ตอนที่แล้ว09 ผสานพลัง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 11 สายตาที่ไม่เคยแลมาถึง...

10 ช่วยด้วย…


10

ช่วยด้วย

 

“เยื่อบุตาอักเสบจากการมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปค่ะ แต่ไม่มีอะไรร้ายแรงมาก ดูแลดีๆ ประมาณสองอาทิตย์ก็คงหาย หรืออาจจะเร็วกว่านั้น”

คำวินิจฉัยจากแพทย์หญิงอนาเซียทำเอาเจ้าของไข้กับหัวหน้าหน่วยที่ฟังอยู่ถอนใจอย่างโล่งอก สภาพของเฮคเตอร์ในตอนนี้แทบดูไม่จืดที่สุดนับตั้งแต่เข้าทำงานในหน่วยเคซีโร่ ตาเจ็บ หัวแตกปากแตก ซีกซ้ายของร่างกายฟกช้ำทั้งแถบ และต้องพักรักษาตัวอยู่ในห้องพักฟื้นที่แผนกแพทย์วิญญาณเพื่อดูอาการหนึ่งคืน

“รักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยกลับมาทำงาน วันนี้ให้โซอีไปอยู่เคนเซย์ก่อนก็แล้วกัน”

“ฉันจะอยู่เฝ้าเฮคเตอร์ที่นี่เองค่ะ” โซอีที่นั่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก

ทั้งฟอแกนด์ อนาเซีย รวมถึงเฮคเตอร์ที่นอนมีผ้าปิดตาอยู่บนเตียงผู้ป่วยหันมามองตามเสียงอย่างแปลกใจทีเดียว หลังกลับมาจากคฤหาสน์ชามันด์และได้รับการตรวจเบื้องต้นว่าเธอไม่เป็นอะไร โซอีก็เพียงอาบน้ำเปลี่ยนใส่ชุดผู้ป่วย โดยมีชาเกลคอยอยู่เป็นเพื่อนจนกระทั่งเธอนอนหลับไป เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งเธอก็เดินตามหาเฮคเตอร์จนมาเจอเขาที่ห้องพักฟื้นแห่งนี้

“วันนี้ฉันก็อยู่เวรที่นี่ค่ะ คุณโซอีกลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะดูแลทางนี้ให้เอง”

โซอีเงียบไปไม่โต้ตอบ แต่ลุกขึ้นจากโซฟาที่อยู่ภายในห้องก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างเตียง ยกมือเล็กบางเอื้อมขึ้นไปจับแขนของเฮคเตอร์ไว้

“ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ...”

เฮคเตอร์สะดุ้งโหยงที่ได้ยินเสียงอ้อน แม้จะมองไม่เห็นแต่เพียงแค่เสียงและมือเล็กๆ ที่เย็นชืดนั่น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าใคร

“ฉันมีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับคุณตามลำพังด้วยน่ะค่ะ เฮคเตอร์”

คุณหมอยังคงยืนกราน มิหนำซ้ำถึงโซอีจะไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อ แต่มือที่บีบแขนเฮคเตอร์แรงขึ้นก็สร้างความกดดันให้เขายิ่งกว่าสิ่งใด

มองลูกน้องตัวเองที่เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วฟอแกนด์ก็ได้แต่ลอบถอนใจ ทำไมไม่เห็นจะมีสาวๆ มาแย่งตัวเขาแบบนี้บ้าง

“ผมว่าคุณหมอเองก็คงงานยุ่งมากแล้ว ถ้ายังไงก็ให้โซอีเฝ้าเฮคเตอร์ก็ได้นะ สองคนนี้อยู่ด้วยกันมาสักพักแล้วคงดูแลกันได้ไม่น่าห่วง”

เมื่อเจอฟอแกนด์ออกปากเองแบบนั้น อนาเซียจึงเลิกดื้อดึง

“ถ้าอย่างนั้นเอาไว้ฉันจะโทรหานะคะ”

พูดจบคุณหมอคนสวยก็เดินออกจากห้องพักฟื้นไป โซอีเองก็ปล่อยมือออกจากแขนเฮคเตอร์เช่นกัน

“โซอี” ฟอแกนด์ย่อตัวนั่งลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับโซอีก่อนจะถามขึ้น “พอจำเรื่องอะไรขึ้นมาได้บ้างแล้วรึยัง”

บรรยากาศรอบห้องเหมือนเปลี่ยนจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูหนาว เฮคเตอร์คาดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าจะถามโซอีตรงๆ ในเวลาแบบนี้

“ไม่เลยค่ะ” แต่โซอีก็ตอบกลับด้วยสีหน้าปกติของตัวเอง

ฟอแกนด์สบตาหญิงสาวตัวเล็กที่จ้องเขาตอบอย่างแน่นิ่ง

“......งั้นเหรอ เธอเองก็พักผ่อนมากๆ นะ” ฟอแกนด์ยืดตัวยืนขึ้น ลูบหัวโซอีราวกับเป็นเด็กหญิงที่น่าเอ็นดู

อย่างน้อยคนคนนี้ก็อายุมากกว่าโซอีเยอะ การถูกลูบหัวแบบนี้ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแปลกแปร่งเท่าไร

“ฉันกลับไปออฟฟิศก่อน มีอะไรก็โทรมาละกันนะเด็กๆ”

ฟอแกนด์ทิ้งท้ายก่อนออกจากห้องไป ภายในห้องเหลือเพียงเฮคเตอร์กับโซอีที่ขยับไปนั่งเก้าอี้ที่ข้างเตียง

“เธอ...ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“อื้อ ฉันไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรแน่นะ”

เฮคเตอร์ถามย้ำ แม้จะมองไม่เห็นสภาพของทุกคนในตอนท้าย มิหนำซ้ำพอพาโซอีมาถึงแผนกแพทย์วิญญาณ  เขาก็โดนจับแยกออกไปรักษาเลยทันทีเหมือนกัน แต่อย่างน้อยสภาพที่เขาเห็นเธอก่อนจะถูกโคลนสาดตา กับสภาพของเธอที่นอนตัวแข็งนิ่งตอนที่เขาอุ้มพาหายตัวกลับมา ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าโซอีสบายดีเท่าไร

“คงจะเริ่มเป็นอะไรสักอย่างแล้วถ้านายยังถามไม่เลิก”

เฮคเตอร์แอบขำ เมื่อน้ำเสียงนั่นกลับมาเย็นชาใส่เขาเหมือนโซอีคนเดิม

“คนอื่นเป็นยังไงบ้าง ฉันยังไม่ได้ถามจากหัวหน้าเลย”

“ทุกคนสบายดียกเว้นนายนั่นแหละ ฉันเองหลังจากได้กินแล้วนอนสักพักก็รู้สึกดีขึ้น ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”

“ขอโทษนะ”

“ขอโทษทำไม ฉันเป็นคนดื้อจะไปที่นั่นเองต่างหาก”

“ฉันมัน...อ่อนหัด ถ้าคนอื่นมาช่วยไม่ทันเธอคงโดนเอาตัวไปแล้ว”

แม้จะปิดตาอยู่ แต่จากน้ำเสียงและการเมินหน้าหันหนีไปทางอื่นก็ทำให้โซอีเดาอารมณ์ของชายหนุ่มได้ไม่ยาก เขาคงกำลังละอายใจ โทษว่าตัวเองอะไรต่างๆ นานา สุดท้ายโซอีก็ยื่นมือไปสะกิดแขนเสื้อของเฮคเตอร์ให้หันกลับมา

“เฮคเตอร์ ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกนาย”

น้ำเสียงจริงจังนั้นทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเกร็ง ก่อนจะควานมือหาร่างของเด็กหญิงตัวน้อยจนโซอียื่นมือมาให้จับ หรือเป็นเพราะเรื่องนี้เธอถึงยืนกรานว่าจะอยู่เฝ้าเขาให้ได้ จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

“ว่ามาสิ ฉันฟังอยู่”

“นี่เย็นมากแล้ว ขนมของฉันที่พกมาก็หมดแล้ว พากลับบ้านไปหาของกินหน่อยได้มั้ย ฉันหิว...”

เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เฮคเตอร์อึ้งจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น

“นี่ไม่ตลกเลยนะ ไปอยู่กับคนอื่นก็คงพาไปกินตามร้านอาหาร แต่นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกินข้าวข้างนอก ถึงจะบาดเจ็บอยู่ก็เถอะ แต่ก็มีแค่นายเท่านั้นที่ฉันพึ่งพาได้นะ”

“เธอนี่มัน... ให้ตายเถอะฉันยอมแล้ว ได้ยินแบบนี้แล้วก็หิวเหมือนกันนะ แอบกลับกันสักพักคงไม่เป็นไรมั้ง”

เฮคเตอร์จับมือของโซอีแน่นขึ้น ก่อนที่ร่างของทั้งสองจะหายวับไปจากห้องพักฟื้นในแผนกแพทย์วิญญาณ

เมื่อทั้งสองโผล่เข้ามาในห้องนอนของโซอี หญิงสาวตัวเล็กก็บอกให้เฮคเตอร์นอนอยู่บนเตียงอย่างนั้นในระหว่างที่เธอเข้าครัว โซอีหายไปนานทีเดียวกว่าจะกลับเข้ามา แล้วพาเฮคเตอร์เดินออกจากห้องไปนั่งบนโต๊ะทานอาหาร ซึ่งมีข้าวต้มอุ่นๆ ที่ส่งกลิ่นหอมฉุยวางเตรียมไว้

“ปากนายน่าจะยังเจ็บอยู่ กินอะไรอ่อนๆ ไปก่อนก็แล้วกันนะ”

“ขอบคุณ”

เฮคเตอร์เริ่มจะเคยชินกับการนั่งทานอาหารที่บ้านกับโซอีแล้ว ตั้งแต่เช้าวันแรกที่ได้เริ่มนั่งกินด้วยกัน หลังจากนั้นเธอก็ตื่นมาทำเผื่อเขาด้วยทุกเช้า

โซอีจับช้อนใส่มือให้คนเจ็บตา แล้วเอาช้อนที่มือนั้นจับอยู่ไปวางใส่ถ้วยข้าวต้มให้ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้อีกด้านเพื่อทานในส่วนของตัวเอง

“พอกินเองได้ใช่มั้ย”

“ถึงบอกว่าไม่ได้เธอก็คงไม่ป้อนให้หรอกมั้ง”

“นายคิดถูกแล้วฉันไม่ป้อนให้หรอก พยายามกินเข้านะ”

แม้เฮคเตอร์จะแอบหยอดไปบ้างเผื่อจะได้มีคนป้อนสบายๆ แต่ดูท่าเขาคงจะเริ่มรู้จักโซอีดีเกินไปแล้ว ไม่มีเสียงพูดคุยกันระหว่างทานมื้อค่ำ ราวกับต่างคนต่างจมอยู่ในวังวนความคิดของตัวเอง แม้จะมองไม่เห็นแต่การกินก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับชายหนุ่มนัก หญิงสาวตัวเล็กเพียงแค่ช่วยรินน้ำใส่แก้วให้หลังจากนั้น แล้วมื้อค่ำอันเงียบเชียบก็ผ่านไป

หลังจากยกจานชามทั้งหมดกลับเข้าไปในครัวและล้างจนเสร็จ โซอีก็เดินกลับมาหาเฮคเตอร์แล้วเอ่ยขึ้น

“ฉันขอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบแล้วเตรียมของอีกหน่อย นายนอนรออยู่ในห้องก็แล้วกันนะ”

“โซอี” เฮคเตอร์เรียกชื่ออีกฝ่ายกลับ ใช้มือควานหาร่างเล็กตรงหน้าก่อนใช้สองมือจับแก้มสองข้างไว้ได้

“นี่คือการลวนลามนะ”

เฮคเตอร์ไม่ยิ้ม ไม่ขำ ไม่มีท่าทีหยอกเล่นกับคำพูดนั้นเหมือนเคย แม้จะดูลังเลไปชั่วขณะ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจพูดออกมา

“เธอยังนึกอะไรไม่ออกจริงๆ ใช่มั้ย”

ร่างของหญิงสาวตัวเล็กชะงักไปอย่างรู้สึกได้ชัดเจน แม้จะมองไม่เห็นแต่เฮคเตอร์รู้ได้ว่าโซอีต้องมีปฏิกิริยาบางอย่างกับคำถามนี้แน่ๆ

หลายวันมานี้เขากลับไปอ่านแฟ้มคดีเมื่อสิบเก้าปีก่อน อ่านข้อมูลทุกอย่างดูทุกภาพเท่าที่มีบันทึกไว้ แต่ก็ไม่เคยนึกถึงคำตอบนี้สักครั้งเพราะไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ ต่อให้ข้อมูลหลักฐานมันดูล่อแหลมแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเชื่อ จนกระทั่งในวันนี้ที่ได้เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ และได้ยินเสียงของวิญญาณเหล่านั้น

วิญญาณอาฆาตที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิดแม้จะต้องสูบชีวิตมนุษย์จนกลายเป็นดิคเคนส์ก็ตาม คงจะเป็นชาเกลหรือเคนเซย์ที่บอกเรื่องนี้กับหัวหน้าไป ตาลุงนั่นถึงได้เอ่ยปากถามโซอีตรงๆ อย่างนั้น

“ยังนึกไม่ออกเลย ขอโทษนะที่ช่วยอะไรไม่ได้”

“แล้ว...”

เสียงโทรศัพท์มือถือของเฮคเตอร์ที่หยิบติดตัวกลับมาจากห้องพักฟื้นด้วยดังขึ้น เขาจำใจต้องหยุดถามโซอีต่อเพื่อรับสาย

“พวกคุณหายไปไหนกัน!”

เฮคเตอร์ดึงโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน เสียงของคุณหมออนาเซียที่ดังแว่วออกมาจากโทรศัพท์ทำให้โซอีดึงมืออีกข้างของเฮคเตอร์ออกจากตัว แล้วยืนกอดอกรอฟังลูกไม้จีบหนุ่มของคุณหมอด้วยเช่นกัน

“เอ่อ...แค่กลับมากินข้าวเย็นครับ กำลังจะกลับไปแล้วล่ะ”

เฮคเตอร์ได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย คนไข้หายตัวไปคุณหมอคนไหนก็คงจะโมโหล่ะนะ

“ถ้าอย่างนั้นช่วยกลับมาที่ห้องตรวจของฉันตอนนี้เลยค่ะ มาเอายาทานกับยาหยอดตาไป แล้วนอนพักที่บ้านนั่นแหละ อะไรหลายอย่างคงจะสะดวกกว่าอยู่ห้องพักฟื้น”

“อะ โอเคครับอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

พูดจบเฮคเตอร์ก็วางสายไป

“หืม หาเรื่องนัดเจอกันสองต่อสองจนได้นะ”

“ฉันแค่ไปเอายา ทำไมชอบพูดแบบนี้เรื่อยเลย เธอเข้าใจอะไรไปถึงไหนแล้วเนี่ย”

“ก็เข้าใจแบบที่เห็นนี่แหละ แบบที่คุณหมอคนสวยอาสาอาบน้ำล้างโคลนให้นายเองไง”

“หา จริงเหรอ เดี๋ยวก่อนฉันไม่รู้เรื่องนะ พอพาเธอกลับมาที่กองปราบฉันก็แสบตาจนมึนหัวแล้วคงหลับไปเลย”

“รีบไปเถอะ เดี๋ยวแฟนคลับนายจะรอนาน ฉันกลับไปจัดการในครัวต่อก่อน ถ้าไม่ได้ไปนอนที่ห้องพักฟื้นนั่นแล้วจะได้เปลี่ยนแผนทำมื้อเช้าพรุ่งนี้ใหม่ อ่อ...อย่าลืมขอเสื้อผ้าคืนมาด้วยล่ะ”

เฮคเตอร์อยากจะพูดอะไรกลับ แต่ก็ได้ยินเสียงเดินจนกระทั่งเสียงเปิดปิดประตูห้องครัวไปแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ถอนใจก่อนจะหายตัวไปที่ห้องตรวจตามนัด

คฤหาสน์แห่งหนึ่งบนเกาะซาฮาลิน

คิมยืนตัวสั่นต่อหน้า ‘นายท่าน’ ผู้มีอำนาจสูงสุด ณ ที่แห่งนี้ หลังจากที่เขากับพรรคพวกอีกสองคนได้รับมอบหมายให้ไปทำภารกิจตรวจสอบ เพื่อหาวิธีทำลายเตาเผาวิญญาณของคฤหาสน์ร้างที่คาเรมนั่นแล้ว ความบังเอิญที่ได้พบกับเจ้าหน้าที่หน่วยเคซีโร่แล้วไม่รีบหนีก็ช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี

“ว่าไงนะ...”

หลังจากที่คิม ชายหนุ่มสวมแว่นผู้มีสภาพสะบักสะบอมรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไอวิญญาณสีดำที่แผ่พุ่งออกจากร่างกายอย่างรุนแรงของชายหนุ่มผมสีทอง ผิวขาว เค้าโครงใบหน้าหล่อเหลาแบบชาวยุโรป แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเขากำลัง ‘โกรธ’ ถึงขีดสุดนั่นเอง

คิมรู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหา ทุกย่างก้าวที่นายท่านเดินเข้ามายิ่งทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังนับถอยหลังสู่จุดจบของชีวิต คิมเคยเห็นภาพนั้นมาแล้วหลายครั้ง คนที่ถูกขังรมด้วยไอวิญญาณสีดำนั่นจะถูกดูดพลังชีวิตจนตายคาที่ไป แถมวิญญาณที่หลุดออกจากร่างยังถูกกลืนกินเข้าไปราวกับนั่นคืออาหารอันโอชะของชายผู้นี้

และในวินาทีที่คิดว่าจะได้ใช้ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต มือข้างหนึ่งของนายท่านก็ยกมาจับเข้าที่ไหล่ข้างหนึ่งของเขาแล้วกดแน่นจนคิมหลับตาปี๋

“โชคดีที่นายยังรอดมาได้ ทีหลังก็รอบคอบมากกว่านี้ด้วย รีบไปทำแผลเถอะ”

แต่แล้วมือที่บีบไหล่เขาแน่นนั้นกลับผ่อนแรงลงแล้วเปลี่ยนเป็นตบไหล่เบาๆ คิมรีบขอบคุณแล้วรีบเดินออกจากห้องนั้นก่อนที่นายท่านอาจจะเปลี่ยนใจ

“หนนี้ทำไมใจดีจังเลยน้า ถ้าเป็นอายะคงต้องลงโทษอะไรบ้างแล้ว”

เสียงจากเด็กสาวที่มีความสูงไม่น่าเกินหนึ่งร้อยห้าสิบห้าดังขึ้นจากด้านหลังเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ลูกครึ่งญี่ปุ่นรัสเซียซึ่งดูมีหน้าอกหน้าใจล้ำหน้าส่วนสูง ทำผมสีบลอนด์ทองทั้งหัวมัดแยกไว้สองข้าง และมักปรากฏกายในชุดกระโปรงที่ดูรุ่มร่ามอยู่เสมอ

“พลังของเขายังมีประโยชน์ มีพลังไม่กี่รูปแบบหรอกนะที่จะทำให้เคลื่อนย้ายไปมาได้สะดวกแบบนั้น”

“แต่ก็ยังมีอายะอยู่นี่นา”

“พลังของอายะต้องใช้เพื่อฉันคนเดียวไงล่ะ ถึงต้องมีคนอื่นพาคนอื่นไปไหนมาไหนไกลๆ ได้”

“ให้อายะไปจัดการพวกนั้นให้ดีมั้ย เจ้ามนุษย์หายตัวนั่นทำอะไรอายะไม่ได้หรอก”

“ห้ามแอบไปเองเด็ดขาด เกิดพลาดขึ้นมาจะทำยังไง อายะเป็นคนสำคัญนะ”

เด็กสาวกระโดดขึ้นมานั่งบนตักของชายหนุ่มบนเก้าอี้ทำงาน ยกแขนคล้องคอเขาไว้แล้วพูดขึ้นอย่างงอนๆ

“ฮึ แต่สำคัญยังไงก็ไม่มากเท่ากับยัยป้าร่างเด็กนั่นใช่มั้ยล่ะ”

“อย่างอนน่า อายะก็รู้นี่ว่าทำไมฉันถึงต้องการตัวโซอี”

“ถ้าหนทางการเป็นอมตะที่ว่าทำได้จริงๆ อีซีโอจะไม่ทิ้งให้อายะต้องอยู่คนเดียวใช่มั้ย”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

เด็กสาวอมยิ้มกว้างเมื่อได้ฟัง ก่อนจะจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากชายหนุ่มหนึ่งที

“รักอีซีโอที่สุดเลย”

“ทำตัวน่ารักแบบนี้ คืนนี้ต้องให้รางวัลใหญ่ซะแล้ว...”

ห้องตรวจของแพทย์หญิงอนาเซียในแผนกแพทย์วิญญาณ หลังจากจัดแจงถุงยาสำหรับหนึ่งสัปดาห์ให้กับเฮคเตอร์แล้ว หญิงสาวก็บอกเล่าอะไรบางอย่างที่เปรยไว้ก่อนนี้ว่า ต้องการคุยกับชายหนุ่มตามลำพัง

“หมายความว่า......ยังไงนะครับ” เฮคเตอร์ขมวดคิ้วถามกลับ นี่เขาคงหัวแตกจนเบลอแล้วฟังอะไรไม่รู้เรื่องไปแล้วใช่ไหม

“หมายความว่าร่างกายของโซอีจะไม่มีทางเติบโตไปมากกว่าอีกแล้ว คุณฟังถูกต้องแล้วค่ะ ผลการตรวจร่างกายตรวจเลือดทุกอย่างบ่งบอกว่า ร่างกายของเธอในตอนนี้คือร่างกายที่อายุเจ็ดปีจริงๆ แม้ว่าเธอจะอายุยี่สิบหกแล้วก็ตาม ทุกอณูในร่างกายของเธอหยุดการเจริญเติบโตอยู่เพียงแค่นั้น และไม่แสดงผลต่อสารกระตุ้นการเจริญเติบโต หรือแม้แต่เชื้อโรคทุกชนิด หากไม่ใช่ในกรณีเป็นการเจริญเติบโตที่ช้ามากๆ มากประมาณขนาดที่สิบเก้าปีมานี้ยังไม่ส่งผลอะไรเลยล่ะก็..”

“นั่นคือการตรวจร่างกายแบบการแพทย์ปกติทั่วไปใช่มั้ยครับ เป็นไปได้มั้ยว่ามันอาจจะเกี่ยวข้องกับพลังวิญญาณสักอย่าง หรือคำสาปแปลกๆ อะไรพวกนั้น”

“สภาพวิญญาณของเธออยู่ในระดับปกติมากๆ ปกติกว่าของคุณซะอีก นอกจากเป็นหมอจริงๆ ด้วยแล้ว ฉันก็เป็นแพทย์วิญญาณนะคะ ถ้าเป็นวิญญาณติดคำสาป สภาพวิญญาณนั้นจะต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งผิดปกติอย่างแน่นอน”

เฮคเตอร์ยังนิ่งอึ้งพูดไม่ออก ทั้งหมดนี้มันแปลว่าต่อให้ผ่านไปอีกหกสิบปีข้างหน้าที่เขาอาจจะแก่ตายแล้ว แต่โซอีก็ยังจะเป็นเด็กอยู่แบบนี้ตลอดไปงั้นเหรอ เรื่องแบบนี้มันช่าง... มันบ้ามากๆ มันมากเกินไปสำหรับผู้หญิงคนนั้นแล้ว!

“ไม่มีหนทางอื่นที่พอจะนึกออกเลยจริงๆ เหรอครับ”

“งานของแพทย์วิญญาณคงทำได้แค่เท่านี้ค่ะ ถ้าคุณตั้งใจอยากจะช่วยเธอจริงๆ ล่ะก็ อย่างน้อยคุณควรลองส่งเธอไปศูนย์วิจัย”

มือของเฮคเตอร์กำถุงยาเข้าแน่น เขาหายตัวออกจากห้องตรวจมาทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้ล่ำลา มนุษย์หายตัวใช้พลังเพื่อกลับเข้าไปในครัวที่ห้องพักของตัวเองอีกครั้ง โซอีน่าจะยังอยู่ที่นั่นแน่ๆ แต่แล้ว...

“โอ้ย!”

การปรากฏตัวของเฮคเตอร์ที่กลางห้องครัวแคบๆ โดยไม่ได้ระวังนั้นทำให้ร่างของเขาชนเข้ากับโซอี หญิงสาวตัวเล็กที่กำลังหั่นผักเตรียมไว้สำหรับทำมื้อเช้าวันรุ่งขึ้น

เสียงที่เหมือนจะร้องเพราะความเจ็บมากกว่าตกใจ ทำให้เฮคเตอร์ดึงผ้าที่ปิดตาอยู่ออกทันที แม้ตาจะยังแดงและแสบอยู่บ้าง แต่ภายในห้องที่ไฟสว่างเขาก็เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนดี

เพราะแรงกระแทกจากเขาทำให้นิ้วของโซอีถูกมีดบาด แผลคงลึกพอประมาณจนมีเลือดหยดลงบนเขียงพลาสติก โซอีดูตื่นตกใจอย่างขีดสุดเมื่อเห็นเขาดึงผ้าปิดตาออก เธอรีบซ่อนมือไปด้านหลังก่อนจะวิ่งหนีออกจากครัวไป

เฮคเตอร์ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมโซอีต้องวิ่งหนีเขา แต่อย่างน้อยก่อนนั่งจับเข่าคุยกันยาวๆ ชายหนุ่มคงต้องจับเธอมานั่งทำแผลให้เรียบร้อย เฮคเตอร์เดินออกจากห้องครัวแล้วเห็นหลังไวๆ ของโซอีที่หนีเข้าไปในห้องนอน มันไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาที่จะหายตัวตามเธอเข้าไป

“ออกไปนะ! อย่าเข้ามา!”

“เธอจะโกรธอะไรฉันก็เถอะ แต่รีบมาทำแผลก่อน”

“ไม่! ออกไป! ฉันทำแผลเองได้! ออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”

ข้าวของแต่ละชิ้นที่โซอีคว้ามาได้เริ่มถูกขว้างมาที่เฮคเตอร์เช่นเคย แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะมาล้อเล่นเหมือนกัน

“หยุดก่อนแล้วไปทำแผล ยัยคนดื้อ ไปทำแผลเดี๋ยวนี้”

เฮคเตอร์ตรงเข้าไปจับตัวหญิงสาวหมายจะอุ้มออกไปให้ไปทำแผลข้างนอก แต่โซอีที่ถูกรวบตัวไว้กลับดิ้นสู้สุดชีวิตยิ่งกว่าวันที่เจอกันครั้งแรก ทั้งโวยวาย ทั้งพยายามทุบเขาอย่างสุดแรงเกิดเพื่อให้ปล่อยเธอไป

“โซอี!” ในจังหวะที่ร้องเสียงดุขึ้นมาอย่างหงุดหงิดและจับข้อมือข้างหนึ่งของเธอไว้ให้หยุด ในตอนนั้นเองที่เฮคเตอร์เพิ่งได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนร่างกายนั้นอย่างแท้จริง

แผลของโซอีหายไป...

เขานึกว่าตัวเองดูผิดข้าง จนรวบข้อมือเล็กๆ นั่นมาดูอีกข้างแต่ก็ไม่มีนิ้วไหนที่มีบาดแผลแม้แต่น้อย แม้ตาจะยังอักเสบแต่เขาก็ยังมองเห็นทุกอย่างได้ดี และโซอีก็เลิกดิ้นไปแล้วหลังจากเหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิดอะไร

เฮคเตอร์หายวับเข้าไปในครัวเพื่อดูอีกครั้งให้แน่ใจ ทันทีที่เห็นว่าหยดเลือดนั้นยังเปราะอยู่บนเขียง ชายหนุ่มก็ขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งร่าง เขารู้สึกหน้าชาไปหมดเมื่อประมวลผลทุกอย่างที่รู้มาเข้าด้วยกัน

ตลอดเวลาที่เขาเห็นเธอในร่างเด็ก เขาก็คิดเพียงว่าคงมีสิ่งผิดปกติที่ทำให้เธอไม่เติบโต และคุณหมอก็บอกแบบนั้นว่าร่างกายของเธอจะไม่มีวันโต ไม่แก่ตาย ไม่ป่วยตาย เหมือนคนอื่นๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังคิดว่าบาดแผลที่อาจจะเกิดได้จากเหตุการณ์ต่างๆ อย่างถูกปืนยิง ถูกมีดแทง หรือถูกทุบตีทำร้ายแบบใดก็ตาม คงทำให้ร่างกายของเธอเสียหายจนถึงขั้นตายได้

แต่ว่า...หากโซอีดิ้นสู้เพื่อไม่อยากให้เขารู้ขนาดนั้นแล้วมันก็คงมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น

เฮคเตอร์หายตัวกลับเข้าไปในห้องนอนของโซอี หญิงสาวตัวเล็กที่ขณะนี้นั่งกอดตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวโปรด ซุกหน้าลงกับเข่าอยู่ที่หัวเตียง เฮคเตอร์เดินเข้าไปนั่งข้างๆ แม้จะหยิบมือของเธอขึ้นมาดูปลายนิ้วทั้งสองข้างอีกครั้ง โซอีก็ไม่ทำการต่อต้านอะไรอีกแล้ว

ที่นิ้วของเธอไม่มีบาดแผลแล้วจริงๆ

โซอีจะไม่มีวันแก่ตาย

ไม่มีวันป่วยตาย

แม้แต่บาดแผลความเสียหายทางร่างกายก็ทำอันตรายเธอไม่ได้เช่นกัน

โซอีไม่มีวันตาย...

“ฉันฆ่าพวกเขา...”

คำพูดของหญิงสาวที่หลุดออกมาทำเอาเฮคเตอร์ใจหายวาบ

“ทุกคนในคฤหาสน์นั่น ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง รู้ตัวอีกทีทุกคนก็นอนตายเป็นศพไปหมดแล้ว ฉันมีมีดอยู่ในมือ มีดนั่น...มีดที่ใช้ฆ่าทุกคน ฮึก..”

เสียงสะอึกสะอื้นเริ่มดังขึ้นจากคนที่นั่งก้มหน้า เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่าเธอร้องไห้

เฮคเตอร์ไม่รู้แล้วว่าตอนนี้เขาควรตกใจกับเรื่องอะไรที่สุด ถ้าหากเธอจำทุกอย่างขึ้นมาได้แล้วจริงๆ

ตั้งแต่เกิดมาเฮคเตอร์ไม่เคยรู้สึกเลยว่าจะมีเรื่องอะไรที่บัดซบที่สุดเท่าเรื่องนี้ได้อีกแล้ว

หากโซอีไม่มีวันตาย แล้วต้องใช้ชีวิตตลอดไปกับความทรงจำเลวร้ายพวกนั้น...

ถึงอยากตายก็ตายไม่ได้

มันจะกลายเป็นชีวิตชั่วนิรันดร์แบบไหนกัน

ความทรมานนี้จะต้องยาวนานแค่ไหนมันถึงจะจบลง

เฮคเตอร์พูดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้แล้วว่าจะต้องพูดอะไรคำไหนกับเธอ

ทุกอย่างมันบัดซบมากเกินไปแล้วจริงๆ

“ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว ฉันอยากโตเป็นผู้ใหญ่ อยากมีใครสักคนที่รักแล้วแก่ตายไปด้วยกัน ฉันต้องการแค่ชีวิตแบบนั้นก็พอแล้ว แต่มันมากไปงั้นเหรอ ใครกันที่กำหนดให้ชีวิตฉันแบบนี้ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย…”

เมื่อฟังเสียงร้องไห้และคำตัดพ้อของหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง หยดน้ำตาของเฮคเตอร์ก็ไหลออกมาแทบไม่รู้ตัว เขาพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากรวบร่างที่กำลังตัวสั่นเทิ้มเข้ามากอดไว้แน่น

“ฉันจะหาทางช่วยเธอให้ได้ โซอี... ต่อให้ต้องใช้เวลาแค่ไหนหรือแลกด้วยอะไรก็ตาม ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้ สักวันเราจะต้องแก่ตายไปด้วยกัน”

“เฮคเตอร์...”

โซอีนิ่งงันไปเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น หญิงสาวกอดคอเฮคเตอร์แน่นขึ้น และเอ่ยคำพูดที่ถูกฝังอยู่ลึกที่สุดในหัวใจ

“ช่วยฉันด้วย”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด