ตอนที่แล้วบทที่ 8: ชะตาอาภัพของเฉินเจียว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 10: ทุกสิ่งคลี่คลาย

บทที่ 9: ความจริงของคดี


บทที่ 9: ความจริงของคดี

ภายในคุกของกองปราบ รอบด้านเป็นกำแพงหิน มืดมิดอับชื้น ประตูขังเป็นซีกไม้หนา บนพื้นมีเพียงกองฟางแห้งและเก่า ซุนเถานั่งสงบอยู่ในนั้นดวงตาไร้แววราวกับคนที่ตายไปแล้วทั้งที่โทษประหารยังมาไม่ถึง เขาถูกขังรวมกับชู้ของตัวเอง ที่ขณะนี้นั่งนิ่งก้มศีรษะหันหน้าเข้าหากำแพงอยู่อีกมุมคล้ายคนสำนึกผิด

ไป่ยู่และโจวหม่าจงลงมาพบซุนเถาเพียงสองคน แม้จะฟื้นคืนสติแต่ท่าทางก็ไป่ยู่ยังดูไม่ค่อยดีขึ้นสักเท่าไหร่ จนหม่าจงที่ลอบมองยังอดกังวลไม่ได้ เมื่อทั้งคู่มาถึงหน้าห้องขัง ซุนเถายังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น

“ซุนเถามีคนต้องการพบเจ้า” หม่าจงกล่าว แต่คนในคุกไม่ตอบรับคำใด ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง ไป่ยู่มองเข้าไปในคุกแล้วหันมาถามซุนเถา

“ทั้งหมดนี้เพื่อสิ่งใด?”

“เจ้ารู้” ซุนเถาได้ฟังจึงเงยหน้าขึ้นสบตาคนถาม ก่อนจะถามกลับคล้ายให้รู้ว่ากล่าวถึงเรื่องเดียวกัน

“ข้ารู้” ไป่ยู่ตอบพร้อมนั่งลงที่พื้นหน้าห้องขัง ไม่คิดวางท่าสูงส่งว่าเหนือกว่าอีกฝ่าย หม่าจงจึงทำเช่นเดียวกัน

“ได้เช่นไร?”

“ศพของฮูหยินท่าน ข้ากับพี่หนานจิ่นสือเป็นคนช่วยกันขุดคือมา”

หม่าจงได้ฟังจึงนึกสงสัย กระซิบถามไป่ยู่ว่าศพอะไร ไป่ยู่จึงกระซิบตอบว่าศพที่เขาซัดมีดสั้นใส่ เป็นศพฮูหยินของซุนเถา ตั้งแต่เกิดคดีมา สิ่งที่เคลื่อนไหวและหายไปมีเพียงศีรษะของคนตาย มีแค่ศพของฮูหยินแซ่ซุนเท่านั้นที่เกี่ยวข้องและต่างออกไป หม่าจงจึงได้เข้าใจว่าทำไม ไป่ยู่ถึงคิดว่าซุนเถาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“มิน่า ข้าก็นึกไว้อยู่แล้ว ว่าคนอย่างจิ่นสือถึงบังเอิญล่าหมีได้ ก็คงไม่เก่งกล้าขนาดจะหาศพของนางเจอ”

“โปรดเล่าเถิด เรื่องทั้งหมดจะได้คลี่คลาย ท่านเองก็ต้องการเช่นนั้นมิใช่หรือ” สิ้นประโยคนี้ซุนเถารู้สึกคล้ายทั้งสงสัยและเหมือนพบคนที่รู้ใจ เขากล่าว

“เจ้านี่น่าสนใจ ได้ ข้าจะเล่า ทั้งหมดเพื่อแก้แค้นไอ้คนสารเลวแซ่หม่า ฮูหยินของข้าเดิมที่นางแซ่เฮ่อ นามชิวยี่ เป็นน้องสาวของจอหงวนเฮ่อย่งเฉียน เจ้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องของเขา”

“จอหงวนคนที่โดนประหารในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง เพราะปฏิเสธการรับพระราชทานสมรส” หม่าจงกล่าว

“เวลานั้นข้าแต่งงานกับฮูหยินข้าแล้ว นางจึงไม่ต้องรับผลอะไรจากคดีที่เกิด ทว่าครอบครัวนางกลับโดนริบทรัพย์ให้ไปเป็นขอทาน ข้าแม้เสมือนเป็นญาติ แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ เพราะจะถูกข้อหาขัดราชโองการ จึงทำได้เพียงเฝ้าดู แต่ชิวยี่ไม่สามารถทนทำเช่นนั้นได้ นางจึงแอบช่วยครอบครัวตัวเองอย่างลับๆ จนกระทั่งอุปราชแซ่หม่าที่อยู่ในหวังรู้เข้า มันจึงส่งน้องชายมาทำการค้ากับข้า ก่อนที่กระทำการหักหลังจนการค้าของตระกูลซุนต้องล่มสลาย ข้ามันโง่เขลา ไม่เอาไหนที่รู้ไม่เท่าทันความชั่วของพวกมัน”

“ท่านแน่ใจได้เช่นไรว่าท่านหม่าซือเต้าเกี่ยวข้องกับการกระทำนี้ เขาอาจจะ...”

“ไอ้อุปราชนั่น มันส่งคนมาเย้ยหยันข้าถึงบ้านในวันที่ถูกเจ้าหนี้ยึดทรัพย์ คนของมันกล่าวย้ำชัดสองหูข้า ว่าทั้งหมดเป็นเพราะข้าไปแอบช่วยเหลือขอทานสกุลเฮ่อ”

ถึงแม้จะมั่นใจจากนิสัยและเรื่องราวที่ได้พูดคุยว่าซือเต้าไม่เกี่ยวข้อง ทว่าไป่ยู่ก็ไม่คิดเถียงอีก เพราะเชื่อว่าถึงจะพยายามอธิบายก็ไม่ช่วยอะไร รังแต่จะทำให้เสียเวลาในการคลี่คลาย

“พวกเราไร้เงินทองจนตรอกและกำลังจะไม่มีที่อยู่ แล้วคืนนั้นก็เกิดอาเพศครั้งใหญ่ ฝนตกลงมากลายเป็นเลือด มีสิ่งชั่วร้ายแปลกประหลาดมากมาย หนึ่งในนั้นคือชิวยี่... ศีรษะของนาง เจ้าคงได้เห็นจากข้างนอกนั่นแล้ว”

“ผีไร้ร่าง” หม่าจงกล่าว

“เรียกเช่นนั้นคงได้ เพราะข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวถึงเช่นไร คืนนั้นมันชุลมุนมาก ทุกคนต่างหวาดกลัว ข้าพบนางในสภาพนั้นหลังจากที่นางได้ฆ่า... พ่อแม่ของตนเองและของข้า รวมถึงคนอื่นๆ ในบ้านจนหมดสิ้น เหลือเพียงข้าและน้องสาวของนาง ชิวหยู หลังจากนั้นนางก็กลับเป็นปกติ แต่จำอะไรไม่ได้ ข้าจึงพาทั้งหมดหนีมาที่ห่างไกลเช่นนี้”

“ทำไมฮูหยินท่านถึงได้เป็นเช่นนั้น”

“ข้าไม่รู้ พยายามหาคำตอบแล้วแต่ก็ไม่รู้ บางทีอาจเป็นเพราะอาเพศที่เกิดขึ้นในคืนนั้น บางทีอาจเพราะนางถูกสิ่งชั่วร้ายสิงสู่ ที่ข้ารู้มีเพียงว่านางไม่สามารถคุมตัวเองได้ วันหนึ่งอาจเป็น อีกวันอาจไม่และทุกครั้งที่เป็นนางต้องฆ่า ต้องกินเลือด แล้วมันก็จะยิ่งเป็นบ่อยขึ้น สิ่งเดียวที่นางจำได้ไม่ว่าจะตอนมีสติหรือกลายร่าง คือนางเคียดแค้นและต้องการฆ่าคนสกุลหม่า แล้วเจ้าก็รู้ใช่ไหม”

“ท่านหม่าย้ายมาลงหลักปักฐานที่หัวเมืองนี้”

“ใช่ ข้าเองก็แค้นมัน แต่การจะทำเช่นนั้น การจะปล่อยให้ชิวยี่กลายเป็นผีร้ายแล้วไปฆ่ามัน ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หากใครโดนนางกัดกินหรือทำให้ตาย คนผู้นั้นเมื่อสิ้นลมหายใจก็จะกลายเป็นผีร้ายเฉกเช่นเดียวกัน ข้ากลัว กลัวว่าทุกอย่างจะบานปลาย จึงพยายามปิดนางไม่ให้รู้ว่าหม่าซือเต้าอยู่ที่นี่ จนกระทั่งครึ่งปีก่อนนางได้รู้ความจริงข้อนี้ เลยคิดจะไปล้างแค้น ข้าถึงได้ต้อง...”

“ฆ่านางแล้วโกหกทุกคนว่านางตายเพราะหมี”

“ตอนนั้นเป็นเหตุสุดวิสัย ศีรษะนางแยกออกจากร่างแล้วข้าไม่กล้านำศพนางกลับมาด้วยเพราะเกรงว่าคนอื่นจะนึกสงสัยกับรอยแผลที่รอบคอ จึงทำเช่นนั้น ข้ารีบนำส่วนหัวมาทำพิธีเผาเพื่อกำจัดทิ้ง ไม่นึกว่าจะมีคนขุดศพของนางขึ้นมา” ซุนเถาเล่าถึงตรงนี้ก็นิ่งเงียบลง

หม่าจงที่ได้รู้ความเชื่อมโยงจึงอดนึกไม่ได้ว่าทุกอย่างช่างซับซ้อน แปลว่าศพที่ถูกขุดขึ้นมากลายเป็นต้นเหตุผีร้ายของคดีนี้เช่นนั้นหรือ

“ทำไมถึงเวลานี้ท่านยังคิดปิดบัง คนร้ายตัวจริง” ไป่ยู่กล่าวขึ้น หม่าจงกับซุนเถามองเขาแทบจะพร้อมกัน

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” หม่าจงถาม

“ข้าไม่มีอะไรจะกล่าวอีกแล้ว พวกเจ้าไปเสียเถอะ” ชายผู้ได้ฆ่าฮูหยินตนเอง หลับตาแน่นถอนหายใจ

“ฮูหยินตายไปนานแล้ว ถึงร่างจะยังสามารถขยับได้ แต่ก็ทำให้คนอื่นตายแล้วกลายเป็นเช่นตัวเองไม่ได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ เป็นเพราะคืนนั้นนอกจากชิวยี่ยังมีคนอื่นที่เป็นเช่นนาง จึงทำให้เกิดผีไร้ร่างมากมายเช่นนี้”

“ขะ ข้าไม่รู้ ข้าจัดการนางไปแล้ว ไม่มีใครอื่นที่เป็นอีกแล้ว” ซุนเถาเสียงสั่น ท่าทางมีพิรุธ

“ท่านไปเป็นคนเก็บของป่า วันๆ หนึ่งเล่าเรื่องอันตรายมากมายไม่ให้คนเข้าใกล้ป่าแห่งนั้น แต่ท่านก็ยังเข้าไปเสียเอง สัตว์ป่าหายไปจนเกือบจะหมดสิ้น ผู้คนต่างเล่าลือว่าเพราะผีร้าย อสูรกายแปลกประหลาด คนที่ไม่เชื่อฟังเข้าไปล้วนไม่ได้กลับมา คืนนั้นที่ป่าข้าก็พบ ปีศาจหมูป่าที่ถือศีรษะคนเอาไว้ เพียงแต่เวลานั้นข้ายังไม่คาดคิดว่านั่น ไม่ใช่แค่ศีรษะคนถูกฆ่าธรรมดา แต่มันเป็นศีรษะที่กลายเป็นผีไร้ร่างไปแล้ว”

“เหลวไหล นอกจากชิวยี่ข้าไม่... ข้าไม่...” ซุนเถากล่าวไดเพียงเท่านั้น น้ำตาก็หลั่งริน

“ท่านมือปราบรบกวนช่วยเปิดประตูคุกด้วย” หม่าจงทำตามแม้จะยังตามเหตุการณ์ไม่ทัน

“ยะ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา” ซุนเถาลุกขึ้นขวางพยายามยื้อประตูไม่ให้เปิด แต่ก็สู้แรงของหม่าจงไม่ไหว

สองคนเข้าไปในคุก หม่าจงคุมตัวซุนเถาไว้ไม่ให้ขัดขืน ส่วนไป่ยู่นั่นเดินตรงเข้าไปที่ร่างของเฮ่อชิวหยู เมื่อเขาพลิกร่างนางกลับมา จึงพบว่าเป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ร่างนั้นไร้ศีรษะ แต่ยังมีชีพจรคล้ายคนมีลมหายใจ

“ไม่ใช่แค่ฮูหยินท่าน แต่แม่นางชิวหยูก็เป็นด้วยเช่นกัน สองคนมีความแค้นกับสกุลหม่า ท่านโกหกนางเรื่องฆ่าพี่สาวนาง พยายามให้นางลืมความแค้น ใช้ชีวิตด้วยการฆ่าสัตว์กินเลือดที่อาศัยในป่า พอความจริงเปิดเผยเรื่องที่ท่านฆ่าฮูหยินตัวเอง นางจึงคิดล้างแค้นใหม่อีกครั้ง แต่ท่านกลับใส่ร้ายนางว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นชู้ของท่าน เพื่อที่นางจะได้ติดคุกออกไปทำร้ายใครไม่ได้ แต่ท่านรู้ไหม นั่นยิ่งทำให้เรื่องราวยิ่งบานปลาย ตอนนี้คนในชุมชนประตูตะวันตกต้องตายสิ้นเพราะนางเป็นต้นเหตุ”

“แล้วจะให้ข้าทำยังไง จะให้ข้าฆ่านางอีกคนหรือไง ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการเช่นนี้เหมือนกัน ข้าไม่ได้ต้องการ” ซุนเถาทรุดตัวร้องไห้ จนปัญญาในการแก้ปัญหา

“หากข้ารู้ก่อนว่าการขุดศพขึ้นมาทวงความยุติธรรมตามที่วิญญาณของชิวยี่ขอ จะนำภัยร้ายทั้งหมดนี้มา ข้าคงไม่ทำ” ไป่ยู่รำพึงเสียงเศร้าโศก

หม่าจงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดจนสิ้นแล้ว เฮ่อชิวยี่กับเฮ่อชิวหยู สองพี่น้องกลายเป็นผีไร้ร่างในคืนเกิดอาเพศ ทั้งคู่มีคุณสมบัติเป็นเหมือนพาหะ หากทำใครตาย เหยื่อจะกลายเป็นเช่นตน เป็นวิญญาณบริวาร ต่างกับพาหะที่แม้จะกลายเป็นผีไร้ร่าง แต่ก็สามารถกลับไปเข้าร่างตนเองได้

สองพี่น้องต้องการฆ่าคนสกุลหม่าเพราะแค้นที่ทำให้ครอบครัวต้องล่มจม ทว่าซุนเถาพยายามห้ามไว้ พาพวกนางมาใช้ชีวิตห่างไกลกินสัตว์ป่าในเขา จนวันหนึ่งหม่าซือเต้าย้ายมาปักหลักที่นี่

ชิวยี่รู้เข้าต้องการล้างแค้น ซุนเถาพยายามห้ามจนกลายเป็นโศกนาฏกรรม เขาฆ่านางและฝังร่างไว้ในป่า นำหัวกลับมาเผา แล้วโกหกชิวหยูว่าพี่สาวนางโดนหมีฆ่าตาย ชิวหยูเชื่อ จนไป่ยู่กับหนานจิ่นสือไปพบศพและรื้อฟื้นคดีขึ้นมาจนทำให้ชิวหยูรู้ความจริง

ซุนเถาไม่ต้องการปล่อยให้ชิวหยูอยู่ลำพังเพราะเชื่อว่านางต้องหาทางไปล้างแค้นและอาจทำให้มีคนอื่นเดือดร้อน จึงโกหกอีกครั้งว่าที่ฆ่าชิวยี่เพราะเป็นชู้กับชิวหยูและถูกนางบงการ หวังให้มาติดคุกด้วยกันจะได้ไปก่อเหตุไม่ได้

ทว่าสุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามที่เขาคิด ชิวหยูกลายเป็นผีไร้ร่างและออกไปฆ่าหม่าซือเต้าอยู่ดี นั่นเท่ากับคืนที่เกิดเหตุศพไร้หัวครั้งแรก เป็นการลงมือผิดพลาด เพราะความมืดคนที่ตายจึงกลายเป็นเฉินเจียว และนั่นทำให้เฉินเจียวกลายเป็นผีร้ายจนเกิดการแพร่กระจายไปถึงชุมชนประตูตะวันตก

หากไม่เร่งกำจัดให้หมดสิ้น หัวเมืองนี้ได้ล่มสลายแน่ ไม่สิ บางทีอาจหมายถึงแผ่นดินนี้ทั้งแผ่นดิน หม่าจงคิดแล้วยิ่งหวาดหวั่น

“เฮ่อชิวหยูตอนนี้อยู่ที่ไหน?” หม่าจงถามซุนเถา

“ที่ๆ นางไปย่อมมีที่เดียว คนมีแค้นย่อมไปล้างแค้น ผีมีแค้นเหตุใดจะไม่กระทำ” ไป่ยู่คำถามนั้นแทนซุนเถา

“หมายความว่า...” ยังไม่ทันที่หม่าจงจะกล่าวจบ ลูกน้องคนหนึ่งก็ลงมาที่คุกเพื่อรายงานข่าว

“พี่จงครับ มีบ่าวของท่านหม่ามาเชิญท่านยู่กลับไปที่จวนครับ เห็นว่าเกิดเรื่องขึ้นที่นั่น”

“ถ้างั้นรีบไปเถอะ ข้าจะไปด้วย”

“ถ้าเช่นนั้น รบกวนท่านมือปราบ ช่วยนำร่างของแม่นางชิวหยูไปด้วย”

“ได้!”

สองคนรีบดำเนินการ เดินทางโดยพลัน ในคุกอ้างว้าง เหลือเพียงซุนเถา สำนึกเสียใจ โดดเดี่ยวอยู่ลำพัง...

 

........................

 

จอมยุทธ์ไป่ตรวจตราทั่วหอซือเซียน ไม่พบศีรษะของเฉินเจียว เมื่อใช้ยันต์อาคมเพื่อตรวจจับไอมารของสิ่งชั่วร้ายก็กลับไม่ไหม้ไฟดังเช่นครั้งแรก จึงเข้าใจว่าศีรษะของเฉินเจียวไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

เวลานั้นซื่อเหนียงฟื้นคืนได้สติ จอมยุทธ์ไป่สั่งคนต้มยาตามที่ตนสั่งให้นางได้กิน จึงทำให้จิตใจสงบลง เขาสอบถามนาง เลยได้รู้ความว่าคืนที่หนิงเฉิงอี้ถูกฆ่าตาย นางเห็นว่าตายเพราะถูกศีรษะของเฉินเจียวกัดกิน

จนเมื่อเฉินเจียวกัดกินจนพอใจแล้วจากไป ซื่อเหนียงจึงได้เห็นว่าหลังจากนั้นไม่นาน ศีรษะของหนิงเฉิงอี้ที่ตายแล้วค่อยๆ แยกออกจากร่างแปรสภาพกลายเป็นผีร้ายไปอีกตน นางกลัวมากจึงรีบกลับไปซ่อนตัวอยู่ที่ห้อง กลัวอยู่เช่นนั้นก่อนที่จะจำอะไรไม่ได้อีก

จอมยุทธ์ไป่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็เข้าใจได้ว่าสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้สามารถแพร่กระจายไปได้ เขาคงนั่งรออยู่ที่นี่เฉยๆ ไม่ได้ตามที่หม่าจงต้องการอีกแล้ว

เวลานั้นเองที่มือปราบคนหนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวกับจอมยุทธ์ไป่ ว่าหม่าจงกำลังจะไปที่จวนของเศรษฐีหม่าซือเต้า เรื่องทั้งหมดกำลังจะจบแล้วและเขาต้องการให้จอมยุทธ์ไป่ไปที่นั่นเพื่อช่วยเป็นกำลังอีกคน หลังได้ฟังข่าว จอมยุทธ์ไป่ออกเดินทางทันที

 

........................

 

ไป่ยู่กับหม่าจงเดินทางมาถึงจวนของซือเต้าในตอนที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ทั้งจวนเปลี่ยวร้างไม่ต่างอะไรจากตอนที่ทั้งคู่ประสบในชุมชนประตูตะวันตก และถึงแม้จะรู้กันดีว่าอาจไม่มีใครเหลือรอด แต่ทั้งคู่ก็ไม่พูดถึงสถานการณ์นั่น พวกเขาทำเพียงเดินเขาไปสำรวจ

ไป่ยู่เป็นคนนำทาง เพราะคุ้นชินมากกว่า จุดหมายของเขาคือจวนกลางที่ตนได้สลักลงคาถาป้องกันไว้ ทว่าพอเดินพ้นประตูใหญ่ไปไม่เท่าไหร่ รอบข้างกลับเกิดเสียงขยับไหวทั่วทุกทิศทาง

ไม่ทันจะตั้งตัวหนึ่งในผีไร้ร่างตนหนึ่งก็พุ่งกระโจนเข้าโจมตีทั้งสอง หม่าจงสะบัดดาบฟันใส่อย่างแม่นยำ ศีรษะนั่นขาดครึ่งออกจากกันก่อนที่จะเน่าเละกลายเป็นก้อนเลือดสีดำ ไป่ยู่จำได้ว่าหัวนั้นคือหนึ่งในบ่าวของซือเต้าที่ตนเจอเมื่อคืน

“อยู่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว รีบวิ่งไปจวนที่เจ้าว่าเถอะ” หม่าจงกล่าวขึ้นเมื่อเสียงรอบข้างยิ่งขยับไหวถี่ขึ้น

สองคนออกวิ่ง มีเสียงกรีดร้องแหลมบาดหูไล่กวดตามไล่หลังมา ทั้งคู่ไม่หันไปมอง ทว่าไป่ยู่ยิ่งวิ่งยิ่งออกแรง พอเสียงพวกมันกระชั้นเข้า หม่าจงจึงตัดสินใจหยุดเพื่อถ่วงเวลา พลันเมื่อเขาหันกลับไป สิ่งที่เห็นคือฝูงศีรษะของผีไร้ร่างที่ทะยานพุ่งเข้ามานับสิบๆ หัว

ไป่ยู่เห็นเช่นนั้น รู้แน่ว่าหม่าจงไม่อาจรับมือ จึงตัดสินใจหมุนตัวกลับ แล้วสะบัดผ้าคลุมสีขาวที่สวมอยู่ก่อให้เกิดประกายไฟขนาดมหึมาสกัดกันพวกมันไว้ มีบางตนที่โดนไฟนั่นเผาจนสลายไป แต่ส่วนใหญ่หลบหนีได้

“วิ่งเร็ว! จวนอยู่หัวมุมข้างหน้านี่” ไป่ยู่ตะเบ็งเสียงบอก หม่าจงที่แม้จะแบกร่างของชิวหยูไว้แต่ก็ขยับตัวทำตามได้อย่างรวดเร็ว สองคนรีบวิ่งไปยังจุดหมาย

ทว่าเมื่อถึงจวนที่ตั้งใจจะเข้าไปหลบ สิ่งที่พบคือมีศีรษะของผีไร้ร่างนับร้อยๆ หัวเกาะเกี่ยวอยู่ทั่วทั้งจวน ปกคลุมมิดจนมองไม่เห็นว่าภายในนั้นเป็นเช่นไร

หม่าจงขนลุกทั่วกายรู้สึกสะพรึงกับสิ่งที่พบ คล้ายทางรอดเดียวที่จะช่วยได้ตอนนี้หมดสิ้นลงแล้ว ไป่ยู่ที่ท่าทางอ่อนกำลังลงยิ่งกว่าเดิมหลังจากที่ใช้ผ้าคลุมสีขาว ตัดสินใจใช้มีดกรีดฝ่ามือเพื่อเรียกเลือดออกมา หวังจะใช้คาถาแบบเดิมกลับที่เคยใช้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง

“อย่า! เจ้าอาจจะตาย” หม่าจงร้องห้าม

“ไม่ทำตอนนี้ได้ตายทั้งคู่แน่” ไป่ยู่ตอบกลับ สลัดมือที่ยื้อไว้แล้วลงมือ แต่กลับไม่มีเลือดสักหยดไหลออกมาจากบาดแผล

สองคนสีหน้าสิ้นหวัง หม่าจงตัดสินใจวางร่างของชิวหยูแล้วชักดาบออกมาถือไว้ทั้งสองมือ

“เจ้ารีบหาทางหนีออกไป ข้าจะถ่วงเวลาเอง”

“เรื่องนี้ต้นเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากข้า ถึงหยุดมันไม่ได้ ข้าก็ไม่ปล่อยให้ท่านตายเพียงลำพังหรอก” หม่าจงยิ้ม รู้สึกแม้มีความตายอยู่เบื้องหน้า แต่ในใจกลับมีความยินดี

“ใครว่าข้าจะยอมตายกลายเป็นผีไร้ร่าง”

“เช่นนั้นเราก็ช่วยกันหาทางรอดออกไปทั้งคู่เถอะ” สองคนถอยหลังชนกัน

หม่าจงกำชับดาบในมือแน่น ไป่ยู่หยิบยันต์ทั้งหมดที่มีโปรยรอบตัว เกิดประกายไฟกลายเป็นร่างของฝูงหมาป่าเดินวนเวียนรอบกายทั้งสองคน ก่อนจะชักกระบี่ขึ้นมา ขณะที่อีกมือถือมีดสั้นเตรียมไว้

ฝูงผีร้ายกระโจนให้คนทั้งคู่พร้อมกัน สองคนสะบัดอาวุธเข้าฟาดฟัน เหล่าหมาป่าทะยานพุ่งเข้าไปเผาพวกมัน เพียงพริบตามีศีรษะกลายเป็นก้อนเลือดสีดำนับสิบ ทว่าส่วนที่เหลือก็ยังมากเกินคณานับและหมาป่าเพลิงก็หมดสิ้นแล้ว

สองคนไม่ย่อยท้อ เหวี่ยงอาวุธสังหารอีกฝ่ายไม่หยุดพัก จังหวะหนึ่งหม่าจงเห็นผีร้ายสองตนพุ่งเข้าด้านข้างของไป่ยู่ จึงตวัดดาบหันไปฟัน มิคาดคิดกลับเพลี่ยงพล้ำทำให้ตนถูกจู่โจมจากอีกด้าน ไป่ยู่เห็นจึงรีบหันมาซัดมีดสั้นใส่ และนั่นทำให้เขาโดนรุมกัดไปด้วยอีกคน

พริบตา... เพียงพลาดพลั้งแค่พริบตา ร่างของทั้งสองคนก็โดนกระชากเนื้อเรียกเลือดและไม่สามารถตั้งตัวได้อีก

ฉับพลันเกิดเพลิงกองใหญ่ตรงที่ทั้งคู่อยู่ ไป่ยู่รีบใช้ผ้าคลุมร่างของหม่าจงและตัวเอง ผีร้ายที่รุมกัดกินถูกแผดเผาไหม้สลายไปจนหมดสิ้น ส่วนที่หลายล้อมต่างกระโจนหนีแตกกระจายออกไป สองคนบาดเจ็บแต่ไม่สาหัส หม่าจงสับสน ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“หายไปไหนมา รู้ไหมข้าตามหาเจ้าตั้งนาน เสี่ยวยู่” เสียงใครคนหนึ่งกล่าวขึ้น

“ท่านพี่หลง ข้านึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว” ไป่ยู่ลุกขึ้นนั่ง ยิ้มอ่อนล้า ร่างเต็มไปด้วยแผล

จอมยุทธ์ไป่หรือไป่หลง เดินเข้ามาประคองไป่ยู่ขึ้น แล้วหันไปกระชากให้หม่าจงลุกยืน เขามองรอบกาย เห็นฝูงผีไร้ร่างนับร้อยก่อนจะเหยียดยิ้ม

“พวกมันมีแค่นี้ใช่ไหม เช่นนั้นเจ้าไปสลักคาถาเถอะ ส่วนเจ้าคุ้มครองน้องข้าให้ดี เดี๋ยวทั้งหมดนี่ข้าจัดการพวกมันเอง” ไป่หลงตั้งท่ารวมกำลังไว้ที่สองแขน เตรียมใช้ท่าเพลงหมัดสกุลจ้าว

 

 

 

บทที่ 10: ทุกสิ่งคลี่คลาย

กำปั้นหนักหน่วงมีกำลังดุจหินผาที่ตกลงมาจากฟากฟ้า มันแหวกอากาศเฉือนเนื้อของเหล่าผีร้ายจนมีสภาพกลายเป็นเศษริ้ว แม้จะไม่ได้กระแทกโดนโดยตรง ส่วนที่โดนกระแทกโดยตรงยิ่งแหลกเละไม่เหลือชิ้นดี

พื้นดินบริเวณนั้นยุบลงจนเห็นได้ชัด โจวหม่าจงเห็นเช่นนั้นถึงกับตะลึง ผีไร้ร่างแตกกระเจิง ส่วนที่รอดเคลื่อนไหวรวดเร็ววกมาด้านหลังกะจู่โจมในมุมอับ หม่าจงส่งเสียงตระหนก หวั่นอีกฝ่ายจะเพลี่ยงพล้ำ

“ท่านมือปราบไม่ต้องกังวล ท่านพี่หลงจัดการพวกมันได้แน่นอน” ไป่ยู่กล่าวขึ้นราวกับเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาทั้งคู่เกือบตายเพราะพวกมันมาแล้ว

เป็นจริงอย่างที่ไป่ยู่ว่าไว้ พริบตาก่อนที่พวกมันจะได้พุ่งเข้าไปกัดกินเนื้อของไป่หลง เขาใช้กงเล็บแทงใส่ต้นสนเบื้องหน้าที่คะเนจากรูปร่างน่าจะมีอายุราวเกือบร้อยปี ก่อนที่จะใช้สองแขนกระชากต้นไม้นั่นเหวี่ยงสะบัดเป็นอาวุธฟาดพวกมันจนกลายเป็นเศษเนื้อสีดำ

หม่าจงคิด ว่าหากตอนนั้นไป่หลงเอาจริง ตนอาจไม่รอดมาจนถึงตอนนี้

“ท่านมือปราบช่วยข้าหน่อย” หม่าจงหันไปตามเสียง เห็นไป่ยู่ประคองร่างไร้ศีรษะของชิวหยูแล้วใช้หมึกสีแดงเขียนอักขระรอบตัวนาง

“เจ้าทำอะไรน่ะ?”

“ผีไร้ร่างมีนับร้อย หากจะหาตัวต้นเหตุคงต้องเริ่มจากที่ร่างของนาง ข้าจะใช้คาถาเชื่อมวิญญาณเพื่อให้ศีรษะนางปรากฏตัว”

“มันจะได้ผล... ใช่ไหม!?”

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ท่านมาช่วยจับร่างของนางที” หม่าจงทำตามแม้มีคำถามมากมายเช่น ไป่ยู่เป็นใครทำไมถึงสามารถใช้คาถาอาคมได้ แต่ก็รู้ดีว่าเวลานี้ยังไม่ควรให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น

ทันทีที่ไป่ยู่เขียนอักขระเสร็จสิ้น เขาขยับสองมือในลักษณะมุทรา(1) สลับสับเปลี่ยนรวดเร็ว ก่อนจะใช้สองนิ้วชี้กลางกดไปที่ร่างของชิวหยู พลันเกิดเสียงกรีดร้องโหยหวน แต่ยังหาต้นทางไม่พบ ไป่ยู่เกร็งกำลังมีเหงื่อไหลซึมจากหน้าผากจรดปลายคาง

ร่างชิวหยูคล้ายมีไอร้อนปรากฏ เหมือนกำลังโดนเปลวไฟแผดเผา เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกครั้ง ผีร้ายบางตนหันเหจากไป่หลงมาโจมตีใส่ไป่ยู่ หม่าจงเฝ้าระวังอยู่แล้วจึงสะบัดดาบฟาดฟันใส่ได้อย่างทันท่วงที

“ไอ้มือปราบ มองหาต้นเสียง” ไป่หลงที่ยังติดพันกับการต่อสู้ตะโกนขึ้น

หม่าจงหงุดหงิดกับคำเรียกไม่น้อยแต่ไม่มีเวลาต่อคำด้วย เขาทำตามที่บอกจนเห็นศีรษะหนึ่งคล้ายมีไอควันท่าทางทรมานท่ามกลางผีไร้ร่างตนอื่นๆ อยู่บนหลังคาจวนกลาง

“บนหลังคาจวนนั่น” หม่าจงบอก ไป่หลงมองตาม กำหมัดแน่นจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูก

“ท่านพี่หลง ในนั้นอาจยังมีคนอยู่!” ไป่ยู่ร้องเตือน ทว่าไม่ทันแล้ว...

ไป่หลงกระแทกหมัดออกไป เกิดเป็นปราณรูปพระโพธิสัตว์พันมือโถมใส่หลังคานั่น เสียงดังสนั่นของการทำลายล้างถูกกลบกลืนอยู่ใต้กลุ่มควัน ผีไร้ร่างที่เหลืออยู่ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง คล้ายเน่าสลายกลายเป็นก้อนเนื้อสีดำไปเอง

“เกิดอะไรขึ้น!?” หม่าจงเอ่ยเปล่าคล้ายรำพึงกับตนเอง

“ต้นเหตุสิ้น ปลายผลมลาย แม่นางชิวหยูคงตายแล้วจากการกระทำเมื่อครู่ของท่านพี่หลง”

ควันจางหาย สิ่งที่เหลืออยู่คือจวนกลางที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิมยกเว้นส่วนหลังคาที่แหว่งหายกลายเป็นเศษกระเบื้องกระจายอยู่รอบบริเวณ

“ดีนะที่เจ้าเตือนทัน ไม่เช่นนั้น ข้าคงซัดปลิวไปทั้งจวน” ไป่หลงกล่าวท่าทางไม่กังวล ทั้งสามเดินเข้าไปสำรวจดู

มีบ่าวอีกหลายคนอยู่ในนั้น แต่ละคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ก่อนจะพบซือเต้าที่มีบาดแผลฉกรรจ์นอนหมดสติเอาตัวกำบังเด็กน้อยแซ่เฉินซึ่งมีเลือดตรงช่องท้องเอาไว้ ไป่ยู่รีบห้ามเลือดให้กับซือเต้า

ทว่าพอหันไปเปิดเสื้อเด็กแซ่เฉินเพื่อจะห้ามเลือดกลับพบว่าอีกฝ่ายสวมตู้โตว(2) ไว้ ไป่ยู่รีบกระชับเสื้อปิดคืนในทันทีเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นอิสตรี หม่าจงเห็นท่าทางพิกลจึงกล่าวถามว่ามีอะไร ไป่ยู่หน้าแดงระเรื่อส่ายศีรษะแทนคำตอบ ก่อนที่หม่าจงจะซักไซ้ไปเกินกว่านี้ ไป่หลงก็ร้องบอกทั้งคู่จากมุมหนึ่งของจวน

“เสี่ยวยู่ ตรงนี้”

ไป่ยู่เดินไปตามที่ถูกเรียก สิ่งที่พบคือศีรษะของชิวหยูที่โชกไปด้วยเลือดและเหลือเพียงแค่ครึ่งเสี้ยว นางมองเขาดวงตาคล้ายยังไม่ปล่อยวาง ก่อนที่หยดน้ำจากตาจะผสมกับโลหิตกลายเป็นน้ำตาเลือด

มากความแค้น มากอาฆาต มากความทุกข์ สิ่งสุดท้าย ที่เหลืออยู่ หนีไม่พ้น เพียงความตาย...

ไป่ยู่พนมมือแล้วสวดคาถาหนึ่งซ้ำวนไปมาก เกิดประกายแสงชำระล้างความดำมืด ก่อนที่ศีรษะของชิวหยูจะสลายไป หม่าจงมองด้วยความรู้สึกตื่นตา นับแต่พบกับคนผู้นี้ เข้าได้เห็นในสิ่งที่คาดไม่ถึงเสมอ

 

..........................

 

ในความมืด เด็กแซ่เฉินคล้ายเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวตัวเอง ต้นเหตุที่แท้จริงของโศกนาฏกรรมที่ทำให้พี่สาวจมปลักกับความเคียดแค้น คล้ายกับมีคนต้องการให้เด็กน้อยรู้ความจริงก่อนที่ภาพทั้งหมดจะกลายเป็นแสงสว่างเจิดจ้า

เฉินหลิน... เฉินหลิน” เสียงหนึ่งกล่าวขึ้นใกล้ตัว เด็กน้อยแซ่เฉิน ลืมตาขึ้นมองอย่างช้าๆ

สิ่งที่เห็นคล้ายกับตัวเองอยู่ในความฝัน ร่างโปร่งแสงของเฉินเจียวและดวงวิญญาณอีกนับร้อยดวง กำลังยืนอยู่รอบพื้นที่ของจวนซึ่งพังทลายไม่มีชิ้นดี ยามราตรีดูสว่างไสวเพราะเหล่าดวงวิญญาณ บางร่างจางหายไปราวกับถูกชำระล้าง พี่สาวของนางก็เช่นกัน มีสีหน้าสงบอย่างที่ไม่เคยเห็นมานานในรอบหลายปี มีรอยยิ้มที่ห่วงใย

“ที่ผ่านมาพี่ขอโทษ ต่อไป จงใช้ชีวิต อย่ายึดติดกับความแค้นใดๆ”เฉินเจียวกล่าวมือบางเบาลูบสัมผัสใบหน้าน้อง คล้ายจับต้องได้ แต่ความจริงไม่สามารถจับต้องได้

“พี่จ๋า อย่าไป” วิญญาณนั้นทำได้เพียงยิ้ม ซือเต้าสำลักไอ ฟื้นขึ้นมาทันเห็นเฉินเจียว

“เสี่ยวเจียว เสี่ยวเจียวของข้า เจ้ายังไม่ตาย” เสียงนั้นสะอื้น

“ข้ารู้ความจริงหมดแล้ว ข้าขอโทษ หากท่านจะยังมีความกรุณา โปรดช่วยดูแลน้องสาวข้าด้วย” เฉินเจียวกล่าวถึงตรงนี้ร่างก็มลายหายไป

ซือเต้าร่ำร้องเรียกนางอย่างอาวรณ์ เหมือนยังตกอยู่ในความฝันและรักนิรันดร์ เด็กน้อยเฉินหลินก็ไม่ต่างกัน...

เป็นค่ำคืนที่เกิดเรื่องราวมากมาย มีคนตายนับร้อย ไป่ยู่มิคาดคิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงสวดส่งวิญญาณทั้งหมดไปสู่สุคติและยอมรับบาปกรรมนั้นไว้กับตัว

มีผู้คนเล่าลือถึงดวงไฟนับร้อยที่ลอยหายไปบนท้องฟ้า บ้างว่าจวนเศรษฐีหม่าจุดพลุฉลอง บางว่าเป็นดาวตก บางว่าเป็นหิ่งห้อย ไม่มีใครรู้ความจริง แต่ทุกคนล้วนกล่าวว่าสวยงาม...

 

.......................

 

รุ่งเช้ามาเยือนในตอนที่บ่าวทั้งหมดช่วยกันเก็บกวาดซากปรักหักพัง ซือเต้าอาการทุเลาขึ้นหลังให้คนไปตามมองมาดูแผลและรักษา เฉินหลินหรือน้องของเฉินเจียวมิได้บาดเจ็บอย่างที่คาดเพราะเลือดตรงช่องท้องที่เห็นเป็นเลือดของซือเต้าที่เปื้อนนาง ทั้งหมดอยู่ในจวนพักอีกหลังหนึ่ง

“ขอโทษท่านหม่าที่ทำให้จวนท่านเสียหาย” ไป่ยู่กล่าวอย่างสำนึก

“มิได้ๆ ดีแล้วที่ท่านมาทัน ไม่งั้นคงไม่ใช่จวน ชีวิตข้าก็คงหาไม่ไปด้วย”

“เสียดายที่เรื่องนี้ทำให้มีคนตายนับไม่ถ้วน”

“ท่านไป่ไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลชาวบ้านคนที่รอดชีวิตให้ดีและทำบุญอุทิศให้กับคนที่จากไป” สีหน้าของซือเต้าเศร้าหมองลง

“ท่านจะดูแลนาง” ไป่ยู่หมายถึงเฉินหลิน

“ใช่ ข้าจะรับนางเป็นลูกบุญธรรม เพื่อชดเชยเรื่องที่เกิดขึ้น” หลังวิญญาณเฉินเจียวทำให้น้องเข้าใจความจริงทั้งหมด เฉินหลินก็เลิกคิดเรื่องแก้แค้น ทว่านางก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรยังไงต่อไป

ไป่ยู่ละจากซือเต้าเพื่อไปคุยกับเฉินหลิน คล้ายรู้ความกังวลใจนั้น

“เป็นยังไงบ้าง” เขาถาม นางส่ายศีรษะแทนคำตอบ

“เราเคยเจอกันเมื่อวันก่อน เจ้าจำได้ไหม ข้าชื่อไป่ยู่ เจ้าชื่อ...?” อีกฝ่ายก้มหน้าสักพัก ก่อนจะพยักหน้าแล้วตอบ

“เฉินหลิน”

“เราสองคนคือหยกทั้งคู่สินะ(3)” ไป่ยู่เอ่ยยิ้ม เฉินหลินยิ้มตาม

“ท่านเป็นคนช่วยให้พี่สาวไปสู่สุคติใช่ไหม” ไป่ยู่พยักหน้า นางจึงกล่าว “ขอบคุณ”

ไป่ยู่มองดูคนตรงหน้า อายุราวสิบสามย่างสิบสี่ ดวงตากลมโตท่าทางมีแววฉลาดและซุกซน แต่ก็หม่นด้วยเพราะอมทุกข์ ใบหน้ามอมแมม แต่ชุดผู้ชายแบบมิดชิดด้วยผ้ากระสอบ ซ้ำยังสวมหมวกจนชวนเข้าใจผิด

“ทำไมปลอมเป็นหญิง?”

“พี่สาวบอกว่าโลกนี่น่ากลัว ปิดบังไว้จะเหมาะกว่า เดี๋ยวนะ! ท่านรู้ได้ไงว่าข้าเป็นสตรี?”

ไป่ยู่หน้าตึงขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองถามในสิ่งที่ไม่ควร เฉินหลินถอยห่างเขาทีละน้อยพร้อมกระชับเสื้อตัวเอง

“ก็ ก็เจ้าปลอมตัวไม่แนบเนียนนี่ ข้าดูแล้วก็รู้ทันทีเลย ไม่เชื่อถามคนอื่นได้นะ” ไป่ยู่เฉไฉ แต่ยิ่งทำให้เฉินหลินมองอย่างไม่ไว้ใจมากกว่าเดิม

 

..........................

 

“พี่หลงจะทำยังไงต่อไป” หม่าจงถามขึ้น ขณะอยู่กับไป่หลงตามลำพัง อีกฝ่ายมองนิ่ง

“เจ้านี่ชอบตีสนิทเหลือเกินนะ เดี๋ยวก็เรียกข้าว่าพี่ไป่บ้าง ตอนนี้ยังมาเรียกพี่หลงอีก ข้าจำไม่ได้ว่าเราเป็นญาติกัน”

“ข้านับถือท่านใยต้องตัดรอน อีกอย่างร่วมเป็นร่วมตายกันขนาดนี้จะถือเป็นพี่น้อง ก็นับว่าไม่แปลก”

“หึ แล้วแต่เจ้าเถอะ” ไป่หลงกล่าวแล้วเดินเลี่ยง

“เดี๋ยวสิ ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลย หลังจากนี้จะทำยังไงต่อ”

“พาท่านน้าจิ่นสือไปหาลูกที่เมืองหัวอัน หลังจากนั้นก็ทำเหมือนที่เคย”

“เดินทางปราบสิ่งชั่วร้ายน่ะเหรอ”

“ตามหาคนต่างหาก แรกเริ่มข้ากับเสี่ยวยู่ก็ออกเดินทางเพราะเป้าหมายนี้”

“ท่านตามหาใคร?”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” กล่าวจบ ไป่หลงก็หยุดต่อคำอื่นใดอีกแม้ว่าหม่าจงจะพยายามซักไซ้เช่นไรก็ตาม จนรองหัวหน้ามือปราบยังต้องยอมถอยออกมา

“ของท่านมือปราบอย่างได้โกรธเคืองท่านพี่หลงเลย เขาเป็นเช่นนี้มาตลอด แต่หากว่าตามความเห็น ข้าว่าเขายอมรับท่านมากกว่าผู้อื่นทั่วไปแล้ว”

“อะ เอ่อ ไม่ต้องเรียกท่านมือปราบหรอก ผ่านอะไรมาตั้งขนาดนี้แล้ว เรียกข้าพี่จงเถิด” หม่าจงเอ่ย ไป่ยู่ยิ้มรับ “ก่อนนี้ข้าขอโทษนะที่มีอคติกับเจ้า ข้านึกว่าเจ้าเป็นพวก แบบเดียวกับเฉาเกาน่ะ”

“หามิได้ พี่จงกล่าวเกินไปแล้ว เป็นเพราะการกระทำของข้า จึงทำให้พี่เข้าใจผิดไป”

“แต่ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะเป็นคนเดียวกับที่ชาวบ้านล่ำลือ เดินทางกับเสือปราบภูตผีวิญญาณสิ่งชั่วร้าย เขาก็ดูเหมาะจะเป็นเสือจริงๆ” หม่าจงหมายถึงไป่หลง

“เป็นพยัคฆ์นามมังกรแท้จริงเลยล่ะ(4)” สองคนหัวเราะเบาๆ “จริงสิพี่จง ข้ามีเรื่องอยากรบกวนขอร้องท่าน”

“ว่ามา”

“เรื่องของซุนเถา ท่านจะปล่อยเขาให้ไม่ต้องรับโทษได้หรือไม่”

“ได้สิ ว่าตามตรงเรื่องที่เกิดเป็นเพราะเขาพยายามหยุดยั้ง เพียงแต่ไม่สามารถกระทำได้ หากฆ่าผีร้ายต้องรับโทษทางกฎหมาย ทั้งข้า เจ้าและพี่หลงคงต้องโดนประหารนับร้อยๆ ครั้ง”

“ขอบคุณพี่จงมาก”

“เจ้าจะออกเดินทางต่อหรือ”

“ใช่ครับ ก่อนนี้เพราะเราสองพี่น้องพลัดหลงกันจนเสียเวลาตามหาจึงได้มาที่หัวเมืองนี้ ตอนนี้ได้เบาะแสใหม่ของคนที่ตามหา พวกข้าคงต้องเดินทางต่อ”

“คนที่ตามหา?”

“ซินแสกูเกอ”

“ข้าเคยได้ยินชื่อเขา ปราชญ์ผู้รอบรู้ทุกเรื่องของแผ่นดิน เจ้าตามหาเขาทำไม?”

“ขอโทษด้วยพี่จง ที่เรื่องนี้ข้าไม่สามารถบอกได้” ไป่ยู่เอ่ยเสียงเศร้า

“เอาเถอะ เจ้าไม่สะดวก ข้าก็ไม่ได้ต้องการบีบคั้น ขอให้เจ้าพบเขาในเร็ววัน”

“ครับ ท่านหม่าบอกแล้วว่าเมื่อหกเดือนก่อนที่พบกัน เขาบอกว่าจะไปที่เมืองหัวอัน คงจะต้องไปตามร่องรอยที่นั่นอีกที”

สองคนยิ้มให้กัน เสียงหนึ่งแทรกขัดขึ้น

“ท่านไป่เมื่อครู่ยังตกลงกันไม่จบเลย ทำไมถึงเลี่ยงข้ามา” เฉินหลินที่ยังอยู่ในชุดเด็กน้อยเดินตามมาเพื่อประสงค์ที่ต้องการ

“ข้าบอกแล้วนี่น่า ว่าพี่สาวเจ้าต้องการให้ท่านหม่าดูแลเจ้า แล้วเขาก็ยินดี ตกลงรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม”

“นับเป็นเรื่องน่ายินดี” หม่าจงแทรกขึ้น เฉินหลินหันไปถลึงตาใส่จนมือปราบหน้าเจื่อน

“แต่... แต่ข้าไม่ได้รู้จักเขา ก่อนนี้ยังมองว่าเป็นศัตรูด้วยซ้ำ ให้ข้าตามท่านไปเถอะนะ ข้าสัญญาว่าจะปรนนิบัติดูแลท่านอย่างดี ว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังไม่ดื้อรั้น”

“แค่เริ่มก็ไม่เชื่อฟังแล้ว เจ้าอยู่กับท่านหม่านี่แหละที่ข้าประสงค์ อีกอย่างเจ้าไม่รู้จักเขา แต่ใช่ว่ารู้จักข้า จะไว้ใจตามไปได้หรือ”

“ถึงข้าไม่รู้จักท่าน แต่ข้ามีพี่สาวเป็นญาติเพียงคนเดียว แล้วท่านก็เป็นคนส่งนางให้ไปอย่างสงบ ข้านับท่านเป็นผู้มีคุณนะ” ไป่ยู่ฟังแล้วก็อดหดหู่กับชะตาของคนตรงหน้าไม่ได้

“เฉินหลินเจ้าฟังข้านะ หนทางของข้ามีแต่อันตราย ไม่เหมาะกับเด็ก ถึงเจ้าจะไม่คุ้นเคยกับท่านหม่า แต่เชื่อเถอะเขาจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ไว้วันหนึ่งหากเจ้าโตมากกว่านี้แล้วยังไม่เปลี่ยนใจ ข้าสัญญาจะมาพาเจ้าออกเดินทางด้วยกัน”

“สัญญานะ” เด็กน้อยถาม ชูนิ้วก้อยให้อีกฝ่ายเกี่ยวเพื่อทำสัญญา ไป่ยู่มองยิ้มแล้วยอมยื่นนิ้วก้อยเกี่ยวสัญญา โดยไม่คาดคิดว่าภายหลังการกระทำนี้จะผูกชีวิตเขาไว้กับใจนางชั่วนิจนิรันดร์

“ข้าสัญญา”

........................

 

ไป่ยู่ ไป่หลงและโจวหม่าจง กลับมาที่กองปราบเพื่อที่ไป่หลงจะได้พาหนานจิ่นสือไปพบลูกชาย มิคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเศร้า เมื่อซุนเถาตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง โดยเขียนอักษรเลือดไว้บนกำแพงแทนคำสั่งเสีย

มีรักผูกพัน ใช้ชีวิตทดแทน

สุดท้ายความรู้สึกของคนผู้นี้ก็กลืนกินชีวิตของเขาไป ไป่ยู่ได้แต่เศร้าใจและสวดส่งวิญญาณอีกหนึ่งดวง หวังเพียงพวกเขาสามคนจะได้พบกันในปรโลก

เฉาเกาฟื้นคืนสติ ท่าทางแม้จะยังไม่หายปกติ แต่ดูเหมือนนิสัยจะเปลี่ยนแปลง เขาแม้จะเห็นหน้าไป่ยู่แต่ก็ไม่ถามหาทรัพย์นับแสนหรือตั๋วแลกเงินอีก

เอาแต่พร่ำบ่นว่าจะทำแต่ความดี ไป่หลงท่าทางยังไม่วางใจ หม่าจงยืนยันว่าเดี๋ยวก็กลับเป็นคนละโมบเหมือนเดิมแน่นอน แต่เขารับปากจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบอีกอย่างเด็ดขาด ไป่หลงจึงยอมปล่อยวาง พาหนานจิ่นสือที่ยังไม่ฟื้นคืนสติดีไปที่เมืองหัวอัน

สองคนนอนเคียงบนเตียงเดียวกัน หนานฮุ่ยจือลืมตาฟื้นขึ้นมาเห็นพ่อนอนอยู่ข้างกาย เรียกร้องอยู่ไม่กี่คำก็ทำให้จิ่นสือได้สติ สองพ่อลูกได้พบกันหลังพ้นผ่านเรื่องเลวร้าย สองพี่น้องแซ่ไป่ยืนมองอยู่ห่างๆ จากด้านนอกของบ้านหมอเหวินถัง

“ท่านพี่หลงจะไม่ร่ำลาพวกเขาหน่อยหรือ”

“ไม่จำเป็น เจ้าเคยเห็นชอบข้าลาจากใครหรือไง”

“ครั้งหนึ่ง... กับ...”

“แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว เดินทางต่อเถอะ แล้วครั้งนี้เจ้าอย่าหลงทางไปไหนอีกละ” ไป่หลงเอ็ด ไป่ยู่ยิ้มรับ มีเสียงคนกลุ่มหนึ่งสนทนากันแว่วเข้ามาในหู

“พวกเจ้ารู้ข่าวหรือยัง มีคนแขวนคอตายที่กำแพงนอกด่าน!”

“ใครกัน! ทำไมคิดสั้นเช่นนั้น?”

“ไม่ใช่คิดสั้น แต่ถูกฆ่า! บนศพมีฝ่ามือเลือดประทับอยู่ ที่สำคัญ ไม่ใช่ศพเดียวนะ”

“เท่าไหร่?” คำถามนี่ไป่หลงเป็นคนเอ่ย

“ห้าสิบสองศพ!”

 

ปิดคดี ศพไร้หัว ผีไร้ร่าง

เปิดคดี สมบัติตระกูลงัก!

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด