ตอนที่แล้วซัพที่19: การปกป้องที่ดีที่สุด คือการสอนให้เขาปกป้องตัวเอง!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่21: มันเป็นไปตามพล็อต

ซัพที่20: ภารกิจเลือกเฟ้นฮ่องเต้อะไร ข้าไม่ทำมันแล้ว!


ซัพที่20: ภารกิจเลือกเฟ้นฮ่องเต้อะไร ข้าไม่ทำมันแล้ว!

ตลอดเวลาที่กุ้ยเหรินอยู่ที่บ้าน ไป๋อวาสังเกตว่าแม่ของเธอมักจะเก็บซ่อนอาการป่วยไว้ เพื่อไม่ให้ลูกน้อยต้องเป็นห่วง เมื่อกุ้ยเหรินออกไปล่าสัตว์หาฝืนหรือตักน้ำ ใบหน้าของแม่ก็มักอ่อนแรงและอิดโรย จนไป๋ฮวาหวาดหวั่น ภาพและความรู้สึกที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ไปในชาติก่อนได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง

เธอยังจำได้ดี ชาติที่แล้วพี่ชายของเธอโจวฉีหมิง ได้ถูกรางวัลตั๋วทริปเที่ยวหางโจวฟรีสองที่นั่ง แต่เพราะตัวเขาเองก็ไม่มีคนรัก ทั้งตอนนั้นเธอยังติดสอบ พี่ฉีหมิงจึงมอบตั๋วใบนั้นให้กับพ่อและแม่ ทว่าโชคร้าย ที่รถบัสเกิดอุบัติเหตุ พลิกคว่ำบนสะพาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตร่วมสามสิบคน

ตั้งแต่วันนั้นพี่ฉีหมิงจึงมักโทษตัวเอง ว่าเป็นเหตุทำให้พ่อแม่เสียชีวิต หากเขาไม่ได้รับตั๋วไปนั้นมา หากเขาไม่มอบมันให้พ่อแม่ ทั้งสองคงไม่ต้องตาย ตัวเขาก็ไม่ต่างกับฆาตกรฆ่าบุพการี

ไม่ว่าหรงหรงและคนรอบข้างในชาติที่แล้วจะพูดยังไง จะปลอบพี่ชายยังไง ก็ไม่เป็นผล ทำให้ตั้งแต่วันนั้นฉีหมิงจึงเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง กลายเป็นคนหวาดกลัวที่จะตัดสินใจอะไร ไม่กล้าพบปะใคร

แม้หรงหรงจะเสียใจกับการจากไปของพ่อแม่ แต่เพราะพี่ชายของเธอกลายมาเป็นเช่นนี้ ทำให้เธอมีแต่ต้องพยายามเข้มแข็ง หาเลี้ยงตัวเองและพี่ชายให้ได้

ชาติก่อนไป๋ฮวานึกฝัน ว่าอยากเห็นพี่ชายกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง ทว่าฝันนั้นก็ต้องแหลกสลาย เมื่อเธอต้องตายก่อนวัยอันควร ยังดีที่พระเจ้าให้วาจาว่าจะทดแทนการตายของเธอ โดยการผูกชะตาวาสนาพี่ชายของเธอเสียใหม่ ให้ดีขึ้น มิเช่นนั้นเธอคงได้มีห่วงอยู่โลกเดิม

แต่เรื่องในชาติที่แล้วว คิดไปก็ไม่ได้อะไร อยากเจอพี่แค่ไหนก็ไม่มีวันได้เจออีก จะเป็นห่วงก็แต่ชาตินี้ หลังเกิดใหม่เธอก็ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งในทันใด โชคดีที่ได้กุ้ยเหรินและแม่รับเลี้ยงดู ทว่าตอนนี้อาการของแม่นั้นน่าเป็นหว่งนัก ตัวเธอเองแม้แต่จะเดิน จะคลาน จะพูด จะสื่อสาร ก็ยังทำไม่ได้

จากที่ไป๋ฮวาได้อยู่กับทั้งสองมาสองเดือน กุ้ยเหรินและแม่เมื่อก่อนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ชายฝั่งทะเล ทว่าหมู่บ้านนั้นกลับถูกต่างแคว้นยึกครอง ทั้งคู่โชคดีหลบหนีออกมาได้ จึงพ้นจากการตกเป็นทาส ทั้งสองหลบหนีเข้ามายังแคว้นเจิ้งและมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง หวังว่าจะหาตัวพ่อของกุ้ยเหรินให้พบ

สามปีก่อนพ่อของกุ้ยเหรินถูกเกณฑ์เป็นทหาร แต่เพราะสงครามบริเวณชายแดนสิ้นสุด กลับไม่พบแม้แต่เงาหรือแม้แต่ร่างไร้วิญญาณที่ถูกส่งกลับมาทำพิธี พวกเธอจึงไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน เป็นตายร้ายดียังไง ได้แต่หวังอยู่ลึกๆ ว่าเขายังคงอยู่รอดปลอดภัย

แต่เพราะกุ้ยเหรินไม่เคยเจอหน้าพ่อ เธอจึงไม่ได้รู้สึกโหยหาต้องการพบเขามากนัก แต่กลับรู้สึกน้อยใจ ที่พ่อนั้นไม่ส่งข่าวคราวกลับมาบ้าน แม้แม่จะบอกว่าพ่อไปออกรบขณะที่แม่ท้องแก่ แต่..กุ้ยเหรินก็ไม่มั่นใจ ว่าพ่อรู้ถึงการมีอยู่ของเธอหรือไม่ เหตุใดจึงไม่กลับมาพบหน้าลูก หรือแท้จริง..เขาได้ตายไปในสงครามแล้ว?

หลังจากที่พบไป๋ฮวาในป่า กุ้ยเหรินและแม่จึงระงับการเดินทาง เพราะคิดว่าไป๋ฮวายังเด็ก ทั้งผิวยังเป็นสีแดงเมื่อถูกแดดเผา ขืนยังดึงดันเดินทางต่อไปข้างหน้า ก็จะมีแต่กลายเป็นภาระ จึงได้เดินทางหากระท่อมร้างกลางป่า ตั้งเป็นถิ่นที่อยู่ใหม่ชั่วคราว

ขณะที่ไป๋ฮวากำลังคิดอะไรเพลินๆ ผู้เป็นแม่ที่กำลังเด็ดสมุนไพรจึงเอนกายพิงผนังด้วยใบหน้าซีดเซียว ลมหายใจของแม่ฟังแล้วดูน่าใจหายนัก ไป๋ฮวาเห็นท่าไม่ดี จึงแหกปากส่งเสียงร้องจ้า ลำบากผู้เป็นแม่ต้องลุกขึ้นมาหา

“ไป๋ฮวา.. แค่กๆ.. เป็นอะไรไปลูก?” เธอนั่งลง และอุ้มลูกน้อยขึ้น ก่อนจะหยิบชามน้ำข้าวขึ้นมา จะป้อนให้เด็กน้อยกิน

ไม่! ข้าไม่ได้หิว ข้าจะเรียกพี่กุ้ยเหรินมาดูท่าน!

ไป๋ฮวายังคงแหกปากร้องจ้าไม่มีหยุด จนกุ้ยเหรินที่หาฝืนในป่าต้องฉงน

ทำไมจู่ๆ วันนี้ไป๋ฮวาถึงร้องนานจัง?

กุ้ยเหรินได้ยินน้องร้องไม่มีหยุด ก็เริ่มหวั่นใจว่าจะเกิดเรื่องขึ้น เด็กน้อยจึงรีบวิ่งกลับกระท่อม ประตูที่ถูกพลัก ทำให้ผู้เป็นแม่ตกใจจนหันมา กุ้ยเหรินจึงได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของนาง เมื่อกุ้ยเหรินมาแล้ว ไป๋ฮวาจึงหุบปากหยุดร้อง สร้างความฉงนให้กับแม่ของเธอนัก

“กุ้ยเหริน กลับมา..แล้วหรือ รอบนี้ลูกกลับมาเร็วจังนะ” นางฝืนยิ้ม แสร้งทำตัวเป็นปกติ

“แม่.. แม่จ๋า จริงๆ แล้วแม่ป่วยเป็นอะไรกันแน่?” เด็กหญิงวัยสามปีวิ่งเข้ามากอดเอวผู้เป็นแม่ เงยหน้าถามด้วยใบหน้าถอดสี นางจึงวางไป๋ฮวาในอ้อมแขนลงกับพื้น

“แม่ก็บอกเจ้าแล้ว ว่าแม่...ไม่ได้เป็นอะไร เจ้า..อย่ากังวลไปเลย ไม่มีอะไรน่าห่วง” กุ้ยเหรินส่ายหน้าช้าๆ

“ไม่ ข้าไม่เชื่อท่าน สีหน้าท่านไม่ดีเลย” เด็กน้อยยังไม่ยอมแพ้ เค้นถามแม่ไม่มีหยุด

“แค่กๆ.. กุ้ยเหริน ลูกฟังแม่นะ บ้านเรา.. ไม่ได้มีเงินมากพอ ที่จะไ..แค่ก..ก.. ที่จะไปหาหมอ แม่ไม่มีทางเลือก นอกจาก..จะต้มยารักษาตัวเอง” ผู้เป็นแม่ลูบศีรษะกุ้ยเหรินเบาๆ และฉีกยิ้มจางๆ ให้

“เช่นนั้นข้าก็จะล่าสัตว์มากขึ้น มากขึ้นๆ ไปอีก แล้วก็จะนำสัตว์พวกนั้นไปขาย!” ท่าทางขบขันของแม่ ทำให้กุ้ยเหรินไม่พอใจ

“ข้าทำได้จริงๆ นะ! โตขึ้นข้าน่ะนะ จะเป็นคนที่จะเลี้ยงท่านแม่กับไป๋ฮวาเอง” เด็กน้อยยืนยัน ไป๋ฮวาที่ได้ฟังยังรู้สึกขำ

โธ่พี่กุ้ยเหริน ข้าล่ะเอ็นดูท่านจริงๆ โอ้ยยย อยากได้ร่างเก่ามาหยิกแก้มท่านจัง!

“จ้าๆ ถ้าเป็นเรื่องล่าสัตว์แม่เชื่อว่าเจ้าทำได้แน่.. แต่ แค่กกๆ แต่กลางป่าอย่างนี้ เจ้าจะไปขายที่ใด เมืองเองก็ห่าง..ไปตั้งหลายลี้นัก” กุ้ยเหรินชะงัก

“แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไง ข้าอยากให้ท่านหายจากอาการป่วย ข้าเป็นห่วงท่าน!” ผู้เป็นแม่สวมกอดลูกน้อยเบาๆ

“กุ้ยเหริน ชีวิตคนเราน่ะ ขึ้นอยู่กับวาสนา หากว่..แค่กๆ.. แค่ก..กๆ” ไม่ทันที่จะพูดจบ นางกลับไอออกมาอย่างรุนแรง

“แม่! แม่จ๋า!” กุ้ยเหรินร้องตกใจ ไม่ต่างจากไป๋ฮวาที่ตกตะลึง ผู้เป็นแม่ยกมือห้าม ไม่ให้ลูกน้อยพูดอะไรต่อ

“แค่กๆ แม่.. เมื่อกี้แม่แค่.. แค่กๆ สำลักอากาศ” หน้าของลูกน้อยทั้งสองเปลี่ยนสีทันที

“ท่านแม่! ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้ได้ไหม!” กุ้ยเหรินกระทืบเท้าโวยวาย

ใช่! ข้าล่ะตกอกตกใจ นึกว่าท่านจะจากไปแล้วเสียอีก

“ฮ่าๆ แม่ขอโทษๆ แม่จะบอกเจ้าว่า ชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับวาสนา หากว่าวันใดตัวแม่หมดสิ้นวาสนาที่จะอยู่กับลูกแล้ว ไม่ก็อยากจะให้ลูกดูแลน้องดีๆ แค่ก กุ้ยเหริน.. ชีวิตคนเรามีสุขมีทุกข์สลับปนเป จงใช้ชีวิตในทุกวันให้คุ้มค่า” ไม่รู้เหตุใด ผู้เป็นแม่จึงเอ่ยราวกับสั่งเสีย

“ท่านแม่.. ทำไมท่านพูดเช่นนี้ ท่านต้องอยู่กับข้าไปนานๆ สิ” เมื่อฟังแล้วรู้สึกเป็นลาง เด็กน้อยจึงเอ่ยขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไร เพียงอุ้มไป๋ฮวาขึ้นมากอดพร้อมกับโอบร่างเล็กของกุ้ยเหริน

“แม่รักพวกเจ้านะ”

เช้าวันต่อมาก็พบศพของผู้เป็นแม่ นอนนิ่งราวกับหลับใหล กุ้ยเหรินแหกปากร้องไห้ น้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ไม่ต่างจากไป๋ฮวานัก แม้เธอจะรู้จักแม่ได้เพียงไม่กี่เดือน แต่ก็ได้รับรู้ถึงความรักของท่านที่มีแต่เธอและกุ้ยเหริน ทั้งๆ ที่ตัวเธอเป็นเพียงเด็กประหลาดที่ถูกเก็บมาเลี้ยง

กุ้ยเหรินใช้กิ่งไม้ขนาดใหญ่ พยายามขุดหลุมทั้งน้ำตา ทว่าด้วยแรงน้อยๆ ของเธอ ก็ไม่อาจขุดหลุมได้สำเร็จ ขณะที่กำลังท้อแท้ ไป๋ฮวาที่ถูกอุ้มมาไว้ใกล้ๆ กลับพยายามพลิกตัวมาที่ข้างๆ เธอ และใช้สองมือสองแขนขุดดิน ภาพที่เห็นยิ่งทำให้น้ำตาของกุ้ยเหรินไหลริน ไม่คิดว่าน้องน้อยจะพยายามทำเพื่อแม่

“ฮึก..ก..พอแล้วไป๋ฮวา พอแล้ว” กุ้ยเหรินอุ้มเด็กน้อยขึ้นด้วยแรงของเธอ

“แอ๊ๆ” เด็กน้อยไม่ยอม พยายามจะกลับไปช่วยขุด

กุ้ยเหรินเปลี่ยนมานั่งพักใต้ต้นไม้พูดคุยกับน้องน้อยที่อยู่ในอ้อมแขน

“ฮึก..ไป๋ฮวา น้องรู้ใช่ไหม..ฮือ..อ.. ท่านแม่..ท่านแม่ไม่อยู่แล้วนะ ฮือๆๆ” กุ้ยเหรินพยายามพูดกับเธอ

ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง ท่านพี่ต้องเข้มแข็งไว้นะ ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดีนัก ฮึก..ก.. ตัวข้าเองก็เคยสูญเสียพ่อแม่ไปแล้ว

ไป๋ฮวาใช้มือน้อยๆ เช็ดน้ำตาให้กุ้ยเหริน ตอนนี้แม้ใช้วาจาในการสื่อสารไม่ได้ แต่เธอก็ยังมีภาษากายในการสื่อสาร

“ไป๋ฮวา..ฮึก.. เจ้า.. เจ้าจะอยู่กับข้าต่อไปใช่ไหม? ข้า..ข้าไม่เหลือใครแล้ว.. ข้าไม่เหลือใครแล้วนอกจากเจ้า ฮืออ..อ..” กุ้ยเหรินร้องไห้โฮกอดน้องแน่น ไป๋ฮวาจึงกอดนางตอบ

ข้าจะอยู่กับท่านเองท่านพี่ ข้าจะอยู่กับท่าน ไม่ว่าเมื่อไรข้าก็อยู่กับท่าน! ภารกิจเลือกเฟ้นฮ่องเต้อะไรนั่น ข้าไม่ทำมันแล้ว! ภารกิจพันธุ์นั้นมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับข้าเลยสักนิด

สิ่งที่พระเจ้าทำกับข้า ก็มีแต่เรื่องโหดร้ายทั้งสิ้น ถูกฆ่าในชาติที่แล้วจนพลัดพรากจากพี่ชายที่รัก ถูกส่งมาเกิดใหม่เป็นเด็กปีศาจจนถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง โชคดีที่ได้ท่านและแม่ช่วยดูแล แต่เหตุใด เหตุใดเล่า? ทำไมพระเจ้ายังต้องพรากท่านแม่ของข้าและท่านพี่ไปอีก

ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับฟ้าเป็นศัตรูกับดิน ข้าก็จะสนับสนุนท่านพี่ตราบชั่วชีวิตจะหาไม่

ข้าจะซัพพอร์ตท่านเอง!

 

สามปีผ่านไป จินหลงวัยแปดปีนั่งเท้าคางอยู่บนก้อนหิน มองจำนวนเด็กกำพร้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนแออัด

นี่ขนาดกลุ่มเด็กโตย้ายไปหางานทำในเมืองแล้วนะเห้ย!

เจ้าตัวแสบเริ่มปวดหัว เพราะสงครามที่เกิดขึ้นในหลายแคว้น ทำให้ผู้คนหลบลี้มายังแคว้นเจิ้งที่สงบสุข จนบัดนี้จำนวนของเด็กในกลุ่มมากจนถ้ำเกินจะรับได้

“ท่านพี่จื่อจ๊งงงงงงงงง” เสียงแหกปากเรียกคนสนิทดังลั่นไปทั่ว ทว่าทุกคนกลับไม่สนใจ จื่อจงที่ชินชากับน้องน้อยคนนี้จึงเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย

“อะไรอีกล่ะ” จื่อจงวัยสิบหกปีถาม ท่าทางของเขาตอนนี้ดูต่างจากสามปีที่แล้วนัก

“เดี๋ยว! เดี๋ยว! ทำไมต้องทำหน้าเบื่อน้องขนาดนี้ล่ะ” จินหลงโวยวาย แต่สีหน้าเบื่อหน่ายของจื่อจงกลับชัดกว่าเดิม

“แล้วเวลาเจ้าเรียกข้าทีไร มีเรื่องอะไรให้ทำบ้างละ เดี๋ยวก็ให้แบกไปนู้นแบกไปนี่ ไม่ใช่เด็กห้าขวบแล้วนะ” จื่อจงเทศน์ จินหลงเบะปากทำท่าจะร้องไห้

“ท่าทางเช่นนั้นไม่ได้ผลกับข้าแล้วล่ะ” เด็กชายทำท่าจะเดินกลับ จินหลงจึงต้องรีบรั้ง

“เดี๋ยวๆ ฟังข้าก่อนซิ!”

ให้ตายเถอะ! ท่านพี่จื่อจงของข้าเมื่อสามปีที่แล้วหายไปหน๊ายยย

จื่อจงพ่นลมหายใจ ก่อนจะหันกลับมายืนเท้าเอว เร่งให้อีกฝ่ายพูด

“ข้ากำลังจะปรึกษาเจ้าว่าเราควรย้ายไปอยู่ที่อื่นดีไหม?” จื่อจงกระพริบตาปริบๆ

“แล้วจะไปอยู่ไหนล่ะ? หรือจะลองสร้างบ้านกันดูแถวนี้ ยังไรเสียก็มีเงินกองกลางที่พวกพี่ๆ ส่งมาอยู่แล้ว” จื่อจงใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ด้านในถ้ำ

“ก็นั่นน่ะสิ ข้าก็คิดอยู่ว่าเราควรสร้างบ้านหลังเล็กๆ กันดู คงต้องออกเดินทางหาที่ราบที่ไหนสักแห่ง ให้ถางป่ากันก็ไม่ไหวแหง” จินหลงครุ่นคิด

“แล้วจะไปตอนไหน ข้าจะได้ให้ทุกคนไปเก็บของ” จินหลงเงยหน้ามองท้องฟ้า นี่ก็ยังเช้าอยู่นัก...

“ตอนนี้”

 

โชคดีที่สัมภาระของแต่ละคนมีไม่มาก จึงเก็บได้ไว จะเสียเวลาไปมากก็กับการให้คนเข้าไปแจ้งข่าวพี่น้องที่อยู่ในเมือง ว่าจะมีการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ หากไปได้ตอนนี้ก็ให้รีบไปรวมตัว ส่วนใครที่ไปไม่ได้ จะมีคนมารับตอนเย็น ซึ่งแน่นอนว่า..

“เรื่องนี้น้องอยู่ร์เป็นตัวต้นใช่ไหม?”

“จะรีบไปไหนเนี่ย ทำไมไม่รอพรุ่งนี้ก่อน”

“ข้าล่ะปวดหัวกับน้องอยู่ร์จริงๆ”

จินหลงที่ได้ฟังดังนั้นก็อยากแหกปากโวยวาย

เหตุใดท่าทางพวกเจ้าเปลี่ยนไปได้ขนาดเน๊!

“แล้วเจ้าคิดหรือยังว่าจะไปไกลไหม?” จื่อจงก้มลงถามจินหลงที่มีท่าทางขี้เกียจเดิน

“อืม.. ก็ไม่รู้สิ ห่างเมืองหน่อยก็ได้ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดก็เป็นวิชาตัวเบากันแล้ว ไปมาได้สะดวกอยู่ดี อ้อ! ไหนๆ ก็จะตั้งถิ่นฐานถาวร เอาที่ๆ ใกล้แม่น้ำก็จะดีมากนะ” จินหลงนึกขึ้นได้ หากให้ไปตักน้ำทุกวันคงเสียเวลาแย่ สู้ย้ายไปอยู่ใกล้แหล่งน้ำเลยดีกว่า

“แย่เลยแหะ แถวนี้ก็ไม่ได้มีแม่น้ำด้วย” จื่อจงพยายามทบทวนความจำ

“ทะเลสาบก็ได้!”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด