ตอนที่แล้วบทที่ 2: หอนางโลมซือเซียน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4: แพะรับบาป

บทที่ 3: ศพไร้หัว


บทที่ 3: ศพไร้หัว

ผ้าม่านรอบเตียงไม้ มีเนื้อผ้าบางจนสามารถมองเห็นภาพด้านนอกได้ทั้งที่นอนอยู่ภายใน จึงไม่แปลกที่ลมหนาวจากภายนอกจะสามารถพัดผ่านเข้ามาถึงด้านในของเตียงได้เช่นกัน เฉินเจียวนอนตะแคงสายตาจับจ้องคนไร้อาภรณ์ที่หลับอยู่ข้างกาย ในใจนางขบคิดถึงหนึ่งปัญหาที่ตัวเองยังไม่มีข้อสรุปว่าควรทำเช่นไร กระทั่งลมของฤดูลอยผ่านหน้าต่างที่เปิดกว้างดับเทียนในห้องจนทุกอย่างมืดสนิท

ผ้าผวยที่ปูไว้บนเตียงยับย่นไม่เรียบร้อย เฉินเจียวลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ท่าทางอิดโรย ผ้าแพรที่ห่มร่างพลันเลื่อนหลุดจนเผยผิวขาวนวลและร่างเปลือยเปล่า นางหยุดนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น สายตาละจากหม่าซือเต้าที่นอนกรนเสียงแผ่วเบานานแล้ว เพราะเริ่มเข้าใจว่าที่ควรมองดูหาใช่ต้นเหตุ แต่ต้องเป็นภายในใจของตนเองมากกว่า

เศรษฐีใหญ่หลับสนิทเพราะฤทธิ์เหล้าและรสรัก เฉินเจียวยกสองมือรวบผมแล้วเกล้าขึ้น เพราะนอนริมนอกจึงสะดวกในการขยับ นางสวมเสื้อคลุมลุกเดินจากเตียงมาปิดหน้าต่าง เช่นนั้นจึงทำให้เห็นน้องของตนซึ่งนั่งตากลมหนาวรอคอยเพื่อจะได้พบนางอยู่ที่ซอกตึกนั่น ลมหนาวว่าหนาวเหน็บ แม้พัดผ่านจะบาดผิว แต่ก็ยังไม่สามารถกรีดลึกลงในใจเท่ากับความรู้สึกผิด เช่นที่นางรู้สึกในขณะนี้

หญิงคณิกาอันดับหนึ่งที่ผู้คนต่างเรียกว่าเป็นนางฟ้าประดับยิ้มของหอนางโลมซือเซียนเช่นนาง ในเวลานี้กลับหลั่งน้ำตาออกมาได้ง่ายๆ เพียงแค่เห็นน้องของตัวเอง คล้ายอีกฝ่ายจะรับรู้จึงทำท่าจะเงยหน้าขึ้นมามอง เฉินเจียวรีบปิดหน้าต่างแล้วทรุดตัวลงกลั้นสะอื้นเพื่อไม่ให้เสียงนั้นดังไปปลุกคนที่นอนอยู่ ไม่จำเป็นต้องลังเลอะไรอีกแล้ว แค่เตรียมใจให้พร้อมและทำในสิ่งที่ต้องทำเท่านั้นก็พอ

 

..................................................

 

เฉินเจียวเดิมมีนามว่า เฉินรั่วจีเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ สืบเชื้อสายมาจากแม่ทัพใหญ่ที่ออกรบจนมีความดีความชอบ ในรุ่นพ่อ สกุลเฉินยิ่งรุ่งเรือง เพราะบิดาของเฉินเจียวเป็นถึงขุนนางตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายการศึก ปกครองกองทหารดูแลความสงบ เวลานั้นเฉินเจียวยังเป็นดรุณีน้อยอายุเพียงสิบสี่ ขณะที่น้องของนางยิ่งอ่อนเยาว์กว่ามากเพราะห่างกันถึงแปดปี

ชีวิตของนางสงบสุข ทุกวันไม่เคยมีความทุกข์ใจใดให้กังวลเกินกว่าเรื่องที่น้องของตนจะไปซนจนได้แผลมาจากไหน นางรักที่จะเรียนรู้ สนใจการเป็นกุลสตรีที่ดี ชอบการทำอาหารและมีนิสัยเรียบร้อย ชีวิตนางมีเพียงเท่านี้เอง ทำทุกอย่างเพื่อเตรียมการจะเป็นฮูหยินที่ดีให้กับใครสักคน แล้วนางก็ได้พบกับใครคนนั้น

เฮ่อย่งเฉียน บัณฑิตผู้สอบได้ตำแหน่งจอหงวนในปีนั้น เขาสง่างาม เป็นคนใจเย็น อ่อนโยน มีความสุขุมและเจ้าความคิด สองคนต่างตกหลุมรักกันและกันทันทีที่ได้พบหน้า บิดาของเฉินเจียว เฉินหวางหลุน เห็นด้วยกับการคบหากันในครั้งนี้ ถึงขั้นไปขอพระราชทานพิธีเสกสมรสจากจักรพรรดิ ซึ่งก็ได้รับการยินยอม

ทว่าชีวิตคือการอยู่บนความไม่แน่นอน ความรักเป็นสิ่งยืนยันในหลักการข้อนั้น ก่อนที่จะเกิดงานพระราชทานสมรสเพียงหนึ่งเดือน รัชทายาทของเผ่าชิที่ปกครองแผ่นดินอยู่ทางแถบทิศใต้ของจงหยวน ได้พบเห็นและเกิดต้องใจในตัวเฉินจียวถึงขั้นส่งฑูตมาเจรจาสงบศึกผูกสัมพันธ์ไมตรีให้สองแผ่นดินเป็นพี่น้องกัน โดยมีเงื่อนไขให้จักรพรรดิจงหยวนส่งเฉินเจียวไปเป็นสนมเอกของรัชทายาทเผ่าชิ หาไม่ดินแดนทางใต้จะได้เกิดสงครามขึ้นอย่างแน่นอน

เมื่อเรื่องนี้รู้ถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง การณ์กลับตาลปัตร เฉินหวางหลุนที่เป็นขุนนางตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายการศึกไม่เห็นด้วยที่จะให้ส่งลูกสาวตัวเองไปตามข้อต่อรองของเผ่าชิ พร้อมให้เหตุผลว่ารัชทายาทเผ่าชิมีชื่อเสียงไม่ดีจนมีโอกาสที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาท การที่เขามาขอต่อรองกับจงหยวนไม่ใช่เพราะต้องการปรองดอง แต่เพราะต้องการใช้มิตรภาพนี้เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้ตำแหน่งของตัวเองมั่นคง

เสนาบดีฝ่ายพลเรือนรวมทั้งอุปราชต่างแย้งว่าการที่หวางหลุนไม่เห็นด้วยเป็นความเห็นแก่ตัว โดยไม่มองถึงผลประโยชน์ส่วนรวมของแผ่นดิน หวางหลุนเต็มไปด้วยโทสะเพราะรู้สึกเหมือนโดนหมิ่นเกียรติ เขาเป็นขุนนางผู้ภักดี ไม่เคยมองว่าต้องสูญเสียสิ่งใด ต่อให้เป็นคนในครอบครัว หากทำให้แผ่นดินได้ประโยชน์เขาก็ยอมสละเหมือนเมื่อครั้งที่ต้องสูญเสียบิดาและลูกชายคนโตไปในสนามรบ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ทุกอย่างเป็นอุบาย เขายังเคยได้ข่าวลือมาด้วยซ้ำว่ารัชทายาทเผ่าชิเป็นคนมักมากมีกามวิปริต การจะยกเฉินเจียวเป็นสนมเอกย่อมไม่มีทาง

อุปราชรีบกล่าวแย้งว่าเช่นนั้นก็ยิ่งดี ทางจงหยวนจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการเรียกร้องความยุติธรรม หวางหลุนหัวเราะลั่นแล้วยิ้มเหยียดว่าหากเรายอมให้เขาตั้งแต่แรก จะถือสิทธิ์สิ่งใดในการร้องขอความยุติธรรม ถ้าเราไม่สร้างความเป็นธรรมกันตั้งแต่ภายในฝ่ายเรา มีหรือที่คนอื่นจะมาหยิบยื่นให้ หวางหลุนยังหันไปกล่าวทิ้งท้ายต่ออุปราชด้วยว่า

“มิคาดว่าอุปราชเป็นถึงอุปราช แต่สิ่งที่สติปัญญากลั่นกรองออกมากลับกลายเป็นการผายลม”

สิ้นประโยคนั้นท้องพระโรงต่างเต็มไปด้วยโทสะ สองฝ่ายเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีใครยอมใคร จนจักรพรรดิหนักใจ ที่สุดหวางหลุนกล่าวขึ้นอย่างภักดีว่า

“ต่อให้คนที่รัชทายาทเผ่าชิขอมาเป็นองค์หญิงหรือบุตรีขออุปราช กระหม่อมก็ยังคงคัดค้านเช่นนี้อยู่ดี และหากฝ่าบาทจะยังไม่เห็นเหตุผลที่ควรปฏิเสธ กระหม่อมขอบังอาจย้ำเตือนพระองค์ว่าได้พระราชทานสมรสให้กับลูกของหม่อมฉันไปแล้ว หวังว่าพระองค์จะไตร่ตรองให้ดี” คล้ายไพ่ตายที่หวางหลุนเก็บซ่อนไว้ถูกวางลงให้ทุกคนเห็น

ทุกคนต่างรู้ดีว่าจักพรรดิตรัสแล้วไม่สามารถคืนคำได้ นั่นเท่ากับการผูกไมตรีครั้งนี้ไม่เป็นผลและอาจนำไปสู่การทำสงคราม ทว่าการณ์กลับตาลปัตรที่เกริ่นไว้ในคราแรกเกิดขึ้นตรงนี้ เฮ่อย่งเฉียนว่าที่ลูกเขยของหวางหลุนเดินออกมาเบื้องหน้าแล้วกล่าวคำที่ทำให้เสนาบดีฝ่ายการศึกต้องเสียเกียรติทั้งหมดที่เขามี

“หม่อมฉันเฮ่อย่งเฉียนไม่ต้องการพระราชทานสมรส ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย” เพียงประโยคเดียว ประโยคสั้นๆ เพียงแค่นั้น

อุปราชและเสนาบดีฝ่ายพลเรือนยิ้มออกมาในทันที จักรพรรดิสั่งทหารจับกุมตัวเฮ่อย่งเฉียนไปขังฐานหมิ่นเบื้องสูงรอวันตัดสินโทษภายหลัง ชั่ววูบหนึ่งแม้จะยอมรับไม่ได้ แต่หวางหลุนก็เข้าใจ ว่าเฮ่อย่งเฉียนทำไปเพราะแค่ไม่เห็นด้วยกับตนและไม่อยากให้เกิดสงคราม ถึงจะเจ็บช้ำน้ำใจ แต่เยื่อใยของความไว้ใจยังอยู่

หวางหลุนคิด ว่าทุกคนยึดติดกับคำว่าสงบสุขมากเกินไป จนไม่สนใจว่าจะถูกใครมาเอาเปรียบ สันติจอมปลอม!

แต่พอได้เห็นอดีตว่าที่ลูกเขยเดินยิ้มตอนสวนกัน ระหว่างที่ถูกกุมตัวออกจากท้องพระโรง หวางหลุนก็เข้าใจทุกอย่างในทันที

มันเป็นเกมการเมือง ทั้งหมดเพียงแค่ใครให้ผลประโยชน์ใครได้มากกว่ากัน เฮ่อย่งเฉียนเข้าหาลูกสาวเขาเพียงเพื่อใช้นางเป็นเครื่องมือ ในการที่จะได้รับการผลักดันจากขุนนางใหญ่อย่างเขา มิคาดว่าเขาใจร้อนไม่รอถึงวันนั้น แต่กลับเผยธาตุแท้ใช้ทางลัดโดยวิธีทำร้ายตน เหยียบย่ำความรักของเฉินเจียวในวันนี้ เพื่ออำนาจที่เจ้าตัวละโมบว่าจะได้

เพื่อให้เรื่องนี้กระจ่างชัดอย่างรวดเร็ว จึงขอกล่าวถึงบทสรุปของเฮ่อย่งเฉียนแบบรวบรัด แรกเริ่มแม้จะต้องโทษจำคุกแต่เขาก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากอุปราช ทว่าภายหลังพอแน่ชัดว่าไม่เกิดสงคราม ย่งเฉียนกลับโดนโทษประหาร เพราะอุปราชมองเห็นว่าคนพันธุ์นี้เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก หากต้องโปรยทองคำเพื่อให้เบี้ยกระจอกเดิน สู้ส่งมันไปตายเพื่อระงับโทสะของหวางหลุนจะดีกว่า ความขัดแย้งระหว่างเขากับเสนาบดีฝ่ายการศึกจะได้เบาบางลง

ในวันประหาร หวางหลุนไปดูด้วยตาของตัวเอง เขามองมันอ้อนวอนขอร้องชีวิตเหมือนมองหมาตัวหนึ่งที่เคยแว้งกัดเจ้าของ ไม่รู้สึกอะไร นอกจากคิดในใจว่าตายไปเสียได้ก็ดีแล้ว

กลับมาที่เรื่องของเฉินเจียวอีกครั้ง เมื่อมีราชโองการให้นางต้องเดินทางไปเพื่อไปเป็นสนมเอกให้กับรัชทายาทเผ่าชิ เฉินเจียวทำเพียงเก็บตัวร่ำไห้อย่างเงียบๆ นางเพิ่งเคยพอเจอความทุกข์ใหญ่หลวงเป็นครั้งแรก และนางไม่รู้จะจัดการกับมันเช่นไร

หวางหลุนพยายามขบคิดหาทางออก วิธีที่จะไม่ให้เกิดสงครามและไม่ต้องส่งตัวลูกสาวไป มิคาดคิดเวลานั้นมีนายกองหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาเพื่อเสนอแผนการหนึ่ง

บุกปล้นขบวนเดินทางของเจ้าสาว

นายกองคนนี้จะได้เป็นคนคุมขบวน เขาจะให้คนที่ไว้ใจปลอมตัวเป็นกลุ่มโจรของพวกเผ่าชิมาปล้นแล้วพาเฉินเจียวไปหลบซ่อนตัว โดยอ้างว่าเฉินเจียวถูกลูกหลงจากการต่อสู้จึงตาย เมื่อมีข่าวออกไปว่าเฉินเจียวตายเพราะกลุ่มโจรของเผ่าชิ ทางฝ่ายนั้นย่อมไม่กล้าที่จะเรียกร้องอะไรแน่นอน เพราะเราเป็นฝ่ายเสียคนไป หลังจากนั้นเขาจะรอจนปลอดภัยแล้วจึงส่งนางกลับมาให้หวางหลุน จากนั้นก็จะสุดแท้แต่หวางหลุนว่าจะตัดสินใจเยี่ยงไร

หวางหลุงเห็นดีด้วยกับแผนนี้ แม้จะมีความเสี่ยงสูงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ทว่าก่อนจากกันหวางหลุนนึกสงสัยว่าทำไม นายกองคนนี้ถึงอยากช่วยเขา

“เพราะมันคือสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ” นั่นคือคำตอบ

แผนการดำเนินไปเช่นที่ตกลงจนกระทั่งถึงวันที่ลงมือ เมื่อขบวนเจ้าสาวเดินทางไปถึงจุดที่เตี้ยมกันไว้ กลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดเผ่าชิก็ออกมาสู้กับทหารคุ้มกัน มิคาดทุกอย่างผิดแผน เมื่อกลุ่มโจรสังหารทุกคนจริงต่างกับที่ตกลงไว้

ขบวนเจ้าสาวแตกกระจาย บางคนสู้จนตัวตายแต่หลายคนหนีเอาตัวรอด ส่วนนายกองหนุ่ม เมื่อเห็นว่าผิดแผนจึงรีบอารักขาคุ้มกันเฉินเจียวเพื่อพาไปหลบในที่ปลอดภัย แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ก่อนจะหนีพ้นนายกองหนุ่มถูกแทงจนบาดเจ็บสาหัส

กลายเป็นเฉินเจียวต้องคอยดูแลเขา โชคดีที่มีสินสอดเครื่องประดับประทังชีวิต นางเปลี่ยนชื่อจากเฉินรั่วจีเป็นเฉินเจียวในตอนนี้ สองคนอยู่ด้วยกันจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ที่สุดกลายเป็นความรักผูกพันสองคนให้แนบแน่นราวกับจะไม่มีวันพรากจาก

ทางด้านหนึ่งแม้จะไม่รู้ว่านายกองหนุ่มกับบุตรสาวเป็นตายร้ายดีเช่นไร แต่ก็นับว่าแผนส่วนหนึ่งสำเร็จลุล่วงทางเผ่าชิไม่มาตอแยอีก เฮ่อย่งเฉียนโดนประหารช่วงเวลานี้ หากกล่าวให้ถูกคือเพราะย่งเฉียนทำให้หวางหลุนเริ่มเปลี่ยนไป

การที่แผนซึ่งถูกวางไว้อย่างดีต้องกลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมมีทหารและคนในขบวนติดตามเจ้าสาวล้มตายไปเป็นจำนวนมาก เพราะโจรที่ปลอมตัวมาเป็นคนที่หวางหลุนส่งมาตลบหลังอีกที เพราะเขาไม่ไว้ใจในตัวนายกองหนุ่มคนนั้น จะให้เขาเชื่อได้เยี่ยงไรว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอยากช่วยอย่างบริสุทธิ์ใจ ในเมื่อหม่าเหอตง นายกองหนุ่มคนนั้นเป็นหลานแท้ๆ ของอุปราชหม่าซือห่าว

หวางหลุนต้องการเก็บมันเพื่อล้างแค้นที่อีกฝ่ายหมิ่นเกียรติของตน ไม่คาดคิดว่าการณ์กลับเป็นเช่นนี้ หวางหลุนไม่คิด ตัวเฉินเจียวและหม่าเหอตงยิ่งไม่คาดคิดเสียยิ่งกว่า

 

................................................

 

เสียงลมหนาวกระแทกบานหน้าต่างทำให้นางรู้สติ แม้เรื่องจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่กลับรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เหตุการณ์ในอดีตมีทั้งสุขและทุกข์ขมขื่นเกิดบรรยาย เมื่อคิดถึงก็ได้ยิ้ม เมื่อได้ยิ้มก็กลับกลายเป็นเสียใจ อาวรณ์ถึงคนที่ตายไป ทั้งเหอตงคนที่ให้ความรัก ทั้งหวางหลุนบิดาคนที่ให้ชีวิต ที่สุดก็เหลือเพียงนางและศัตรูที่ต้องล้างแค้น หม่าซือเต้า

เฉินเจียวหยิบมีดที่ซ่อนไว้ ในใจคิดว่าโศกนาฏกรรมทุกอย่างที่ทำให้ครอบครัวนางแตกสลายต้องจบลงตรงนี้ไม่สืบทอดไปให้มือของน้องต้องเปื้อนเลือด ให้คนที่สกปรกมีเพียงนางคนเดียวก็พอแล้ว

ฉับพลันเกิดลมกระแทกบานต่างอีกครั้ง ครานี้มันแรงจนหน้าต่างเปิดออก เฉินเจียวผวาตกใจ เมื่อหันไปดู พลันคล้ายพบใครคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากขอบหน้าต่างกำลังจ้องมองนางอยู่ ความมืดทำให้เห็นอีกฝ่ายได้ไม่ชัด

ซือเต้าได้ยินเสียงก็ตื่นขึ้นมา ในห้องมีเพียงแสงสลัวของดวงจันทร์จากด้านนอกส่องเข้ามาพอให้มองเห็นทางได้บ้าง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” เขาถามงัวเงียท่าทางยังไม่ตื่นดี ไม่มีคำตอบกลับมา ซือเต้าจึงลุกเดินไปหานาง

เฉินเจียวกำลังมองบางสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่าง พอซือเต้าเข้าไปจับตัว นางก็สะดุ้งขึ้นอีกครา

“มีอะไรหรือ” เศรษฐีถามเสียงดูกังวล เฉินเจียวรีบซ่อนมีดแล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ เขาจึงเดินไปจุดไฟบนเทียน

“หนาวจะแย่แล้วปิดหน้าต่างเถอะ” พูดจบซือเต้าก็เดินไปงับบานหน้าต่างเข้ามาลั่นกลอน นั่นเองจึงทำให้เฉินเจียวนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นได้แล้วหวาดกลัวจนตัวสั่น

ซือเต้าสังเกตเห็นแต่ไร้ไหวพริบ คิดเพียงว่านางหนาวจึงกอดนางไว้แบบแนบกาย ศีรษะของทั้งสองต่างซบลงที่ไหล่ของกันและกัน

“ขึ้นเตียงเถอะ ข้าจะแก้หนาวให้เจ้าอุ่นได้ถนัด”

เฉินเจียวไม่ใส่ใจในคำนั้นเพราะสมองกำลังใคร่ครวญอยู่ที่ความหวาดหวั่นหนึ่ง หน้าต่างของห้องนี้เป็นแบบผลักออก แล้วลมพัดมาจากไหนทำไมถึงทำให้หน้าต่างที่ลั่นกลอนไว้เปิดออกได้ หรือว่า... สิ่งที่เปิดหน้าต่างจะไม่ใช่ลม

“อะ!!” ยังไม่ทันคิดหาคำตอบได้ เฉินเจียวก็อุทานขึ้นมาเพียงสั้นๆ ก่อนที่ซือเต้าจะรู้สึกเหมือนมีน้ำอุ่นๆ ไหลเลอะทั่วตัวและใบหน้า หน้าต่างถูกกระแทกจนเปิดออกอีกครั้งจนทำให้ไฟในห้องดับลงอีกหน

เขาผละจากอ้อมกอดของเฉินเจียวที่รักหนักหนาก่อนจะหวีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ซือเต้าทรุดลงไปอยู่ที่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่ร่างของเฉินเจียวล้มลงกระแทกกับโต๊ะ มีดที่ถือไว้กระเด็นหล่นพื้น

เสียงร้องของซือเต้าทำให้ใครหลายคนในหอนางโลมซือเซียนวิ่งเข้ามาดู แสงจากตะเกียงไฟเหล่านั้นส่องให้เห็นภาพภายในห้อง ภาพของหม่าซือเต้าที่นั่งเปลือยเปล่าตัวสั่น ภาพของโลหิตที่ไหลนองไปทั่วพื้นและภาพของเฉินเจียวที่นอนตายกลายเป็นศพไร้ศีรษะ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด