ตอนที่แล้วบทที่ 10: ทุกสิ่งคลี่คลาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่12: ความเป็นตาย

บทที่11: สองพี่น้อง


บทที่11: สองพี่น้อง

ในความมืด ไป่ยู่รู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่าง เหมือนข้างในตัวมีไฟชนิดหนึ่งกำลังแผดเผา คล้ายถูกกัดกินอวัยวะภายใน มันทรมาน เจ็บปวดจนเขาทุรนทราย กระทั่งฝนที่กำลังโหมกระหน่ำสาดซัดใส่ร่างของตนที่นอนอยู่กลางดินในผืนป่า ก็ไม่อาจจะช่วยทุเลาให้รู้สึกดีขึ้นได้

ก้อนเลือดจำนวนหนึ่งทะลักออกจากปาก เด็กชายรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวและรสเฝื่อนของมัน ร่างน้อยสั่นเกร็งเป็นระยะโดยไม่สามารถควบคุมได้ ไป่ยู่อยากกรีดร้องขอให้ใครสักคนช่วย แต่ที่ทำได้มีแค่การร้องไห้เพียงลำพัง เขารู้สึกถึงความสิ้นหวังเป็นครั้งแรกในชีวิต สิ่งที่คิดวนเวียนซ้ำไปมา คือขอให้ตัวเองตายไปเสียเพื่อจะได้พ้นจากความทุกข์นี้

ทว่าในช่วงขณะที่ใกล้ตาย ไป่ยู่รู้สึกได้ว่ามีคนสองคนเดินเข้ามาใกล้แล้วเรียกเขา เพราะความมืดทำให้ไม่เห็นชัดว่าสองคนเป็นใคร ทว่าเสียงนั้นอบอุ่น อ่อนโยนกลบเสียงฝนที่ดังอื้ออึ้งอยู่ในหู

“เสี่ยวยู่! เสี่ยวยู่!”

ไป่ยู่สะดุ้งตื่นลืมตามองทั่วบริเวณก่อนที่จะพยายามตั้งสติ เขานอนอยู่ภายในถ้ำมืดมิดไม่ได้อยู่กลางดินหรือผืนป่าที่ไหน ห่างออกไปไม่ไกลมีกองไฟเล็กๆ ที่ก่อไว้ให้ความสว่างและอบอุ่น เมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน...

แค่ฝันถึงอดีตในวัยเยาว์เท่านั้น...

ไป่หลงนั่งอยู่ข้างกายส่งสายตามองมาท่าทางห่วงใย

“ฝันเรื่องเดิม... ในตอนนั้นอีกแล้วเหรอ?” ไป่ยู่พยักหน้าแทนคำตอบ

“แค่ฝันน่ะท่านพี่ ไม่มีอะไรต้องห่วง”

“แต่เหงื่อเจ้าเต็มตัวยังกับไปตกน้ำที่ไหนมา มา! ถอดเสื้อออก เดี๋ยวข้าเช็ดให้”

สภาพของเขาไม่ต่างจากที่อีกฝ่ายพูด มีเหงื่อกาฬเต็มตัวทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อน แต่ค่อนไปทางเย็นชื้น ไป่หลงไม่พูดเปล่า หยิบผ้าแล้วดึงเสื้อที่คลุมร่างของไป่ยู่ออก จนท่อนบนเปลือยเปล่าเผยผิวซีดขาว ราวกับเกล็ดหิมะยามเมื่อต้องแสงสะท้อนจากเปลวไฟ

ไป่ยู่ไม่ขัดขืน เพราะเป็นธรรมดาของพี่ชายที่ชอบดูแลเขา ราวกับว่าน้องคนนี้ยังเป็นเด็กตัวน้อยที่ไป่หลงไปพบในป่าลึกครั้งนั้น

ไป่ยู่เอียงคอไปทางซ้ายเมื่อไป่หลงใช้ผ้าเช็ดที่ซอกคอด้านขวาและสลับไปอีกด้านอย่างเบามือ เสียงฝนจากด้านนอกดังเข้ามาถึงภายในที่ทั้งสองพักแรมอยู่

“ฝนยังไม่หยุดอีกเหรอ?”

“ยัง แต่ตกหนักมาหลายวันแล้วท่าทางคงไม่พ้นวันนี้ น่าจะซาลงบ้าง”

“ดีที่ถ้ำนี้ลึกพอควร ไม่งั้นคงได้นอนหนาวกันน่าดู”

“เจ้าหิวหรือเปล่า? พอดีจับปลามาได้” สิ้นคำถามของไป่หลง ไป่ยู่รีบหันกลับไปมองคิ้วขมวด

“อากาศแบบนี้ท่านพี่ยังจะออกไปหาของกินอีก ถ้าเกิดโดนฝนหนักเข้า เดี๋ยวร่างกายท่านพี่ก็...”

“ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรนี่ ชุดข้ากันน้ำได้เจ้าก็รู้”

ไป่ยู่คร้านจะต่อคำด้วย เพราะรู้ดีว่าพูดมากไปเดี๋ยวจะกลายเป็นตัวเองที่โดนเทศนาเสียเอง

ในสายตาคนนอกที่ได้พบเห็นไป่หลง ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าเขาเก่งกาจเกินจะทัดเทียม ยิ่งถ้าได้เห็นวรยุทธที่ใช้จะยิ่งคิดว่าไป่หลงไร้เทียมทาน แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น ถึงจะมีลมปราณ วรยุทธหรือกำลังจะอยู่ในขั้นสูง ทว่าความจริงไป่หลงมีร่างกายที่อาจตายได้ทุกเมื่อถ้าเพียงแค่...

“ข้าบอกไม่ต้องห่วง ก็ไม่ต้องห่วงสิ” ไป่หลงขยี้ผมน้องชายเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาจัดเสื้อคลุมร่างให้น้องตามเดิมแล้วลุกเดินไปที่กองไฟ

ไป่ยู่ยังคงนั่งนิ่ง แม้ไม่หันไปมองไป่หลงก็พอจะเดาออกว่าเจ้าจอมขี้กังวลกำลังทำหน้ายังไง เขาพลิกปลาที่ย่างอยู่เพื่อให้ความร้อนเข้าถึงเนื้อด้านใน

“อย่ามัวแต่ห่วงเรื่องร่างกายข้าเลย สุขภาพของเจ้ามากกว่าที่ข้าคิดว่าควรพูดถึง ข้าได้ยินจากไอ้มือปราบโจวว่าเจ้าสลบไประหว่างต่อสู้กับพวกปีศาจนั่น เจ้าฝืนใช้คาถาอีกแล้วใช่ไหม?”

ไม่ทันขาดคำ สถานการณ์พลิกกลับทันที ขืนปล่อยไว้แบบนี้ท่าทางจะยิ่งโดนเอ็ดหนักกว่าเดิม

“ปลาย่างหอมจังเลยนะ ได้กลิ่นแล้วข้ารู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเลย โอ๊ยยยย หิวจัง” ไป่ยู่ทำเสียงเล็กกุมท้องแกล้งโอดครวญแล้วลุกเดินไปนั่งข้างพี่ชาย

ไป่หลงมองท่าทีทะเล้นของน้องแล้วอดยิ้มไม่ได้ ถึงในใจลึกๆ จะกังวลไม่น้อยเกี่ยวกับสุขภาพของไป่ยู่ก็ตามที แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเกินกว่าเหตุออกไป เพราะปฏิญาณตนไว้แล้วว่าจะหาทางช่วยเหลือให้น้องคนนี้กลับมามีสุขภาพดีดั่งเดิม

ไป่หลงยื่นปลาที่ย่างจนสุกแล้วให้อีกฝ่าย ก่อนที่จะหันกลับไปดูปลาของตัวเอง ไป่ยู่ถือปลาไว้ในมือ รอจนของอีกฝ่ายสุกพร้อมแล้วสองพี่น้องถึงได้นั่งกินเคียงข้างกัน

เมื่อหลายวันก่อนหลังเสร็จสิ้นคดีผีไร้ร่าง ทั้งคู่เดินทางมาที่เมืองหัวอันด้วยสองสาเหตุ หนึ่งคือพาหนานจิ่นสือ พรานป่าไปพบลูกชายที่รักษาตัวอยู่ที่เมืองนี้ อีกหนึ่งสาเหตุคือเพื่อมาตามหาซินแสกูเกอ ตามที่ได้ข้อมูลมาจากเศรษฐีหม่าซือเต้า ทว่าเมื่อสอบถามจากชาวบ้านในเมืองหัวอันกลับไม่พบเบาะแสอื่นใดอีก จนกระทั่งหญิงชราคนหนึ่งกับคนรับใช้ยืนยันว่าเห็นซินแสกูเกอเข้ามาในป่าแห่งนี้

สองพี่น้องแม้จะสงสัย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตามเข้ามาหาดู เพราะนั่นเป็นเบาะแสเดียวที่เจอ ทว่าเพียงเข้ามาได้ไม่นาน ก็เกิดพายุฝนโหมกระหน่ำทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดเดินทางและหาที่พัก จึงได้พบกับถ้ำที่เกริ่นไว้ในข้างต้น

ตอนนี้เป็นช่วงสาย แม้ฟ้าจะยังไม่มีแดด แต่อากาศก็ไม่เลวร้ายอย่างเช่นที่ผ่านมา ฝนที่ตกหนักมาหลายวันซาลงแล้วตามที่คาดไว้ สองพี่น้องแซ่ไป่เก็บสัมภาระเล็กน้อยที่มีแล้วออกเดินทาง นอกถ้ำที่ทั้งคู่ใช้พักแรม เป็นป่าทึบในเขาลึก มีต้นไม้นาๆ พันธุ์ ทั้งทีรู้จักและไม่คุ้นตา พื้นดินเปียกชุ่ม บางจุดมีน้ำท่วมขังทำให้เดินได้ยากลำบาก แต่ไม่ใช่ปัญหาหนักหนาสำหรับสองพี่น้องที่เดินทางมานานหลายปี

“ทางนี้เสี่ยวยู่”

“.....”

ไป่ยู่เดินตามคำบอกของพี่ชายโดยไม่พูดอะไร ไป่หลงเดินำสักพักรับรู้ได้ว่าในใจน้องมีข้อข้องใจแต่ไม่พูดออกมา

“เจ้าไม่คิดว่า ซินแสจะมาที่นี่เช่นนั้นหรือ?”

“ข้าไม่ใช่ไม่คิด เพียงแต่แค่สงสัยในเหตุผลที่เขามาเท่านั้น”

“เราสองเคยพบเขาในตอนยังเยาว์ ไม่แปลกที่เจ้าจะนึกสงสัยในพฤติกรรมของเขา”

“ตอนนั้นข้าเด็กเกินกว่าจะจำได้ว่าเขาเป็นคนแปลก ชอบทำในสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ ชอบไปในที่ที่ใครๆ ไม่ชอบอยู่”

“อย่างน้อยเจ้าก็จำที่ข้าคอยบอกเกี่ยวกับตัวเขาได้”

“ตอนนั้นท่านพี่ก็โตกว่าข้าไม่กี่ปีเองนะ”

“แต่ข้าจำได้ละกันว่าเขาเป็นคนยังไง เชื่อเถอะ ว่าถ้ามีคนบอกว่าเห็นเขาเข้ามาในนี้ แปลว่าเขาเข้ามาจริงแน่ๆ”

“ที่ข้าสงสัยไม่ใช่ความเชื่อมั่นของท่านพี่ ที่ข้าระแวงคือคำบอกกล่าวของหญิงชรากับบ่าวของนางต่างหาก”

“นางไม่น่าจะต้องมีเหตุผลอะไรในการหลอกพวกเรา”

“ข้าถึงตามท่านพี่มาโดยไม่พูดอะไรไง”

“แต่ในใจเจ้าคิด”

“แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“เช่นนั้นความคิดส่วนใหญ่ของเจ้านึกถึงสิ่งใด ปกติเดินทางด้วยกันเจ้ามักพูดไม่หยุดคำ บ้างร้องเพลง บ้างท่องกวี ไม่ก็สาธยายเกี่ยวกับสิ่งที่พบเจอ”

“.....”

“เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนมีความลับไปแล้ว”

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกท่านพี่ ข้าเพียงแค่... นึกห่วงเฉินหลิน... เท่านั้นเอง”

“เฉินหลิน...” ไป่หลงทำท่านึกก่อนที่จะคิดออก “เด็กคนนั้น น้องชายของหญิงคณิกา”

“น้องสาว”

“เจ้าชอบดรุณีน้อยนั่น”

“เปล่า!” ไป่ยู่ตอบทันควัน “ข้าแค่สงสารในโชคชะตาของนาง”

“คนอื่นน่าสงสารเหมือนกันเจ้ากลับไม่คิดถึง อย่างพ่อค้าขายขนมเซาปิ่ง คนรู้จักตายหมดเหลือตัวคนเดียว หรืออย่างลูกน้องของไอ้มือปราบโจวที่ต้องแขนขาด กระทั่งหญิงคณิกาที่มีน้องของนางเกือบตายเพราะผีร้าย นางชื่ออะไรนะข้าจำไม่ได้”

“หลูจิวฝู คนขายขนมเซาปิ่ง เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นเพื่อกลับไปอยู่กับญาติ โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในชุมชนประตูทิศตะวันตกเป็นเรื่องเศร้าก็จริง แต่คนตายไม่อาจฟื้น ทำได้เพื่อพวกเขาคือการสวดส่งวิญญาณ ซึ่งเราก็ทำกันแล้ว ส่วนคนที่ยังอยู่หากมีหนทางไปและยังเหลือญาติพี่น้อง นั่นไม่นับว่าน่าสงสาร ควรยินดีด้วยซ้ำที่เขาได้กลับไปหาครอบครัว

ลูกน้องของพี่หม่าจงที่แขนขาด เขาชื่อหานตง พี่หม่าจงรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าไม่ทอดทิ้งแน่นอน เพราะฉะนั้นรับประกันได้เลยว่าคนผู้นี้แม้ภายภาคหน้าจะเจอเรื่องยากลำบากเพราะความพิการ แต่ก็ไม่ใช่คนน่าสงสารที่สุด เพราะเขาไม่ได้กลายเป็นคนไร้ค่า

หญิงคณิกาคนพี่ชื่อเย่วหลาน ส่วนน้องสาวนางคือเย่วเล่อ ข้าถามจากท่านหม่าซือเต้าแล้วว่าเขาจะไม่บังคับใครให้ทำงาน จริงๆ เขาก็ไม่เคยบังคับใคร ครั้งนี้เถ้าแก่เนี้ยที่ดูแลหอมาตายไป เขาก็ให้ทางเลือกกลับทุกคน หากใครอยากอยู่ก็ทำงานเหมือนเดิม หากใครอยากไปก็จะให้เงินเป็นทุนไปใช้ชีวิต สองพี่น้องแซ่เย่ว หลังเกิดเรื่องเหมือนคนพี่จะคิดได้ว่าอะไรสำคัญกว่า จึงเลือกที่จะไป ข้าว่า เงินที่ท่านหม่าให้ไปคงพอให้นางไปเปิดร้านทำมาค้าขายที่เมืองอื่นได้สบาย พวกนางจึงไม่ใช่คนน่าสงสารอีกเช่นกัน

และสุดท้ายท่านพี่ลืมไปคนหนึ่ง ซื่อเหนียง หญิงคณิกาที่โดนผีไร้ร่างทำให้เกือบเสียสติ หลังได้ท่านพี่ช่วยเหลือจนมีสติสมบูรณ์ นางเลือกที่จะทำงานที่หอเช่นเดิม ท่านหม่าเลือกนางเป็นเถ้าแก่เนี้ยแทนคนที่ตายไป ถึงจะหวั่นๆ ว่านางจะสามารถทำงานได้อย่างที่ต้องการไหม แต่เพราะเห็นว่านางอยู่มานานกว่าใครๆ น่าจะเป็นที่ยอมรับได้ง่าย หากปรับปรุงตัว ข้าคิดว่านางน่าจะเป็นคนที่ได้รับโอกาสดีที่สุดกว่าใครๆ จึงไม่ใช่คนที่น่าสงสาร”

ไป่ยู่ทำตาวิบวับเพราะได้แสดงความสามารถในการวิเคราะห์และความจำที่ดีเลิศของตนเอง ทว่าไป่หลงกลับยิ้มแย้มราวกับผู้ที่อยู่เหนือกว่า

“ผิดแล้วไม่ใช่หรือ ดรุณีน้อยเฉินหลินของเจ้า ข้าได้ยินมาว่านางจะถูกท่านหม่ารับเป็นบุตรีบุตรธรรม เช่นนั้นคนที่ได้รับโอกาสที่น่ายินดีกว่าใครๆ ย่อมเป็นดรุณีน้อยผู้นี้ เช่นนั้นนางย่อมไม่ใช่คนที่น่าสงสารมากที่สุด”

ไป่ยู่ หน้านิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองพลาดไปถนัดที่มองข้ามจุดนี้ ไป่หลงจับสังเกตได้ จึงกล่าวย้ำเย้าแหย่น้อง

“เจ้าคิดถึงดรุณีน้อย เจ้า... ชอบ... นาง...”

“ปะ เปล่า ข้าแค่”

“เจ้าชอบนาง ข้ามั่นใจ น้องข้าเป็นหนุ่มแล้ววววว กำลังมีความรักด้วยยยยย อีกไม่นานข้าจะได้มีน้องสะใภ้แล้วววววว” ไป่หลงตะโกนลั่นป่า

“เฉินหลิน นางเพิ่งเสียพี่สาวไป เหลือตัวคนเดียว เหมือนคนไร้ที่พึ่ง ถึงท่านหม่าจะรับนางไว้เป็นลูกบุญธรรมแต่”

ไม่ได้ผลใดๆ ทั้งสิ้น ไป่หลงยังคงตะโกนลั่นป่าอยู่อย่างนั้นกลบคำอธิบายที่ไป่ยู่พยายามตะเบ็งบอก ซ้ำยังทำหน้าและท่าทางล้อเลียนราวกับเป็นเด็กๆ

ไป่ยู่สุดทนควักยันต์ขึ้นมา ดวงตาจ้องเขม็งเรียวปากยิ้มร้าย

“เสี่ยวยู่ ขะข้าแค่เย้าเล่นน่ะนะ จะจริงของเจ้า ดรุณีน้อย เอ่อ เฉินหลินนางน่าสงสารจริงๆ น่ะแหละ”

ไป่ยู่ท่องคาถาก่อนสะบัดยันต์พุ่งตรงไปหาพี่ชายตัวเอง เกิดประกายไฟแปรเปลี่ยนยันต์กลายเป็นผีเสื้อสีเพลิงตัวหนึ่งพยายามบินวนเวียนรอบตัวไป่หลง แต่เขาขยับตัวหนี

“ข้ายอมแล้ว เอามันออกไป”

“ไม่!”

“ขืนเจ้าทำแบบนี้จะทำให้การเดินทางของเราช้าลงยิ่งกว่าเดิมนะ แล้วเจ้าจะไปหาดรุณีน้อยเฉินหลินของเจ้าไม่ได้นะ” ไป่หลงไม่วายแหย่รังแตนทั้งที่ยังกึ่งเดินกึ่งหลบ ไป่ยู่สะบัดนิ้วที่บังคับยันต์ก่อนจะกำมือข้างนั้น ทำให้ผีเสื้อเพลิงแตกกระจายการเป็นฝูงผีเสื้อนับสิบๆ ตัว

ไป่หลงยิ้ม สลัดเสื้อคลุมและสัมภาระออกจากตัว ขยับมือคลายแล้วกำ กำแล้วคลายจนได้เสียงลั่นของกระดูก ไป่ยู่ยิ้มตอบ ฝ่ามือกางออกหมุนวนไปมา ทำให้ฝูงผีเสื้อเพลิงบินวนตามคำสั่ง สองคนคิดตรงกัน นานแล้วที่ไม่ได้ลองฝีมือของกันและกัน

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ทำอย่างที่ใจคิด เกิดเสียงหักของไม้แว่วดังมาแต่ไกล สองคนหันไปมองในทิศทางที่เป็นต้นเสียงพร้อมกัน พริบตานั้นจึงได้เห็นหินก้อนใหญ่ขนาดเท่าเด็กสิบสองปี พุ่งตรงเข้ามาทางไป่ยู่ จนกระแทกต้นไม้ที่ขวางอยู่หักโค่นไปทั้งแถบ ทว่าไม่อาจลดความรุนแรงของมันลงได้เลยแม้แต่น้อย

ไป่ยู่สะบัดมือไปทิศทางนั้น ฝูงผีเสื้อเพลิงพุ่งตรงสวนกับก้อนหินที่ใกล้เข้ามา ไป่หลงตรงเข้าไปคว้าตัวน้องชายให้พ้นจากจุดที่เป็นอันตราย ร่างของทั้งสองเฉียดหินก้อนยักษ์ไปเพียงนิดเดียว ก่อนที่มันจะกระแทกเขากับกำแพงเขาด้านหลังดังสนั่น จนฝุ่นคลุ้งกระจาย

“ไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไรครับท่านพี่ ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร”

“ทำได้ขนาดนี้ท่าทางจะไม่เบาแน่นอน”

ในความหม่นมัวของฝุ่นหมอกที่ล้อมรอบกาย สองพี่น้องแซ่ไป่เห็นประกายไฟที่เกิดจากฝูงผีเสื้อเพลิงที่โจมตีไปเมื่อครู่ พริบตานั้นเกิดเสียงร้องครวญดังโหยหวนด้วยความเจ็บปวดลั่นขึ้นมา

ไป่ยู่ล้วงหยิบยันต์จากในเสื้อคลุม ไป่หลงตั้งท่าเตรียมพร้อม สองคนรู้สึกได้ว่าพื้นกำลังสั่นสะเทือนเพราะการวิ่งพุ่งตรงเข้ามาของฝ่ายตรงข้ามพร้อมเสียงไม้หักกระจายเพราะขวางทาง มันใกล้เข้ามาจนเห็นร่างนั้นได้ชัดขึ้นทีละน้อยท่ามกลางม่านฝุ่นหม่นสลัว

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด