ตอนที่แล้วบทที่ 12 : อพยพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 : คำสั่งภารกิจ

บทที่ 13 : ความหวาดกลัว


บทที่ 13 : ความหวาดกลัว

เนเน็ต!! เจ้ามาทำอะไรที่นี่...” ราวกับลืมไปว่าเจ้าของนามที่ถูกเอ่ยขึ้นมาห้วนๆ เสียงดังนั้น บัดนี้ถือบรรดาศักดิ์เป็นถึงนางเมือง มเหสีแห่งมหากษัตริย์ของชนชาวมนุษย์ทั้งมวลผู้คานอำนาจสำคัญในสภาเอกภาพ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ แต่อำนาจของนางเหนือล้ำเกินกว่าที่ชาวช่างในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้จะอาจเอื้อมล่วงเกิน

เพราะยังไม่ทันที่เสียงก้าวร้าวของช่างเหล็กชราผู้ถูกเรียกว่า กูลน์ ผู้นี้จะสิ้นดี เหล่าองครักษ์ทั้งหกก็พลันชักมีดปลายแหลมออกมาอย่างรวดเร็ว ทำท่าเหมือนกำลังจะทะยานตัวเองออกไปจ่อคอหอยของผู้พูด ทว่าก็หยุดกึกไม่ทันได้ก้าวขาออกไปแม้แต่ก้าวเดียว

แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะมนต์สะกดการเคลื่อนไหวขององค์ราชินี แต่อีกส่วนนั้นคือแรงกดดันรุนแรงจนก้าวขาไม่ออกที่พวกนางสัมผัสได้ในชั่วขณะที่พ่อครัวของสมาคมเหลือบมองมา เป็นแรงกดดันแบบที่ทำให้พวกนางทั้งหมดถึงกับสันหลังวาบ แรงกดดันแบบเดียวกับนักผจญภัยชั้นอัญมณีที่ผ่านการต่อสู้และฆ่าฟันมามากมายจนกลิ่นเลือดติดค้างอยู่ในมือ ไม่ใช่อะไรที่พ่อครัวหรือแม้แต่นักผจญภัยทั่วๆ ไปจะมีได้

“แทนที่จะถามแบบนั้น ทำไมไม่ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เรามาอยู่ที่นี่พอดี ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้แทนเล่า” องค์ราชินีก้มลงกล่าวกับช่างเหล็กร่างกำยำ แต่สูงเพียงแค่เอวของนาง ก่อนกระซิบบางอย่างกับองครักษ์ใกล้ๆ โดยไม่มีใครได้ยิน

และไม่ว่าสิ่งที่ราชินีพูดจะเป็นอะไรแต่มันทำให้องครักษ์ทั้งหกคนถึงกับผงะไปชั่วอึดใจแล้วรีบกระโจนหายไปในอากาศธาตุ สร้างความแปลกใจให้แก่คนอื่นๆ ที่มองอยู่เป็นอย่างมาก ด้วยไม่เคยเห็นเวทมนต์ชั้นสูงเช่นนี้มาก่อน

“...จะว่าไป โกเลมเยอะขนาดนี้ลำพังเราคนเดียวอาจจะเอาไม่อยู่ ยังไงก็อย่าคาดหวังมากนักล่ะ” องค์ราชีเดินถอยหลังออกจากสมาคม อัญเชิญคทาแก้วขึ้นมาหมุนควงในมือขณะที่ปลายเท้าค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไม่ติดพื้น

แล้วฉับพลันอาภรณ์ชั้นสูงของราชวงศ์ที่นางสวมก็ลุกไหม้ติดเป็นไฟสีน้ำเงินสลายกลายเป็นขี้เถ้าไร้ค่า ก่อนที่อาภรณ์ใหม่จะปรากฏออกมาในเปลวเพลิงนั้นเป็นชุดกระโปรงยาวสีดำ ขลิบริ้วแดงเข้มใต้เกราะโลหะที่ปกปิดส่วนอกและหัวไหล่อีกชั้นหนึ่ง ดูลึกลับสง่างามโดยเฉพาะตอนที่มันปลิวไสวบนอากาศ ปะทุเป็นไอพลังเวทเข้มข้นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ยามเจ้าของลอยตัวอยู่เหนือพื้นดิน

“ไม่ต้องใช้มนต์ลวงตาแล้วฮารุ ภารกิจของเธอจบแล้ว” มหาจอมเวทใช้มือลูบลงบนศีรษะของจิ้งจอกสาวอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน แล้ววาดคทาในมืออีกข้างช้าๆ ก่อเป็นไอหมอกสีดำลอยต่ำปกคลุมพื้นที่ทั้งหมู่บ้านบดบังทัศนะลงไปกึ่งหนึ่ง แต่ไม่มากพอจะบดบังไอเวทที่ส่องประกายปะทุอยู่รอบๆ ตัวนาง

และในชั่วขณะที่ทุกสายตาเหมือนถูกมนต์สะกดให้จับจ้องร่างงดงามน่าหลงใหลของมหาจอมเวทที่กำลังลอยเหินออกไปนั้นเอง เอลฟ์สาวเอลีอาพลันเอ่ยคำถามขัดจังหวะออกมา

“แล้วฮอรัสล่ะ ฮอรัสอยู่ที่ไหน!!” เอลีอาเอ่ยชื่อหุ่นสงครามเรียกความสนใจจากทุกสายตาในบริเวณนั้นที่ต่างก็แฝงความรู้สึกแตกแยกหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าชื่อที่นางพูดถึงนั้นคือใคร เว้นก็แต่เหล่านักผจญภัยจากสภาและเอเดลเท่านั้นที่ไม่สงสัย แต่แปลกใจถึงเหตุผลที่นางยังพยายามกล่าวถึงสิ่งที่เกือบจะฆ่าทุกคนตายหมด

รวมทั้งขณะเดียวกันอีกสายตากลมโตของนักวิเคราะห์สาวเองก็นึกได้จากความทรงจำซึ่งถูกลบไป ว่าบัดนี้บางสิ่งที่อันตรายพอๆ กับเหล่าโกเลมหรืออาจจะอันตรายยิ่งกว่ายังอยู่ในคุกใต้ดินห่างลงไปแค่ไม่กี่ชั้น

มหาจอมเวทได้ยินคำถามแต่ไม่ตอบ นางเพียงแสยะยิ้มน่าขนลุกมายังเอลฟ์สาวแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านสุดสายตาอย่างฉับพลันในทันที ทิ้งไว้เพียงความสับสนและเสียงสะเทือนเลือนลั่นของท้องฟ้าที่จู่ๆ ก็ก่อตัวเป็นเมฆหนาสีดำทะมึนบดบังดวงอาทิตย์

“เจ้าเกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี่แค่ไหน... เอลีอา” ชาวช่างชราสะบัดรวบเครายาวของตัวเองแล้วกดเสียงเข้มทุ้มต่ำในลำคอ สื่อความหมายความว่าเขากำลังเคลือบแคลงถึงเจตนาขององค์ราชินีซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับสหายเก่าแก่อย่างเอลฟ์สาวด้วย

“ฉะ ฉันก็ไม่รู้ พอนางมาทุกอย่างก็ยุ่งเหยิงไปหมด ฉัน ฉัน...” เอลีอาตอบอย่างลนลานเมื่อเห็นสายตาจริงจังของอีกฝ่ายที่คล้ายจะสื่อเป็นนัยถึงเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ในอดีต ก่อนที่ลูกสาวของเธอจะสังเกตเห็นแล้วชิงถามแทรกขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง

“แม่คะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหุ่นตนนั้นใช่มั้ย”

“ไม่” เอลฟ์สาวได้ยินคำถามเช่นนั้นก็เผลอตอบเสียงห้วน สร้างความสงสัยให้กับทุกสายตาที่กำลังจับจ้องอยู่มากขึ้นไปอีก “ไม่คือ แม่ไม่รู้ แต่ไม่ใช่หรอกจ้ะ ไม่ใช่แน่”

ในชั่วนาทีที่เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นพร้อมกันสร้างบรรยากาศสับสนกดดันนั้น ดวงตากลมโตบนใบหน้าเนียนนุ่มสีเขียวอ่อนของนักวิเคราะห์สาว ที่กำลังยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแสดงประกายครุ่นคิดถึงสิ่งที่สองแม่ลูกพูดเพราะนางเป็นอีกคนที่รู้ว่าทั้งสองกำลังพูดถึงอะไร

ถึงแม้จะเคยถูกลบความทรงจำเกี่ยวกับมันออกไปทว่านางก็ได้มันคืนมาครบหมดทุกรายละเอียด เพียงไตร่ตรองในใจเล็กน้อยก็บอกได้ถึงความผิดปกติที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้ทันที

“ถ้าพูดถึงเรื่องนั้น... จริงๆ มันก็มีความเป็นไปได้ ไม่ทางไหนก็ทางหนึ่งที่หุ่นสงครามจะเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ค่ะ ถ้าไม่เพราะมันโดยตรงก็อาจเป็นทางอ้อม” นักวิเคราะห์สาวเงยหน้าพูดขัดเอลีอาด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความจริงจัง

“ตะ แต่.. ทำไมล่ะ ฮอรัสไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก”

“ก็แค่ความเป็นไปได้น่ะค่ะ สถิติข้อมูลมันไม่โกหก เทรียลไม่เคยปรากฏเหตุการณ์การถูกโจมตีจากอสูรระดับภัยพิบัติมาหกร้อยปี การที่มันมาเกิดเอาตอนนี้เป็นความบังเอิญที่ประจวบเหมาะจนเกินไป” นักวิเคราะห์สาวไอน์อธิบาย พลางเหลือบมองใบหน้าที่กำลังหรี่ตาตั้งใจฟังของบิดาเล็กน้อยดูว่าทั้งหมดเข้าใจสิ่งที่เธอพูด ก่อนจะว่าต่อ “เขาอาจมีความสามารถในการดึงดูดให้พวกอสูรมารวมกันได้ แต่มันก็แค่มีโอกาส และไม่ใช่ประเด็นที่เราจะต้องให้ความสนใจในตอนนี้”

ชาวช่างสาวตัดบทเพราะสิ่งที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แน่นอนอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรที่จะต้องมาหาคำตอบจริงจังในตอนนี้

ลำดับความสำคัญแรกสุดคือการเตรียมการรับมือกับฝูงบลัดคลอว์และพวกโกเลมซึ่งความจริงก็เสียเวลากันไปมากแล้ว แต่ยังโชคดีที่อย่างน้อย ตอนนี้เธอก็รู้ว่ามีอดีตมหาจอมเวทอยู่ข้างเดียวกัน ถึงไม่รู้ว่าความสามารถที่ล่ำลือกันถึงระดับทับทิมนั้นเหนือชั้นเพียงใด แต่มันก็ทำให้ความรู้สึกตึงเครียดกดดันที่มีในตอนแรกคลายลงบ้าง

ทว่าดูเหมือนเอลฟ์สาวที่แสนยึดติดนั้นจะยังไม่ยอมลดละความพยายาม เมื่อเธอยังคงบทสนทนาเดิมต่อไป

“ง่ะงั้น ถ้าแบบนั้นมันก็เป็นไปได้ที่ราชินีเนเน็ตจะเป็นต้นเหตุเหมือนกันไม่ใช่หรอ”

เพียงจบประโยคก็พลันมีเสียงกระแอมเบาๆ และท่าทีของแต่ละคนในที่ประชุมนั้นที่พลันสะดุดไปชั่วขณะ เว้นแต่ช่างเหล็กและพ่อครัวของสมาคมเท่านั้นที่ใช้สายตาชำเลืองมายังเอลฟ์สาวนิ่งๆ คล้ายรอฟังเหตุผลที่นางจะว่าต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อนโดยลูกสาวของนางเอง

“พอได้แล้วค่ะแม่ หยุดปกป้องหุ่นนั่นเถอะ หนูรู้ว่ามันช่วยชีวิตแม่ไว้แต่การโยนความผิดให้องค์ราชินีมันเกินไปแล้วนะคะ” เอเดลถอนลมหายใจจับมือมารดาของตน เพราะสิ่งที่นางพูดนั้นขาดซึ่งหลักฐานหากใดๆ

ซ้ำหากว่ามีคนนอกมาได้ยินเข้ามันอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะนึกถึง เพราะคนที่นางพาดพิงนั้นคือองค์ราชินี ไม่ใช่หญิงชาวบ้านที่ไหน

“แต่ แต่...” เอลีอาพยายามจะอธิบายต่อ แต่พอเห็นสายตาของลูกสาวที่จ้องตอบกลับมาก็เหมือนเธอหมดสิ้นคำพูดไปเสียเฉยๆ ได้แต่กลืนน้ำลายถอนหายใจ

แต่แล้วในพริบตานั้นเองที่เสียงทุ้มต่ำเรียบเฉย ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึกใดๆ ดังขึ้นเบาๆ แต่ชัดเจนจากเงามืดทางบันไดชั้นใต้ดินของสมาคม

“ผมไม่มีความสามารถแบบนั้น... ผมเรียกอสูรไม่ได้” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับภาพของชายร่างสูงที่เดินขึ้นมาจากบันไดช้าๆ อย่างนิ่งเฉย

ทุกย่างก้าวที่ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าสร้างจากวัสดุเทียมดูคล้ายไม้ เหยียบย้ำลงไปเงียบสนิทแต่ทรงพลังราวกับจะบดขยี้พื้นหินให้แตกละเอียดได้ นัยน์ตาอัญมณีสีนิลไม่สะท้อนประกายความรู้สึกมีเพียงความว่างเปล่าไม่ได้จับจ้องไปที่ไหนเป็นพิเศษ ฝ่ามือคลายแต่นิ้วทั้งห้าขยับเคลื่อนไหว

“ฮอรัส!” เอลฟ์สาวที่ได้เห็นใบหน้าของตุ๊กตาสงครามอีกครั้งแบบไร้ร่องรอยตำหนิก็พลันอุทานออกมาด้วยความโล่งใจ ผิดกับคนอื่นๆ ที่บัดนี้หน้าถอดสีไปพร้อมกันเมื่อได้เห็นดวงตาสีนิลคู่นั้น

แม้แต่กับพ่อครัวของสมาคมที่มักจะตอบสนองกับทุกสิ่งด้วยความเฉยชาก็ยังเผลอขยับถอยออกไปก้าวหนึ่ง แล้วกำหมัดแน่นด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดซึ่งกำลังบอกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นอันตรายและโชยหึ่งไปด้วยกลิ่นสาบของการฆ่าฟัน

พร้อมกันนั้นอย่างฉับพลัน สัญชาตญาณแบบเดียวกันก็ทำให้ครึ่งเอลฟ์สาวเอเดลโผตัวมาขวางผู้เป็นแม่ของตัวเองเอาไว้แล้วง้างคันธนูสีขาวคู่ใจขึ้นเล็งไปที่ฮอรัสอย่างกะทันหัน

เช่นกันกับอีกสองนักผจญภัยฮารุและคร๊อกคัสด้านนอกสมาคม ที่ถึงจะไม่ร่วมวงสนทนาวางแผน แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ไม่ไกลนัก อย่างน้อยก็ไม่ไกลเกินกว่าจะสังเกตเห็นว่าสิ่งที่เกือบจะพรากชีวิตสหายของพวกเขานั้นไม่ได้ถูกคุมขัง ทั้งยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไร้ร่องรอยบุบสลาย ทำเอาพวกเขาแทบจะสติหลุด

จระเข้หนุ่มซึ่งตอนนี้ในมือยังมีรถเข็นประคองร่างของสหายเป็นความรับผิดชอบรีบสร้างอวตารกระดูกขึ้นมาคุ้มกันบดบังร่างไร้สติของชายหนุ่มเอาไว้ พร้อมกันนั้นก็รีบไปคุ้มกันและดูแลจิ้งจอกสาวฮารุที่ตอนนี้กำลังนั่งสั่นด้วยความหวาดกลัวที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจเป็นบาดแผลที่เยียวยาไม่ได้

ยิ่งกว่าฝูงหมาบลัดคลอว์หรือโกเล็มไฟยักษ์ที่กำลังจะกวาดล้างทั้งหมู่บ้านให้กลายเป็นซากในอีกไม่กี่นาที คือหุ่นสงครามที่สามารถเปลี่ยนทั้งหมู่บ้านให้กลายเป็นสุสานร้างได้ในทันที

ในห้วงเวลาที่หนักหน่วงราวกับเป็นชั่วกัปกัลป์นั้นมีเพียงเอลฟ์สาวที่ไม่รู้สึกถึงความกดดันที่ว่า เว้นแต่ภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า และเธอรู้ว่ามันจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก

“ห้ามทำร้ายพวกเขานะฮอรัส!” เอรีอารีบตะโกนห้ามทันทีที่เห็นปฏิกิริยาของแต่ละคนที่เตรียมพร้อมต่อสู้ ทั้งๆ ที่ต่างก็รู้ว่าสู้ไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอเดลที่ถึงจะทำตัวกล้าหาญ ออกมาขวางขั้นตัวเธอกับฮอรัสเอาไว้พร้อมทั้งเหนี่ยวสายคันศรเล็งอีกฝ่าย แต่มือและเท้ากลับสั่นไหวอ่อนแรง ต่อให้ไม่เห็นหน้าทว่าผู้เป็นแม่ก็รู้ว่าลูกสาวกำลังเก็บกลั้นเสียงสะอื้นและหยดน้ำตาแห่งความหวาดกลัวเอาไว้ในใจ

"ทุกคนก็เหมือนกับเธอนั่นแหละฮอรัส... พวกเขาก็แค่กลัว“เอลีอาว่า ขณะที่ค่อยๆ เดินเข้าไปกอดลูกสาวพร้อมทั้งหอมศีรษะปลอบใจจากด้านหลัง”ไม่เป็นไรนะลูกแม่ ไม่ต้องกลัว... พวกเราปลอดภัย ไม่เป็นไรจ้ะ”

ทว่าเรื่องที่เอลีอาไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อมือที่อ่อนไหวสั่นเทาของเอเดลนั้นพลันหลุดจากคันรั้ง ยิงศรเข้าใส่ฮอรัสในระยะไม่ถึงห้าเมตร สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกสายตา กระทั่งเอลีอาเองที่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ยังรีบกดร่างลูกสาวแล้วกอดเอาไว้ทำตัวเองเป็นโล่ปกป้อง พร้อมกันก็ตะโกนห้ามสิ่งที่ฮอรัสอาจจะคิดทำ

แต่ปฏิกิริยาที่หุ่นสงครามตอบกลับมานั้นแตกต่างออกไปจากที่เธอคิด ฮอรัสเพียงแค่สะบัดมือคว้าเอาลูกศรที่ถูกยิงในระยะใกล้นั้นเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เขาถือมันขึ้นต่อหน้าคล้ายกำลังเพ่งพินิจไปที่ปลายศรด้วยท่าทางเรียบเฉยเหมือนเช่นที่มักจะแสดงออก

“ความหวาดกลัว? ...” ฮอรัสเอ่ยเสียงเรียบ เอียงคอจับจ้องศรในมือ แล้วเงยหน้าใช้สายตาสีนิลกวาดไปทั่วบริเวณก่อนจะกลับมาหยุดที่สองแม่ลูกสายเลือดเอลฟ์ “ทุกคนกลัวผม เพราะกลัวถึงทำลาย... ทำไมมันถึงเป็นนั้น เป็นแบบนั้นเสมอ ผมไม่เข้าใจความรู้สึกหวาดกลัวเลย”

ฮอรัสปล่อยลูกศรลงกับพื้นเมื่อพูดจบท่ามกลางสายตามากมายที่ต่างก็กลัวจริงอย่างที่เขาว่า

แล้วตอนนั้นเองที่สัมผัสประสาทของหุ่นจับไปทางนักผจญภัยทั้งสองที่กัดฟันจ้องมองเขาอยู่ไกลๆ ที่ด้านนอก สายตาทั้งสองคู่ส่อประกายความเกลียดชังผสมกับความหวาดกลัว เป็นสายตาแบบที่เตือนให้ฮอรัสรำลึกถึงอดีตในห้วงความจำว่าเขาก็ยังคงเป็นตัวเขา เกิดมาเพื่อรบและคงอยู่เพื่อฆ่าฟัน เป็นแค่ตุ๊กตาสงคราม

เสี้ยวพริบตา ฮอรัสพลันหายไปจากพื้นที่ เขาพุ่งทะยานตรงไปยังร่างของชายหนุ่มผู้เคยเป็นอดีตนักผจญภัยระดับอัญมณี และภาชนะของปีศาจแห่งคลั่งเทม อย่างฉับพลันด้วยความเร็วทัดเทียมสายฟ้าจนพื้นหินที่เป็นฐานยืนนั้นถึงกับแตกกระจาย

ชั่วขณะเดียวกัน จระเข้หนุ่มเห็นการเคลื่อนไหวนั้นแล้วก็รีบทะยานตัวเองออกไปหมายจะปกป้องสหายของตัวเอง แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามรีดเร้นแรงกายเท่าไหร่ก็ไม่สามารถติดตามความเร็วกายภาพระดับนั้นทันเลยแม้แต่น้อย ได้แต่ภาวนาให้มีปาฎิหารท่ามกลางเสียงกรีดร้องของฮารุที่เห็นโลหิตสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วพื้นดินบริเวณนั้น คิดว่าคนรักของตนถูกฆ่าแน่แล้ว

แต่ทันใดนั้นเองที่ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริง ในจังหวะที่อวตารกระดูกซึ่งทำหน้าที่คล้ายเป็นกำแพงป้องกันชายหนุ่มคลายตัวออกจากกันเผยให้เห็นร่างของเขาที่ยังสลบไสลอยู่บนรถเข็น ไม่มีร่องรอยถูกทำร้ายเป็นแผลใหม่แต่อย่างใด

กลับกัน ที่ใกล้ๆ ร่างของเขา ซากของอสูรบลัดคลอว์ในสภาพที่ถูกอัดเละกับพื้นอิฐยังติดอยู่ในฝ่ามือของฮอรัส เพราะเป้าหมายของเขาไม่ใช่ชายหนุ่มตั้งแต่แรกแล้ว แต่เป็นอสูรที่บุกเข้ามา

เขามองกลับไปยังนักผจญภัยทั้งสองคนด้วยสายตาสีนิลซึ่งสะท้อนประกายประหลาด คล้ายเป็นสำนึกรู้สึกซึ่งยากจะบอกว่าคือความเศร้าหรือเป็นแค่แสงสะท้อนจากสายอัสนีบาสบนท้องฟ้า ขณะที่ห่าฝนเริ่มเทลงมาจากกลุ่มเมฆประหลาด พร้อมๆ กับเหล่าวิหคที่ร่วงตกลงมาตายบนพื้นดินเพราะถูกฟ้าผ่า ก่อนที่เสียงกรีดร้องสนั่นหวันไหวน่าขนลุกขององค์ราชินีจะดังลงมา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด