ตอนที่แล้วMoney Monster Episode V [โรงละครของยูเรโนส]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMoney Monster Episode VIII [นายธนาคารแห่งความมืด]

Money Monster Episode VI [หัวใจที่แตกร้าว]


Money Monster

Episode VI

[หัวใจที่แตกร้าว]

 

 

หลังโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้า พวกเมซูลพยายามอย่างหนักในการลากพาไลท์ที่คลุ้มคลั่งออกจากสถานที่เกิดเหตุ ชายหนุ่มผู้ดวงใจแตกสลายอาละวาดอย่างหนักจนต้องใช้ยาสลบระงับสติเพื่อพากลับฐานอย่างเร่งด่วน ในระหว่างทางก็เผชิญกับกรีดจำนวนมากมายที่กรูเข้ามาไม่ขาดสาย

จำนวนของอมนุษย์ที่พากันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เหล่าโบรกเกอร์ทั้งเบิกบานใจและทุกข์ใจในเวลาเดียวกัน ทรัพยากรที่วิ่งหากันข้ามวันข้ามคืนพากันยกโขยงมาให้ฆ่าถึงที่ แต่ปริมาณที่มากเกินไปก็ใช่ว่าจะรับมือไหวทั้งหมด พละกำลังที่เสียไป การ์ดที่เหลืออยู่น้อยนิดเริ่มทำให้กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

บทสรุปของเหตุการณ์ในครั้งนี้ มีโบรกเกอร์บาดเจ็บหลายสิบราย มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่าสิบราย บ้านเมืองเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง แต่ก็ถูกซ่อมแซมโดยการหักเงินจากบัญชีของโบรกเกอร์มาใช้งาน

ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นยันจบถูกบันทึกโดยกล้องวิดีโอของหนึ่งในโบรกเกอร์ มันถูกนำเข้าที่ประชุมกองพันธมิตรเพื่อประเมินสถานการณ์กันใหม่ตั้งแต่ต้นทั้งหมด จากการตรวจสอบวันนี้นับเป็นวันที่สี่ตั้งแต่ไลท์ได้ครอบครองเหรียญเท่านั้น ยิ่งเหรียญใกล้หมดอำนาจ กรีดก็ยิ่งเพิ่มจำนวนและแข็งแกร่งขึ้น ยิ่งต้องวางแผนให้รัดกุมยิ่งขึ้นตามไปด้วย

ไลท์หลังตื่นได้สตินั่งคุดคู้ในห้องสีขาวที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครั้น ตั้งอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางของฐาน มีการวางกำลังคนป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนาเผื่อมีกรีดหลุดเข้ามาลอบสังหาร แต่ในความเป็นจริงสถานะของเขาไม่ต่างจากถูกจองจำในคุก

เพื่อความปลอดภัยชิพเตอร์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนมาไหนทั้งสิ้น แท้จริงการที่ไลท์ออกไปพร้อมกับพวกเมซูลเมื่อวันก่อนได้รับเสียงคัดค้านจากพันธมิตรอยู่พอสมควร แต่แจเรมี่อ้างได้ว่าในตอนนั้นไลท์ยังอยู่ในอำนาจการดูแลขององค์กรเบรสซันที่เธอสังกัด ไม่ใช่พันธมิตร เลยสามารถดำเนินการโดยชอบธรรมได้

ไลท์ต้องอยู่ในห้องจนกว่าเหตุการณ์จะยุติ มีโทรทัศน์ให้ดู มีเกมให้เล่น อาหารเลิศรสมาเสิร์ฟตลอดเวลา แอร์เย็นสบายให้ตากตลอดทั้งวัน แต่ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะทำอะไรทั้งสิ้น ตั้งแต่เขาตื่นขึ้นมาทุกอย่างมันก็มืดมนไปหมด เฝ้าภาวนาให้ภาพเมื่อวานเป็นเพียงฝันร้าย สภาพจิตใจดิ่งลงเหวอย่างไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต แต่พวกโบรกเกอร์ก็ไมได้ให้ความสนใจด้านนี้

สำหรับโบรกเกอร์แล้วชิพเตอร์คือแสงล่อแมลงจริงๆ มีค่าเพียงเป็นเครื่องมือที่ใช้ดึงดูดกรีด และเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก พวกเขาเคยเจอคนที่อยู่ในสภาวะพังทลายมามากมายนับไม่ถ้วน สภาพของไลท์จึงไม่ได้แปลกใหม่แถมยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าคือการวางแผนกลยุทธ์ หวังให้คนอื่นมาปลอบคงไม่มีทาง

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเสมอไป

เสียงประตูเปิดผลักออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีฟ้าอันว่างเปล่าเงยหน้ามองผู้มาใหม่ พบเห็นหญิงสาวเพื่อนร่วมมหาลัยเดียวกันกับบุคคลอีกสามคนก้าวเข้ามาในห้องอย่างพร้อมเพรียง สายตาของพวกนั้นที่จับจ้องมาที่เขาช่างเยือกเย็นราวกับไร้ความรู้สึก พอมองลงมาบนโต๊ะอาหารก็เอ่ยออกมา

“ยังไม่กินอะไรเลยงั้นเหรอ” เมซูลเอ่ยหลังเห็นอาหารนาๆ ชนิดยังวางเต็มอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะละสายตากลับไปมองไลท์อีกครั้ง

“ต้องขออภัยจริงๆ เพราะเป็นความสะเพร่าของพวกเราทำให้ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น” เจเรมี่ก้าวออกมาเป็นตัวแทนพูดก่อนเมซูลจะก้มศีรษะลงเล็กน้อย

“ถ้าฉันไม่ด่วนสรุปไปเอง บางทีครอบครัวของนายอาจได้รับการคุ้มครองทัน” เมซูลเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ว่ากันแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นอุบัติเหตุ แต่เธอมีส่วนผิดในเรื่องนี้จริงไม่มากก็น้อย

ตามปกติคนรุ่นราวคราวเดียวกับไลท์และเมซูลส่วนมากจะไม่ได้อยู่กับครอบครัว แต่จะออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านเสียส่วนใหญ่ ทำงานพาร์ทไทม์ส่งตัวเองเรียน เช่าหออยู่กับรูมเมท กรณีแบบไลท์นับว่าหายากนัก ประจวบกับในโรงแรมไลท์ไม่ได้สื่อสารกับครอบครัวทั้งที่นอนค้างคืนนอกบ้าน ทำให้เมซูลสรุปไว้ในใจแล้วว่าชายหนุ่มไม่ได้อาศัยกับครอบครัว

ยิ่งเห็นสภาพของชายหนุ่มในเวลานี้เธอยิ่งคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองเข้าไปใหญ่ ยิ่งตอกย้ำว่าตัวเองเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมด

“ไม่หรอก..” ไลท์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง

“ครอบครัวของฉันตาย..เป็นเพราะฉันเอง เพราะฉันมีเหรียญพวกเขาก็เลยต้องตาย..ตายโดยมีฉันเป็นสาเหตุ” กำปั้นในมือบีบแน่น ซุกใบหน้าลงหัวเข่าพร้อมกับร่างที่สั่นกระตุกวูบหนึ่ง น้ำเสียงอันสั่นคลอไปด้วยความเสียใจบ่งบอกสภาพจิตใจของเขาเป็นอย่างดี

พวกเมซูลที่ไม่รู้ยืนนิ่งไม่พูดอะไรต่อได้แต่มองเขาด้วยความเห็นใจ คุโรงาเนะและสก็อตเดินออกไปจากห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉยทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองอยู่ในห้องกับเขาสักครู่

“เมซูลไปกันเถอะ” เจเรมี่หันไปเอ่ยกับผู้อายุอ่อนกว่า แต่เธอกลับส่ายหน้าเบาๆ หนึ่งทีเป็นการปฏิเสธ

“เมซูล ความรู้สึกของเธอฉันเข้าใจดี แต่จะมัวแต่โทษตัวเองแบบนี้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์ ปล่อยเขาให้อยู่กับตัวเองสักพัก”

“ฉันรู้..คุณเจเรมี่ฉันรู้ แต่ฉันต้องการอยู่ต่ออีกสักหน่อย..เขาต้องการคนรับฟัง”

“....” เจเรมี่มองเมซูลก่อนจะตัดกลับไปที่ไลท์ เธอพยักหน้าเหมือนเข้าใจบางอย่างก่อนจะผละออกไปทำธุระต่อข้างนอก ทิ้งให้หญิงสาวกับชายหนุ่มอยู่กับสองต่อสองในห้องสีขาวโพลน ดวงตาสีน้ำเงินแดงกะพริบเบาๆ และเคลื่อนร่างไปนั่งลงข้างชายหนุ่ม

“เธอรู้ไหมว่าความปรารถนาของฉันคืออะไร” ไลท์ถามเมซูล เธอส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“เมื่อสิบปีที่แล้วเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ บริษัทที่ปู่ฉันเป็นเจ้าของล้มละลายทำให้บ้านของพวกเราไม่ใช่แค่ตกงาน แต่ยังมีหนี้สินอีกด้วย ปู่ของฉันทำทุกวิถีทางเพื่อปลดหนี้และก็ตายในเวลาต่อมา..แต่พวกเราก็ดำเนินชีวิตเรื่อยมาตามคำสอนของปู่ [ต่อให้โลกจะล่มสลาย ก็จงเป็นตัวของตัวเองจนถึงที่สุด]”

“ช่างเป็นคำสอนที่เด็ดเดี่ยวมาก”

“อืม..เพราะงั้นแม้จะล้มละลายเราก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตต่อในวันพรุ่งนี้ พ่อกับแม่ฉันพวกท่านพากันสมัครงานอย่างยากลำบาก ทั้งโดนปฏิเสธ กดค่าแรงสารพัด ชีวิตความเป็นอยู่ของเราก็ลำบากแต่ว่า..พวกเราก็ไม่ได้อดอยากมากมายอะไร พอพวกท่านเริ่มได้งานแทนที่จะประหยัดให้ถึงที่สุด พวกท่านก็ยังซื้ออาหารดีๆ มาทำให้พวกเราได้อิ่มท้อง มีเสื้อผ้าดีๆใส่และได้รับการศึกษาเหมือนคนทั่วไป”

“...”

“ฉันถามพ่อว่าทั้งที่กำลังลำบาก ทำไมถึงต้องฝืนทำแบบนี้..ท่านก็บอกว่า[ปู่เองก็เคยทำแบบนี้]”

“...”

“ในตอนนั้นฉันรู้สึกว่ามันมีบางสิ่งที่สืบทอดมาจากสายสัมพันธ์ จากปู่ส่งให้พ่อและจากพ่อส่งมาให้ฉัน ฉันได้สาบานกับตัวเองว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต และทำให้ครอบครัวสุขสบายไปตลอดชาติ จะกินเท่าไหร่ก็ได้ จะนอนกี่ชั่วโมงก็ได้ อยากได้อะไรก็ต้องได้..แต่ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว”

“เป็นแบบนี้เอง..” เมซูลเอ่ยอย่างแผ่วเบา ในใจรู้สึกหนักหน่วงไปด้วยความรู้สึกที่พังทลาย ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับชายหนุ่มอีก เธอก้มหน้าลงซุกเข่าไม่อยากให้ใครได้เห็นสีหน้าของเธอในตอนนี้

ในคราวแรกที่เธอก้าวเข้ามาใกล้ชิดเขาหวังจะเกลี้ยงกล่อมเท่านั้น เธอเข้าใจความรู้สึกของไลท์ที่สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต แต่เธอก็เข้าใจความรู้สึกของการเป็นโบรกเกอร์เช่นกัน การต้องเสี่ยงตายเพื่อรักษาความปรารถนาที่ได้มาแล้วทุกวัน อกสั่นขวัญแขวนหากวันใดวันหนึ่งส่งเงินไมได้ ทุกอย่างก็จะไร้ความหมาย

ใจหนึ่งไม่อยากให้มีโบรกเกอร์เพิ่มขึ้นอีก ไม่ใช่เธอไม่ต้องการให้มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น แต่เธอไม่ต้องการให้มีคนต้องเผชิญฝันร้ายแบบที่เธอได้รับ แต่หลังจากที่ได้ฟังสิ่งที่ไลท์ได้เอ่ยออกมา เธอไม่กล้าบอกแล้วว่า ช่วยทนสักหน่อยได้ไหม เค่ไม่กี่วันทุกอย่างก็จบลงแล้ว

ชิพเตอร์ที่เหรียญหมดอำนาจ จะหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโบรกเกอร์ กรีด เหรียญตราอสูร และถูกแทนที่ด้วยความทรงจำจอมปลอม การตายของครอบครัวอาจถูกเข้าใจเป็นสาเหตุอื่น แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ไลท์จะเป็นอย่างไรต่อ ใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ไร้แรงปรารถนาใดๆ ในชีวิต เธอไม่อาจจินตนาการได้

“ฉัน..ได้ลืมความเป็นมนุษย์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ” เมซูลกล่าวอย่างราบเรียบก่อนจะค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า เดินออกไปจากห้องแบบเงียบงันหันมามองไลท์เพียงแวบหนึ่งเท่านั้น ชายหนุ่มที่ตอนนั้นเธอใช้เขาเป็นเครื่องมือในการล่อกรีดเท่านั้น แต่เวลานี้ มุมมองของเธอที่มีต่อเขาได้แตกต่างออกต่อไป มันทำให้เธอจดจำสิ่งสำคัญได้อีกครั้ง

“ฉันขอโทษ..และขอบคุณนะ” เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวไลท์ชำเลืองสายตามามองเธอครู่หนึ่ง

“ทำในสิ่งที่หัวใจมันเรียกร้อง..และอย่าเสียใจทีหลังเป็นอันขาด นายยังมีโอกาสเหลืออยู่..พยายามเข้า”

“อะ..อืม” ไลท์เม้มปากหนึ่งทีพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แต่ข่มมันไว้ไม่อยู่ ปล่อยให้มันไหลลงมาอาบทั่วใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน และความวุ่นวายอีกระลอกกำลังเปิดฉากขึ้นในอีกไม่ช้า

 

 

ห้องประชุมพันธมิตร

เหล่าตัวแทนขององค์กรแต่ละแห่งได้รวมตัวกันเพื่อหารือแผนการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สายตานับสิบคู่จ้องมองมาที่หญิงสาวเพียงคนเดียว ออราเคิล หญิงสาวนักพยากรณ์ที่ทุกคนให้ความเคารพกำลังจะบอกกล่าวข้อมูลสำคัญ วางลูกแก้วบนโต๊ะและเผยให้เห็นแสงทรงกลมจำนวนมหาศาลที่ฉายบนลูกแก้ว

“จากการตรวจโดยพลังของดิฉัน เหรียญตราอสูรของไลท์ ลินสตอร์มมีอำนาจมหาศาลจริงๆ และอาจมากที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ เหนือยิ่งกว่าโบรกเกอร์ลำดับหนึ่งอย่าง ซาเวลส์รัสของกลุ่มโรเกียร์ด้วยซ้ำไป” เมื่อได้รับข้อมูลเหล่าตัวแทนก็พากันมองหน้ากับเลิกลั่ก เริ่มมีเสียงแตกฮืออย่างรวดเร็ว

หลายคนเริ่มมีความคิดอยากออกไปจากห้อง บุกเข้าไปข่มขู่ไลท์ให้ขอความปรารถนาของตนให้เป็นจริง แต่ก็ต้องหยุดความคิดนี้เอาไว้เมื่อออราเคิลมองมาที่พวกตนด้วยสายตาเคลือบแคลง

“อย่าคิดจะทำอะไรสกปรก ไม่เช่นนั้นพระเจ้าต้องลงโทษพวกคุณแน่ เหรียญถูกส่งมาให้เจ้าของของมันใช้ ถ้าพวกคุณดึงดันจะทำอะไรน่ารังเกียจก็เตรียมพบกับการลงทัณฑ์จากพระเจ้าได้เลยค่ะ”

“รู้แล้วครับท่านออราเคิล พวกเราไม่ได้คิดอะไรไม่ดีสักหน่อย แค่อิจฉานิดหน่อย”

“ใช่ๆ”

“ฉันขอเสนอให้ฆ่าชิพเตอร์ซะ” เสียงของชายผู้หนึ่งทำให้ทั้งห้องหันไปมองผู้พูดเป็นตาเดียวกัน เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีบาดแผลเต็มตัว ถูกพันด้วยผ้าสีขาวจนแทบจะเป็นมัมมี่

“หลังจากที่ชิพเตอร์กลับมาที่ฐานพวกกรีดก็พากันยกโขยงมาบุก แค่วันนี้ก็ปาไปแปดครั้งแล้ว จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตก็มีแต่จะมากขึ้น ก็จริงที่ชิพเตอร์คนนี้อาจเป็นโอกาสทำกำไรที่น่าจับตามอง แต่ก่อนที่เราจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ฉันว่าเราอาจได้ตายกันหมดก่อน”

“เดี๋ยวก่อน ด่วนสรุปไปไหมครับคุณ ผมคิดว่าพวกเรายังไหว”

“แกไหวเพราะคนของแกไม่ตายกันนี่ แต่ทางฉันตายเป็นสิบแล้ว”

“เหลวไหล! แกแค่สิบ ฉันยี่สิบ”

“หยุดเกทับจำนวนความสูญเสียกันได้แล้ว! มันใช่เรื่องที่ควรเอามาอวดอ้างกันรึไง” พูดออกปากห้ามปรามการทะเลาะอันไร้สาระคือชายกลางคนอีกคนหนึ่ง เขามีชื่อว่าเมดัล เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีความน่าเชื่อถือ ทันทีที่เขาเอ่ยปากทั้งห้องก็เงียบทันที

“เราจะยื่นข้อเสนอให้พวกมหาอำนาจ ส่งคลิปวิดีโอและหลักฐานให้เขา หากเขาสนใจให้จ่ายเงินก้อนโตให้พวกเราเพื่อแลกกับสิทธิเข้าร่วมเทศกาลเก็บเกี่ยว วันท้ายๆ จะต้องมีกรีดระดับสูงโผล่มาแน่ พวกองค์กรที่มีการแข่งขันสูงต้องยอมจ่ายเพื่อเข้าร่วมอย่างแน่นอน”

“โอ้!ถ้าทำแบบนี้ก็จะลดความสูญเสียของเราแถมยังได้เงินก้อนโตมาแบ่งกันด้วยสินะ สมแล้วที่เป็นคุณเมดัล ฉลาดหลักแหลมจริงๆ”

“เพราะฉะนั้น ไปเกลี้ยกล่อมให้ชิพเตอร์ไม่ใช้เหรียญซะ” สิ้นเสียงคำเอ่ยก็เกิดเสียงทุบโต๊ะขึ้น ท่ามกลางความสับสนของเหล่าพันธมิตร ตรงตำแหน่งของกลุ่มเบรสซันมีชายหนุ่มผู้หนึ่งฉายแววตาอำมหิตมองมาที่พวกตน

“คุโรงาเนะ?” เจเรมี่เอ่ยขานของชายหนุ่ม

“จะทำอะไร? คุโรงาเนะ” เมดัลเอ่ยถาม

“พวกเราขอไม่ขัดเรื่องผลประโยชน์ แต่มีเรื่องนี้เท่านั้นที่ผมรู้สึกเหลือจะทน”

“หมายความว่ายังไง”

“ทุกท่าน ผมขอคัดค้านเรื่องการเกลี้ยกล่อมชิพเตอร์ไม่ให้ใช้เหรียญ อย่างที่ออราเคิลพูด เหรียญคือทรัพย์สินของชิพเตอร์ หากชิพเตอร์ต้องการจะใช้ พวกเราไม่ควรเข้าไปแทรกแซง”

“คิดมากไปแล้วคุณคุโรงาเนะ พวกเราแค่เกลี้ยงกล่อม ไม่ใช่บังคับสักหน่อย คุณลองคิดดูสิ! อำนาจของเหรียญมีมากมายขนาดนี้ ถ้าเหรียญหมดอำนาจขึ้นมาจะได้รางวัลก้อนโตขนาดไหน อาจเป็นการ์ดระดับอัลติเมทเลยก็ได้! ถ้ามีการ์ดอัลติเมทล่ะก็ ระดับองค์กรของพวกเราต้องสูงขึ้นเทียบเท่าพวกองค์กรใหญ่แน่นอน”

“ก็เลยจะทำร้ายสภาพจิตใจของชิพเตอร์เพื่อผลประโยชน์? ชิพเตอร์ตอนนี้กำลังทรมาน เขาอยากได้ครอบครัวกลับคืนมา ก็จริงที่ตอนนี้เขายังไม่คิดจะใช้เหรียญ แต่ถ้าเขาต้องการจะใช้ ก็ควรให้เขาใช้มัน ไม่ใช่ยืดเยื้อ”

“คุโรงาเนะ” เสียงทรงอำนาจเอ่ยออกมาจากปากของเมดัล สายตาสีนิลสอดประสานกับดวงตาสีดำของชายหนุ่มโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

“ตอนนี้พวกเราคือพันธมิตร พวกเราควรยึดเสียงส่วนมากเป็นประชาธิปไตย ตั้งแต่ที่เบรสซันติดต่อเราเพื่อขอความช่วยเหลือ อำนาจการตัดสินใจก็ถูกแบ่งให้เท่าเทียมกันแล้ว”

“ก็ใช่” คุโรงาเนะกัดฟันพูด

“เสียงส่วนมากลงออกมาเป็นอย่างไร เบรสซันก็ควรทำตาม ผลประโยชน์ของพันธมิตรคือที่สุดนี่ก็คือวิธีการของพวกเรามาตลอด พอจบเรื่องก็แยกย้าย พวกเราได้ผลประโยชน์ที่ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อน ส่วนชิพเตอร์ก็หลงลืมเรื่องราวทั้งหมด”

“.....” สายตาของชายหนุ่มผมดำเคลื่อนต่ำลง ความรู้สึกผิดหวังที่ก่อขึ้นในอกเริ่มเปลี่ยนพลันกลายเป็นความรังเกียจ เจเรมี่ในฐานะตัวแทนพยายามทำตัวให้เป็นกลางที่สุด แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเขาก็หลับตาลงก่อนจะเอ่ยให้พันธมิตรได้ทราบ

“พวกคุณ สูญเสียจิตใจของมนุษย์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่” สิ้นเสียงคำพูดของหญิงสาว ทั่วทั้งห้องพลันกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง เมดัลลูบมือพลางถอนหายใจยาวเหยียดและเอ่ยออกมาเป็นตัวแทนของทุกคนใน ณ ที่นี้

“นี่ก็คือความเป็นมนุษย์ในแบบของเรา”

“งั้นเหรอ”

น่าเศร้านะ

 

เพราะตั้งแต่เป็นโบรกเกอร์ก็มีหลายอย่างที่ได้เรียนรู้ โดยเฉพาะความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าผลประโยชน์ ทำอย่างไรถึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด ทำอย่างไรถึงจะหาเงินมาส่งงวดในแต่ละเดือนได้ ยอมทำแม้กระทั่งทุกอย่างแม้แต่การทำลายชีวิตคน

จนบัดนี้ ในสายตาของเหล่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ไมได้มองคนอื่นเป็นมนุษย์อีกแล้ว แต่เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ เจเรมี่และคุโรงาเนะได้แต่นั่งฟังคนพวกนี้พูดอย่างหน้ามืดตามัวคุยกันไปมา หาวิธีที่จะสามารถเก็บเกี่ยวกำไรให้ได้มากที่สุด

นี่แหละ โลกแห่งความโลภที่มาม่อนได้สร้างขึ้น

นี่แหละคือ Money Monster

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด