้องพบกับฟาร์ชูลันที่ต้องตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากกว่าร้อยคน
“ในการคัดเลือกรอบแรกจะแบ่งออกเป็นแปดกลุ่มโดยหารจากจำนวนคนทั้งหมด และจะคัดเอาคนสุดท้ายที่เหลือรอดจากกลุ่มนั้น ๆ เพื่อไปชิงชัยกันในรอบถัดไปอีกที” มีลาร์แทรกคำอธิบายเข้ามาเสริม
“เดี๋ยวนะ งั้นจะไหวเรอะ!” สไปค์เกิดลนลานขึ้นมา
“พูดอะไรของเจ้ากันน่ะ” มีลาร์ตีสีหน้าแปลก ๆ ขึ้นมาทันที “นี่เจ้าไม่รู้เหรอว่าเพื่อนสาวของเจ้าเก่งขนาดไหน”
“เอ่อ...เอาจริง ๆ ก็” พอนึกย้อนดูก็ไม่เคยเห็นฟาร์ชูลันแสดงฝีมือต่อสู้เลยสักครั้ง ดังนั้นจะไม่รู้ก็คงไม่แปลกสักเท่าไรนัก
“เฮ้อ ไม่ไหว ๆ งั้นก็รอดูต่อไปเถอะ นี่น่าจะเป็นโชว์ที่ตระการตาที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้วล่ะ” มีลาร์พูดเหมือนกำลังคาดเดาว่าอนาคตจะออกมาเป็นแบบที่ตัวเองคิดเอาไว้ สไปค์ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะต้องการจะรอดูว่าคำพูดของมีลาร์จะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน
ฉากบนกระจกกำลังขับเคลื่อนไปอย่างไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ไม่นานนักสัญญาณเริ่มการแข่งขันก็ดังขึ้น เหล่าชายฉกรรจ์จำนวนมากบุกเข้ามาหมายจะกำจัดฟาร์ชูลันที่คิดว่าเป็นจุดอ่อนมากที่สุดออกไปให้พ้นจากการแข่งขันครั้งนี้ แต่ทว่า...ในเวลาเพียงไม่นานนัก เวทมนตร์ที่ฟาร์ชูลันแสดงออกมาเพื่อตอบโต้กลับก็ได้ปัดร่างของพวกผู้เข้าแข่งขันพวกนั้นจนกระเด็นออกจากสนามไป ใช้เวลาเพียงนาทีกว่า ๆ ก็กลายเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวอย่างไม่ยากเย็น
สไปค์อ้าปากค้างขณะที่มองดูฟาร์ชูลันเดินออกจากสนามอย่างภาคภูมิ
“ไอ้นั่นมันอะไร ไอ้แสงสีฟ้า ๆ ที่กวาดเอาพวกผู้ชายกระเด็นไปหมดนั่นน่ะ” เขาพูดตะกุกตะกัก และแอบคิดในใจว่าถ้าโดนแบบนั้นเข้าบ้างก็ไม่แน่ว่าจะป้องกันได้ทัน เรียกได้ว่าคนที่บังเอิญถูกจับมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับฟาร์ชูลันนี่ อาจจะทำบุญมาไม่พอจริง ๆ
“ก็ตามนั้นแหละ ในขณะที่เจ้ายังฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อนของเจ้าก็ทิ้งห่างเจ้าไปไกลจนอาจไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าแล้ว ลำพังเธอคนเดียวก็คงจะเอาชนะมารที่เป็นตัวการสำคัญนั่นได้แล้วล่ะ”
คำพูดของมีลาร์ทำให้สไปค์รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาลึก ๆ แต่มันก็จริงอย่างที่เขาพูด เพราะถ้าฟาร์ชูลันเก่งขนาดนั้นก็คงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปดิ้นรนเพื่อเอาชนะฟาร์เชนให้ได้อีกแล้วกระมัง แค่ฝากทุกอย่างไว้กับฟาร์ชูลันก็พอแล้ว
แต่เดี๋ยวก่อนสิ?
เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นสักหน่อย”
สีหน้าของสไปค์เปลี่ยนไป
“ปัญหามันอยู่ตรงที่ ข้าจะต้องเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองต่างหาก ต่อให้ฟาร์ชูลันเก่งยังไงก็ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยให้เธอไปเผชิญหน้ากับฟาร์เชนตามลำพังได้หรอก”
ทั้งน้ำเสียงและแววตาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ใช่แล้ว นี่จึงจะเป็นจุดประสงค์แท้จริงที่เขาพยายามฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดสามสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่เขาเห็นฟาร์ชูลันโดนจับตัวไปและมีสภาพบาดเจ็บจนคิดว่าเอาชีวิตแทบไม่รอดนั้น ในใจเขาโกรธเกรี้ยวแทบจะเป็นบ้า
ใครมันจะยอมให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำแบบเดิมอีกเล่า!
เพราะได้ต่อสู้กับฟาร์เชนมาก่อนจึงได้เข้าใจ ลำพังแค่พลังฝีมืออย่างเดียวเอาชนะยัยนั่นไม่ได้แน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ละสายตาจากจอกระจกลงมามองที่มีลาร์ ไฟบางอย่างลุกโชนขึ้นเหมือนว่าก่อนหน้านี้มอดดับไปนาน
“สีหน้าดูดีขึ้นนี่ พร้อมรึยังล่ะกับบทเรียนที่สำคัญที่สุด”
“พร้อมตั้งแต่ท่านยังไม่บอก”
“ก็ดี ฝีปากเริ่มดีขึ้น มันต้องแบบนี้สิ” มีลาร์ก้มหน้าลงส่งเสียงหัวเราะหึหึจากลำคอ ชวนให้รู้สึกสยองขวัญพิลึก
“ถ้างั้นข้าจะมอบประสบการณ์ที่เจ้าไม่เคยได้ประสบพบเจอมาก่อนเป็นขวัญตา...เตรียมรับมือ!”
บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป รอบกายของมีลาร์ปรากฏรัศมีพลังสีอำพันออกมาอย่างไม่อาจห้ามปรามได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมเผยพลังที่แท้จริงของตนเองจนมองเห็นสีของปราณ สไปค์พบว่านั่นคือปราณอินทรีย์ที่เขารู้จักมานาน แต่มันกลับดูไม่เหมือนกับปราณอินทรีย์ที่เขาเคยพิชิตมานักต่อนัก มันดูมีอะไรที่แตกต่างออกไป
และคงจะพิชิตปราณอินทรีย์นี้ไม่ได้ง่าย ๆ ด้วยเคล็ดสลายปีกเพียงอย่างเดียวแน่...
เขาเร่งเร้าพลังปราณไร้ลักษณ์ออกมาเพื่อเตรียมรับมือฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าและแววตาที่แน่วแน่ ครั้งนี้จะไม่ยอมให้เป็นแบบเดิมอีกเป็นอันขาด
“เข้ามาเลย!”