ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2 เด็กชายในคืนจันทร์สีเลือด

ตอนที่ 1 สัญญาทาส


 

บทนำ

 

นี่คือเรื่องราวของมารร้ายผู้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เขาคือต้นเหตุของสงครามที่ทำให้ ‘โลกใบนี้’ เป็นดังทุกวันนี้

เสวี่ยหงเยว่ มารร้ายผู้ละโมบ เป็นเรื่องเล่าสืบมาจากคนยุคก่อน ตำนานที่กลายเป็นเรื่องเล่าในวงสนทนา ก่อนพัฒนากลายเป็นการระบุลายลักษณ์อักษร เป็นรูปเล่มของตำนานสงครามของวิเศษอันยิ่งใหญ่ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์หน้าสำคัญบน 'โลกใบนี้'

ตำนานทีบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ การเสียสละของเหล่าบรรพชนวีรบุรุษผู้ซึ่งเอาตัวเข้าแลกเพื่อกำจัดมารร้าย

มารร้ายผู้ทำลายทุกอย่างบนโลกด้วยความละโมบต้องการที่จะขึ้นเป็นเจ้าของโลกใบนี้

และความเชื่อเรื่องธรรมะที่ย่อมชนะอธรรมในบทสุดท้าย

แต่หากเมื่อมองไปยังมุมกลับของเรื่องเล่าแล้ว จะพบเจอบางจุดที่ทำให้รู้สึกขัดแย้งลึกๆ อย่างในใจ ผู้มีชีวิตย่อมสามารถเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ได้ไม่ใช่หรือ คนตายไปแล้วไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากโต้แย้งได้เสียหน่อย

ก็ทำให้นึกอยากรู้ และสงสัย เกี่ยวกับความจริงของตำนานประวัติศาสตร์นี้

ว่าแท้จริงแล้ววีรบุรุษเหล่านั้นยิ่งใหญ่จริงหรือไม่

และ...มารร้ายผู้นั้น ร้ายดังตำนานกล่าวขานจริงๆ หรือ?

 

“หงเกอ น้องอยากกินพุทราเชื่อมจัง”

“อ่ะ...ได้สิ”

“หงเกอ น้องเมื่อยแล้ว”

“นั่งหลังม้าไหม เดี๋ยวข้าจูงม้าให้?”

และนั่นคือบทสนทนาระหว่าง ‘วีรบุรุษ’ กับ ‘มารร้าย’ ที่มีชะตากรรมต้องฆ่าฟันกันในอนาคตอันใกล้นี้

ทำไมช่างแสนสงบสุขอย่างนี้กันล่ะ ตามบทแล้วตัวร้ายกับพระเอกมันไม่ควรจะสนิทกันแบบนี้หรือเปล่านะ

เสวี่ยหงเยว่ผู้นั้นได้แต่ลอบคิดเช่นนี้ในใจ หากแต่เมื่อมองใบหน้าใสซื่อของเด็กชายผู้อนาคตจะเป็นผู้ลงดาบสังหารเขาแล้วนั้น…

ในหัวก็ลืมทุกอย่างทันที

เกิดใหม่ในโลกแฟนตาซีจีนโบราณทั้งทีแต่ดันเกิดเป็นตัวร้ายที่ต้องโดนพระเอกฆ่าตายตอนจบ แต่พระเอกดันเป็นเด็กดีที่โคตรน่ารักจะทำยังไงดีครับ น่ารักมากจนแทบยอมศิโรราบพุ่งไปให้เขาแทงเลยครับ เรียกสติผมทีครับ ตบหน้าผมก็ได้ครับ บอกให้ผมใจเย็นทีครับ

พุ่งไปให้เขาแทงตายตอนนี้เลยได้ไหมนะ ก่อนน้องหนูที่น่ารักนี่จะโต ถ้าตอนเป็นเด็กนี่ยอมสละชีพให้เลยนะ

โอ้ อะไรนะไม่ได้เหรอครับ บ้าเอ้ยยย!!!

ตอนที่ 1 สัญญาทาส

                                                                                        

เปลวไฟสุมขึ้นสูงลุกลามอย่างรวดเร็วจนห่อหุ่มตัวรถยนต์ที่สภาพยับเยินราวกับกระดาษก้อน แม้แต่ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็ไม่อาจช่วยดับได้ บริเวณใกล้รถคันนั้นมีร่องรอยการหักโค่นของต้นไม้บ่งบอว่ามันได้ลื่นไถลมาจากทางใดและ เมื่อมองเลยขึ้นไป พ้นแนวไม้ ขึ้นไปยังภูเขาที่ถูกตัดสร้างถนน จะพบกับเศษรั้วกั้นถนนที่พังจากการถูกชนอย่างรุนแรง

เกิดอุบัติเหตุทำให้รถลื่นตกเขาลงมากระแทกจนเสียหาย อีกทั้งยังเคราะห์ซ้ำน้ำมันรั่วจึงได้มีสภาพระเบิดไฟไหม้ท่วมเช่นนี้

นอกจากสภาพไม่น่ามองแล้วที่น่าเศร้ากว่าคือคนขับยังติดอยู่ด้านใน ทำให้ตายในทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยใดๆ

ไอควันขาวจากเครื่องยนต์ที่ติดไฟลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้คนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นค่อยๆ เอื้อมมือลองไปอังไอร้อนจากไฟ แต่เขาก็ชะงักลง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มปิดลงตั้งสติให้ตัวเองตั้งใจกับอะไรบางอย่าง เขาเค้นความรู้สึกที่ควรจะมีให้กลับมา

เขาต้องการที่จะสัมผัสความร้อนจากควันนั้นแต่กลับไม่รับรู้ถึงมัน ทั้งกลิ่นของน้ำมันเบนซิน ทั้งความเจ็บปวดจากบาดแผลที่มีบนร่าง เขาไม่รู้สึกถึงมันเลย แม้เพียงสักนิดก็ไม่มี

ทุกอย่างดูว่างเปล่า ไม่สามารถจับต้องหรือรับรู้สิ่งใดๆ ได้อีก

นึกตกใจอยู่สักพักจึงมีสติ รับรู้ และเข้าใจว่าตนคงไม่รู้สึกอะไรได้อีกแล้ว ในเมื่อคนที่ตายในรถก็คือเขา…

เขาที่ตอนนี้กลายเป็นวิญญาณกำลังยืนมองร่างของตัวเอง

ทันใดนั้นก็เกิดการระเบิดขึ้นอีกครั้ง และทำให้รถรวมถึงเจ้าของรถที่ยังติดอยู่ด้านในได้มอดไหม้ไปตามแรงระเบิดนั้นเช่นกัน

เขา... สมจิตร สุวรรณกร ได้หายไปจากโลกใบนี้ตลอดกาล

 

 

“นายสมจิตร สุวรรณกร เป็นบุตรชายคนแรกของนายสมพงศ์ สุวรรณกร และนาง จิตรสุดา สุวรรณกร พื้นเพเป็นคนเชียงใหม่ อำเภอแม่อาย หากแต่ได้เติบโตในกรุงเทพเนื่องด้วยงานของพ่อกับแม่ที่เป็นข้าราชการ นานๆ ครั้งจึงได้กลับบ้านที่เชียงใหม่ ตั้งแต่เด็กจนโต เขาเป็นคนนิสัยดีเป็นที่รักของคนในครอบครัวและเพื่อนฝูงจากความมีน้ำใจ อีกทั้งยังเรียนได้ดีมาตลอดด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือ

ประวัติการศึกษา นายสมจิตร สุวรรณกร เนื่องด้วยความสามารถในการศึกษาจึงได้รับทุนค่าศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมปลายในโรงเรียนเอกชนชื่อดัง และจบระดับมหาวิทยาลัยด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก

เมื่อถึงวัยทำงาน เขาเรียนจบและได้เข้าทำงานฝ่ายขายให้กับบริษัทผลิตเครื่องจักรอุตสหกรรมชื่อดังแห่งหนึ่ง ขยันขันแข็งจนสามารถสร้างยอดขายได้เป็นอันดับหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง เป็นบุคคลผู้เหน็ดเหนื่อยทำงานอย่างหนักเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรโดยแท้จริง

นายสมจิตร สุวรรณกร เป็นคนใฝ่เรียนรู้ ขยันหมั่นเพียร ชอบการอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้เขาเป็นผู้มีความฉลาดรอบรู้ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ และอารีต่อครอบครัว พี่น้อง และเพื่อนฝูง ตลอดระยะเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงทำให้เป็นที่รักต่อคนรอบกาย

ในคำคืนที่เกิดพายุฝนอย่างหนัก เป็นเหตุให้ นายสมจิตร สุวรรณกร ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ณ. ทางขึ้นเขาจังหวัดเชียงใหม่ และได้จากไปอย่างสงบ สิริอายุรวมได้สามสิบสองปีเจ็ดเดือน สร้างความเศร้าโศกเสียใจ ให้กับ บิดา มารดา ครอบครัว และเพื่อนฝูงเป็นอย่างมาก...”

โอ้โห พ่อเจ้าประคุณ พ่อคนเพอร์เฟ็ค ถามจริงเถอะ ประวัติไอ้หมอนี่ มันประวัติใครกันเนี่ย

สิ่งที่กำลังกล่าวประกาศออกลำโพงวัดจนดังก้องไปสามบ้านแปดบ้านอยู่นั้นคือบทคำอาลัยผู้เสียชีวิตก่อนพิธีฌาปนกิจของนายสมจิตร สุวรรณกร เป็นคำไว้อาลัยที่น่าประทับใจไปพร้อมกับทำให้คนๆ หนึ่งรู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี สวนกระแสความเศร้าของงานศพนี้เป็นอย่างมาก

เพราะคนที่ถูกกล่าวอาลัยถึงก็มายืนฟังอยู่ด้วย สมจิตร สุวรรณกร ที่ว่าก็อยู่ในวัดนี้ในสถานะของวิญญาณและรู้สึกกระดากใจอายในสิ่งที่ได้ยินเพราะมันเป็นเรื่องของตัวเอง

ถึงมันจะยืนพื้นฐานจากความจริง แต่ก็มีปั้นข้อมูลซะเยอะ เขาเข้าใจดีว่างานศพไหนๆ ก็อยากจะให้ผู้ตายนั้นดูดีทั้งนั้น

แต่นี่มันก็ดีเกินไปชนิดที่คนตายมาได้ยินคงจะต้องมีอายกันบ้างแหละ เพราะว่าประวัติจริงตัวเองมันไม่ได้ดีเด่นอะไรขนาดนั้น

อย่างน้อยก็เรื่องทำงานนั่นไง คนอย่างเขาน่ะหรือจะตั้งใจทำงานเพื่อบริษัท

ลองคิดดูสิคนเราน่ะมันมีแรงบัลดาลใจในการทำงานอะไรได้บ้างนอกจากหาเงินมาซื้อของที่อยากได้

แต่ถ้าพูดให้จริงใจหน่อยก็…ผมมีกิเลสและหนี้สินเป็นแรงผลักดันความขยันครับ

สมจิตรจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนดีอะไรอย่างที่เสียงตามสายประกาศเลยสักนิด

“เฮ้อ…” เสียงถอนหายใจที่ตามมาด้วยอาการกุมหน้าเครียด สมจิตรไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่งฟังกล่าวไว้อาลัยในงานศพตัวเองแต่นับจากวันที่เขาตายก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วจากที่เคยทำใจไม่ได้ก็ชักจะชินกับการเป็นผี

และรู้ว่าการเป็นผีนี่มันไม่มีอะไรให้ทำเอาเสียเลย

โลกหลังความตายแตกต่างจากการฟังเรื่องผีตามวิทยุลิบลับ เขาตายมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เจอผีตนอื่นสักตัว ไอ้ตามเก็บรอยท้งรอยเท้าเองก็ไม่เห็นทำ เดินเข้าออกบ้านหรือก็แสนสะดวกสบายราวกับติดบัตรอีซี่พาสไม่เห็นมีเจ้าที่มาห้ามเลยสักตน อุตส่าห์คาดหวังว่าอย่างน้อยถึงตายก็จะหาความบันเทิงจากการเป็นผี กลายเป็นว่าอด

พี่ป๋องหลอกดาว...

สมจิตรเงยขึ้นมาจากการกุมหน้าเครียด มองบรรยากาศงานงานศพของตัวเองแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ

เมรุที่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ แขกเครือที่มากันเต็มงาน พวงหรีดที่วางเรียนรายหลายสิบ พิธียิ่งใหญ่จนไม่อยากนึกถึงงบประมาณการจัดงานถ้าเข้าฝันเป็นก็อยากไปบอกแม่ว่าไม่ต้องเผาหรอกร่างเนื้อของเขาไหม้ไม่เป็นซากตั้งแต่อยู่ในรถแล้วมาทำพิธีอีกเนี่ยรู้สึกเหมือนได้ฌาปนกิจสองรอบเลย

เป็นชีวิตที่คุ้มสุดอะไรสุด...

อา...นี่ประชดนะ

ทั้งที่เคยคิดไว้ดิบดีกว่าถ้าตายจะเผาวัดไหน ทำพิธีกี่วัน ทิ้งมรดกอะไรให้คนในครอบครัวบ้าง แต่ยังไม่ทันทำอะไรก็ต้องมาโดนเผาตายคารถที่ยังผ่อนไม่หมดเนี่ย เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะเศร้าเรื่องอะไรก่อนดี

เรื่องที่ตายก่อนวัยอันควรเนี่ยก็เสียใจอยู่หรอก แต่ที่เสียใจยิ่งกว่าสิ่งไหนสำหรับเขาแล้วก็คงเป็น...

ตายตอนไหนไม่ตายดันตายก่อนถึงงานหนังสือเนี่ยแหละ!

งานมหกรรมหนังสือที่จะรวบรวมหนังสือจากทุกสำนักพิมพ์ มีหนังสือดีๆ จากทั้งไทยและต่างประเทศเต็มไปหมด ตัวเขาที่เป็นหนอนหนังสือนั้นย่อมตั้งตารอคอยงานหนังสือนี้ทุกปี ทั้งหนังสือที่เล็งจะซื้อ ทั้งนิยายแปลเรื่องใหม่ที่รอสอยในงาน เล่มต่อของนิยายที่ติดตามมานาน ไหนจะโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมเฉพาะช่วงอีก

แต่พอตายแบบนี้กลายเป็นว่าเงินเก็บที่ตั้งใจจะไปผลาญในงานหนังสือปีนี้เป็นว่าอดใช้ จะเข้าฝันให้น้องซื้อแล้วเผาส่งมาให้ก็กลัวว่าจะส่งมาไม่ถึง และยิ่งแย่กว่านั้นคือเขาเข้าฝันใครไม่เป็น

ให้อ่านหนังสือล็อตนี้จบแล้วค่อยตายก็ไม่ได้หรือไงกันนะ?

“เธอคือ...สมจิตร สุวรรณกร ใช่ไหม?”

“ครับ”

เสียงเล็กๆ คล้ายกับเด็กน้อยเอ่ยเรียกสมจิตรที่กำลังคิดนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย ทำให้เขาตอบรับทันทีอย่างคนเคยชิน ชายหนุ่มจะสะอึกไปอึกใหญ่เมื่อนึกถึงความจริงข้อหนึ่งขึ้นมาได้

ตูเป็นผีไปแล้วนี่หว่า

เจ้าของเสียงนั้นคือเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีอายุราวสิบปีแต่ไม่น่าจะเกินสิบสองปี มีเส้นผมสีทองดูสว่างเกินธรรมชาติที่คนต่างชาติจะมีได้ เขาหรือไม่ก็เธอมีใบหน้าที่น่ารัก ตัวเล็ก ดูบอบบาง จนทำให้คนรักเด็กเช่นสมจิตร เห็นแล้วรู้สึกเอ็นดูแทบอยากพุ่งเข้าไปลูบหัว

ถ้าไม่พูดประโยคถัดไป

“เราคือยมทูต มารับตัวเธอ”

โอ้...สมาพันธ์ยมทูตสมัยนี้เขาใช้แรงงานเด็กเหรอ

นีคือสิ่งแรกที่เขาคิดออกมาเมื่อสมองประมวลผลเสร็จ สมจิตรอมยิ้มกลั้นขำอยู่แทบตาย เพราะหากเป็นเรื่องจริงโลกแห่งความตายคงไม่มีกฎหมายแรงงานเด็ก เขาย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อลดระยะห่างของเขากับเด็กน้อยที่อ้างตนว่าเป็นยมทูตคนนั้น

“น้องว่าอะไรนะครับ?”

“เราเป็นยมทูต แล้วสมาพันธ์ก็ไม่ได้ใช้แรงงานเด็กหรอก” เด็กน้อยคนนั้นเอ่ย ด้วยรอยยิ้มใสซื่อน่าเอ็นดู

คำพูดที่คล้ายจะตอบคำถามในใจทำให้สมจิตรชะงักไปชั่วครู่ เขากระพริบตาปริบ มองเด็กตัวน้อยอย่างตกใจก็ไม่ใช่เหวอก็ไม่เชิง ตั้งแต่เป็นผีมาเขาก็กึ่งจะทำใจไว้แล้วว่าชีวิตหลังความตายมันอาจจะมีอะไรพีคๆ เกิดขึ้นก็ได้

...แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะพีคขนาดนี้...

แต่เอาเถอะ นิยายบางเรื่องยังมีสาวน้อยโลลิสุดน่ารักเป็นยมทูติได้เลย แล้วถ้าโลกใบนี้จะมีเด็กน้อยน่ารักเป็นยมทูตบ้างก็ไม่เห็นแปลก การปล่อยเบลอแล้วโยนความแปลกประหลาดทุกอย่างในโลกใบนี้ให้กับคำว่า ‘ในนิยายแฟนตาซีก็มีแบบนี้นี่’ มันก็ทำให้ใจสงบได้เหมือนกันนะ

สงบใจได้บ้านเตี่ยสิ ตอนนี้ในใจของเขาลิงโลดไปด้วยความตื่นเต้นไปหมดแล้ว

ยมทูตเด็กน้อยน่ารักแบบในนิยายแฟนตาซี โอ้พระสงฆ์! นี่มันดีมากๆ เลยนะเนี่ย!

"จะมาพาตัวผมไปสินะ?"

เด็กน้อยพยักหน้าก่อนจะเอื้อมมือเล็กๆ ข้างหนึ่งมาจับชายเสื้อของเขา ท่าไม้ตายที่ทำเอาสมจิตรคนใจอ่อนนั้นแทบยวบลงไปกอง

“ใช่ แต่ก่อนหน้านั้น เรามีสิ่งดีๆ บางอย่างมาเสนอให้เธอ ถ้าเธอสนใจจะลองคุยกับเราก่อนไหม?” ยมทูตเอ่ยด้วยคำโปรยที่ใกล้เคียงกับพนักงานขายตรงที่กำลังทำยอด

เมื่อฟังคำจากเด็กชายจบ สมจิตรก็หัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าควรจะขำอะไรก่อนดี ถ้าตอนตายก็ยังโดยขายของชีวิตที่เคยทำงานเป็นเซลส์ เขาคงก่อกรรมทำเข็ญกับลูกค้าเอาไว้มากแน่ๆ

เอาเถอะ ถ้าจะพีคแล้วก็พีคให้สุด เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ายมทูตจะเสนอขายอะไรให้เขา แพ็คเกตทัวร์นรกพร้อมส่วนลดพิเศษจองวันนี้แถมฟรีกะทะทองแดงอะไรแบบนี้หรือเปล่า

“ไปหาที่นั่งคุยกันไหม?” เขาถามซึ่งเด็กชายคนนั้นก็พยักหน้ารับ สมจิตรจึงได้พาไปนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนไม่ไกลจากเมรุที่กำลังทำพิธีอยู่

เมื่อได้ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กชายวาดมือเป็นรูปสี่เหลี่ยนผืนผ้าบนอากาศ สักพักก็มีแฟ้มสีดำปรากฏขึ้นมา มันลอยอยู่ในตำแหน่งที่ถูกวาดสักพักก่อนจะลอยไปหาสมจิตร

“เธอลองเปิดดูสิ”

เมื่อเปิดแฟ้มตามที่เด็กคนนั้นว่าสมจิตรถึงกับเลิกคิ้วสูง สูงมากชนิดที่ถ้าคิ้วมันขึ้นไปถึงโคนผมได้คงทำเพราะสิ่งที่อยู่ในแฟ้มนั้นคือเอกสารที่มีรหัส PO ขึ้นต้น เป็นรหัสที่เขาคุ้นเค๊ย แสนคุ้นเคยเพราะคลุกคลีกับมันมาตลอดระยะเวลาการทำงาน

PO คือ Purchase Order ใบสั่งซื้อ เป็นเอกสารตกลงสัญญาในเชิงพานิชย์ที่ออกโดย ‘ผู้ซื้อ’ ไปยัง ‘ผู้ขาย’ เพื่อสั่งสินค้าหรือบริการนั่นเอง

“ไม่ทราบว่า คุณท่านยมทูตส่งใบ PO มาให้ผมทำไมหรือขอรับ” เสียงละลักละล่ำพูดศัพท์ผิดๆ ถูกๆ จนปากสั่นแทบกัดลิ้น เป็นผีแล้วยังต้องเจอใบ PO หลอกหลอนอีก ชีวิตเขาก็น่าเศร้าเกินไปแล้ว

“อ่านรายละเอียดมันก่อน...” ยมทูตฟุบหน้ากับโต๊ะโดยที่เอาคางเกยกับท่อนแขนของตัวเอง เด็กน้อยเอียงคอลงพร้อมส่งรอยยิ้มที่ทำให้คนรักเด็กเช่นสมจิตรรู้สึกเอ็นดู ถ้าเขาไม่ใช่ผีและไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ล่ะนะ

“ปกติแล้วเราจะไม่ค่อยให้วิญญาณดูรายละเอียดใบคำสั่งซื้อหรอก แต่เคสนี้เป็นกรณีพิเศษน่ะ ผู้ว่าจ้างออเดอร์มาเองกับมือเลยว่าอยากได้อะไร”

สมจิตรไล่สายตาอ่านเอกสารที่ระบุคำสั่งซื้อและออเดอร์ที่ต้องการคือ

‘ดวงวิญญาณชนิดพิเศษ’

เข้าใจได้ทันทีว่าดวงวิญญาณที่ว่านั้นหมายถึงอะไร ศัพท์เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนทั่วไปวิญญาณก็คือผี แล้วผีที่อยู่ตรงนี้ก็มีแค่เขา

สรุปว่าไม่ได้มาขายของ แต่มาขอให้เขาเป็นของไว้ขายว่างั้น?

สมจิตรวางแฟ้มเอกสารลง จับจ้องคนเบื้องหน้าคล้ายการประมวลผลบางอย่างในหัวติดขัด ถึงพอจะเข้าใจแต่ก็สงสัยอยู่ดี

“ยมทูตจะจัดดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตไว้ 2 ประเภท” คล้ายยมทูตจะจับสัญญาณความสงสัยจากสมจิตรได้ เด็กน้อยจึงเงยหน้าขึ้นมาจากการฟุบ ยืดตัวขึ้นนั่งดีๆ ยื่นมือไปหาสมจิตรแล้วชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ประเภทแรกคือสามารถตายและเกิดใหม่บนโลกได้อย่างปกติ กับแบบที่สอง รูปแบบพิเศษอย่างเธอ...”

พูดจบก็หดนิ้วลงมาหนึ่งนิ้วแล้วเอานิ้วอีกหนึ่งที่เหลือชี้มายังสมจิตร

“เป็นวิญญาณที่ไม่สามารถเกิดใหม่บนโลกนี้ได้อีก”

สิ้นคำนั้นสมจิตรรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาดผ่าเข้ามากลางตัว มือชาตั้งแต่หัวยันปลายนิ้ว แผ่นหลังชาวาบแต่ภายในกลับรู้สึกหนาวๆ ร้อน ๆ หากร่างวิญญาณนี้มีเหงื่อไหลออกมาได้ เขาก็มั่นใจได้ว่าตอนนี้มันคงแตกพรากๆ เป็นน้ำตกแน่

อยากจะตัดอารมณ์ด้วยคำว่าดีใจจังเป็นผีแต่ที่ยังมีความรู้สึกอยู่

แต่ตอนนี้เขาไม่ควรตบมุกตัวเองในฉากซีเรียส ถึงจะตบมุกไปแล้วก็เถอะ

“ทำหน้าตกใจเชียว ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นหรอก อ๊ะ! พื้นที่ของเธอมีความเชื่อเรื่องวิญญาณบาปที่เกิดใหม่ไม่ได้สินะ?” เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี และไกวขาไปมา

“...ครับ” สมจิตรตอบเสียงแห้งๆ เพราะจังหวะที่เงียบไปนั้น ดันคิดถึงเรื่องพวกเปรตกับอสุรกายคนบาปที่เคยได้เรียนมาสมัยยังเด็กได้ขึ้นมา

“เธอไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก” ยมทูตหัวเราะคิกคักเสียงใส “บาปหนักสุดของเธอก็แค่ข้อมุสาที่โกหกคุณภาพสินค้ากับลูกค้าเท่านั้นเอง”

สมจิตรกุมอก รู้สึกราวกับเลือดจะพ่นกระฉอกออกปากกับวีรกรรมสมัยยังทำงานเซลส์

เจ็บลึกถึงทรวง

“อ้อ! ดูหนังโป๊ตอนวันพระด้ว--!!”

สมจิตรรีบยกมือปางห้ามญาติใส่ยมทูตทันทีโดยไม่ต้องรอให้พูดจบ แม้เขาจะไม่มั่นใจในเรื่องอายุที่แท้จริงของคนตรงหน้า แต่การที่ได้ยินวีรกรรมการดูหนังโป๊ของตัวเองออกจากปากเด็กแบบนี้ มันทำให้รู้สึกผิดราวกับโดนไฟนรกสุมเลยทีเดียว

“โอเค ผมรู้แล้ว เพราะงั้นหยุดพูดถึงมันเถอะนะ” รีบตัดจบเพราะรู้สึกเหมือนโดนแฉวีรกรรมน่าอายอย่างบอกไม่ถูก “เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ สาเหตุที่เธอมาหาผมแบบนี้น่ะ”

ยมทูตเป่าปากส่งเสียงบู่ๆ ราวกับเด็กโดนขัดใจ มือเล็กตบแก้มตัวเองเบาๆ สองสามที คล้ายเป็นเรียกสติปรับโหมดตัวเองให้จริงจัง

สมจิตรกลืมน้ำลายอึกใหญ่ เมื่อสายตาของคนที่อยู่ตรงหน้าตนนั้นดูจริงจังขึ้นกว่าเดิม

“เธอน่ะ…สนใจที่จะไปเกิดใหม่ที่โลกต่างมิติไหม?”

“วอท…!?”

รู้สึกคล้ายกับคำพูดที่ยมทูตกล่าวนั้นลอยวนในหัว เป็นเสียงสะท้อนเล่นซ้ำไปซ้ำมาราวกับเปิดวิทยุอัดเสียง สติที่มีหรือก็แทบจะหายไป ราวกับตอนนี้เขาโดนจับเหวี่ยงหมุนคว้างกลางอากาศ...มันยิ่งกว่าตอนที่เขาขับรถกลิ้งตกเขาตายเสียอีก

พอวางใจ คิดว่าคงจะไม่มีอะไรที่พีคไปมากกว่านี้อีกแล้ว ความพีคมันก็ดันเพิ่มเลเวลขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างกับกราฟหุ้นพุ่งเลยเห้ย!!

“ผมเนี่ยนะจะได้ไปเกิดใหม่ต่างโลก!” สมจิตรตะโกนเสียงดังลั่น นึกขอบใจที่ตัวเองตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นคงโดนมองว่าเป็นคนบาปแหกปากแข่งกับเสียงพระประกาศออกลำโพง

ความสับสนได้แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น ดีใจ...ดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมาเต้นแซมบ้าบนโต๊ะม้าหินอ่อนแต่ติดตรงที่เขาเต้นแซมบ้าไม่เป็น

กับคนที่ชอบอ่านนิยายแปลเช่นเขา สมจิตรย่อมรู้ดีกว่าช่วงนี้นิยายแนวใดหรือเนื้อเรื่องอะไรกำลังเป็นที่นิยม

ตอนนี้ไม่ว่านิยายจากญี่ปุ่น จีน ประเทศต่างๆ หรือแม้แต่ในไทย นิยมเนื้อเรื่องที่ตัวเอกตายจากโลกเก่าไปเกิดใหม่ต่างโลกให้เห็นกัน ไม่ใช่แค่แบบรูปเล่มวางแผงตามร้าน ในเว็บนิยายออนไลน์เองก็ด้วย ต้องมีนิยายที่อิงโครงสร้างนี้โผล่มาให้เห็นสักเรื่องหรือสองเรื่อง

เกิดใหม่ในโลกแฟนตาซี เกิดใหม่ในโลกของการ์ตูน เกิดใหม่ในโลกของเกม มีให้เลือกหลายแนวตั้งแต่ผจญภัย ดราม่า โรแมนติก คอมเมดี้ การละทิ้งชีวิตเดิมอันน่าเบื่อหน่ายเพื่อได้เริ่มต้นใหม่ผจญภัยในโลกอันมหัศจรรย์ ได้พบกับสิ่งใหม่น่าตื่นตาตื่นใจ มิตรภาพกับคณะเดินทาง หรือแม้แต่การมีฮาเร็มคนรุมรัก

ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเขา! แค่คิดถึงก็รู้สึกสนุกแล้ว!

“ไปครับ!” ตอบรับทันที่ก่อนที่ตัวเองจะฟุ้งฝันไปมากกว่านี้ ถ้าหัวใจเต้นได้มันคงเต้นดังตุบๆ จนเสียงดังขึ้นมาถึงหูแน่ๆ

ยมทูตหัวเราะเสียงใส ท่าทางคล้ายจะเอ็นดูความร่าเริงลิงโลดของสมจิตร เด็กน้อยดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้งเพื่อเรียกปากกาออกมา เปิดเอกสารหน้าหนึ่งของแฟ้มแล้วยื่นให้กับสมจิตร

“ถ้างั้นเธอก็เซ็นเอกสารสัญญาตรงนี้ได้เลย”

“ครับ!” หัวเราะอารมณ์ดีพร้อมเซ็นสัญญาเรียบร้อย

แต่สมจิตรดีใจได้เพียงไม่นาน ความโชคดีในความโชคร้ายก็กลับกลายเป็นอภิมหาโชคร้ายเมื่อเขาได้อ่านสัญญาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

1.ท่านต้องไปเกิดใหม่ในโลกของนวนิยายที่มีลักษณะเรื่องแนวแฟนตาซีจีนโบราณ เป็นตัวร้ายชื่อเสวี่ยหงเยว่ จอมมารผู้ต้องรวบรวมสมบัติทั้งสามเพื่อครอบครองพลังลึกลับอันยิ่งใหญ่

2. ท่านสามารถเรียนรู้และสร้างสรรค์การแสดงบทบาทได้อย่างอิสระในโลกใหม่ของท่าน โดยทางเราจะมอบความสามารถที่เหมาะสมกับบทบาทติดตัวก่อนท่านไปเกิด
3. เนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทางเราจะมีเนื้อหาบังคับที่ท่านห้ามฝ่าฝืน กรุณาอย่าทำผิดเส้นเรื่องที่ได้วางไว้
4. ท่านต้องดำเนินบทบาทตัวร้ายของท่านให้จบเรื่องนั่นคือการถูกพระเอกสังหารและไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใดก็ตามห้ามเปลี่ยนเนื้อเรื่องเพื่อเอาชีวิตรอดเด็ดขาด
5. หากมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสัญญาทางเรามีสิทธิ์จะเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ท่านรับทราบ

“หะ…?” มือถือเอกสารค้างไว้แล้วมองเจ้ายมทูตน้อยที่ผิวปากวิ้ว เสตาหลบไปทางอื่น

เล่นเอาสมจิตรถึงกับมือสั่น สองข้อแรกไม่เท่าไรหรอก นิยายเกิดใหม่เป็นตัวร้ายมีเยอะแยะออกถมไป บางเรื่องนางเอกเกิดเป็นตัวร้ายเกมจีบหนุ่มได้ดิบได้ดีจบแฮบปี้ แต่งงานกับพระเอกก็มี

แต่ไอ้หลัง ๆ นี่น่ะสิ

ท่านจะต้องดำเนินเนื้อเรื่องของท่านให้จบเรื่องนันคือการถูกพระเอกสังหารและไม่ว่าจะเกิดเหตุอันใดก็ตามห้ามเปลี่ยนเนื้อเรื่องเพื่อเอาชีวิตรอดเด็ดขาด

ถูกพระเอกสังหารและห้ามเปลี่ยนเนื้อเรื่องเพื่อเอาชีวิตรอด...

ถูกพระเอกสังหาร…

สัง...หาร...

“ผมต้องตายเหรอ!” ร้องออกมาพร้อมยืดตัวขึ้นยืนตรง ต้องตายไม่ว่า โดนสั่งห้ามไม่ให้หนีความตายอีกต่างหาก นั่นก็ไม่ต่างจากการที่เขาต้องทำตัววอนหาเรื่องไม่ใช่หรือ

อะไรคือการเกิดใหม่เพื่อวิ่งไปหาความตายกันเนี่ย

“ช่วยไม่ได้น่ะ กฏห้ามหนีความตายเป็นกฏใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาในเคสเธอพอดีเพราะทางสำนักงานเราโดนท้วงจากโลกต่างมิติหลายที่แล้วว่าตัวร้ายที่ส่งไปให้ หาทางหนีความตายแล้วสร้างฮาเร็มแย่งงานพระเอกนางเอกกันไปหมด ถ้าให้เธอทำแบบนั้นอีกคนสำนักงานของเราก็เสียชื่อหมด”

เรื่องที่ยมทูตว่ามาเมื่อครู่ คนที่เป็นเซลส์อย่างเขาย่อมเข้าใจดี การโดนลูกค้าต่อว่าสินค้านั้นมันอึดอัด ลำบากใจและชวนหงุดหงิดมากเพียงใด หากหาทางป้องกันการท้วงติงได้ก็ต้องทำเพื่อรักษาชื่อเสียงขององค์กรไว้

แล้วทำไมหวยมันมาลงที่ตูล่ะ

“เย็นไว้ก่อน เราไม่ได้ห้ามสร้างฮาเร็มหรือจำกัดสิทธิ์การใช้ชีวิตหรอกแค่ขอให้เธอเล่นตามบทกับตายตอนจบเท่านั้นเอง” ยมทูตกล่าวเท้าคางมองตาแป๋วแล้วส่งรอยยิ้มใสๆ ที่คงจะดูน่ารักมากหากไม่ใช่เวลานี้ ที่สมจิตรเพิ่งโดนหลอกให้เซ็นสัญญา

แถมที่พูดนั่นไม่ได้ช่วยให้ใจชื้นสักนิดเลยเห้ย!

“เราไม่ได้หลอกเธอเซ็นนะ เธอเซ็นเอง ไม่ยอมอ่านสัญญาก่อน”

เถียงไม่ออกเลย

“เธอน่ะเป็นวิญญาณที่เกิดใหม่ในโลกนี้ไม่ได้นะ เพราะงั้น รับข้อเสนอเราเถอะ” ยมทูตว่า เอื้อมมือจนสุดแขนเพื่อลูบผมปลอบสมจิตรที่กำลังหน้าเสีย “หากเธอไม่ยอมรับบทนี้ เราต้องให้เธอไปเกิดในสถานะอื่นอยู่ดีนะ อืม...มีสล็อตสไลม์โลกแฟนตาซีว่างอยู่นะ”

“สไลม์พระเอก?” สมจิตรถามด้วยสายตาที่มีความหวัง อย่างน้อยนิยายที่เขาเคยอ่านก็มีตัวเอกไปเกิดเป็นมอนเตอร์บ้างละนะ

“สไลม์ให้พระเอกตีเก็บเลเวลน่ะ”

มีทางเลือกอะไรให้เลือกได้อีกบ้างไหมเนี่ย!!

สมจิตรกุมขมับเครียด เกิดใหม่โลกเดิมก็ทำไม่ได้ สัญญาก็เซ็นไปแล้วด้วย เขาต้องเลือก ระหว่างการเป็นสไลม์กากๆ ให้พระเอกฆ่าเพิ่มประสบการณ์กับตัวร้ายที่ต้องโดนพระเอกฆ่าตาย ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนบทสุดท้ายก็จบที่ตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ

“เธอลองคิดดูนะ ระหว่างสไลม์ที่มีชีวิตได้นานสุดแค่หนึ่งสัปดาห์ กับการเป็นตัวร้ายที่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวกว่าสไลม์อย่างน้อยก็สามสิบกว่าปี” ยมทูตพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงคล้ายจะหว่านล้อมผสมกับต้องการให้ช่วย

“เพื่อยอดขายเหรอครับ?” สมจิตรเงยหน้าจากการกุมขมับมามองเจ้าตัวเล็ก

“ใช่ ส่วนแบ่งบทตัวร้ายมันสูงกว่าบทสไลม์”

ว่าแล้วเชียว…

ถอนหายใจออกมาเบาๆ สมจิตรคลายอาการหัวร้อนลงมาบ้างแล้วเพราะรู้สึกว่ามันจริงอย่างที่ยมทูตบอก อย่างน้อยๆ เป็นตัวร้าย ก็ยังยืดชีวิตในโลกหน้าของตัวเองได้นานกว่า ปลดล็อคค่าประสบการณ์การตายมาแล้วครั้งหนึ่งจะไปตายอีกครั้งที่ต่างโลก…มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรกับเขาแล้ว

“ก็ได้ครับ”

เมื่อได้ยินคำตอบตกลงของสมจิตรยมทูตก็ยิ้มร่าเริงราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นชิ้นโปรด

“แต่ผมมีคำถาม…” ถึงจะเลี่ยงอะไรไม่ได้แล้ว แต่มันก็ยังคาใจอยู่ดี ยมทูตตัวน้อยเลิกคิ้ว เขาพยักหน้าคล้ายจะบอกอนุญาตให้ถามได้ “ถ้าผมไม่ยอมตายตามบท จะเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”

พอพูดถึงตรงนั้นยมทูตก็ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที

“ดวงวิญญาณเธอจะได้รับบทลงโทษหากเธอไม่สามารถทำตามสิ่งที่ระบุในสัญญาได้”

“บทลงโทษที่ว่านั่น…คืออะไรเหรอครับ?”

“อะไรบางอย่างที่แย่กว่าตาย…” ยมทูตเงยหน้ามองเขา ดวงตาคู่กลมโตนั้นแสดงอาการวิตกบางอย่าง “เราไม่ห้ามเธอฝืนสัญญาแต่เราไม่แนะนำให้ทำ มันจะมีผลกระทบร้ายแรงกับดวงวิญญาณของเธอ”

ยมทูตเคยส่งไปเกิดต่างโลกคนมามาก เห็นถึงจุดจบของคนมาเยอะและเขาเองก็ไม่อยากให้มีจุดจบที่ย่ำแย่เกิดกับดวงวิญญานที่ตนต้องรับผิดชอบ

“หากเธอไม่แสดงตามบทบาทหรือทำผิดกฏข้อร้ายแรงเธอตายจากโลกใบนั้นทันที และจะถูกจัดเข้าสู่หมวดดวงวิญญาณที่ใช้งานไม่ได้” เขาเงียบลง “วิญญาณของเธอจะไม่มีวันได้เกิดที่ใดอีกเลย”

แม้จะดูใจร้ายแต่สำหรับยมทูตแล้วดวงวิญญาณชนิดพิเศษในโลกนี้นั้นไม่ต่างจากสินค้าให้กับโลกต่างมิติ ดวงวิญญาณที่ทำผิดสัญญาจะเป็นของมีตำหนิและของที่ใช้งานไม่ได้ก็จะต้องถูกทำลาย…นั่นแหละคือความโหดร้ายของงานยมทูต

เขามองใบหน้าของสมจิตร เห็นถึงความตกใจและหวาดวิตกอยู่ในแววตาแล้วก็ได้แต่สงสาร

“หากเธอทำหน้าที่ได้ดี ตามตามบท เราสัญญาว่าเมื่อถึงเวลาที่เรามารับเธออีกครั้ง เราจะนำเธอไปส่งยังโลกและบทบาทที่เธอต้องการ” ยมทูตว่า ส่วนสมจิตรก็ได้แต่ถอนหายใจยาว รู้สึกเหมือนไม่ต่างจากโดนตบหัวแล้วลูบหลัง โดนยิงซ้ำแต่ก็ต้องยิ้มหน้าชื่นรับเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“เข้าใจแล้วครับ” ตอบเสียงอ่อนและคิดว่าชาติถัดจากนี้จะขอไปเกิดในโลกฮาเร็มเสียให้คุ้ม “รักษาสัจจะด้วยล่ะ”

“ยมทูตก็มีกฎเหมือนกันน่า..เราไม่โกหกเธอหรอก ไว้จะหาโลกเด็กเยอะๆ เตรียมไว้ให้ละกันนะ” ยมทูตหัวเราะออกมา สมจิตรมั่นใจได้ว่าเมื่อครู่โดนแอบอ่านใจชัวร์ๆ

“ถ้างั้นเธอรับนี่ไปนะ” ยมทูตวาดมืออีกครั้ง หนังสือสไตล์จีนโบราณก็ลอยลงมาหล่นในมือของสมจิตร เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเปิดหนังสือนั้นอ่านเนื้อหาข้างในแบบผ่านๆ และสรุปได้ว่านี่คงจะเป็น ‘คู่มือสำหรับการไปเกิดใหม่’

“เราคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ให้ก่อนไปเกิดได้บ้าง” ยมทูตน้อยเอามือไขว้หลังแล้วยิ้มแหะๆ ส่วนสมจิตรก็ได้แต่ถอนหายใจคิดว่าก็ยังดีที่อย่างน้อยมีคู่มือให้อ่านจับแนวทางได้บ้าง

“เอาล่ะ เราจะทำพิธีการส่งเธอไปเกิดแล้วเพราะงั้นถ้ามีสิ่งที่อยากจะทำอะไรในโลกนี้ก็รีบทำเสีย” แล้วมือเล็กๆ นั้นก็ชี้ไปยังเมรุที่ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของพิธีการฌาปนกิจ

สมจิตรมองค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

เขาเดินตรงไปทางเมรุมองเหล่าคนที่มาพิธีฌาปนกิจ ทั้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียน แฟนเก่า นึกถึงความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นมาครั้งยังมีชีวิต ได้ไปเรียน ได้เล่นกับเพื่อน ได้ทำงาน เมื่อถึงวาระที่ต้องอำลากันความทรงจำธรรมดาเหล่านั้นกลับเป็นความทรงจำที่ช่างล้ำค่าเหลือเกิน

เขาเดินขึ้นบันไดเมรุเรื่อยๆ จนมาถึงด้านบน หยุดอยู่ที่โลงศพของตน เบื้องหน้าของเขา คือพ่อ แม่ และน้องสาว น้องชาย ครอบครัวของเขาทุกคนต่างมายืนอยู่ตรงนี้ เพื่อบอกลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย

พอเห็นทุกคนที่ทำหน้าเศร้าเช่นนั้นแล้ว ขอบตาก็ร้อนขึ้นมา

ทั้งที่คิดไว้แล้วว่าทำใจได้

ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ไม่มีทางกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิมได้อีกแล้ว

อ้อมกอดอุ่นๆ ตอนที่อ้อนแม่ก่อนออกไปทำงาน

เสียงบ่นของพ่อในยามที่เขาไม่ยอมล้างรถเสียที

ช่วงเวลาที่ได้ทะเลาะกับน้องในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

ครอบครัวที่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันตอนเย็น แม้จะทะเลาะกันบ้าง มีปัญหากันบ้าง แต่สุดท้ายทุกคนก็จะหันกลับมาคืนดีกัน ได้หัวเราะ พูดคุย ได้ร่วมสร้างทุกๆ วันให้เป็นวันที่มีความสุข

มันไม่มีแล้ว

จากตอนนี้...

มันจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว

ความทรงจำตลอดเวลาสามสิบสองปีที่ได้เกิดมา ที่ได้เป็นสมจิตร สุวรรณกร ได้พร่างพรูออกมาจากความทรงจำ ทั้งเรื่องที่ดี ทั้งเรื่องแย่ๆ ทุกอย่างที่เคยเกิด ทุกอย่างที่เขาได้เคยผ่านมา มันค่อยๆ ผุดออกมาให้นึกถึงขึ้นได้อย่างห้ามไม่อยู่

ห้ามทุกอย่างไม่อยู่ เฉกเช่นเดียวกันน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มตอนนี้

สมจิตรเดินตรงไปหาพ่อกับแม่ของเขา ฝืนกลั้นน้ำตาแล้วยิ้ม มือที่ไม่สามารถจะสัมผัสกับอะไรได้อีกก้มลงกราบขอบคุณในบุญคุณของทั้งสอง ขอบคุณในความทรงจำดีๆ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาที่พ่อและแม่ได้มอบให้กับเขา ทั้งรู้สึกขอบคุณ ทั้งรู้สึกผิด ที่ไม่อาจอยู่ ไม่อาจตอบแทนบุญคุณได้นานกว่านี้

สายลมเบาบางที่ผ่านมา ลอยโอบกอดร่างของคนทั้งสองเอาไว้ พ่อและแม่ของสมจิตรหันมองซึ่งกันและกัน สีหน้านั้นดูตกใจปนฉงนคล้ายกับจะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างได้

พวกเขาอาจจะคิดไปเองว่ามีอะไรบางอย่างที่อบอุ่นมากๆ กราบทับบนอก

มันอาจจะจะเป็นเรื่องที่คิดไปเอง

แต่สุดท้ายทั้งสองก็ยิ้มบางๆ ออกมาให้กันและกัน

สมจิตรเองก็ยิ้มกลับไปเช่นกัน แม้ท่านจะมองไม่เห็นแต่ก็ได้แค่หวังว่าพวกเขาจะสัมผัสถึงตัวตนของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนโลงศพนั้นจะถูกเข็นเข้าไปยังเตาเผา ก่อนกายของเขาจะมอดไหม้เหลือเพียงแค่เศษเถ้ากระดูกให้คนรุ่นหลังระลึกถึง

ก่อนทุกๆ คนจะกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง ก่อนกาลเวลาจะทำให้ลืมว่ามีชายที่ชื่อสมจิตร สุวรรณกร

ควันขาวลอยจากปล่องเมรุ ลอยขึ้นสูงไปยังท้องฟ้า ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนเศร้า เหลาเมฆที่เคยหนากลับคลี่คลายเป็นท้องฟ้าสีครามอันแสนสดใส

เมื่อก้มลงมองมือ มองร่างกายของตัวเองที่ค่อยๆ จางลง ก็พอจะเข้าใจได้ในเดี๋ยวนั้น ว่ายมทูตคงเริ่มทำการส่งเขาไปยังต่างโลกแล้ว สมจิตรมองครอบครัวของตนอีกครั้ง นึกขอบคุณยมทูตนั้นอยู่ในใจ ที่อย่างน้อยก็ได้อยู่กับคนที่รักอีกสักพักก่อนที่วิญญาณดวงนี้จะจากโลกใบนี้ไปตลอดกาล

สมจิตรหลับตาลง เมื่อร่างวิญญาณนี้จางลงจนแทบหายไป ทำใจในตนให้สงบเพื่อยอมรับกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นในอนาคตต่อจากนี้ ในหูของเขาได้ยินเสียงของลำโพงวัดดังขึ้น

เสียงประกาศส่งวิญญาณที่บ่งบอกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของพิธีฌาปณกิจ

มันดังขึ้นและค่อยๆ ไกลออกไป..

ไกลออกไป...เรื่อยๆ

“ขอเรียนเชิญทุกท่านยืนนั่งตามอัธยาศัย ตั้งใจสงบนิ่ง 1 นาที เพื่อไว้อาลัยและส่งดวงวิญญาณนายสมจิตร สุวรรณกรไปยังภพภูมิหน้าด้วยเถิด…”

จนกระทั้งไม่ได้ยินซึ่งเสียงใดในโลกใบนี้...ตลอดกาล

 

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด