ตอนที่แล้วตอนที่ 12 ความลับสุดยอด...
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 14 บุตรสาวแห่งดิคเคนส์

ตอนที่ 13 First & Last kiss


ตอนที่ 13

First & Last kiss

 

“ไม่น่าจะมีอะไรทำลายเตาเผานี่ได้จริงๆ”

ยามเย็นของวันเสาร์ ปรากฏเงาร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวร่างเล็กผมสีทองขึ้นที่คฤหาสน์ชามันด์ ทั้งสองเดินผ่านห้องโถงที่มีสภาพพังยับแล้วตรงเข้าไปยังด้านในสุดจนพบกับสิ่งที่เป็นจุดประสงค์ของการมา

เตาเผาวิญญาณ สิ่งที่อยู่คู่กับตระกูลชามันด์มาช้านานจนไม่มีใครทราบที่มา หนึ่งในสองหนทางที่จะนำดวงวิญญาณสีดำกลับเข้าสู่วงจรเวียนว่ายตายเกิดใหม่ได้

อีซีโอต้องการทำลายมัน เขาต้องการทำลายทุกสิ่งอย่างที่จะสามารถนำดวงวิญญาณไปสู่โลกที่อยู่อีกก้าวหนึ่งหลังจากการเป็นวิญญาณให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นของสิ่งไหน หรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตาม

แต่แล้วหลังทดสอบดูด้วยหลายวิธีการ อีซีโอก็พบว่าไม่มีพลังใดเลยที่จะทำให้มันแตกสลายพังลงได้ หรือคำร่ำลือที่ว่านั่นจะเป็นความจริง ว่าเตาเผาวิญญาณก็คือสิ่งที่เกิดจากการสะกดวิญญาณ ไม่มีนักสะกดวิญญาณคนใดสามารถคลายสะกดของผู้อื่นได้ ดูเหมือนนอกจากุญแจไขความลับสู่การเป็นอมตะที่ทำให้เขาต้องการตัวโซอีแล้ว นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาต้องการเธอ

“กลับกันเถอะนะ อยู่ที่นี่นานๆ แล้วอายะขนลุกยังไงก็ไม่รู้”

“ขอคิดอะไรอีกหน่อย ไม่ต้องกลัวหรอก ดิคเคนส์ที่นี่ต้องกลัวฉันด้วยซ้ำเธอก็รู้นี่”

“มันก็ใช่แหละ แต่แบบว่า...”

อายะหันมองสภาพแวดล้อมรอบตัว แม้ที่นี่จะยังไม่มืด แต่บรรยากาศเย็นยะเยือกสุดสะพรึงเหมือนจะมีหลุมดำให้ตกลงไปได้ตลอดเวลาเมื่อก้าวขาเดิน ก็ทำเอาเสียวสันหลังวาบขึ้นมาไม่น้อย ทุกอณูของที่นี่เหมือนมีคำว่า ‘อาฆาต’  สลักฝังอยู่ในอากาศ เมื่อสูดหายใจเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกถึงความแน่น และหนักหน่วงของพลังงานบางอย่างจนแทบไม่อยากหายใจต่อไป แม้จะเชื่อมั่นว่าตัวเองแข็งแกร่ง แต่โดยเนื้อแท้เธอก็คือผู้มีพลังวิญญาณสายพิเศษ ซึ่งแพ้ทางต่อเหล่าดิคเคนส์โดยสิ้นเชิง

ทันใดนั้นเอง อายะกระตุกชายเสื้อเชิ้ตของชายหนุ่มเร็วรัวพร้อมกับกระโดดไปหลบด้านหลัง เมื่อเห็นว่ามีวิญญาณสีดำลอยมาทางนี้สี่ถึงห้าร่าง ดิคเคนส์ธรรมชาติที่ยังวนเวียนอยู่คอยกำจัดผู้บุกรุกอันไม่พึงประสงค์ แต่ไม่ทันจะได้เข้าใกล้ไปมากกว่านั้น อีซีโอยกฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งขึ้นก่อนจะดูดดิคเคนส์เหล่านั้นเข้าไปภายในร่างกายจนหมดเกลี้ยง

อัก! อยู่ๆ ร่างของชายหนุ่มผมสีทองก็ทรุดลงนั่งคุกเข่ากับพื้นพร้อมกับกระอักเลือดออกมา

“อีซีโอ!” อายะร้องตกใจเสียงดังลั่นพร้อมกับก้มลงไปดูอาการ

...บ้าจริง! ดูท่าร่างกายนี้คงทนพลังวิญญาณของเขาได้อีกไม่นานแน่ๆ แต่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้ๆ กว่าจะหาร่างกายที่มีพลังวิญญาณแสนสะดวกแบบนี้ได้ มิหนำซ้ำยังไม่ขึ้นทะเบียนกับกองปราบวิญญาณนั่นอีก...

“อายะ แวะเข้าเมืองคาเรมก่อน เปิดโรงแรมแล้วรอช่วงดึกๆ ฉันคงต้องกินพลังวิญญาณมนุษย์สักคนก่อนกลับ”

 

เวลาสองทุ่ม

บนถนนสายหนึ่งในเขตตัวเมืองคาเรมที่กิจการร้านค้าส่วนมากจะเปิดทำการเป็นชั่วโมงสุดท้าย ยกเว้นระบบขนส่งมวลชนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดในเวลาสี่ทุ่ม และเปิดให้บริการใหม่อีกครั้งในเวลาตีสี่ของวันถัดไป

ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเดินคุยกันไปอย่างไม่รีบเร่งนัก เพราะช่วงนี้ใกล้สอบปลายภาคแล้ว เฟย์นะกับทิมจึงใช้เวลาอ่านหนังสือด้วยกันจนถึงเวลาปิดทำการตอนสองทุ่มที่ห้องสมุดของสถาบัน แน่นอนว่าพวกเขาต้องหาทางทำให้ท้องอิ่มก่อนกลับบ้าน เพราะป่านนี้ผู้ปกครองของทั้งสองครอบครัวคงจะจัดการมื้อเย็นไปเรียบร้อยแล้ว

“คิดไม่ออกแฮะว่าอยากกินอะไร แวะร้านเดิมก็แล้วกันนะ”

เฟย์นะเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านอาหารประเภทเส้นเจ้าประจำ หญิงสาวแบมือทำท่าเชื้อเชิญเข้าร้านอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแหย

“อันที่จริงคงไม่มีร้านไหนที่เธอชอบมากกว่าร้านนี้แล้วล่ะ ถึงได้แวะเกือบทุกวัน” ทิมลอบถอนใจแล้วหันเข้าไปมองในร้าน ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาจิ้มหน้าผากแฟนสาวคนสวยไปหนึ่งที

“หืมฮึ... ก็นายเอาแต่ให้ฉันคิดนี่นา”

“แน่นอนสิ นั่นมันหน้าที่หลักเธออยู่แล้ว เข้าไปเถอะหิวจะแย่ละ”

กลิ่นหอมยั่วน้ำลายโชยฟุ้งเมื่ออาหารที่สั่งไปถูกยกมาเสิร์ฟ ราเมงน้ำซุปโชยุสีน้ำตาลใสทำให้มองเห็นเส้นที่ถูกลวกจนอิ่มตัวพอดี กองทัพแผ่นหมูชาชูที่สั่งเพิ่มเป็นพิเศษวางทับซ้อนกันกินพื้นที่เกินครึ่งชาม โรยด้วยต้นหอมญี่ปุ่น สาหร่าย และไข่ต้มยางมะตูมที่ผ่าครึ่ง

อาหารเมนูเดิมๆ และยังคงความอร่อยไม่มีเบื่อไว้เช่นเดิมหลังจากเฟย์นะกินไปคำแรก และแล้วแฟนหนุ่มสุดหล่อที่นิสัยหล่อยิ่งกว่าของเธอก็ยังคงทำแบบเดิมดังเช่นทุกครั้ง ทิมใช้ตะเกียบคีบชาชูสองแผ่นไปใส่ชามของเฟย์นะ

“ขอบคุณนะ รักทิมที่สุดเลยยย”

เฟย์นะยิ้มกว้างแล้วบอกกับทิมเช่นเคย แม้มันจะไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรนักสำหรับคนที่สั่งไข่ต้มเพิ่มแยกมาอีกหนึ่งฟองแบบทิมก็ตาม

“รักให้มากกว่าชาชูก็แล้วกัน”

ทั้งสองหัวเราะก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานราเมงตรงหน้าอย่างจริงจัง เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ความหิวของทั้งคู่เป็นตัวขัดขวางไม่ให้มีใครเอ่ยปากชวนคุย หลังจากต่างฝ่ายต่างจัดการอาหารตรงหน้าไปจนหมดแล้ว ชายหนุ่มหญิงสาวก็เดินไปจ่ายค่าอาหารแบบแยกจ่ายตามที่ปฏิบัติกันอย่างเคยชิน และเมื่อได้เดินผ่านเมืองที่เริ่มเงียบเชียบลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลาสองทุ่มครึ่ง เฟย์นะจึงเริ่มเป็นฝ่ายไล่ความเงียบออกไป

“ทิม พรุ่งนี้จะอายุครบยี่สิบแล้วนี่นา ไหนขอสัมภาษณ์ความรู้สึกของการมีอายุสิบเก้าวันสุดท้ายหน่อย”

“อืม...ก็คงกำลังจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นล่ะมั้ง พอมีอายุเลขสองนำหน้าก็จะเริ่มถูกว่ามองไม่ใช่เด็กแล้ว เริ่มทำอะไรหลายๆ อย่างที่คนอายุสิบเก้าทำไม่ได้ได้ด้วย”

“อย่างเช่นอะไรเหรอ”

“ก็อย่าง... จดทะเบียนสมรสแบบไม่ต้องขออนุญาตจากผู้ปกครองอะไรงี้”

เฟย์นะแทบสำลักคาโบไฮเดรตในรูปแบบเส้นที่เพิ่งกินเข้าไปออกมา เมื่อได้ยินอะไรที่คาดไม่ถึง

“หนะ...นี่นายคิดไปถึงจดทะเบียนสมรสแล้วเหรอ ผู้ชายอายุยี่สิบที่ไหนอยากจะจดทะเบียนสมรสกัน”

“ฉันนี่ไง ถ้ามีคนที่อยากจะจดด้วยอยู่แล้ว ยิ่งทำได้ไวๆ มันก็ยิ่งดีใจต่างหาก”

“ตะ...แต่ว่าฉันยังต้อง...เอ่อ รออีกหน่อย”

“แน่นอน ต้องรอเธอให้ครบยี่สิบก่อนอยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งบอกทางบ้านล่ะ ไม่งั้นพ่อเธอฆ่าฉันแน่ๆ”

“แน่นอนสิ พ่อคนไหนก็ต้องตกใจอยู่แล้ว มีแต่พ่อแม่นายนั่นแหละตามใจจนลูกชายเสียคน”

อยู่ๆ ทิมก็หยุดเดินจนเฟย์นะต้องหยุดตาม ชายหนุ่มหันไปมองแฟนสาวแล้วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ สุดท้ายก็อมยิ้มแล้วยกมือซ้ายขึ้นมาแตะหัวเฟย์นะที่เดินอยู่ทางซ้ายมือเบาๆ สองสามที เขาหยิบเส้นผมสีทองของเธอมาคลึงเล่นแล้วเลื่อนนิ้วลงมาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะปัดปอยผมนั้นทัดหลังหูให้เธอไป

ชายหนุ่มก้มหน้าลงหาแฟนสาวที่สูงห่างเกินสิบห้าเซนติเมตร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่าริมฝีปากทั้งสองที่สัมผัสกันอย่างแผ่วเบา แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หนแรก แต่เฟย์นะก็เขินไม่น้อยเพราะปกติทิมไม่ค่อยทำแบบนี้ในที่สาธารณะ

“เฟย์นะ...จำความได้เราก็รู้จักกันแล้วใช่มั้ย”

“อื้อ ก็คงจะอย่างนั้น”

“แต่ฉันว่าเราคงเจอกันก่อนหน้านั้นแล้ว แม่ของเราต้องอุ้มเรามาเจอกันไปเดินเล่นด้วยกันแน่ๆ ฉันคงตกหลุมรักเธอตั้งแต่ตอนที่เรายังอ้อแอ้ใส่กันแล้วล่ะ”

“จะ...จู่ๆ มาทำตัวหวานซึ้งอะไรเนี่ย อยากได้ของขวัญอะไรเป็นพิเศษพรุ่งนี้ใช่มั้ย”

เนื่องจากเป็นข้อตกลงระหว่างทั้งสองตั้งแต่เริ่มคบหาเป็นแฟนกันอย่างจริงจังเมื่อสี่ปีก่อนว่า วันเกิดวันสำคัญไม่ต้องพยายามหาของขวัญอะไรให้กันทั้งนั้น จะได้ไม่ต้องเหนื่อยคอยคิดหนักกลุ้มใจหรือเก็บเงินไว้ซื้ออะไรแบบเปล่าประโยชน์ หากอยากให้อะไรกันก็ให้ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ขอเพียงอย่างเดียวว่าพวกเขาจะยังมีกันและกันในวันสำคัญนั้นๆ ของทุกปีก็เพียงพอ

“ใช่...อยากได้มากๆ ถ้าจำไม่ผิดฉันแทบไม่เคยขออะไรจากเธอเลยใช่มั้ย แต่วันนี้ฉันจะขออย่างจริงจังแล้ว”

หญิงสาวหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนึกไปว่าท่าทางจริงจังเกินปกติแบบนี้มันจะต้องมีอะไรที่พิเศษมากแน่ๆ

“หลังจากเธออายุครบยี่สิบแล้วจดทะเบียนสมรสกันแล้ว เราย้ายออกจากบ้านมาอยู่ด้วยกันนะ”

เป็นประโยคแสนสั้นที่ดูเหมือนหญิงสาวต้องทำหลายอย่างเหลือเกิน แน่นอนว่าทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เฟย์นะใฝ่ฝันถึง ราวกับเรื่องทุกอย่างต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้วในสักวันใดวันหนึ่ง เพียงแค่ว่า... มันเร็วกว่าที่เธอคิดไว้เยอะเอาการ

“ฉันนึกว่าเราควรจะรอให้เราเรียนจบ เข้าทำงานอย่างเป็นทางการซะก่อน เหมือนว่าเรารับผิดชอบตัวเองได้อย่างเต็มที่แล้ว ถ้าเร็วแบบนี้พ่อต้องไม่ยอมแน่ๆ”

ทิมนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับเพิ่งนึกข้อเท็จจริงบางอย่างนอกจากความเอาแต่ใจของตัวเองได้

“......จริงสินะ โทษที ฉันคงใจร้อนเกินไป”

ชายหนุ่มเริ่มออกตัวเดินต่อไปอีกครั้ง เพื่อมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่อีกไม่ไกล เฟย์นะเห็นดังนั้นแล้วก็เดินตามไป ก่อนจะกระโดดเข้าชนสีข้างของทิมเรื่อยๆ อย่างก่อกวน

“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า ทำไมถึงดูรีบแบบนี้ล่ะ บอกมาซะดีๆ นะ”

“เปล่าหรอก ไม่รู้สิ มันก็แค่แบบว่า... แค่รู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดี เหมือนว่ากำลังจะมีใครมาแย่งเธอไป”

“หา! คิดมากเกินไปแล้ว ต่อให้มีใครมาแย่งฉันก็ไม่มีทางไปไหนอยู่แล้ว นายก็รู้นี่นา”

ไม่เพียงพูดเปล่า หญิงสาวคว้าแขนของทิมเข้ามากอดไว้แน่นแล้วเอนใบหน้าซบลงไปที่ไหล่ของเขา

“ฉันรู้ ไม่ได้กังวลที่เราหรอก กังวลเรื่องเหตุการณ์อื่นๆ ที่เราอาจจะควบคุมไม่ได้มากกว่า”

“โธ่เอ้ย ฟุ้งซ่านมากไปแล้ว เอาเป็นว่ารอไว้วันเกิดฉันแล้วเราแอบไปจดทะเบียนกันนะ”

เฟย์นะเงยใบหน้ายิ้มแป้นขึ้นมาแฟนหนุ่ม ซึ่งส่งยิ้มกลับมาให้เธออย่างพอใจเช่นกัน

กรี๊ดดด! ในตอนนั้นเองที่เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังแว่วขึ้นมา ทิมกับเฟย์นะมองหน้ากันอย่างแตกตื่นก่อนจะหันมองซ้ายขวาหน้าหลังรอบตัว โดยปกติหากผู้คนได้ยินเสียงนี้คงจะโทรแจ้งกองปราบปรามให้เข้าไปจัดการ แต่เมื่อทั้งสองต่างอยู่ในสถานะ ‘ว่าที่นักปราบปรามของชาติ’ แล้ว โดยสัญชาติญาณแน่นอนว่าต้องวิ่งไปหาต้นตอเสียงนั้นเพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น

เสียงนั้นไม่ได้ดังจากแถวนี้ แต่ดังแว่วมาจากในซอกซอยข้างตึกที่ต้องเดินฝ่าความมืดที่ไร้แสงไฟจากบนถนนสายหลักเข้าไปอีก เฟย์นะวิ่งตามทิมเข้าไปติดๆ จนกระทั่ง...

“หยุดนะ!”

เสียงของทิมดังขึ้น เมื่อท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้พบหญิงสาวที่เหมือนพนักงานออฟฟิศคนหนึ่งกำลังนอนทุนรนทุรายอยู่กับพื้น และดูเหมือนจะเริ่มไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาแล้ว มีชายผมสีทองกำลังยกฝ่ามือตั้งขึ้นหันไปทางนั้นราวกับกำลังทำอะไรสักอย่าง ไม่มีการใช้อาวุธอะไรทั้งสิ้น กับเด็กสาวผมสีทองที่เว้นระยะออกไปจากตรงนั้นเล็กน้อยคอยมองอยู่เฉยๆ

ชายหนุ่มผมสีทองวางมือลงแนบกับตัวเมื่อสาวออฟฟิศตรงหน้าแน่นิ่งไม่ขยับไปในที่สุด ก่อนจะหันตาขวางมาผู้ที่ทำเสียงดังรบกวน ทว่า...เมื่อมองเลยผ่านไปด้านหลังและได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่วิ่งตามมา อีซีโอก็เบิกตาโพลงขึ้นอย่างตกตะลึง

เฟย์นะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะโทรแจ้งกองปราบปรามเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี แต่ก่อนจะได้กดปุ่มโทรออก ร่างของชายผมสีทองก็เลือนหายไปก่อนจะโผล่มายืนอยู่เบื้องหน้าเฟย์นะ แล้วใช้มือปัดโทรศัพท์ของหญิงสาวอย่างรุนแรงจนหลุดออกจากมือ

“เฟย์นะ!” ทิมกระโดดถีบมาจากด้านข้าง แต่เมื่อคิดว่าเข้าถึงตัวคนร้ายได้แล้วเท้าของเขากลับพบแต่อากาศที่ว่างเปล่า คนร้ายปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าทั้งสองอีกครั้งในระยะที่ห่างราวสามเมตร

“ในที่สุด... ในที่สุดฉันก็เจอเธอ ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

ทิมกับเฟย์นะมองคนร้ายอย่างตื่นตระหนก ไม่นับรวมคำพูดแปลกๆ และการเคลื่อนไหวประหลาดๆ เหมือนมีเวทมนตร์นั่นแล้ว สัญชาตญาณของทิมก็ร้องบอกในหัวว่านี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่พวกเขาจะรับมือได้เลย แต่หากหันหลังวิ่งหนีทั้งคู่ เจ้าคนร้ายนี่ต้องทำอะไรสักอย่างกับพวกเขาทันทีแน่นอน ทิมล้วงโทรศัพท์ของตัวเองส่งให้เฟย์นะที่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบๆ

เห็นแฟนหนุ่มยื่นมือถือมาแล้วเฟย์นะก็เข้าใจความหมายได้ไม่ยาก เขาคงต้องการให้เธอหนีไปโทรแจ้งกองปราบในขณะที่เขาจะพยายามถ่วงเวลาให้ไว้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่า...

“วิ่ง!” เฟย์นะหันหลังกลับวิ่งออกไปทันทีเมื่อทิมส่งสัญญาณ แม้จะไม่อยากปล่อยเขาไว้คนเดียวก็ตาม แต่นี่คงเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว

“อั๊กกก!”

ขาของเฟย์นะหยุดขยับเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น หญิงสาวหันกลับมาอีกครั้งก่อนจะได้พบกับภาพที่ทำเอาหญิงสาวช็อคสุดชีวิต

ร่างของทิมที่ทรุดล้มก่อนจะนอนหงายลงกับพื้นมานั้นมีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักไว้ที่ตำแหน่งอกซ้าย

“อยากหาเรื่องโผล่มาซวยเองนะ ช่วยไม่ได้”

คนร้ายพูดสั้นๆ ก่อนจะเดินผ่านร่างของทิมแล้วตรงมายังเฟย์นะ แต่แล้วข้อเท้าของชายผมทองกลับถูกยึดไว้ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายจากสองมือของคนที่ถูกแทง ราวกับขอถ่วงเวลาอีกเพียงสักนิดเพื่อคนหญิงสาวที่ตนเองรักได้หนีไป

“น่ารำคาญจริง”

อีซีโอเตะสองมือนั้นออกไปอย่างง่ายดาย และดูเหมือนชายหนุ่มผู้ถูกทำร้ายจะหมดเรี่ยวแรงแน่นิ่งไปแล้ว

“ทิม!”

เรื่องหนีไม่อยู่ในหัวของเฟย์นะอีกต่อไป หญิงสาววิ่งกลับมาดูแฟนหนุ่มที่นอนจมกองเลือดอยู่กับพื้นตอนนั้น

“ไม่นะ! ทิม!”

เสียงดังเปรี๊ยะราวกับการปริร้าวของอะไรบางอย่างดังขึ้นในหัวของเฟย์นะ เกิดไอสีดำพวยพุ่งออกมาอย่างเบาบางจากร่างกายของหญิงสาวที่ไม่สนใจสิ่งใดในโลกอีกแล้ว

“ใช่จริงๆ ใช่เธอจริงๆ ด้วย ฮะฮ่าฮ่าฮ่า”

อีซีโอหัวเราะราวกับคนสติแตก จนอายะที่เริ่มไม่เข้าใจในสถานการณ์เดินเข้ามาถามเรื่องราวเพราะกลัวว่าตัวเองจะมีคู่แข่งเป็นผู้หญิงคนนี้เพิ่มอีกคน หุ่นดี ผมสีทอง ตรงสเป็คทุกอย่างของนายท่านของเธอเลย

“ทำไมเหรออีซีโอ รีบกินรีบไปเถอะ เกิดเจ้าพวกนั้นมาเจอเข้าละยุ่งยากอีก”

“อายะ...ดูสิ ดูนั่น นั่นลูกสาวของฉันเอง”

“ฮะ!” สาวน้อยโลลิต้าผมทองได้แต่หันไปมองทางเฟย์นะอย่างตื่นตกใจ เช่นเดียวกับเฟย์นะที่เงยหน้าซึ่งเต็มไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมา สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตนั้นยิ่งเร่งปฏิกิริยาบางอย่างให้ร่างกายให้แผ่พุ่งไอสีดำออกมามากขึ้น

“แก...” เฟย์นะกัดฟันกรอดเค้นเสียงนั้นออกมาอย่างโกรธแค้น หญิงสาวกำหมัดพุ่งเข้าหาคนร้ายผมสีทองอย่างไม่สนใจอะไรอีกแล้ว แน่นอนว่าอีซีโอหลบได้ไม่ยาก แม้หญิงสาวจะพยายามสู้อย่างไร้สติและทิศทางแต่ก็ไม่สามารถแตะต้องชายหนุ่มผมสีทองได้แม้แต่น้อย

“สงสัยต้องเร่งเครื่องอีกหน่อย”

อีซีโอเดินไปหาทิมที่นอนแน่นิ่ง ก่อนจะเตะร่างนั้นจนพลิกกลิ้งไปหลายตลบและจบที่ใช้เท้าเหยียบบนหัวของชายหนุ่มไว้

“หยุดนะ!” เฟย์นะทำได้เพียงกรีดร้องบอกแล้ววิ่งกลับไปหาทิมอย่างไร้หนทางอีกครั้ง แต่เธอกลับตกตะลึงถึงขีดสุด เมื่อสิ่งที่กลิ้งมาถึงเท้าของเธอก่อนหน้าที่จะเข้าถึงตัวเขาได้นั้น คือศีรษะของแฟนหนุ่มคนรักที่หลุดออกจากร่างกาย

ผ่านความเงียบเสี้ยววินาทีหลังจากสมองประมวลผลการรับรู้ได้แล้วนี่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้คือสิ่งใด

เกิดเสียงแตกระเบิดของอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ภายในร่างกายของหญิงสาว

เสียงกรีดร้องของเฟย์นะดังขึ้นจากสติที่ขาดผึงไปจนไม่อาจดึงกลับมาได้อีกแล้ว....

กลิ่นอายวิญญาณสีดำพวยพุ่งออกจากร่างหญิงสาวรอบทิศ ถึงขนาดที่อายะต้องวิ่งถอยหลังออกไปห่างๆ เพราะเริ่มรู้สึกตัวชาเหมือนโดดดูดพลังชีวิต

มีเพียงอีซีโอที่หัวเราะร่าอย่างบันเทิงใจกับสภาพทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น...

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด