ตอนที่แล้วตอนที่ 8 ตัวแสบ แสบตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 10 ชิมิชิมิ ที่หายไป

ตอนที่ 9 ท่านชาย กับ ปลาย่าง


บนผืนฟ้าสีครามท่ามกลางแดดร้อนระอุ สายลมตีเข้าหน้าลินจิผึบผับ ๆ จนริมฝีปากสั่นสะบัดราวกับหมาพันธุ์บูลล์ด็อกวิ่งโต้ลม ร่างกายรู้สึกเมื่อยล้าหนักอึ้ง เหมือนถูกจับขึงแล้วโดนฟาดด้วยกระบอง ขณะที่ยังไม่ได้สติดี ลินจิก็นึกว่าตนกำลังลอยอยู่บนกระสวยอวกาศ พอก้อนเมฆเข้าปากเขาก็สำลักออกมาก่อนจะได้สติ

ลินจิลืมตาอย่างตกใจ …เหวอ

“ปล่อยนะ บอกว่าให้ปล่อย”

          “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง ถ้าอยากตายนักข้าจะปล่อยลงเดี๋ยวนี้” 

ขณะลอยอยู่บนท้องฟ้า ลินจิก็อาละวาดดิ้นพล่านบนหลังของชุน เมื่อไม่มีทีท่าว่าจะหลุด เขาก็ทุบไหล่ชุนดังปึกปัก ๆ เป็นจังหวะเพลงซ้อมเชียร์

ชุนเริ่มหมดความอดทนจึงพยายามสลัดลินจิออกจากหลัง แต่อีกฝ่ายก็ใช้มือเกาะไว้แน่นราวกับตุ๊กแก

“จะฆ่าผมเหรอไง นิสัยไม่ดี”

          “ถ้าเจ้ายังปากดี ข้าจะจับเจ้าเหวี่ยงลงพื้นให้กลายเป็นอาหารอีกา”

          ได้ยินคำขู่ลินจิก็กลัวจนหัวหด ตอนนี้ยังหดแค่หัว แต่ถ้าล่วงตกลงไปจริง ๆ อย่างอื่นคงหดด้วย ลินจิใช้แขนรัดคอชุนเพื่อยึดตัวไว้อย่างเต็มแรง พลางทำปากจู๋

          “แอ็ก… ปล่อยนะเจ้าบ้า ข้าหายใจไม่ออก”

          “ไม่ปล่อยหรอก ปล่อยก็โง่สิ”

ชุนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบมองหาเส้นทางลงสู่พื้น ขณะล่อนตัวลงลินจิก็ก้มมองทิวทัศน์ด้านล่าง เห็นสีเขียวของป่าไม้แซมกับพื้นสีน้ำตาล พอมองผืนน้ำก็มีประกายแสงระยิบระยับ แม้จะสวยงามแต่ก็ชวนให้หวาดเสียว

ขณะที่ลินจิสั่นแหง็กด้วยความกลัว ชุนก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา

“เจ้าแต่งตัวเป็นทาสรับใช้แล้วดูดีมากเลยล่ะ เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นทาสจริง ๆ”

ชุนทำเป็นหยอกเย้าอย่างสบาย ๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ปล่อยให้ลินจิหลบหนี พันธกิจครั้งนี้สำคัญมาก มีหลายอย่างที่ต้องทำ ทั้งเรื่องสืบหาเบาะแสของตำราต้องห้าม รวบรวมผลึกดวงดาวให้ครบก่อนพวกปีศาจ และออกตามหาคู่มั่นที่หายไป

ลินจิดูออกว่าตนกำลังเสียเปรียบ ขืนต่อปากต่อคำกลางอากาศอาจโดนปล่อยให้ตกพื้นตายได้ คนเราต้องมีชั้นเชิง รู้จักทางหนีทีไล่ในสมรภูมิรบ ลินจิไม่ใช่คนโง่จึงยึดการอ่อนข้อเพียงประเดี๋ยวประด๋าว เผื่อจะได้ใช้เป็นทุนในการต่อลองเพื่อร้องขอสิ่งที่ต้องการในภายภาคหน้า ลินจิพูดเสียงอ่อนว่า

          “จะทำอะไรก็เชิญเถอะครับ ยังไงผมก็เป็นลูกไก่ในกำมือของคุณชุนอยู่แล้ว กำก็ตาย คลายก็รอด อยู่ที่คุณชุนจะตัดสินใจ”

          ได้ยินแบบนั้นชุนก็ปรายตามองด้านข้างเล็กน้อย แม้จะมองไม่เห็นว่าลินจิมีสีหน้าอย่างไร แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วน่าจะไม่ได้เสแสร้ง

…หรือว่าเสแสร้าง เขาลังเลอยู่เล็กน้อย

          “ข้าจะไม่ใช้กำลังกับเจ้าแล้ว”

          พอได้ยินชุนพูดเสียงเย็น ลินจิก็หัวเราะคิกคักในใจ พลางคิดว่า ซื่อบื้อเสียจริง สมองถูกหมูกินไปแล้วหรือไง ทำเสียงอ่อนนิดอ่อนหน่อยก็ใจระทวยเป็นกล้วยเน่าเชียว ขณะที่นินทาในใจอยู่นั้น ชุนก็พูดต่อ

“อย่างมากข้าก็แค่ทิ้งเจ้าให้ปีศาจฉีกร่างกิน ข้าจะยืนดูอยู่เฉย ๆ ไม่เข้าไปช่วยเจ้า แบบนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการใช้กำลัง”

          “…”

ลินจิหน้ากระตุกหงึก มารดามันเถอะ นับวันชุนยิ่งหาทางกลั่นแกล้งเขามากขึ้นทุกที แต่อยู่ฟ้าแบบนี้มีแต่เสียเปรียบ …คอยดูเถอะ ลงไปเมื่อไหร่นะ

ชุนพาลินจิล่อนลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย เมื่อสังเกตโดยรอบก็เห็นหมู่บ้านตั้งอยู่ใกล้ ๆ สุดลูกหูลูกตามีเนินเขาและบันไดยาวทอดขึ้นไป ส่วนด้านบนก็เห็นจุดสีน้ำตาลเท่าปลายนิ้วก้อย คงเป็นศาลเจ้าหรือไม่ก็ปราสาทของใครสักคน ลินจิยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะวิ่งตามชุนไป

 

เมื่อทั้งสองเข้ามาถึงตัวหมู่บ้านที่มีกระท่อมไม้และผู้คนอาศัยอยู่พลุกพล่าน จากนั้นลินจิก็ใช้ทักษะหยั่งรู้ส่องดูข้อมูล

< [หยั่งรู้ LV3] เริ่มทำงาน >

[หมู่บ้านหาปลา]

“ที่นี่คือหมู่บ้านหาปลาใช่ไหมครับ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

พอลินจิถาม ชุนก็หันหน้ามองอย่างสงสัย

“หรือว่าคุณชุนไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน”

“รู้สิ แต่ข้าแค่สงสัยว่าเจ้ารู้ได้อย่างไร”

ลินจิไม่ตอบ เหล่มองชุนจากด้านข้างพลางยิ้มเย้ยด้วยมุมปากด้วยความสะใจ พอชุนหันมาลินจิก็แกล้งเบือนหน้ามองทางอื่น เมื่อแน่ใจว่าชุนไม่ได้จ้องมาที่ตนแล้ว เขาก็ถามต่อ

“คุณชุนรู้ว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านหาปลาได้ยังไงล่ะครับ”

ขณะเดินอยู่ ชุนก็ใช้นิ้วชี้จิ้มบริเวณขมับตัวเอง นึกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า

“สมัยเด็กข้าเคยมาที่นี่กับเพื่อน ๆ หนึ่งในนั้นคือคู่มั่นของข้าที่หายตัวไป และอีกคนหนึ่งคือสหายของข้าชื่อ ‘เอวิน’ ตอนนี้โมโมะกำลังสงสัยว่า… ตำราต้องห้ามอาจถูกเอวินขโมยไป”

ลินจิฟังอย่างไม่ใส่ใจ ตำรงตำราอะไรกัน ไม่ได้เกี่ยวกับเขาสักหน่อย เมื่อชุนหยุดพูดลินจิก็แทรกทันที

“แปลว่า… ถ้าคุณชุนไม่เคยมาที่นี่ ก็จะไม่รู้ว่ามันคือที่ไหนสินะครับ”

“ทำไมหรือ”

เมื่อหันมาเห็นสีหน้าแป้นแล้นของลินจิ ชุนก็ขมวดคิ้วแน่นเป็นรอยย่นลึก แล้วหยุดเดิน

“ผมไม่ต้องรอให้ใครมาบอกหรอกครับ แบบนี้เรียกว่าฉลาดรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ ถ้าเทียบกับคุณชุนที่ต้องอาศัยประสบการณ์เดินทางมาถึงจะจำข้อมูลได้ แบบนี้ก็เท่ากับว่า… เอ๊ะไม่สิ บางทีเรื่องพวกนี้อาจจะยากเกินว่าที่สมองมนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจ”

ลินจิยังไม่หายเคืองเรื่องที่ชุนขู่ตนว่าจะจับโยนให้ปีศาจกิน จึงพยายามล้อมบทสนทนาหลอกด่าชุนอ้อม ๆ ว่า ‘โง่’

“อะ…โอ๊ย”

          ชุนลงสันมือเข้ากลางหัวลินจิทันที พอลินจิเงยหน้าขึ้นมาก็พบแววตาคมปราบน่ากลัว ยังไม่ทันได้อ้าปากด่า ชุนก็ใช้มือสัมผัสที่ด้ามดาบ เห็นแบบนั้นลินจิก็ถอนหายใจอย่างยอมแพ้ พูดเสียงอ่อยอย่างน่าสงสารว่า

          “…เข้าใจแล้วครับ”

          “ดีมาก”

          ชุนตบบ่าลินจิเพื่อสื่อว่าเข้าใจแล้วสินะ! ส่วนลินจิก็จ้องชุนเพื่อบอกว่าเจ็บนะ! แต่พอเห็นรอยยิ้มอ่อน ๆ ของเจ้าชาย ความเจ็บปวดของลินจิก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้จะดูเหมือนแพ้ทางหนุ่มหล่อ หรือค่อนไปทางบ้าผู้ชาย แต่ครั้งนี้ถือว่าลินจิต้องยอมจริง ๆ รอยยิ้มของชุนมีเสน่ห์มาก ถ้าไม่เกรงใจตอนเรียกชื่อชุนครั้งหน้า ลินจิก็อยากจะเรียกว่า ‘สามี’

          “แววตาของเจ้าดูน่ากลัวยิ่งนัก”

พอชุนทักลินจิก็รีบหลบสายตา …เสร็จกัน เผลอละเมอเพ้อพกจนแสดงออกทางสีหน้าจนได้

ขณะเดียวกันชุนก็คิดในใจว่า เทพตนนี้กินสัตว์มีพิษเป็นอาหารหรือไงกัน ถึงสามารถส่อแววตาที่น่ากลัวเช่นนั้นได้

 

เมื่อมาถึงใจกลางหมู่บ้าน ชุนก็สังเกตเห็นเหล่าชาวบ้านกำลังสนทนากันอย่างออกรส จึงบอกให้ลินจินั่งรอใต้ศาลาไม้บริเวณข้างทาง หากพวกชาวบ้านรู้ว่าเทพเจ้าสร้างโลกอยู่ที่นี่ อาจพากับกรูเข้ามาจนเกิดความวุ่นวายได้

          “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนนะ”

          “เอ๊ะ”

          ลินจิยืนนิ่งมองชุนสาวเท้าไปยังกลุ่มชาวบ้านอย่างงุนงง ก่อนจะหันไปทางศาลาไม้ เขาเดินตัวงอ เอามือข้างหนึ่งจับหลัง บ่นพึมพำว่า ‘เมื่อยจัง’ เหมือนคนแก่

          เมื่อหย่อนก้นนั่งพักในศาลาพลางสังเกตชุนที่ยืนสูงเด่นตระหง่านท่ามกลางชาวบ้านสามัญชน ลินจิก็รู้สึกราวกับว่า ตัวเองกลายเป็นหนุ่มน้อยในนิยายวาย ที่พระเอกต้องคอยดูแล ทะนุถนอม และปกป้อง ถ้าพกดินสอกับสมุดมาด้วยก็คงดี จะได้ร่างพล็อตไว้คล่าว ๆ เป็นการฆ่าเวลา

…คุณชุนคงกลัวเราเหนื่อยสินะ ถึงให้มานั่งพักแบบนี้ อ๊าย ๆ ♡

ลินจิคิดไปก็ยิ้มไป ทำท่าเคอะเขินบิดตัวไปมาอยู่ในศาลาเหมือนคนบ้า

ขณะที่นั่งฝันกลางวันเพียงลำพัง กลิ่นหอมของปลาย่างก็โชยเข้ามา พอน้ำย่อยเริ่มทำงาน กระเพราะอาหารก็ร้องโครกครากอย่างไม่ทันตั้งตัว

ลินจิเอามือกุมท้อง พ่นลมหายใจเบา ๆ พลางกวาดสายตาหาที่มาของกลิ่นเย้ายวน

ฝั่งตรงข้ามของศาลาเป็นบ้านไม้ไผ่ ด้านหน้ามีแผงเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้ พร้อมกับเตาฟืนจุดไฟควันโขมง ดูแล้วก็เดาออกเลยว่า…เป็นร้านขายปลาย่างแน่นอน เห็นแบบนั้นลินจิก็รุดหน้าเข้าไปสอบถาม ตอนนั้นเองเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้เอาเป้มาด้วย

ลินจิมองปลาย่างตัวโตบนเตาพลางกลืนน้ำลาย กุมท้องตัวเองไว้แน่น สมบัติติดตัวเขาก็ไม่มี ตอนที่สังเกตลูกค้าคนอื่นซื้อ ลินจิก็เห็นว่าต้องใช้เงิน ขณะครุ่นคิดหาวิธี ลินจิก็ถอนหายใจออกมา แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

“พ่อค้า ใช้เสื้อของผมแลกกับปลาได้เปล่าครับ”

ลินจิต่อลองกับพ่อค้าปลาเผาพลางใช้ปลายนิ้วหยิบเสื้อแล้วสะบัด ๆ จนฝุ่นคลุ้ง ขณะเดียวกันพ่อค้าก็กวาดตาประเมินลินจิตั้งแต่หัวจดเท้า พลางปัดมือย่นจมูกเหม็นเฉ่า ๆ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“จะซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไปไกล ๆ อย่าขวางการทำการค้า เป็นทาสยังริอาจมาต่อรองราคา แค่ได้เดินเที่ยวเตร็ดเตร่ไม่ต้องไปแบกหามกลางแจ้งก็บุญแค่ไหนแล้ว หัดสำนึกถึงความสบายในปัจจุบันเสียบ้าง”

ลินจิยังคงตัดใจจากปลาเผาตัวอ้วนหอมกลุ่นไม่ได้ เขาจึงถอดเสื้อออกมาเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน

“รับเสื้อของผมไปเถอะครับ ผมอยากกินจริง ๆ”

“ไปกินในฝันไป๊!”

พ่อค้าตะเพิดไล่ ไม่มองเขาเลยสักนิด

ชิชะ ไม่รู้หรือไงว่าเขาเป็นใคร ถึงลินจิจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ผู้คนต่างเรียกเขาว่า ‘ท่านเทพเจ้าสร้างโลก’ พ่อค้าคนนี้ตาถั่วเสียจริง มีตาหามีแววไม่ ประเมินคนจากภายนอกแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน

“พ่อค้า ข้าขอปลาเผาสองตัว”

เสียงของชายคนหนึ่งดังจากด้านหลังของลินจิ พร้อมกับกลิ่นดอกซากุระที่โปรายปราย แม้ลินจิจะไม่เคยดมแต่ก็พอรู้ได้ว่า ‘ซากุระต้องกลิ่นแบบนี้แหละ’

เมื่อหันไปก็พบชายหนุ่มในชุดยูกาตะแบบนักรบญี่ปุ่นโบราณ สวมผ้าเนื้อดี ดูมีชาติตระกูล รูปร่างสูงโปร่ง แม้ดูเผิน ๆ ว่าผอม แต่พอสังเกตดูดี ๆ กลับมีกล้ามเนื้อซ่อนอยู่อย่างผิดคาด เค้าหน้าติดหวาน ดวงตาเรียวรูปอัลมอนด์ ผมสีดำดูนุ่มสลวย หรือเรียกง่าย ๆ ว่าหนุ่มหล่อนั่นแหละ

“เหลือตัวเดียวขอรับนายท่าน”

พ่อค้ายิ้มเย้ย รีบยกปลาเผาออกจาเตาแล้วห่อใบไม้ทันที พลางเอ่ยกับลินจิว่า

“ใครจะขายให้เจ้ากัน เจ้าเป็นทาสเรือนไหนก็กลับไปกินเรือนนั้น อย่างเจ้ามีเงินด้วยหรือ”

ลินจิทนดูสายตาดูถูกไม่ไหว อย่างน้อยเขาก็มีศักดิ์ศรี

“ใครว่าผมไม่มีเงินซื้อกัน ถ้าจะเอาเงินก็ไปเก็บกับคนโน้น”

ลินจิพูดอย่างหงุดหงิดพลางใส่เสื้อ แล้วชี้ไปทางชุนที่กำลังยืนสนทนากับกลุ่มชาวบ้าน

พ่อค้าก็ไม่สนใจ ยื่นปลาห่อใบไม้ให้กับท่านชายที่เพิ่งมา เห็นแบบนั้นลินจิก็รีบยกมือขวางทันที

“ขายของภาษาอะไรกัน ไม่รู้เหรอไงว่าใครมาก่อนมาหลัง ผมยังไม่บอกเลยว่าจะไม่ซื้อ”

พ่อค้านิ่งไปพักหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กยาจกจะอันธพาลถึงเพียงนี้ ดูท่าจะไม่ยอมเสียด้วย ถ้าเกิดมันอาละวาดขึ้นมาจนข้าวของเสียหายคงไม่คุ้มแน่ ๆ

“เอาเถอะ ๆ ใจเย็น ๆ ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันคนละครึ่งตัวแล้วกัน”

พ่อค้ายิ้มเจื่อน กล่าวอย่างลำบากใจ

“ข้าต้องการทั้งตัว ไม่ชอบอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ”

ท่านชายกล่าวอย่างไม่พอใจพลางจ่ายเงินให้พ่อค้าแล้วรับปลาห่อใบไม้มา ส่วนลินจิก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วย่นจมูกใส่ ถึงจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่นิสัยแบบนี้ลินจิก็ไม่ปลื้ม

“น่าสงสาร”

“เจ้าทาส เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

พอลินจิเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวนกวนประสาท ท่านชายก็ถามเสียงเรียบ ปรายตามองลินจิด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“เป็นถึงท่านชาย ชีวิตคงสุขสบายน่าดู แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้ สมองเอาไปให้ลากินหมดแล้วเหรอไง”

“เรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้รึ”

ลินจิเห็นท่านชายยังตีหน้านิ่ง ตอบเสียงเรียบเฉยก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

“ปัญญาชนต้องรู้จักเรื่องมารยาท การต่อแถวซื้อของคือการให้เกียรติคนที่มาก่อน แซงหน้ากันแบบนี้ถือเป็นการคุกคามสิทธิของผู้อื่น หรือเรียกง่าย ๆ ว่า… ไร้มารยาท!”

ลินจิแผดเสียงดังตรงคำว่า ‘ไร้มารยาท’

“แล้วที่เจ้าโหวกเหวกโวยวายในที่สารธารณะเช่นนี้ เรียกว่ามีมารยาทหรืออย่างไรกัน”

ลินจิคิ้วกระตุกแยกเขี้ยวแง่ง ๆ ใส่ท่านชายรูปงาม

“ข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้า อยากจะว่าอะไรข้าก็เชิญ เพราะคนที่ได้ยินคำด่าเหล่านั้นเป็นคนแรกก็คือเจ้า ถ้าข้าไม่ฟังซะอย่าง ก็ถือว่าเจ้าด่าตัวเองไปแล้วกัน”

ลินจิร้องอ๊ากในใจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยโดนใครตอกกลับด้วยคำสุภาพจนรู้สึกเจ็บใจขนาดนี้

ขณะที่ท่านชายรูปงามหันหลังก้าวจากไป ลินจิก็ยิ้มมุมปากอย่างสะใจแล้วร้อง “หึ” ขึ้นมา

เมื่อได้ยินอย่างนั้นท่านชายก็หยุดเดิน

“ถ้าคุณไม่ฟังผมด่า จะรู้ว่าผมด่าได้ยังไง ปากบอกไม่ฟัง ที่แท้ก็หลอกตัวเองอยู่สิท่า เอาเถอะถ้าสบายใจก็เชิญหลอกตัวเองต่อไปเถอะ”

ท่านชายเหลียวหลังมองลินจิด้วยด้วยแววตาคมปราบ

…อึ๋ย

พ่อค้าเห็นท่าไม่ดีเลยรีบสาดน้ำใส่เตาไฟ แล้วเก็บข้าวของเข้าไปในบ้าน ก่อนจะปิดประตูดังปัง!

เมื่อถูกจ้องด้วยแววตาเย็นชาลินจิก็หน้าซีดเผือก พอลดสายตาต่ำลงก็เห็นวัตถุเรืองแสงสีชมพูคล้ายปืนเหน็บอยู่ที่เอวของเขา ปืนนั้นมีลักษณะสวยงามทอประกาย ตรงด้ามมีลวดลายแกะสลักคล้ายนกยูง

เห็นแบบนั้นลินจิก็กลืนน้ำลายดัง…อึก

ระหว่างสบตากันไม่นานนัก ท่านชายก็หันกลับแล้วก้าวจากไป

ลินจิอยากจะเปิดปาก ทว่าก็พูดอะไรไม่ออก แม้จะเจ็บใจและอ้าปากเตรียมพูดหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็หุบปากลง ทำได้แค่มองแผ่นหลังของท่านชายผู้นั้นจนตาเขียว แล้วแยกเขี้ยวขู่แง่ง ๆ เหมือนหมาบ้า น้ำลายเหนียวหนืดที่เกิดจากการขาดน้ำ ส่งผลให้ยืดเป็นสายราวกับยางของคางคกไฟ

ขณะที่ท่านชายเดินจากไป เครื่องแต่งกายก็สะบัดพลิ้วไปตามสายลม ลินจิไม่รอช้ารีบใช้ทักษะหยั่งรู้ส่องดูข้อมูลทันที เผื่อครั้งหน้ามีเรื่องอีกจะได้จำชื่อไปประจาน

< [หยั่งรู้ LV3] เริ่มทำงาน >

[ฮิคาริ ยู มนุษย์ เพศหญิง]

ลินจิรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็คิดว่าคงหิวจนสมองเบลอ เลยทำให้การรับรู้ข้อมูลผิดพลาดไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด