ตอนที่แล้วChapter 9 : ถูกจับได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 11 : ที่ห้องนอนของกวินท์

Chapter 10 : การหักหลังของมินจุน


Chapter 10 : การหักหลังของมินจุน

 “วิน ตื่น ! ตื่นได้แล้ว”                                                       

เสียงดังงุ้งงิ้ง ๆ เหมือนแมลงวันบินอยู่ข้างหูทำให้ผมรู้สึกรำคาญพอสมควร คนจะหลับจะนอนส่งเสียงดังรบกวนอยู่ได้ ผมไม่สนใจ เอื้อมมือควานหาหมอนอีกใบมาอุดหูของตัวเองเอาไว้ให้พ้นจากเสียงของไอ้สิงโตเผือกนั่นที่ดังออกมาแทนนาฬิกาปลุกของผม ซึ่งวันนี้มันเหมือนจะปลุกเช้ากว่าปกติ

“ไอ้หนู ตื่นดิวะ ไปวิ่งได้แล้ว ! เช้าแล้ว !”

เช้าบ้าอะไรยังมืดตื้อขนาดนี้ ไม่เห็นแสงอาทิตย์แม้แต่น้อย ยังไม่ลืมตาผมก็รู้สึกถึงมันได้ ผมยังคงนิ่ง ก็คนมันง่วงนี่ เมื่อคืนนี้นั่งอ่านงานวิจัยโครงการใหม่ของบริษัทเอกชนที่จ้างผมทำงานเสร็จก็เกือบตีสาม เหมือนเพิ่งจะนอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองด้วยซ้ำ แถมมีไอ้สิงโตเผือกมาปลุกอีก โคตรจะเพลียเลย

“วันนี้ของดหนึ่งวัน” ผมพูดออกไปอย่างงัวเงีย ไม่ไหวแล้วจริง ๆ หลังจากต้องตื่นไปวิ่งมาหลายวันติดกันเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอย่างที่ลีโอบอก พูดจบผมก็พร้อมเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทราแบบคนไร้สติอีกครั้ง

“ไม่ได้ จะตื่นไม่ตื่น” เสียงลีโอดังเข้มขึ้น สัมผัสได้ว่ามีคนกำลังดึงหมอนออกจากหู แต่มือผมดึงยื้อเอาไว้

โครม !

ผมสะดุ้งตื่นเต็มตาร้องออกมาดังลั่นห้องพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบชาไปครึ่งซีกของร่างกายด้านขวาของตัวเอง ลืมตาขึ้นมาตอนนี้ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนตะแคงอยู่ที่พื้น ร่างกายซีกซ้ายอยู่ด้านบน ร่างกายซีกขวากระทบกับพื้นด้านล่างจนชาไปหมด ผมตาสว่างเต็มที่เงยหน้ามองร่างของลีโอที่ยืนกอดอกอมยิ้มมองผมอยู่อย่างกวน ๆ ให้ตายเถอะ ใครเป็นเจ้านายกันแน่เนี่ย ไอ้สิงโตเผือกเป็นคนจับผมโยนลงมาจากเตียงแน่ ๆ

ภูติดวงดาวบ้าอะไรวะ ทำร้ายเจ้านายของตัวเองได้ด้วย !

ผมค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนมองหน้าลีโอที่ยิ้มขำ

“นี่ต้องปลุกรุนแรงขนาดนี้เลยหรือไงฮะ !” ผมโวยวายออกไปพร้อมกับบิดขี้เกียจ หายง่วงแล้วตอนนี้ ตาสว่างมากกว่าพร้อมกับความเจ็บ

“ฉันปลุกนายดี ๆ แล้ว นายก็ไม่ตื่น”

“ก็มันง่วงไง เมื่อคืนฉันทำงานดึก นายก็เห็น” ผมพูดแย้งออกไป ลีโอส่ายหัวเบา ๆ พร้อมเอื้อมมือมาข้างหน้าแต่ผมถอยหลังหนีเพราะไม่รู้ว่าหมอนั่นจะทำไรอีก

“จะทำไรอะ” ผมถามออกไป

“มาใกล้ ๆ”

มือของลีโอเอื้อมมาแตะที่หน้าผากของผม ออร่าสีฟ้าเปล่งประกายออกมา มันให้ความรู้สึกเย็นสบาย ปลอดภัยเหมือนตอนที่ลีโอถูกอัญเชิญมาใหม่ ๆ ความอ่อนล้าและความเหนื่อยอ่อนที่เกิดจากอาการนอนไม่พอหายไปเกือบทั้งหมด รวมถึงความเจ็บที่ถูกจับโยนลงมาจากเตียงด้วย ผมรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา เหมือนมีพลังงานล้นเปี่ยมขึ้นมาทันที ร้องเฮ้ยออกมาอย่างประหลาดใจมองหน้าลีโอ บางทีการมีหมอนี่ก็ดีเหมือนกัน มันทำให้ผมที่เป็นลูกคนเดียวรู้สึกเหมือนมีพี่น้องอยู่ในบ้านเลย ถึงแม้บางครั้งมันจะวุ่นวายไปหน่อยก็เถอะ

“เขามีแต่ผู้ถือครองกุญแจแชร์พลังให้กับภูติแห่งดวงดาว นี่ฉันกลับต้องแชร์พลังให้กับนายงั้นหรอ เฮ้อ ไอ้หนูเอ๊ย”

“อย่าบ่น นายอยากให้ฉันไปวิ่งเองนะ ช่วยไม่ได้”

หลังจากอาบน้ำล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินลงมาด้านล่างทักทายอรุณสวัสดิ์พ่อกับฟินิกซ์ที่ตื่นเช้ามาเตรียมของเปิดร้านเป็นประจำอยู่แล้ว จะแปลกก็ตรงที่วันนี้ผมเจอมินจุนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านกำลังพูดคุยกับภูติดวงดาวของเขาอยู่ เห็นปกติเจ้าตัวไม่เคยตื่นเช้าเลยเหมือนผม เพราะสองสามวันที่ผ่านมาผมก็ต้องตื่นไปวิ่ง แต่ไม่เคยเจอมินจุนเลย ผมเลยเดินเข้าไปทัก

สองภูติดวงดาวฝาแฝดไพส์ซีสลุกขึ้นยืนเดินมาใกล้ผมพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ตั้งแต่ผมร่วมมือ ตกลงเป็นพันธมิตรกับมินจุน สองฝาแฝดนั่นก็เป็นมิตรกับผมมากขึ้นรวมถึงซาจิททาเรียสด้วย แต่สองฝาแฝดไพส์ซีสท่าจะเป็นมิตรมากกว่า เพราะมือเรียวของสองคนนั้นเข้ามาถึงเนื้อถึงตัวผมบ่อยมาก ตอนนี้ก็เช่นกัน มือของฝาแฝดที่ชื่อ ซังมี เข้ามาวอแวกับกล้ามเนื้อบริเวณแขนช่วงบนของผม ส่วนซังซูชื่อฝาแฝดไพส์ซีสที่มินจุนตั้งให้อีกคนก็เลื้อยเป็นงูมาจับที่หัวไหล่ผมแล้วนวดเบา ๆ ให้ความรู้สึกหวิว ๆ ยังไงชอบกล

“ผ่านไปอาทิตย์เดียว เหมือนจะมีกล้ามแล้วนะวิน”

“แน่นเชียว พามินจุนของพวกเราไปวิ่งออกกำลังกายด้วยสิ”

ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของมินจุนแล้วว่าโดนภูติแห่งดวงดาวลวนลามมันเป็นยังไง แต่ก็ชอบ …

เฮ้ย ... ไม่ใช่ !

“ต้องขอบคุณเทรนเนอร์อย่างฉันสิ ถ้าพวกเธออยากออกกำลังกาย ไปหาฉันในกุญแจได้ทุกเมื่อนะ”

อยู่ดี ๆ สิงโตเผือกก็เดินมาหยิบสองมือที่เลื้อยเป็นงูนั้นออกจากคอและแขนผม พร้อมกับเอามือของตัวเองมาคล้องคอผมไว้

“ชิ ไอ้สิงโตหน้าหม้อ !” เสียงของสองฝาแฝดไพส์ซีสดังออกมาพร้อมกันแล้วสะบัดหัวไปคนละทาง เดินกลับไปหาเจ้านายตัวเองอย่างหงุดหงิด จนผมกับมินจุน รวมถึงซาจิททาเรียสอดขำไม่ได้ ถึงยังไงฝาแฝดไพส์ซีสก็ยังไม่ยอมญาติดีกับภูติดวงดาวของผมสักที

“วันนี้ฉันขอไปวิ่งด้วยคนนะ” มินจุนพูดขึ้นมา

“ไปสิ” ผมตอบกลับไปก่อนที่พวกเราจะออกจากบ้านไปด้านนอก

ท้องฟ้าในตอนนี้ยังคงไม่สว่างดีเท่าไร เนื่องจากช่วงนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วด้วย พระอาทิตย์จึงขึ้นช้า บนท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำเงินเข้มอยู่ แสงสว่างที่มีตอนนี้จึงเป็นเพียงแสงจากดวงไฟสีส้มอ่อนที่เปิดกระจายไว้ทั่วทั้งเมือง การจราจรในเมืองทั้งทางอากาศและบนบกต่างก็ยังมีไม่มากเท่าไร คงเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดด้วย แต่อีกสักสองชั่วโมงทั้งเมืองคงจะแน่นไปด้วยการจราจร

พวกเราวิ่งเลาะตามถนนไปเรื่อย ๆ เห็นผู้คนออกมาวิ่งบ้างประปราย บางคนก็พาสัตว์เลี้ยงของตัวเองออกมาเดินเล่น บางคนก็ออกมาวิ่งออกกำลังกายสูดอากาศยามเช้าเหมือนพวกเรา พวกเขาดูมีความสุขดีเหลือเกิน ผมเองก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันถ้าไม่มีเรื่องกุญแจดอกที่ 13 ติดเข้ามากวนใจ และระแวงว่าจะมีใครมาฆ่าเอากุญแจจักรราศี แต่คิดมากไปก็เท่านั้น ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันแบบหลีกหนีไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอ พ่อสอนผมเสมอให้มองโลกในแง่ดี

แล้วเราจะเป็น ... ในสิ่งที่เราคิดเสมอ

ผมกับมินจุนวิ่งมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำที่มีแม่น้ำสายหลักไหลผ่านเมือง พวกเราหยุดพักหลังจากวิ่งมานานเกือบครึ่งชั่วโมง ภูติแห่งดวงดาวของผมกับมินจุนไม่ได้มาวิ่งด้วย ทั้งหมดกลับเข้าไปอยู่ในกุญแจตั้งแต่ตอนเราออกจากบ้าน เหลือแค่ผมกับมินจุนที่วิ่งมาด้วยกัน

“วิน”

อยู่ ๆ มินจุนก็พูดทักผมขึ้นมา

“หืม ว่าไง”

“ทำไมนายดูเป็นคนมองโลกในแง่ดีจัง ไว้ใจคนง่าย อารมณ์ดี นายดูไม่เครียดเลยทั้ง ๆ ที่นายควรจะเป็นผู้ถือครองกุญแจที่เครียดที่สุดเพราะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาแท้ ๆ”

ผมหัวเราะขำกับคำถามของมินจุน ยืนมองสายน้ำที่ไหลนิ่ง ๆ จากบนสะพาน ไม่ได้หันกลับไปมองเขา

“ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะฉันโตมากับพ่อมั้ง นายก็เห็นว่าพ่อฉันเป็นคนยังไง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่เคยผ่านเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาหรอกนะ”

“อย่างนายเนี่ยนะ เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเรื่องอะไร” มินจุนพูดต่อ

“เรื่องของแม่ฉันน่ะ ท่านเสียไปเมื่อตอน ...”

ตู้ม !

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาจากแรงกระแทกของสายน้ำจากแม่น้ำด้านล่างที่พุ่งตัวขึ้นสูงจนชนกับสะพาน ผมมองสายน้ำที่เคยนิ่งจากบนสะพานอย่างตกใจ แม่น้ำด้านล่างไหลวนเป็นวงกลมไหลเชี่ยวกรากอย่างน่ากลัวเหมือนมีใครควบคุมอยู่ตรงกลางวงกลมนั้น เมื่อเพ่งมองจะเห็นผู้หญิงผมยาวสลวยสีเขียวอ่อนคนหนึ่งอยู่กลางวงกลมนั่น แต่นั่นไม่ใช่คนแล้ว ผมเห็นหางปลาเกล็ดสีเขียวมรกตที่ลอยอยู่เหนือน้ำนั้นด้วย

นั่นมันนางเงือก !

ผมรีบถอยห่างออกจากสะพานนั่นอย่างรวดเร็ว รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้นทันที ผมหันไปมองมินจุนแต่ตอนนี้เขาหายตัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้

นี่หมอนั่นหายหัวไปไหนในเวลานี้ !

ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจจักรราศีของตัวเองออกมาพร้อมกับเรียกลีโอ

ลีโอปรากฏตัวขึ้นทันทีโดยที่ผมยังไม่ทันจะเรียกตัว เจ้าตัวหันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเครียด

“อควาเรียสควบคุมแม่น้ำสายนี้ไว้อยู่”

“ฮะ !” ผมร้องออกไปอย่างตกใจ นั่นมันชื่อของหนึ่งใน 12 ภูติแห่งดวงดาวจักรราศีไม่ใช่หรอ

ผมกับลีโอยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ น้ำจากแม่น้ำใต้สะพานก็ค่อย ๆ รวมตัวกันจับเป็นรูปร่าง ปรากฏให้เห็นเป็นงูยักษ์ที่เป็นน้ำขนาดใหญ่พอ ๆ กับตึกสูง 3 ชั้น ที่พร้อมพุ่งเข้ามาโจมตีเรา

ตู้ม !

ผมรีบกระโดดหลบอย่างว่องไว ลีโอก็เช่นกัน เสาไฟบนสะพานล้มลงในสภาพที่พังยับเยินหลังจากโดนงูยักษ์ที่เป็นน้ำเมื่อกี้พุ่งเข้าใส่ เมื่อมันพลาดจากการโจมตีครั้งแรกมันก็พุ่งเข้ามาหาพวกเราอีกเป็นครั้งที่สอง

“วิน ! หลบไปหามินจุนซะ” ลีโอร้องตะโกนออกมา ตอนนี้ในมือขวาของลีโอปรากฏเป็นดาบเล่มสีทองเหมือนที่ผมเคยเห็นบ่อย ๆ ผมรีบทำตามที่ลีโอบอกวิ่งหนีหลบไปอีกทาง ในขณะเดียวกันก็หันไปมองลีโอที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเงาสีฟ้ากระโดดไปมาใช้ดาบสีทองฟันกับงูน้ำยักษ์ตัวนั้นกันผมให้ออกห่าง

ตุบ !

ร่างของผมถูกซัดด้วยแรงลมจากที่ไหนสักแห่งกระเด็นออกมาห่างจากลีโอที่กำลังต่อสู้กับงูยักษ์น้ำบนสะพานนั่น

ผมค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้น แล้วผมก็เห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาหา ไม่สิ สองคนต่างหาก มันเป็นร่างของมินจุนกับผู้หญิงอีกคน

นั่นมัน ... ผู้หญิงคนที่เข้ามาทานโกโก้ร้อนกับสังขยาฟักทองเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่

ผู้หญิงที่ทำให้ผมหลงเสน่ห์เข้าอย่างเต็มเปา ...

“นี่มันอะไรกันมินจุน” ผมถามออกไป ในสมองตอนนี้คาดเดาเรื่องได้ไม่ยาก ผมคงจะโดนมินจุนหักหลังเข้าให้ซะแล้ว ผมน่าจะเชื่อพ่อกับฟินิกซ์ว่าไม่ควรไว้ใจใครมากจนเกินไป ถ้าอควาเรียสที่เป็นภูติแห่งดวงดาวหนึ่งใน 12 จักรราศีกำลังต่อสู้อยู่กับลีโอ ผู้หญิงคนที่มายืนตรงหน้าผมก็คงเป็นผู้ถือครองกุญแจอวาเรียส

“ฉันขอโทษ” มินจุนพูดขึ้นมาเบา ๆ

“นายจะไม่เจ็บหรอก ฉันสัญญา” ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อด้วยใบหน้านิ่ง ๆ นี่อย่าบอกนะว่าเธอแค้นฝังหุ่นเรื่องที่ผมทำลงไปวันนั้นด้วย ทำไมน้ำเสียงดูเย็นชาขนาดนั้น

ผมมองผู้หญิงคนนั้นตาค้าง เมื่อเห็นในมือข้างขวาของเธอมีปืนเลเซอร์ความเข้มสูงที่ถูกพัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันเพื่อใช้ในสงครามที่แทบจะไม่มีแล้ว แต่ตอนนี้มันอยู่ในมือของเธอ ปลายกระบอกปืนชี้ตรงมายังหัวของผม ถ้าโดนเข้าไปอย่าหวังเลยว่าจะรอด

“จะ ใจเย็น เราตกลงกันได้นะ” ผมรีบพูดออกไป ยกมือขึ้นโชว์สองข้างเหมือนยอมแพ้

แวบหนึ่ง ผมเห็นมินจุนขยิบตาให้ผมหนึ่งที

อยู่ดี ๆ ฝาแฝดไพส์ซีสก็โผล่พรวดขึ้นมาด้านหลังของผู้หญิงคนนั้นทำให้ผมงงขึ้นไปอีก สองฝาแฝดไพส์ซีสเข้าไปจับแขนทั้งสองข้างของผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็วแบบตั้งตัวไม่ทัน ปืนเลเซอร์ของผู้หญิงคนนั้นล่วงลงไปอยู่ที่พื้น พร้อมกับเข็มฉีดยาดอกเล็กพุ่งตรงมาปักที่แขนและขาของเธอจากมุมไหนสักแห่ง นั่นคงเป็นฝีมือของซาจิททาเรียส มินจุนก้มลงไปหยิบมันขึ้นมาถือแทนพร้อมชี้ปลายกระบอกปืนไปที่หัวของผู้หญิงคนนั้น

“นี่นายทำบ้าอะไร ! จะหักหลังฉันงั้นหรอ !” ผู้หญิงคนนั้นร้องโวยวายออกมา

“ก็ใช่น่ะสิ เธออย่าฝืนเลยไอรีน ยาชาที่ปักอยู่ที่แขนและขาจะทำให้เธอขยับไปไหนไม่ได้ ถึงหมอนั่นจะไม่มีเวทมนตร์ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ดูเหมือนจะเป็นภาระ แต่ก็จริงใจมากและเป็นเพื่อนที่ดี อีกอย่างเคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้ด้วย ถ้าจะหาพันธมิตรจริง ๆ เธอควรจะเลือกคนแบบนี้ ไม่ใช่แบบฉัน ต้องขอบคุณคลาสแอ็คติ้งที่ฉันลงเรียนมาเมื่อปีก่อน ถือว่าได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ”

ทำไมยิ่งมินจุนพูด มันยิ่งเหมือนด่าผมอยู่เลยแฮะ แต่ประโยคหลัง ๆ ค่อยฟังดูดีขึ้นมาหน่อย

มินจุนหันมามองผมแล้วส่งยิ้มให้

มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าหมอนี่ดูน่ากลัวเหลือเกิน

“เอาไงต่อ ฆ่าเลยไหม ฉันยกกุญแจให้นายวิน”

“เดี๋ยว ๆ !” ผมร้องออกไปห้ามมินจุน ก่อนเดินเข้าไปใกล้เธอคนนั้น ใบหน้านิ่งแสนหยิ่งนั่นทำเมินใส่ผม

หน็อย ... คิดจะฆ่ากันอยู่แท้ ๆ เมื่อกี้

“เธอชื่อไอรีนใช่ไหม เมื่อกี้ฉันได้ยินมินจุนพูด”

เงียบ เธอไม่ต้องผม หันหน้าไปอีกทาง ... ดูดื้อจังแฮะ ทั้งที่ตัวเองขยับหนีไปไหนไม่ได้แบบนี้

“ฉันมีทางเลือกให้เธอไอรีน หนึ่ง ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพวกเรา สอง ให้มินจุนฆ่าเธอ เธอจะเอาไง” ผมยื่นข้อเสนอให้กับเธอ

เงียบ ...

“ถ้าเธอยังไม่พูด ฉันคิดว่าฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง ให้เธอพูดแล้วนะ ...”

พูดจบผมก็ยกมือขึ้นมาสองข้างเป็นท่าเหมือนกับกำลังจะจับอะไรบางอย่างอยู่ในอากาศ พร้อมกับรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย สายตาเลื่อนต่ำลงมองด้วยความเจ้าเล่ห์ ดูซิแบบนี้จะได้ผลหรือไม่

“ถ้าเธอไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยก็พูดออกมา ฉันจะนับถึง 10”

“อะ ... ไอ้โรคจิต !”

ได้ผล ... เธอพูดแล้ว ไม่ถึงสามวิด้วยซ้ำ ผมหัวเราะออกมาเบา ๆ ใบหน้านิ่ง ๆ นั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ทำไมน่าแกล้งแบบนี้นะ

“นั่นไม่ใช่คำตอบนะ” ผมพูดต่อพร้อมกับรอยยิ้ม เดินขยับเข้าไปหาไอรีนเพื่อเพิ่มความกดดันมากยิ่งขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะละล่ำละลักพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

“ฉันมีทางเลือกอื่นด้วยหรือไง ใครเขาอยากจะตายกันล่ะ ไอ้บ้า !”

ผมหันไปมองหน้ามินจุนเป็นเชิงขอความเห็นสำหรับพันธมิตรคนใหม่ หมอนั่นส่ายหัวเบา ๆ พร้อมกับหัวเราะ

“นายนี่มันร้ายใช่ย่อย”

ว่าแล้วผมก็ยักคิ้วให้มินจุนเป็นคำขอบคุณ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด