ตอนที่แล้วซัพที่16: ยาเคลื่อนดาราลวงโลกมาแล้ว!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่18: ลาจากวังทั้งที่ปวดบั้นท้าย

ซัพที่17: ร่างบ้าที่เป็นร่างปกติ


ซัพที่17: ร่างบ้าที่เป็นร่างปกติ

สองชั่วโมงผ่านไป จินหลงจึงฟื้นขึ้นมา ภาพใบหน้าของผู้เป็นแม่คือภาพแรกที่เขาเห็น กุ้ยเฟยเมื่อเห็นลูกน้อยลืมตาขึ้น ก็ส่งเสียงเรียกฮ่องเต้และท่านหมอทันใด จินหลงรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย

“จินหลง เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” กุ้ยบเฟยถามด้วยความหวัง จินหลงมองหน้าพระนาง

“เสด็จแม่ ข้าก็มิได้เป็นอะไรนี่” วาจาที่คล้ายกลับเป็นปกติ ทำให้ทั้งสองพระองค์ดีพระทัยยิ่ง กุ้ยเฟยฉีกยิ้มกว้าง หันไปกอดลูกน้อย

“จินหลง จินหลงของแม่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาเป็นปกติแล้ว!” กุ้ยเฟยน้ำตาซึม ฮ่องเต้ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงของจินหลง ลูบศีรษะเขาเบาๆ มีเพียงเหวินหลงที่ยืนมองอย่างไม่ชอบใจ

“ทูลกุ้ยเฟย แม้พระองค์จะเห็นอาการขององค์ชายเป็นปกติ แต่แท้จริงแล้วองค์ชายยังมีอาการแฝงอยู่นะพะยะค่ะ เพียงแต่อาการนี้จะออกมาเป็นพักๆ” เมิ่งชงหยวนรีบเอ่ยก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะเข้าใจผิด แล้วมาลงโทษเขาแทนทีหลัง

“หมายความว่าจินหลงยังไม่หายดีงั้นหรือ?” ฮ่องเต้ถาม เมิ่งชงหยวนพยักหน้า

“พะยะค่ะ ดังที่กระหม่อมเคยกล่าวไว้ ยาเคลื่อนดารานั้นเคลื่อนได้เพียงชะตาเล็กน้อย เปลี่ยนหนักเป็นเบา อาการขององค์ชายจะคงอยู่ จนกว่าจะถึงวันที่สวรรค์ลิขิต” ฮ่องเต้มีสีหน้าเครียดขึ้น

“เสด็จพ่อ พวกท่านพูดเรื่องอะไรหรือพะยะค่ะ” จินหลงแกล้งถาม ฮ่องเต้จึงหันกลับมาสนใจเขา

“ไม่มีอะไรหรอกจินเอ๋อร์ แล้วตอนนี้เจ้าเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่ดีตรงไหนหรือไม่?” ฝ่าบาททรงถาม จินหลงนิ่งคิด

“ไม่พะยะค่ะ หม่อมฉันสบายดี เพียงแต่อยากดูทีวี” ทั้งสองพระองค์หน้าถอดสี กุ้ยเฟยเม้มปาก ถามจินหลงเสียงสั่น

“จิน..จินหลง เจ้าพูดอะไร ทีวีคืออะไรกัน” กุ้ยเฟยถาม นึกอยากร้องไห้

“ทีวีก็คือกล่องสีเหลี่ยมที่สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ยังไงล่ะเสด็จแม่” จินหลงพูดความจริง แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ของโลกยุคนี้ก็ตาม

“โธ่จินหลงลูกแม่ ฮืออ..อ” กุ้ยเฟยกอดองค์ชายน้อยแน่น จินหลงแสร้งทำท่าทีเหลอหลาไม่เข้าใจ ฮ่องเต้หันไปถามเมิ่งชงหยวน

“ท่านหมอเมิ่ง ต้องทำเยี่ยงไรลูกข้าจึงจะหายดี” ฮ่องเต้ถามด้วยความหวัง ท่านหมอนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะแกล้งเดินไปหยิบกระดานโหรศาสตร์ออกมาเคลื่อนอย่างมั่วๆ อีกครั้ง

“บัดนี้ชะตาขององค์ชายได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ดั่งที่ข้ากล่าว โรคนี้เป็นโรคชะตาฟ้าลิขิต มิอาจรักษาให้หายด้วยยา มีแต่ต้องรอลิขิตสวรรค์ให้องค์ชายหายดี ข้าเพียงแต่รับรองได้ว่าองค์ชายจะหายดีก่อนอายุยี่สิบปี” ท่านหมอวางมาดน่าเชื่อถือ จนแม้แต่เจียงสงก็เชื่อตาม

“แล้วเจ้าเอาอะไรมาประกันได้?” เมิ่งชงหยวนชะงัก เงยหน้ามองพระพักตร์ ไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้ทรงหมายถึงอะไร

“เจ้าก็น่าจะรู้แก่ใจ กฎวังหลวงเคร่งครัด หากเจ้าไม่มาเป็นหมอหลวงก็ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ เจ้ามีอะไรมารับประกันว่าในอีกสิบห้าปีข้างหน้า จินหลงของข้าจะกลับเป็นปกติ ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าโป้ปดคิดเอาตัวรอดในตอนนี้” เมิ่งชงหยวนเม้มปาก ดวงตาเลิ่กลั่กเล็กน้อย สุดท้ายเขาจึงหันไปสบตากับจินหลงเพื่อขอความช่วยเหลือ

แหม่! ทีงี้มาขอให้ข้าช่วยเนี่ยนะ

“เสด็จพ่อ หากท่านหมอเมิ่งชงหยวนมิอาจอยู่ในวังได้ ท่านก็ให้เขาอยู่นอกวังแทนเถอะพะยะค่ะ มอบบ้านหลังนึงให้ท่านหมอเปิดรักษาผู้คน สั่งทหารยามที่ประตูเมือง ห้ามเขาออกนอกเมืองเป็นเวลาสิบห้าปี” จินหลงยื่นข้อเสนอ ท่านหมออ้าปากค้าง

เห้ย! ข้าเป็นหมอพเนจร พระองค์จะมาขังข้าเช่นนี้ไม่ได้!

“อืม.. ที่จินเอ๋อร์ว่ามาก็น่าสนใจนัก” ฮ่องเต้เริ่มคล้อยตาม จินหลงจึงเสริมเข้าไปอีก

“อีกทั้งท่านหมอเมิ่งเป็นหมอเทวดา ชื่อเสียงเลื่องลือ ข้าคิดว่าการมีเขาไว้ข้างตัว ย่อมเป็นเรื่องดี” จินหลงเหลือบมองเจ้าตัวที่แทบร้องไห้

ฮึๆ ถือว่านี่เป็นการล้างแค้นที่เจ้ากล้าเอายานอนหลับให้ข้ากินอีกรอบแล้วกัน!

“ประกาศราชโองการออกไป หมอเทวดาเมิ่งชงหยวน สามารถรักษาพระอาการองค์ชายสี่ได้ มอบเงินห้าพันตำลึงทอง และสมุนไพรหายากห้าอย่าง ที่ดินหนึ่งผืน อนุญาตให้เปิดโรงหมอได้” แม้รางวัลจะดูดีอู้ฟู่ แต่เบื้องหลังคือการคุมขังท่านหมอไว้ในเมือง เมิ่งชงหยวนได้ฟังก็อยากหลั่งน้ำตา

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงกรุณาพะยะค่ะ กระหม่อมเมิ่งชงหยวนจะตั้งใจรักษาผู้คน” ท่านหมอเทวดากัดฟันรับรางวัล ทั้งที่ตัวเขาเพียงอยากได้เงินเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาติดอยู่ที่เมืองนี้!

ฮ่องเต้ไม่สนใจเมิ่งชงหยวน เขาหันมาทางเจียงสง

“แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อไปคุณชายอู๋ จะอยู่ที่วังเป็นขันทีดูแลองค์ชายสี่ หรือจะกลับไปอยู่ที่เรือนขุนนางอู๋?” เจียงสงตาพราว อ้าปากจะขอกลับเรือน ทว่าจินหลงกลับชิงเอ่ยก่อน

“เสด็จพ่อ คุณชายอู๋นั้นเข้าใจลูกดี ทั้งยังคอยดูแลลูกอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ตัวลูกจะชอบหนีไปไหนมาไหนนัก แต่คุณชายอู๋ก็มักตามหาลูกพบ เขาถือเป็นเพื่อนเล่นของลูกได้ดีนัก” เจียงสงหน้าซีดน้ำตาปริ่ม

ไม่เอา! ข้าไม่อยากเป็นขันที!!

“เพียงแต่ตัวข้านั้นไม่อยากให้คุณชายอู๋เป็นขันทีให้เสียความสามารถ” จินหลงเห็นหน้าเจียงสงก็รีบเอ่ยต่อทันที ทำให้เด็กชายถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แล้วเจ้าต้องการอะไร?” ฮ่องเต้ไม่เข้าใจนัก

“ข้าอยากให้คุณชายอู๋มาเป็นบอดี้การ์ดของข้า จริงอยู่ที่คุณชายอู๋ยังเยาว์วัย แต่เขามีความสามารถสูงส่งนัก เสด็จพ่อเองก็น่าจะเคยได้รับรายงาน ว่าตัวข้านั้นหนีออกจากเรือนบ่อยเป็นนิจ มีเพียงคุณชายเท่านั้นที่ไล่ทันข้า” จินหลงกล่าวยกยอ แม้ฮ่องเต้จะไม่ทราบว่าคำว่าบอดี้การ์ดหมายถึงอะไร แต่เขาก็พอจะจับใจความได้

“จินเอ๋อร์ ตำแหน่งราชองครักษ์มิได้มอบให้ใครได้ง่ายๆ ย่อมต้องทำตามกฏ” สีหน้าจริงจังของจินหลงนิ่งค้าง ก่อนเจ้าตัวจะเบะปากร้องโวยวายลงไปดิ้นกับเตียง

“ไม่เอาๆ ก็จินหลงจะเอาคุณชายอู๋เป็นองครักษ์! จินหลงจะเอา!! จะเอา~!” ท่าทางของจินหลงที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำให้ทุกคนตะลึง ก่อนหันไปมองเมิ่งชงหยวนเป็นตาเดียว เมิ่งชงหยวนกุมขมับ ก่อนจะกล่าวว่า

“พระอาการขององค์ชายจะกลับไปกลับมา ไม่แน่ไม่นอน คล้ายมีสองบุลคลิก กระหม่อมคิดว่าพระองค์ไม่ควรขัดพระทัยองค์ชายนะพะยะค่ะ มิเช่นนั้นบุคลิกเดิมอาจกินบุคลิกที่กลับมาเพราะยาเคลื่อนดาราได้” เมิ่งชงหยวนเริ่มปวดหัว

เริ่มมั่วไปหมดแล้วนะเห้ย! องค์ชายน่ะบ้าไม่จริง แต่ตอนนี้ข้าเนี่ยจะบ้าจริงแล้ว!!

กุ้ยเฟยได้ยินดังนั้น ก็รีบร้อนรนตอบเร่งฮ่องเต้

“ฝ่าบาท รีบตอบรับสิเพคะ พระองค์ก็ได้ยินแล้วนี่ หากขัดใจจินหลงมากเกิด อาการเดิมจะย้อนกลับมา” กุ้ยเฟยหวาดหวั่น ฮ่องเต้ลังเล

“เอาๆ เช่นนั้นก็ได้ ข้าขอแต่งตั้งอู๋เจียงสงเป็นราชองครักษ์ประจำกายองค์ชายจินหลงชั่วคราว เมื่ออายุถึงเกณฑ์ ให้เข้ารับการทดสอบ” เจียงสงฉีกยิ้มดีใจ

“ขอบพระทัยพะยะค่ะฝ่าบาท ขอบพระทัยพะยะค่ะองค์ชาย กระหม่อมจะพยายามสุดความสามารถ!” เจียงสงตอบรับด้วยความยินดี ตัวเขาอยากเป็นทหารในวังอยู่แล้ว หากได้เป็นราชองครักษ์ตั้งแต่อายุสิบปี นับว่าดีนัก

“เฮ้อ แต่เช่นนี้ข้าก็ให้จินหลงกลับไปอยู่ในวังหลังไม่ได้สินะ” ฮ่องเต้ถอนหายใจ จะให้จินหลงอยู่เรือนรับรองต่อไปก็ไม่ดีนัก

จินหลงเมื่อได้ยินคำตอบรับของเสด็จพ่อ จึงเลิกงอแงดีดดิ้น แล้วหันไปเอ่ยอย่างจริงจัง

“เช่นนั้นข้าจะตั้งใจช่วยงานของเสด็จพ่อ สร้างผลงานให้ท่านพึงพอใจ แล้วข้าจะขอบังอาจทูลขอตำหนักจากพระองค์ได้หรือไม่” จินหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เหวินหลงทนไม่ไหว ต้องเอ่ยแทรก

“น้องสี่ เจ้าอายุเพียงห้าปี จะช่วยอะไรเสด็จพ่อได้” เหวินหลงแสดงความไม่พอใจ จินหลงจึงหันไปตอกกลับ

“ข้าก็ช่วยได้แล้วกัน ทั้งเรื่องฎีกา เรื่องราชสำนัก เรื่องแคว้น เรื่องการปกครองหรือแท้กระทั่งเรื่องการทหาร ข้าย่อมรู้มากกว่าท่าน” จินหลงแสดงสีหน้าไม่พอใจ เขายังไม่ลืมเรื่องที่เหวินหลงทำกับเขาไว้

“เหอะ อะไรทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้น” จินหลงยืดอก

“เพราะข้าคืออดีตฮ่องเต้จากต่างโลก ผู้มีความทรงจำถึงสองชาติ” ทุกคนที่ได้ฟังต่างตบหน้าผาก

พวกเขาไม่ควรจริงจังกับคำพูดเด็กสติฟั่นเฟือน!!

ค่ำวันนั้น ระหว่างที่ท่านหมอเมิ่งกำลังเก็บของเตรียมย้ายออก และระหว่างที่เจียงสงกำลังหลับ จินหลงจึงหนีออกไปนอกวังทันที หลายวันมานี้เขามัวแต่ยุ่งกับเรื่องวุ่นวาย ไม่ได้มีเวลาไปหาพวกจื่อจงเลย

“ใครน่ะ!!” เมื่อมาถึงที่หมาย ยามเด็กทั้งสองคนจึงร้องออกมา และชี้หอกทำมือมาทางจินหลง

“ข้าเองๆ!” จินหลงรีบโพล่หน้าเข้าไปในแสงไฟจากคบเพลิง เมื่อทั้งสองมีสีหน้าตื่นตะลึงทันทีที่เห็นหน้าของจินหลง

“รีบไปเรียกพี่ใหญ่จื่อจงเร็ว!” ยามเด็กคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในถ้ำทันที ทั้งสองมีสีหน้ายินดียิ่งนักที่ได้พบกับจินหลง

“น้องอยู่ร์! เจ้าหายไปไหนมา พวกข้าหาเจ้าตั้งนานก็ไม่เจอ” จินหลงยิ้มแห้ง เขาไม่คิดเลยว่าเด็กเหล่านี้จะออกตามหาเขาในเมือง

เสียงวิ่งตึงตึงดังออกมาจากในถ้ำ ทว่าเสียงฝีเท้านั้นไม่น่ามีเพียงคนสองคน

“เจ้าพูดจริงหรือน้องอยู่ร์น่ะหรือ!” เสียงจื่อจงดังออกมาจากด้านใน เมื่อเขาออกมาจากถ้ำเห็นจินหลงยืนอยู่ก็เผยสีหน้ายินดี

“น้องอยู่ร์!! เจ้ากลับมาแล้ว!” จื่อจงพุ่งเข้าไปยกตัวจินหลงขึ้นโยน พร้อมๆ กับเด็กหลายคนที่เข้ามารุมล้อม

“เจ้าเป็นยังไงบ้าง?!”

“เจ้าหายไปไหนมา!”

คำถามมากมายดังรุมล้อม จินหลงฉีกยิ้มแป้น

อา.. บรรยากาศแบบนี้แหละที่ข้าชอบ ไม่ต้องมีการแข่งขัน ไม่ต้องมีแรงกดดันแบบในวัง

“แหะๆ ข้าแค่ถูกที่บ้านขังไว้เท่านั้นเอง” จินหลงยิ้มแหยๆ

“พวกเราหลงคิดว่าเจ้าทิ้งพวกเราแล้วเสียอีก!” เด็กหญิงคนนึงเบะปากจะร้องไห้

“ข้าจะทิ้งพวกเจ้าไปได้ยังไงเล่า ข้าไม่มีวันทิ้งพวกเจ้าไปหรอก” จินหลงรับปาก

“แล้วสรุปเจ้าอยู่บ้านไหนกัน พวกข้าเข้าไปหาตามเมือง ก็ไม่เห็นเจ้าแม้แต่น้อย” จื่อจงเอ่ย

จะไปเห็นได้ไงล่ะ..ก็ข้าอยู่ในวัง!

“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกพี่จื่อจง แค่ข้ากลับมานี่ได้ก็พอแล้ว แล้วนี่ท่านให้ทุกคนฝึกฝนไปถึงไหนแล้วล่ะ?” จินหลงเปลี่ยนมาถามเรื่องของพวกเขาบ้าง

“เพราะเจ้าไม่อยู่ ข้าเลยให้พวกเขาฝึกย้ำสิ่งที่เรียนมา” จินหลงตาโต งั้นก็แปลว่าพื้นฐานพวกเขาแน่นแล้วสินะ

“ดีเลย เช่นนั้นข้าจะให้พวกเจ้าฝึกอย่างต่อไป” เจ้าตัวแสบเริ่มมีแรงฮึด

“แต่นี่ยังมืดอยู่เลยนะ” จื่อจงแย้ง จินหลงจึงมองไปในป่าโดยรอบ แล้วหันกลับมามองพวกเขา

“ดีเลยนี่ ข้าจะได้ฝึกในพวกเจ้าปรับตัวในความมืด” ไม่ว่าเปล่า เจ้าตัวแสบเดินไปที่คบเพลิง ก่อนจะดับมัน

“เห้ย!” เด็กๆ ร้องโวยวาย

“ไม่ต้องโวยวายไป ตั้งสติเข้าไว้ ความมืดเช่นนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก” เจ้าตัวเล็กเอ่ย ไม่นานดวงตาของพวกเขาจึงเริ่มคุ้นชินกับความมืด

“แต่แค่มองเห็นในที่มืดแบบนี้ พวกข้าก็ชินชากันแล้วนะ” เด็กหญิงคนนึงเอ่ยขึ้น

“แล้วถ้ามีศัตรูมาดักซุ่มอยู่แถวนี้ พวกเจ้าคิดว่าจะรับมือได้ไหมล่ะ?” จินหลงย้อนถาม เมื่อได้ความเงียบเป็นคำตอบ เขาจึงเอ่ยต่อว่า

“ไม่ได้สินะ งั้นพวกเจ้าจำที่ข้าพูดไว้ คนเรานั้นมีประสาทสัมผัสหกอย่าง ตามอง หูฟัง ลิ้นรส จมูกกลิ่น กายสัมผัส หากวันใดพวกเจ้าต้องอาศัยหรือทำภารกิจในที่มืด ตาก็จะมองไม่เห็น ดังนั้นจึงต้องเพิ่มประสาทสัมผัสที่หูและจมูก เพื่อจับสิ่งผิดปกติ ในหนึ่งชั่วยามนี้ ข้าจะทดสอบพวกเจ้าทีละคน ให้พวกเจ้าคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาเงินถุงนี้” จินหลงยกถุงเงินของเขาขึ้นมาให้ทุกคนดู

“ถุงเงินนี้ข้าจะนำไปวางบนก้อนหินก้อนหนึ่ง โดยไม่ซ่อน ให้พวกเจ้าเดินเข้าไปในป่าเพื่อหาถุงใบนี้ แล้วนำเงินหนึ่งเหรียญกลับมา หากทำได้เงินเหรียญนั้นเป็นของเจ้า ฟังดูง่ายใช่ไหมล่ะ?” จินหลงเห็นทุกคนตาพราว เขาจึงเอ่ยต่อว่า

“แต่ข้าจะทำให้มันยาก ระหว่างทางเดินกลับ ข้าจะโจมตีพวกเจ้า แล้วริบเงินคืนมา หากพวกเจ้าสามารถหลบหลีกได้ เงินนั่นจะเป็นของเจ้า แต่ถ้าไม่..ก็อด” เด็กๆ หน้าถอดสีคิดว่าตนคงทำไม่ได้

“อ้อ ข้าเพิ่มรางวัลให้อีก ใครที่สามารถกลับมายังจุดนี้ได้โดยไม่เสียเงินไป ข้าจะซื้อซาลาเปาไส้หมูมาให้ในวันพรุ่งนี้” เด็กน้อยใหญ่ตาพราว พยักหน้าหงึกหงักเป็นอันตกลง

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามมีผู้ผ่านการทดสอบของจินหลงถึงสิบคน ส่วนมากล้วนแต่เป็นเด็กโตทั้งสิ้น คาดว่าพวกเขาคงมาจากประสบการณ์เร่ร่อนที่มากกว่าเด็กเล็ก ขณะที่ทุกคนกำลังจะเตรียมกลับไปนอน จื่อจงกลับเดินมาหาจินหลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและกังวล

“พี่ใหญ่จื่อจงมีเรื่องอันใดหรือ?” จินหลงถาม แต่จื่อจงมีท่าทางลังเล

“พูดมาเถอะ” เจ้าตัวแสบถามย้ำ จื่อจงจึงยอมเอ่ยออกมา

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยสอนตัวหนังสือให้ข้ามากกว่านี้” จินหลงชะงัก เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

“ทำไมล่ะ? พี่รอเรียนพร้อมทุกคนก็ได้นี่” จื่อจงส่ายหน้า

“ไม่ ข้าอยากเรียนก่อน..อาจฟังดูไร้สาระ แต่ตั้งแต่วันที่มาอยู่ที่นี่ ข้าได้ค้นพบเป้าหมายแล้วว่าตัวข้าอยากเป็นอะไร” จื่อจงกำหมัดน้อยๆ จินหลงไม่พูดอะไร รอให้อีกฝ่ายเล่าต่อ

“อาจฟังดูไร้สาระสำหรับเด็กกำพร้าเช่นข้า.. แต่ข้าอยากเป็นหมอ!” จินหลงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้

“เดี๋ยวนะ.. ทำไมจู่ๆ พี่ใหญ่ถึงอยากเป็นหมอล่ะ?!” เขาคิดจะให้จื่อจงเป็นตัวตั้งตัวตีของกลุ่มนะเห้ย!

จื่อจงจงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าได้เห็นผู้คนบาดเจ็บล้มตายมาก็มาก แต่ตัวข้าไม่อาจทำอะไรได้ มีแต่พูดปลอบ หรือขอความช่วยเหลือ.. ตอนนี้พวกเราได้มาอยู่ด้วยกัน เป็นดั่งครอบครัว เมื่อได้เห็นพี่น้องเจ็บป่วย ข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถนัก ไม่มีทั้งเงินจะจ้างหมอ ไม่มีความสามารถในการรักษา เมื่อวันก่อนมีเด็กในกลุ่มล้มป่วย โชคดีที่เป็นเพียงไข้หวัด ข้าจึงนำสมุนไพรที่รู้จักมาต้มให้นางกิน แต่หากมีใครเป็นอะไรมากกว่านั้น ข้าคงไร้ปัญญา” จินหลงได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจ จื่อจงคนนี้แม้มีความสามารถในด้านวรยุทธ์ แต่ก็เป็นคนจิตใจเมตตา คิดถึงคนรอบข้าง

“เอาเช่นนั้นก็ได้ หากพรุ่งนี้ข้ามาได้ ข้าจะนำตำราเขียนอ่านมาให้พี่” จินหลงรับปาก จื่อจงเผยรอยยิ้มยินดี

“ขอบคุณเจ้ามาก น้องอยู่ร์!!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด