ตอนที่แล้วตอนที่ 10: เดินทางสู่ Dark Hell Forest
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 12: ยายผู้หญิงแรงหมี

ตอนที่ 11: อัลฟ่าแห่งการเดินทาง


ตอนที่ 11: อัลฟ่าแห่งการเดินทาง

 

มนุษย์กลายพันธุ์ถามเฮเซคียาห์ถึงสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดในโลกนี้อีกครั้งหลังรับประทานหมูย่างเข้าไปจนอิ่มหนำ ทั้งเฮเซคียาห์และมูนนี่ตกลงให้อีกฝ่ายรับประทานหมู่ย่างในสัดส่วนที่มากกว่าปริมาณซึ่งตกถึงท้องของพวกเขา

 

“คุณชื่ออะไร” เฮเซคียาห์อยากทำความรู้จักกับอีกฝ่ายก่อน

 

“เมเดียน” มนุษย์กลายพันธุ์ตอบเฮเซคียาห์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเขาก็เฉลยให้เฮเซคียาห์ทราบถึงสาเหตุของความประหลาดใจนั้น “เธอเป็นเด็กมีมารยาทนะ ปกติไม่มีใครมาที่นี่แล้วถามชื่อฉัน เมเดียน คีลาฟ กันหรอก”

 

“ฉันไม่เคยนึกมาก่อนว่านายมีชื่อเป็นเรื่องเป็นราวด้วย” มูนนี่แทรกขึ้นมาอย่างไม่สนใจมารยาท

 

“มีคนมาที่นี่บ่อยๆ งั้นเหรอ” เฮเซคียาห์สนใจสิ่งที่เมเดียนเพิ่งบอกเขา “ที่นี่ไม่น่ามีคนอยากเข้ามา”

 

“มีมาเรื่อยๆ ละ ส่วนใหญ่พวกเขาก็มาตามหาฉันเหมือนอย่างเธอ ฉันค่อนข้างมีชื่อเสียงเรื่องให้ความช่วยเหลือคนอื่น” เมเดียนยกมือขึ้นกอดอก มองเฮเซคียาห์อย่างหยั่งเชิง

 

“ทำไมถึงได้รู้ว่า...”

 

“แค่เดาเอาน่ะ เพราะเธอมากับคนที่ฉันเคยให้ความช่วยเหลือไปแล้ว และถ้าพวกเธอเข้ามาที่นี่แค่เพราะมาล่าสัตว์หรือหาของป่า พวกเธอก็น่าจะได้สิ่งที่ต้องการแล้วออกไป” เมเดียนมองไปยังกองไฟที่เคยใช้ปิ้งหมูที่ตอนนี้มอดแล้ว “แต่พวกเธอที่ใช้สัตว์ป่าของที่นี่เป็นเสบียง พวกเธอคงกำลังหาบางอย่างอยู่โดยที่ต้องใช้เวลาหลายวัน สิ่งนั้นควรจะเป็นฉัน”

 

เฮเซคียาห์ผงกศีรษะ

 

“เอาล่ะ ต้องการอะไรอย่างนั้นเหรอ” เมเดียนเข้าเรื่อง ไม่อ้อมค้อม

 

เฮเซคียาห์จ้องเข้าไปในดวงตาของเมเดียน แล้วเขาบังเกิดอาการปวดศีรษะตุ้บๆ ดวงตาของเมเดียนมีแต่ตาดำซึ่งด้านในมีประกายเล็กๆ เป็นจุดๆ แต่ละจุดวิบวับแวววาวและกะพริบในบางครั้ง เฮเซคียาห์สูดหายใจแรงและกะพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่อาการปวดศีรษะ และขณะเดียวกัน เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ควรจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเมเดียน

 

“เฮ้ บอกเขาไปสิว่าเราดั้นด้นมาพบเขาเพราะนายต้องการอะไร” มูนนี่เร่งเร้าเฮเซคียาห์

 

“แลกกับแค่หมูย่าง คุณจะยอมช่วยผมจริงๆ น่ะเหรอ” เฮเซคียาห์ไม่เข้าใจการตั้งราคาค่าบริการของอีกฝ่าย

 

“นี่แน่ะ! ฉันก็แค่ว่างๆ อยู่ ก็เลยยอมช่วยคนที่ผ่านไปผ่านมาบ้างก็เท่านั้น ของแลกเปลี่ยนจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น” เมเดียนยกแขนข้างซ้ายลูบไปมาบนขนนกสีดำบนแขนข้างขวา พลางก้มหน้า ตามองใบไม้แห้งบนพื้น “ก็แค่หาอะไรทำว่างๆ เพราะอยู่ในป่าแบบนี้คนเดียวก็เหงาๆ”

 

“คุณเคยทำอะไรเสี่ยงๆ อย่างการท้าทายพวกมัสตินหรือเปล่า” เฮเซคียาห์จ้องไประหว่างคิ้วของอีกฝ่ายขณะที่พูดด้วย

 

“ตั้งใจจะทำอะไรละ เธออยากขโมยอะไรจากพวกเขา”

 

“คุณขโมยของจากพวกเขาก็ได้อย่างนั้นเหรอ” เฮเซคียาห์ฉงน “ไม่กลัวว่าพวกเขาจะมาตามฆ่าคุณรึไง”

 

“ก็บอกแล้วว่าฉันหาให้เธอได้ทุกอย่าง ของที่เป็นของพวกมัสตินก็ด้วย ฉันแค่เอาของพวกเขามาสักชิ้นหรือสองชิ้นเท่านั้น พวกมัสตินไม่ได้งกนักหนา” น้ำเสียงของเมเดียนเนือยๆ ราวกับกำลังพูดถึงการกระทำที่เป็นปกติ “แล้วฉันไม่ใช่มนุษย์ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าอัลฟ่าแห่งการเดินทาง ฉันมีแค่ตัวเดียวเท่านั้น พวกมัสตินสร้างฉันขึ้นมาอย่างเจาะจงเพื่อทำงานบางอย่างให้พวกเขานานมาแล้วตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ในโลกใหม่ๆ”

 

เมเดียนล้วงมือเข้าไปในคอของเสื้อยืด ดึงเอาเพนดูลัมที่มีรูปร่างและสีสันใกล้เคียงกับเพนดูลัมของเฮเซคียาห์ออกมา ตัวเฮเซคียาห์รู้สึกแปลกใจจนเผลอยกมือขึ้นแตะเข้ากับเพนดูลัมของตัวเขาเองที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อ เขามองเมเดียนเหวี่ยงเพนดูลัมเพื่อหมุนในอากาศเป็นวงกลม ภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในพื้นที่อากาศที่เพนดูลัมหมุนเป็นวงรอบ นั่นคือภาพของราชินีเอสเธอร์ที่วางสร้อยเพนดูลัมลงในมือของเมเดียนเองกับมือ

 

“ผู้หญิงในภาพคือราชินีของพวกมัสติน เวลาที่พวกมัสตินเห็นภาพนี้ พวกเขาจะรู้ว่าฉันเป็นคนสำคัญ และไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอาเรื่องฉันหรอก” เมเดียนให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาเองเพิ่มขึ้นอีกหน่อย

 

เฮเซคียาห์ยื่นมือไป คว้าเพนดูลัมของอีกฝ่ายมาเพื่อดูชัดๆ เพราะเขาคิดว่าเห็นลายมือชื่อของราชินีเอสเตอร์ถูกสลักไว้เป็นตัวอักษรตัวเล็กๆ

 

“อ๊ะ!” เขารีบปล่อยอย่างรวดเร็ว เพราะเพนดูลัมนั้นร้อนวาบทำให้เขารู้สึกราวกับถูกลวก

 

“ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ถ้าหากไม่อยากเจ็บตัว” เมเดียนยักคิ้วให้กับเขา และเก็บเพนดูลัมโลหะเข้าไปในตัวเสื้อ

 

“ผมไม่นึกมาก่อนว่าคุณเป็นตัวอะไรที่สำคัญกับพวกมัสตินขนาดนั้น” มูนนี่ไม่เคยได้ยินเรื่องของเมเดียนจากชาวมัสตินคนไหนมาก่อน

 

“เพราะว่าฉันเกษียณอายุแล้ว คนที่แก่มากๆ แล้วมาอาศัยอยู่ไกลบ้านแบบนี้ก็มักถูกลืม เป็นเรื่องธรรมดา” เมเดียนยกมือด้านขวาที่มีขนนกสีดำงอกปกคลุมหลังมือขึ้นมาแตะบนหน้าอกของเขา “แต่ให้ฉันอยู่ในเมืองต่อไป ฉันก็ไม่เป็นประโยชน์แล้วละ หน้าที่ของฉันจบแล้ว ฉันออกมาใช้ชีวิตเงียบๆ กับคนที่ฉันรักเมื่อนานมาแล้ว จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากี่ร้อยปีมาแล้ว”

 

“คนที่คุณรัก...”

 

“ช่างมันเถอะ อย่ามาสนใจกับเรื่องของฉันนักเลย” เมเดียนตัดบท ท่าทีเหมือนไม่อยากให้เฮเซคียาห์ถามมากความ “บอกฉันมา เธอต้องการอะไรจากฉัน นี่เป็นกฎของฉันเอง สำหรับตัวของฉันเอง ถ้าฉันรับอะไรจากใครมาแล้ว ฉันก็จะมีของตอบแทนให้เขาหนึ่งอย่าง”

 

“ผมขอคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหม”

 

เฮเซคียาห์ชำเลืองมองมูนนี่

 

มูนนี่รู้สึกตัวและจ้องเขากลับ

 

“นายอยากเข้าไปในเมืองหลวง ก็บอกเขาให้พานายไปสิ จะมัวชักช้าขอคุยเป็นการส่วนตัวทำไม มีอะไรปิดบังจากฉัน” มูนนี่เป็นคนช่างสังเกตและสังหรณ์แม่นยำ ท่าทีมีลับลมคมในของเฮเซคียาห์ไม่หลุดลอดสายตาของเขา

 

“นายเป็นมนุษย์ใช่ไหม” เมเดียนเพ่งตามองเฮเซคียาห์ “มนุษย์ไม่ควรจะอยากเข้าไปในเมืองหลวงโดยคิดจะให้ฉันช่วยเป็นลำดับแรก ในเมื่อมันมีวิธีดีๆ ที่ง่ายๆ อยู่แล้ว”

 

“ถ้ามีวิธีอื่นที่ดีและง่ายกว่าอยู่จริง ผมก็คงไม่ออกมาตามหาคุณ”

 

“มีสิ วิธีที่ฉันว่า เธอก็แค่เดินไปที่ประตูหน้าของเมืองหลวงหรือเมืองอื่นๆ และขอลงทะเบียนแรงงานตามปกติ” เมเดียนลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นปัดกางเกงวอร์มด้านหลังของเขา “ฉันพาเธอไปส่งที่ประตูหน้าของเมืองต่างๆ ในเขตการปกครองของชาวมัสตินที่ใกล้ที่สุดได้นะ”

 

“ผมใช้วิธีการนั้นไม่ได้ พวกมัสตินจะฆ่าผมก่อนทันได้ลงทะเบียน” เฮเซคียาห์เม้มปาก

 

เขาเคยได้รับรายงานจากบรอธว่า ชาวมัสตินทั้งหมดได้รับการแบ่งปันข้อมูลจากไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดว่าเฮเซคียาห์เป็นภัยต่อเผ่าพันธุ์ และต้องถูกกำจัดทิ้งทันทีถ้าหากมีชาวมัสตินคนใดพบเห็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไลฟ์ควอตซ์ต้นกำเนิดยังไม่ได้แบ่งปันข้อเท็จจริงที่ว่าเฮเซคียาห์กลายเป็นมนุษย์ไปแล้วให้กับผู้ที่ตำแหน่งต่ำกว่าสมุห์ทั้งสี่

 

เฮเซคียาห์รู้ซึ้ง ชาวมัสตินไม่ต้องการเหตุผลจากไลฟ์ควอตซ์ พวกเขาเชื่อฟังไลฟ์ควอตซ์ ชาวมัสตินทุกคนรู้ประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ตนเองและเข้าใจในทิศทางเดียวกันว่าการไม่ทำตามที่ไลฟ์ควอตซ์สั่ง จะนำหายนะมาให้แก่เผ่าพันธุ์ของตัวเองจนเกือบสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ได้

 

ชาวมัสตินทุกคน ถ้าเจอตัวเขา จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาให้ได้

 

“คนๆ นี้ เขาอยากไปช่วยแม่ของเขาที่ถูกจับไปอยู่เมืองหลวง นายแค่พาเขาเข้าไปยังเมืองหลวงให้ได้อย่างลับๆ แล้วก็พาเขากับแม่ของเขากลับมาที่นี่ก็พอ” มูนนี่เสนอความเห็นขึ้นมาบ้าง

 

เฮเซคียาห์อยากถอนหายใจแรงๆ แล้วซบหน้าลงกับฝ่ามือ

 

... เขาไม่ได้ต้องการพาราชินีเอสเธอร์ออกนอกเมืองโว้ย

 

“เป็นเด็กดีนะ ว่าแต่เธอนี่ ทำให้ฉันเกิดนึกถึงลูกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก”

 

“ลูกๆ ของคุณ” เฮเซคียาห์นิ่วหน้า คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายเลี้ยงเด็กๆ ไว้ในป่าแห่งนี้

 

“ฉันอายุมากกว่าราชินีเอสเธอร์อีก เด็กๆ พวกนั้น พอโตแล้วก็แยกจากฉันไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่” ดวงตาของเมเดียนจับจ้องที่เฮเซคียาห์ แฝงความคิดถึงเหล่าคนที่เฮเซคียาห์ไม่รู้จัก “เอาละ ฉันยินดีช่วยเธอ ฉันจะจับตัวเธอแล้วก็ให้เธอนึกหน้าของแม่ไว้ให้ดี ฉันก็จะพาเธอไปหาเขาได้ โอเคไหม”

 

“อะไรกัน” เฮเซคียาห์กะพริบตาปริบๆ งงๆ แต่ไม่ได้เป็นเพราะการทราบถึงความสามารถในการเทเลพอร์ตของอีกฝ่าย เมื่อก่อนเขาเห็นชาวมัสตินหลายคนทำอยู่บ่อย เพียงแต่สิ่งที่อีกฝ่ายบอกให้ทำเพื่อการเทเลพอร์ตฟังดูแปลกๆ “คุณพกบัตรประจำตัวเทเลพอร์ตเตอร์ไว้กับตัวสินะ คุณก็ได้รับอนุญาตให้เทเลพอร์ตแฮะ แล้วผมต้องคิดถึงจุดเทเลพอร์ตด้วยใช่ไหม”

 

“ของบ้าๆ พวกนั้น ทั้งบัตร ทั้งจุดเทเลพอร์ตที่ต้องคิดถึง มันไม่จำเป็นกับฉันหรอก” เมเดียนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ดูเหมือนจะตีคำพูดของเฮเซคียาห์ไปในทำนองว่าอีกฝ่ายกำลังดูถูกเขา

 

เฮเซคียาห์มองเมเดียนอย่างไม่อยากเชื่อถือ

 

บัตรประจำตัวฯ ที่เขาว่า ถือเป็นอุปกรณ์ประเภทหนึ่งที่ช่วยในการเทเลพอร์ต มันเป็นแผ่นบางๆ ที่ฝังแผงวงจรอัจฉริยะซึ่งเชื่อมโยงการทำงานกับไลฟ์ควอตซ์และแผงวงจรแบบเดียวกัน ณ จุดรับรองการเทเลพอร์ต จุดต่อจุด การเดินทางแบบเทเลพอร์ตเป็นหน้าที่สำคัญของพวกปราชญ์ชาวมัสตินซึ่งทำงานในบทบาทเป็นทูตระหว่างลีฟวิ่งแลนด์ (ดวงดาวที่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ) ด้วย เนื่องจากการเดินทางด้วยยานอวกาศจะเสียเวลามากกว่าหลายเท่าตัว

 

ไม่ใช่ชาวมัสตินทุกคนจะสามารถใช้เทคโนโลยีเทเลพอร์ตได้ เพราะบางคนมีร่างกายที่ไม่พร้อมต่อการถูกเคลื่อนย้ายมวลสาร เช่น เฮเซคียาห์ เขาเองก็ไม่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติ

 

“อ้อ แต่ว่า...” เฮเซคียาห์เพิ่งนึกบางอย่างออก

 

เขาไม่เคยเห็นชาวมัสตินที่ได้รับอนุญาตให้เทเลพอร์ตได้ เดินทางโดยเอาชาวมัสตินที่มีชีวิตอยู่ติดไปด้วย

 

“ผมคิดว่าเราต้องคุยกันอย่างจริงจังก่อนเป็นการส่วนตัว” เฮเซคียาห์ต้องการบอกกับเมเดียนถึงข้อจำกัดของเขา เพราะถ้าขืนเมเดียนพาเขาเทเลพอร์ต เขาอาจจะอายุสั้นขึ้น ชนิดที่ตายทันทีที่ไปถึงจุดหมาย

 

การเทเลพอร์ตเป็นเหตุอย่างหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ว่าทำให้ชาวมัสตินตายได้ง่ายๆ

 

“อะไรอีกละ ทำไมต้องพยายามกีดกันฉันออกไป” มูนนี่หงุดหงิด

 

เฮเซคียาห์นิ่วหน้า

 

“โอ๊ย! เอาเถอะ” มูนนี่หันหน้าหนีเฮเซคียาห์ “ถ้ามันจะมีความลับอะไรที่นายบอกเพื่อนซึ่งอุตส่าห์ถ่อพานายมาถึงนี่ไม่ได้ แต่นายบอกกับคนแปลกหน้าได้ ฉันก็ต้องเข้าใจแหละนะว่ามันคงควรเป็นความลับจริงๆ”

 

“ขอโทษ แต่ทุกคนก็เป็นแบบนี้แหละ มักจะมีความลับที่บอกเพื่อนไม่ได้” เฮเซคียาห์รู้สึกไม่สบายใจกับท่าทีกระฟัดกระเฟียดของอีกฝ่าย

 

มูนนี่ไม่พูดตอบ แต่ทำหน้าตึง

 

เฮเซคียาห์ลำบากใจ

 

“นี่ มีเรื่องอะไรกันแน่ แค่พาเธอเทเลพอร์ตไปก็จบแล้ว แล้วก็นะ ที่เธอคิดว่าพวกมัสตินจะฆ่าเธอ เธอวิตกไปหรือเปล่า เธอไปทำอะไรมา หรือว่าทำคนของพวกเขาตาย” เมเดียนมองเฮเซคียาห์ด้วยท่าทีระมัดระวังมากขึ้น “ฉันบอกก่อนนะ ฉันกล้าเอาของของพวกเขามาให้ แต่ว่าฉันไม่เป็นปรปักษ์กับพวกเขา การช่วยนายให้สมปรารถนามีข้อจำกัดที่ว่าฉันไม่ร่วมมือทำร้ายพวกมัสตินแน่ๆ”

 

เฮเซคียาห์รู้สึกดีกับเมเดียน เขาชอบที่มนุษย์กลายพันธุ์วางท่าเป็นพวกเดียวกับชาวมัสติน ซึ่งมันก็สมควรจะเป็นแบบนั้น เพราะเผ่าพันธุ์มัสตินให้กำเนิดมนุษย์กลายพันธุ์บางเผ่า และก็ยกย่องพวกมนุษย์กลายพันธุ์ให้มีศักดิ์และสิทธิสูงส่งกว่ามนุษย์มากมาย

 

“เราไปคุยกันตรงนู้นเถอะ” เฮเซคียาห์พยักพเยิดไปทางป่าอีกด้านหนึ่ง

 

เขาเดินนำเมเดียนไป ทำใจแข็งเพิกเฉยกับมูนนี่ที่ทำหน้าบึ้งตึง

 

 

เฮเซคียาห์เปิดปากเล่าเรื่องราวของเขากับเมเดียน พร้อมทั้งยืนยันกับเมเดียนว่าเขาจะเทเลพอร์ตไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่อยากเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

 

การตายแบบที่รู้ว่าตัวเองต้องฟื้นขึ้นมาแน่ๆ กับการตายที่คาดเดาได้ว่าตัวเองจะยุติการอยู่บนโลกนี้ไปตลอดกาล มันให้ความรู้สึกที่ต่างกัน และแบบหลังน่ากลัวกว่า เฮเซคียาห์ขนลุกเมื่อคิดถึงตอนที่เขาถูกไลท์ติ้งวูล์ฟกัดศีรษะหลุดและสิ้นสติไป

 

“ถ้าเธอเป็นชาวมัสตินจริงๆ ก็ไม่ตายหรอก ฉันพาสิ่งมีชีวิตเดินทางไปกับตัวเองได้โดยไม่มีผลข้างเคียง แล้วฉันก็ไม่ต้องไปโผล่ที่จุดเทเลพอร์ตด้วย” เมเดียนถอยหลัง เพิ่มระยะห่างระหว่างกายเขาและเฮเซคียาห์ แล้วเขาก็หายวับจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป “นี่ไม่ใช่การหายตัวไปมาด้วยการเคลื่อนที่เร็วๆ หรอกนะ ฉันแค่หายตัวไปเสียเฉยๆ จากจุดหนึ่ง เพื่อไปโผล่ที่ไหนก็ได้ และปกติฉันก็พยายามจะทำแบบนี้ตลอด เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกดี”

 

เฮเซคียาห์อ้าปากค้างอย่างงุนงง

 

สิ่งมีชีวิตซึ่งพิเศษขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่มีเรื่องราวของมันอยู่ในสมอง

 

“เจ้าเด็กโง่” เมเดียนโผล่มาอีกที เขาก้มหน้าลง ยืนอยู่ในระยะที่ศีรษะแทบโขกเข้ากับหน้าผากของเฮเซคียาห์ “ปัญหาคือฉันคิดว่าเธอโกหกเรื่องราวทั้งหมด ฉันไม่ค่อยเชื่อว่าเธอคือรัชทายาทเฮเซคียาห์ เพราะเขาตายไปแล้ว

 

“ตายไปแล้ว”

 

เมเดียนปิดเปลือกตาข้างหนึ่ง มองเขาด้วยดวงตาข้างเดียว สีหน้าเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง

 

“นั่นเป็นข่าวลือมาจากเมืองหลวงเหรอ นี่ตอนนี้ลือกันไปทั่วแล้วเหรอว่าผมตายแล้ว” เฮเซคียาห์ส่ายหน้าไปมาเบาๆ และเขาก็ล้วงเอาบรอธออกมาจากในกระเป๋า

 

“เฮ้! นายไม่เห็นบอกฉัน ว่าคนพากันพูดว่าฉันตายไปแล้ว” เฮเซคียาห์ตัดพ้อกับบรอธ

 

บรอธที่ขยายตัวเองเป็นขนาดปกติ ลอยขึ้นมาและอยู่นิ่งๆ ในมือของเขา

 

“เศวตศาสตราอันนี้” เมเดียนหรี่ตาลง “ดูแปลกจังแฮะ”

 

“ผมก็คิดว่างั้น”

 

“คิดว่าเหรอ...” เมเดียนขยับใบหน้าลงมาจ่อใกล้เศวตศาสตราในมือของเฮเซคียาห์ “ฉันว่ามันแปลกจริงๆ พอดีว่าตาของฉันจะเห็นเรื่องราวที่ต่างออกไปจากคนปกติ ฉันบอกตามตรงนะ ออร่าของมันเหมือนกับเศษของไลฟ์ควอตซ์ยิ่งกว่าเศวตศาสตราอันไหนๆ ดูเหมือนว่ามันจะเชื่อมต่อกับเศวตศาสตราอันอื่นๆ ได้ด้วย”

 

มือของเมเดียนขยับ แล้วเขาก็จับเศวตศาสตราก่อนที่เฮเซคียาห์จะทันห้าม

 

“ทำไม...” เฮเซคียาห์เข้าใจว่าบรอธจะต่อต้านการถูกสัมผัส แต่มันนิ่งเฉย

 

“แปลกดีจริงๆ” เมเดียนจับบรอธหมุนไปมา

 

แล้วเขาก็เขย่ามันดู

 

“เฮ้! อย่าทำแบบนั้น มันไม่โอเค” บรอธส่งเสียงประท้วง

 

เมเดียนจ้องบรอธ แล้วเอาเล็บของเขาขูดไปที่ด้านข้างของบรอธจนเกิดเสียงเสียดสีแสบแก้วหู ทำให้เฮเซคียาห์ต้องทำหน้าแหย

 

“เสียงแปลกๆ แฮะ เพราะกว่าอันอื่น” เมเดียนลองขูดอีกสองสามครั้ง

 

“ไร้มารยาท” บรอธคงทนไม่ไหวพุ่งออกจากมือของเมเดียน แล้วมาลอยอยู่ด้านข้างศีรษะของเฮเซคียาห์ “เลวทรามที่สุด เอาเล็บดำๆ นั่นมาถูจนฉันเป็นรอยเลย มันไม่ได้เจ็บหรอกนะ แต่ฉันก็จะไม่ทน”

 

“เสียงไร้อารมณ์ แต่คำพูดนั่นสื่ออารมณ์ดีชะมัด” เมเดียนกะพริบตาถี่ๆ “แบบนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน”

 

“นั่นสิ ผมก็ไม่เคยเห็นเศวตศาสตราของคนอื่นพูดได้ แถมยังบ่นได้ แสดงความรู้สึกได้ เหมือนกับมันมาก่อน”

 

“ไม่มีอันอื่นหรอก ฉันเชื่อแบบนั้นนะ” เมเดียนนิ่วหน้า “ฉันก็ออกจากป่าแห่งนี้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้”

 

“ทำไมคุณถึงยังอยู่ที่นี่ ถ้าคุณออกไปจากที่นี่ได้ตามใจชอบ” เฮเซคียาห์ถามนอกเรื่อง เก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้

 

“เมียฉันอยู่กับฉันที่นี่มานานมากก่อนจะเสียไป เราสร้างบ้านด้วยกัน ฉันแค่พยายามดูแลบ้านที่อยู่กับเธอให้ดี และบางทีพวกหลานๆ ก็มาเยี่ยม”

 

เฮเซคียาห์ถึงบางอ้อ เขาพยักหน้าเนิบๆ

 

“นี่แน่ะ! เศวตศาสตราของเธอทำอะไรได้อีกบ้าง นอกจากพูดคุย” เมเดียนสนใจบรอธมาก จ้องไม่วางตา

 

“ก็ปล่อยกระแสไฟฟ้าได้นิดหน่อย เห็นมันบอกว่าแค่ระดับป้องกันตัว แล้วก็ให้ความรู้เรื่องต่างๆ เทคนิคหรือว่าพวกกลยุทธ์การต่อสู้”

 

“แค่นั้นเหรอ ฉันคิดว่ามันพิเศษกว่านั้น”

 

“อ้อ ก็คล้ายๆ กับที่คุณพูด มันดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับคนอื่น คือมันบอกผมได้ว่าผู้ใช้เศวตศาสตราคนอื่นมีพลังแบบไหน หรืออยู่แถวไหน ดูทีท่าว่าจะเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู” เฮเซคียาห์ยกมือขึ้นจับผมด้านหลังของเขา รู้สึกอึดอัดใจแปลกๆ กับสายตาของอีกฝ่าย

 

“ลองออกคำสั่งกับมันสิ ถามมันว่ามันทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนั้นได้หรือเปล่า ฉันคิดว่ามันยังทำอะไรอย่างอื่นได้อีกเยอะ เพราะรังสีของมันที่แผ่ออกมาที่ฉันมองเห็นอยู่ บอกไว้ก่อนเลยว่ามันมีหลายสีคละกันเต็มไปหมด นี่มันอาจจะแปลงตัวเองเป็นอาวุธหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้นะ”

 

“หืม?” เฮเซคียาห์คาดไม่ถึง เขารีบคาดคั้นบรอธให้บอกเขาถึงความพิเศษทั้งหมดของมัน

 

“ไม่บอก ถ้านายอยากรู้ก็ใช้ฉันต่อไปเรื่อยๆ สิ” บรอธตอบกลับมาอย่างยียวน

 

“ขัดคำสั่งได้ด้วยแฮะ” เมเดียนยื่นมือมาจะจับบรอธอีก แต่ไม่ได้จับ เพราะบรอธบินไปหลบด้านหลังศีรษะของเฮเซคียาห์

 

“เอาละ กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า” เมเดียนกระแอมกระไอ

 

“ครับ คือตกลงว่าชาวมัสตินส่วนใหญ่เข้าใจว่าผมตายไปแล้ว แต่ได้โปรดเชื่อผมเถอะ ผมยังไม่ตาย แต่แค่สูญเสียความเป็นตัวเองไปอย่างไม่มีเหตุผลเท่านั้น และกลายมาเป็นผู้ใช้เศวตศาสตราได้ยังไง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน หรือว่าตัวผมถูกใครทำทดลองอะไรใส่ก็ไม่รู้” เฮเซคียาห์พล่ามละล่ำละลัก เขาคิดอย่างมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องช่วยเขา เพราะเห็นแก่ราชินีเอสเธอร์บ้าง

 

แต่เมเดียนยืดกายขึ้นแล้วมองเขาจากมุมบนด้วยส่วนสูงที่มากกว่า สายตาเคร่งขรึม

 

“ฉันคิดว่าเธอคงเป็นคนบ้า พูดจาเพ้อเจ้ออะไรก็ไม่รู้”

 

“ครับ?” เฮเซคียาห์งง

 

“ก็อย่างที่ฉันบอกว่ารัชทายาทเฮเซคียาห์ตายไปแล้ว ฉันเคยได้ยินเมียฉันพูดออกเสียงขณะสื่อสารกับราชินีเอสเธอร์ทางโทรจิต ตอนนี้รัชทายาทควรจะเป็นเฮเซเคียวสิ ถึงจะถูก”

 

“คุณออกไปนอกป่านี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” เฮเซคียาห์ปวดหัวกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอก

 

“ห้าปีก่อนละมั้ง”

 

“อย่างนั้นก็ควรจะรู้ว่า ผมไม่ได้ตาย ผมอยู่มาจนอายุร้อยปีกับครึ่งศตวรรษ”

 

“ฉันไม่ค่อยอยากเชื่อเธอ ฉันเคยได้ยินเมียฉันเล่าให้ฟังว่ารัชทายาทคนก่อนตายไปแล้ว”

 

“คุณลองติดต่อราชินีเอสเธอร์แล้วถามเธอดู” เฮเซคียาห์เสนอวิธีพิสูจน์ตัวตนของเขา

 

“ขอโทษที ฉันกับราชินีเอสเธอร์ไม่ได้คุยกันมานานแล้ว และฉันก็ไม่ค่อยอยากคุยกับเธอ”

 

“คุณมีปัญหาอะไรกับเธอ” เฮเซคียาห์รับรู้ได้ว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ดูอ่อนล้าผิดแปลกแตกต่างจากเมื่อครู่

 

“ไม่ใช่เรื่องของเธอ!” เมเดียนจุ๊ปาก แล้วเขาก็ปรับสีหน้าให้จริงจัง “ฉันจะช่วยเทเลพอร์ตเธอไปที่เมือง แล้วเธอก็หาทางไปต่อเอง ดีไหม

 

“ผมต้องไปหาราชินีเอสเธอร์เท่านั้น”

 

“เธอเป็นผู้ใช้เศวตศาสตรา เธอน่าจะอยากฆ่าราชินีเอสเธอร์” เมเดียนพูดเองเออเอง “ฉันมีเหตุผลที่ไม่คุยกับราชินีเอสเธอร์มาหลายร้อยปีแล้ว แต่ฉันไม่เคยเกลียดเธอหรืออยากให้เธอตาย ฉันเห็นว่าเธอเป็นภัยกับราชินีเอสเธอร์ ฉันจะไม่ช่วยเธอให้เข้าถึงตัวราชินี”

 

“คุณเป็นอะไรกับราชินีกันแน่” เฮเซคียาห์จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก

 

และจู่ๆ บรอธก็ลอยออกมาอยู่ด้านหน้าของเขา

 

“อัลฟ่าแห่งการเดินทาง ข้อมูลที่ถูกลบออกจากฐานระบบของชาวมัสติน แต่อยู่ในความทรงจำของราชินีเอสเธอร์และชาวมัสตินบางคน เขาเป็นตัวละครในนิทานท้องถิ่นของมนุษย์บางพื้นที่ เขามีพลังในการเดินทางระหว่างดวงดาวตั้งแต่กำเนิด ถูกสร้างมาเพื่อการนั้น เป็นผู้คิดค้นระบบเทเลพอร์ตที่ชาวมัสตินใช้อยู่ในปัจจุบันร่วมกันกับภรรยา เอเทรัส สมุหบรรณารักษ์คนก่อน ผู้เป็นเพื่อนสนิทของชีล่า สมุหบรรณารักษ์คนปัจจุบัน” บรอธให้ข้อมูลฉอดๆ “จากนิทานท้องถิ่นของมนุษย์ ว่ากันว่า เอเทรัสป่วยจากการตั้งครรภ์กับอัลฟ่าแห่งการเดินทาง เธอคิดค้นวิธีการที่ทำให้ตัวเองตั้งครรภ์กับมนุษย์กลายพันธุ์ได้ซึ่งการตั้งครรภ์หนึ่งหนทำให้เธออายุสั้นลงไปเป็นร้อยปี แต่เธอให้ราชินีเอสเธอร์ปกปิดเรื่องนี้ไว้จากอัลฟ่าแห่งการเดินทาง และเมื่อคลอดลูกคนสุดท้ายได้หนึ่งปี เวลาของเธอก็หมดลง”

 

“หุบปาก!” เมเดียนยกมือขึ้นจะฉวยคว้าบรอธไว้

 

บรอธหลบจากมือของเมเดียน

 

“โอ๊ะ! ปล่อยนะ” มันหลบไม่พ้น

 

เมเดียนใช้วิธีการหายตัวตามและตะครุบบรอธไว้ในมือได้ทันด้วยท่าทีราวกับคนที่ตะครุบยุงได้หลังจากที่มันบินหวี่ๆ ให้รำคาญมานาน

 

“เรื่องพวกนี้ยังเล่ากันอยู่อีกเหรอ มันทำให้ฉันรู้สึกผิดทุกครั้งที่ได้ยิน” เมเดียนกำบรอธเสียแน่น

 

เฮเซคียาห์เห็นกระแสไฟฟ้าแลบออกมาจากตัวบรอธ

 

“ไอ้ไฟฟ้ากระจอกนั่น มันทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะ” เมเดียนยกบรอธเข้ามาใกล้ๆ ใบหน้า

 

บรอธพยายามหนีออกไปจากมือของเมเดียน

 

เมเดียนทำเสียงเฮอะในลำคอ ก่อนจะขว้างบรอธลงไปที่พื้นด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล ทำเอาพื้นตรงที่บรอธตกลงไปกลายเป็นหลุมที่บรอธถูกทิ้งให้แน่นิ่งอยู่

 

“ไหนๆ มันก็พูดได้แล้ว สั่งสอนให้มีมารยาทหน่อยนะ” เมเดียนกระทืบเท้าลงไปในหลุมอย่างแรง

 

เฮเซคียาห์ตกใจ เขาขยับเข้าหาอีกฝ่าย ยื่นมือไปจะดึงให้ออกห่างหลุม

 

“เฮ้! นั่นนายจะทำอะไรอัลฟ่าแห่งการเดินทาง ถอยออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้มัสตินชั่วช้า”

 

เสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากทางด้านหลังของเขา

 

เฮเซคียาห์ที่จับแขนของเมเดียนข้างหนึ่งไว้เอี้ยวศีรษะไปมองในทันที

 

“อุ๊ก!”

 

เฮเซคียาห์ร้องได้แค่นั้น เขาลงไปนั่งเข่าอ่อนอยู่ที่พื้น ตัวชาไปหมด ความรู้สึกเดียวกับเวลาที่โดนบรอธช็อตไฟฟ้าใส่

 

คนที่เป็นเจ้าของเสียงแหลม มีรูปร่างสะโอดสะอง เธอวิ่งโร่เข้ามาและกระโดดถีบเฮเซคียาห์ที่นั่งอยู่แล้วให้หัวทิ่ม ตัวล้มลงไปนอนตะแคงกับพื้น แล้วเธอก็ประทุษร้ายเฮเซคียาห์อย่างต่อเนื่อง กระทืบเท้าลงมาใส่ชายโครงของเขาอีก

 

“อย่ามายุ่งกับเขาย่ะ! ฉันมีธุระกับเขา” เธอสะพายกีต้าร์ไฟฟ้าคล้องคอ มือจับบรรเลงเล่นมันอยู่ แต่ไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยิน เท้าของเธอขยี้ลงมาอีก

 

เฮเซคียาห์หนีไม่ได้เลย เขารู้สึกเหมือนตามเนื้อตัวถูกตรึงไว้ด้วยเอ็นที่มองไม่เห็น ได้แต่นอนให้คนแปลกหน้าลงมือทำร้ายร่างกายอย่างเดียว

 

“ตายซะเถอะ” เสียงของเธอแหลมจนแสบแก้วหู

 

เฮเซคียาห์เบิกตา แขนขาของเขาราวกับเป็นอัมพาต เขาไม่รู้สึกถึงมัน และขยับกายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

“เดี๋ยวก่อน...” เมเดียนผลักผู้หญิงที่กำลังจะฆ่าเฮเซคียาห์อย่างแรง ช่วยเหลือเฮเซคียาห์ให้ได้หายใจคล่องขึ้น

 

เฮเซคียาห์ค่อยๆ รับรู้ว่าความรู้สึกบนแขนและขาของเขากลับมาเป็นปกติ เขาลุกขึ้นนั่งและไอค๊อกแค๊ก ก่อนจะยกมือขึ้นลูบอกป้อยๆ

 

“นี่มันมนุษย์นะแม่หนูน้อย เธอจะฆ่าพวกเดียวกันเองทำไม” เมเดียนกล่าวให้ผู้มาเยือนฉุกใจคิด

 

หญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งดูคุ้นหนาคุ้นตาชอบกล ชะงัก และเพ่งสายตามามองเฮเซคียาห์ แล้วเธอก็ค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งยอง เอามือสองข้างที่กำไว้รองใต้คาง เพ่งมองพิจารณาเฮเซคียาห์ในระยะประชิด

 

“อุ๊ย! ไม่ใช่เหรอ” เธอแสดงท่าทีตกใจออกมาในอีกอึดใจต่อมา

 

เฮเซคียาห์มองหน้าเธออย่างเคืองๆ มือยังลูบไปบนอกของตัวเอง

 

“เหมือนนะ” มือของสาวน้อยยื่นมาลูบผมเขาโดยไม่ขออนุญาตก่อน “แฟชั่นแบบนี้ไม่ควรทำนะ มัสตินน่ารังเกียจ อย่าไปเลียนแบบมัน”

 

“ขอโทษทีเถอะ แล้วเธอเป็นใครกันน่ะฮ๊า” เฮเซคียาห์เค้นเสียงพูดออกมาได้

 

เขายังจุกไม่หาย

 

หญิงสาวตรงหน้าลุกขึ้นและกระโดดถอยออกไปจากตัวเขา เธอหมุนตัวหนึ่งรอบ และหยุดวางท่าราวกับนางแบบ แนะนำตัวเองพร้อมกับเผยรอยยิ้มหวานด้วยความมั่นใจต่อหน้าเขา

 

ซาแมนต้า วีส นักร้องเศวตศาสตราที่จะมาเขย่าหัวใจของทุกคนค่ะ” เธอผายมือสองข้างออกเมื่อพูดจบ

 

กีต้าร์ไฟฟ้าของเธอที่ห้อยคล้องคออยู่แปรเปลี่ยนกลับสู่รูปลักษณ์ดั่งเดิมคือกล่องสีเหลี่ยมสีขาว มันลอยค้างอยู่ด้านหน้าของซาแมนต้าเพียงชั่ววินาที ก่อนจะเปล่งแสงเรืองรอง พุ่งขึ้นสวนแรงโน้มถ่วงไปตกบนเส้นผมของซาแมนต้า รูปลักษณ์ของมันแปรเปลี่ยนเป็นกิ๊บติดผมสีขาว ที่ถ้าไม่บอก ก็ยากจะเดาได้ว่า ที่แท้มันก็คือเศวตศาสตราเช่นเดียวกัน

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด