ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 2 : อัญเชิญภูติแห่งดวงดาว

Chapter 1 : วันเกิดอายุ 18


Prologue

มนุษย์เราทุกคนต่างมีความปรารถนา ...

Happy birthday to you

Happy birthday to you

Happy birthday dear Kevin

Happy birthday to you...

เสียงเพลงอวยพรวันเกิดของใครบางคนเพิ่งจะจบลงไปพร้อมกับเสียงปรบมือจากสองบุคคลที่เป็นพ่อและแม่ ทั้งคู่นั่งอยู่ข้าง ๆ เด็กชายตัวน้อยวัยสิบสองขวบซึ่งเป็นลูกชายของตน เค้กช็อกโกแลตก้อนโตด้านบนถูกปักด้วยเทียนหลายแท่งถูกหญิงสาววัยยี่สิบต้น ๆ ถือเอาไว้แล้วเดินนำมันมาวางไว้บนโต๊ะที่มีอาหารวางอยู่หลายอย่าง คนถือเป็นเจ้าของผมยาวสีแดงเพลิง ซึ่งใบหน้าของเธอกำลังส่งยิ้มให้กับเด็กชายที่ใส่หมวกปาร์ตี้ไว้บนหัว ขณะที่เด็กน้อยก็กำลังยิ้มกว้างตอบเธอเช่นกัน

ครอบครัวเล็ก ๆ นี้กำลังฉลองวันเกิดให้กับลูกชายสุดที่รักคนเดียวของพวกเขา บรรยากาศงานวันเกิดเป็นไปอย่างเรียบง่าย ทั้งห้องไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย ทุกอย่างรอบ ๆ เกิดจากภาพโฮโลแกรมสามมิติที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีในปัจจุบัน ตัวอักษรคำว่าสุขสันต์วันเกิดที่ลอยไปมาแบบสามมิติ ภาพกลุ่มดาวที่ลอยอยู่บนเพดานห้องเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ จนเหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกอย่างถูกเนรมิตเหมือนออกมานั่งปาร์ตี้อยู่นอกอวกาศเลยทีเดียว

คนเป็นพ่อเอื้อมมือเข้าไปขยี้ผมลูกชายตัวเองเล่นอย่างเอ็นดูพร้อมกับอุ้มเขามาอยู่บนตักเพื่อเป่าเค้กช็อกโกแลตที่อยู่ตรงหน้า ขณะแม่ของเจ้าตัวก็เข้าไปแกล้งลูกชายตัวดีโดยการเข้าไปหอมแก้มอย่างมันเขี้ยว ไม่ยอมให้เป่าเค้กได้สำเร็จ จนเด็กชายตัวน้อยหัวเราะคิกคักเมื่อถูกแหย่

“เป่าเลยวิน อย่าลืมอธิษฐานด้วยล่ะลูก” พ่อของเด็กผู้ชายพูด

“ครับพ่อ” เด็กชายตัวน้อยหันไปพูดกับพ่อตัวเองก่อนยิ้มกว้างอย่างไร้เดียงสา

“ผมขออธิษฐานว่า ...”

“แม่บอกกี่ครั้งแล้ววิน เวลาอธิษฐานห้ามพูดออกมานะจ๊ะ ไม่งั้นมันจะไม่เป็นจริง ขี้ลืมแบบนี้ต้องทำโทษ นี่แน่ะ”

ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะพูดจบ แม่ของเขาก็พูดขัดขึ้นมาพร้อมกับดึงตัวเข้าไปหอมแก้มซ้ายขวาอีกฟอดใหญ่ ทำเอาเด็กน้อยทำหน้ามุ่ยที่โดนขัดใจ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับคนสามคนที่อยู่รอบ ๆ ถึงยังไงเจ้าตัวก็ยอมเชื่อฟังแม่ตัวเอง หลับตาลงแล้วเริ่มอธิษฐานในใจ

“คุณก็ไปแกล้งลูก ฮ่าฮ่า นั่น ไปแย่งลูกเป่าอีก” พ่อเด็กชายพูด หันไปมองภรรยาตัวเองที่กำลังแย่งลูกชายเป่าเทียน เด็กชายไม่น้อยหน้า รีบเป่าเทียนแข่งกับคุณแม่ของตัวเองทันที

“กว่าวินจะเป่าเสร็จ น้ำลายท่วมเค้กแน่ ๆ เลยรันต์” คนเป็นแม่พูดขึ้นมา พร้อมหัวเราะกับท่าทางของลูกชายที่เป่ายังไงเทียนก็ดับไม่หมดสักทีจนเธอต้องช่วยเป่า เด็กชายยกมือมากอดอก ทำแก้มป่องหันหน้าไปอีกทางเหมือนงอนที่ถูกแย่งเป่าเค้กอย่างน่าเอ็นดู

“โอ๋ งอนหรอคะ ทำท่าแบบนั้นอะ เป็นผู้ชายไม่ขี้งอนนะวิน แบบนี้ต้องเอาช็อกโกแลตผสมน้ำลายของวินป้ายซะหน่อยละ”

คนเป็นแม่พูดจบ นิ้วมือเรียวก็จิ้มไปที่เค้กช็อกโกแลตก่อนเอาไปป้ายพวงแก้มของลูกชายของตัวเองที่กำลังทำแก้มป่อง เล่นเอาเด็กชายหันขวับมามองทันที

“คุณ อย่าแกล้งลูก วินอย่าไปยอม แบบนี้ต้องเอาคืน พ่อช่วย ๆ”

และแล้ว ...

สงครามป้ายเค้กของคนในครอบครัวก็ได้เริ่มต้นขึ้น เสียงหัวเราะดังออกมาอย่างต่อเนื่องเมื่อหญิงสาวผมสีแดงเพลิงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่สักพักเข้าไปร่วมวงด้วย บัดนี้ ใบหน้าเด็กชายตัวน้อยเลอะไปด้วยเค้กช็อกโกแลตไม่ต่างอะไรจากผู้ใหญ่สามคนที่เหลือ แต่ละคนได้แต่มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพใบหน้าที่เลอะไปด้วยเค้กช็อกโกแลตสีน้ำตาลเข้ม

รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มันเป็นความสุขเล็ก ๆ จากสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว

ถ้าถามว่าเด็กชายตัวน้อยอธิษฐานอะไร ...

เขาอธิษฐานให้ครอบครัวของเขาอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป

Chapter 1 : วันเกิดอายุ 18

“เป่าสิวิน”

เสียงหนึ่งเรียกสติผมกลับคืนมาอีกครั้งจากภาพอดีตวันเกิดที่ผมคิดถึง สายตามองไปยังเค้กช็อกโกแลตก้อนใหญ่ตรงหน้าที่มีเทียนเลขสิบแปดปักอยู่ บนตัวเค้กถูกปริ้นท์ด้วยเครื่องปริ้นท์อาหารสามมิติเป็นรูปตัวของผมเองขนาดย่อส่วน ยืนอยู่บนตัวเค้ก

ผมเงยหน้ามองพ่อของตัวเองแล้วส่งยิ้มให้เขา ใบหน้าของเขาก็กำลังยิ้มกว้างขณะถือเค้กยื่นให้ผมเป่า พ่อเป็นคนอารมณ์ดี แถมใจดีมากอีกด้วย ถ้าถามว่านิสัยผมเหมือนใคร ก็คงตอบได้เต็มปากเต็มคำ ว่าทุกอย่างผมโคลนมาจากพ่อ ทั้งนิสัยและหน้าตา จะมีต่างกันก็ตรงแค่สีผม ที่สีผมของผมเป็นสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งได้มาจากแม่ที่เป็นคนยุโรป ถึงแม้จะเป็นลูกครึ่ง แต่หน้าตาผมก็ออกมาทางคนเอเชียแบบพ่อมากกว่า

“ผม 18 แล้วนะพ่อ ยังจะให้เป่าเค้กเป็นเด็ก ๆ อีก” ผมพูดออกไปขำ ๆ ทำหน้ายียวนชวนกวนอารมณ์นิดหน่อย มองหน้าชายวัย 36 ปี ที่ยังคงดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุราวยี่สิบต้น ๆ เหมือนกับตัวเองส่องกระจกไม่มีผิด พ่อของผมมีผมสีดำสนิท ดวงตาคมเรียว คิ้วเข้ม จมูกโด่ง รอยตีนกาไม่มี ไม่ลงพุง นี่ถ้าไม่ติดว่าเขาคอยย้ำผมว่าตัวเองเป็นพ่อ ผมคงเรียกว่าพี่ไปแล้ว เพราะตั้งแต่แม่เสียไป พ่อก็เลี้ยงผมมาแทบจะเหมือนเป็นเพื่อนกับตัวเอง

“ไม่อยากเป่าใช่ไหมครับลูกวิน พ่ออุตส่าห์งดรับลูกค้ามาทำเค้กให้แกไอ้วิน ได้ !”

เทียนตรงหน้าดับลงอย่างรวดเร็วด้วยพลังเวทของพ่อผม ก่อนเค้กทั้งก้อนจะถูกโปะลงมาที่บนใบหน้าของผมทันทีทันใดพร้อมกับเสียงหัวเราะของพ่อ

“พ่อ ! นี่เล่นไรเนี่ย” ผมร้องออกมาแบบงง ๆ เอามือปาดหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยช็อกโกแลตออก มีบางส่วนเกือบเข้าตาด้วยแน่ะ แถมเมื่อกี้เข้าไปในจมูกเต็ม ๆ ว่าแล้วก็ปาดสิ่งที่อยู่บนหน้าเอาไปป้ายใบหน้าพ่อของตัวเองอย่างรวดเร็วแบบที่เขาตั้งตัวไม่ทันเช่นกัน

“ไอ้วิน ! นี่ฉันเป็นพ่อแกนะ ฉันแก่กว่าแกตั้ง 18 ปีนะโว้ย แกไม่ใช่เด็กแล้ว ห้ามทำแบบนี้กับฉัน” เสียงพ่อผมโวยกลับมาทันที

“ก็พ่อเริ่มเองนะ” ผมพูดไปขำ ๆ ขณะวิ่งหนีพ่อที่ตามมาไล่เตะไปทั่วบริเวณชั้นหนึ่งของบ้าน ซึ่งบริเวณนี้มันเป็นทั้งบ้าน และร้านกาแฟของพวกเรา พ่อของผมเป็นคนทำขนมเค้กที่อร่อยที่สุดในเมืองก็ว่าได้ ร้านของเราตกแต่งเป็นแบบสไตล์คลาสสิค เป็นสีขาวดำเกือบทั้งร้าน บริเวณกำแพงโดยรอบเป็นปูนเปลือย มีบางมุมที่มีต้นไม้ต้นเล็ก ๆ วางไว้เพื่อเพิ่มความสดชื่นและให้สีสันกับร้าน

โชคดีที่เวลานี้ก็ปาไปเกือบห้าทุ่มแล้วร้านจึงปิด ไม่อย่างงั้นคงวุ่นวายน่าดูเนื่องจากลูกค้าเยอะ เพราะไม่ค่อยมีร้านกาแฟแบบนี้มากนักในปัจจุบัน ทุกวันนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าจนไม่ต้องออกไปซื้อเค้กหรือกาแฟนอกบ้านอร่อย ๆ กินแล้ว เพียงแค่เข้าไปในครัว บอกหุ่นยนต์ AI ทำให้ ก็จะได้รสชาติออกมาแบบดีเลิศ แต่นี่ก็คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของร้านพวกเราที่มีบาริสต้าและพาทิเช่ที่ชงกาแฟและทำเค้กให้ได้ทานจริง ๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ AI รสชาติจึงแตกต่างออกไปไม่จำเจในรูปแบบเดิม

ในที่สุดพ่อของผมก็หอบแฮ่ก ๆ อย่างหมดแรง หลังจากได้วิ่งออกกำลังกายในยามดึก ก่อนเจ้าตัวจะใช้พลังเวทตัวเองตรึงตัวผมไว้ไม่ให้เคลื่อนที่หนีเขาไปไหนอีก

“พ่อ ! ขี้โกงแบบนี้ไม่เอาดิ” ผมร้องโวยวายเพราะตอนนี้ขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้

มีอย่างหนึ่งที่ผมโคลนจากพ่อออกมาไม่ได้

ผมไม่มีเวทมนตร์ ...

เป็นเรื่องที่น่าตกใจพอสมควรสำหรับลูกผู้ใช้เวท แต่ตัวเองที่เป็นสายเลือดแท้ ๆ กลับไม่มีเวทมนตร์ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นความผิดพลาดในการส่งผ่านพันธุกรรมหรืออะไร ถ้าถามว่ารู้สึกแย่ไหม มันก็มีบ้างนะ เพราะพ่อคือไอดอลของผม ใคร ๆ ก็มีพ่อตัวเองเป็นไอดอลใช่ไหมตอนเด็ก ๆ พ่อทำอะไรสนุก ๆ ให้ผมดูหลายอย่างตอนนั้น ทำให้ของลอยได้ เล่นกีฬากับผมในแบบที่คนทั่วไปไม่ทำกัน

มันเลยทำให้ผมกลัวว่าพ่อจะผิดหวังในตัวผมอยู่พักหนึ่ง เพราะช่วงผมอายุ 13 จะเป็นช่วงที่เริ่มแสดงความสามารถทางเวทมนตร์ออกมา แต่สำหรับผม มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ผมเป็นเหมือนเด็กปกติธรรมดาทั่วไป แต่พ่อก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย พ่อบอกเสมอว่าทุกคนมีของดีอยู่ที่ตัว เพียงแค่เราต้องหามันให้เจอ พ่อเป็นส่วนน้อยด้วยซ้ำที่มีเวทมนตร์จากจำนวนคนทั้งหมดบนโลกใบนี้ ผมก็เลยไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไรที่ไม่มีเวทมนตร์ ผมคิดว่ามันมีทั้งของดีและข้อเสีย

และข้อเสียของมัน ก็ทำให้พวกเราเสียแม่ไป ...

“พ่อลูกคู่นี้เล่นกันอย่างกับเด็กเล่นขายของ เฮ้อ การันต์ นายจะสี่สิบแล้วนะ ส่วนกวินท์ ปากบอกโตแล้วแต่ทำตัวเหมือนเด็ก” เสียงดังขึ้นมาจากปากของ Phoenix [ฟินิกซ์] หญิงสาวผมสีแดงเพลิง หน้าตาสะสวยแต่ดูไว้ตัวนิด ๆ ที่เดินลงมาจากชั้นสองของบ้าน เธอเองก็เป็นอีกคนที่ผมเรียกว่าเป็นคนในครอบครัว ฟินิกซ์เป็นภูติดวงดาวระดับกลางของพ่อผม ใบหน้าแสนหยิ่งที่ตรงกันข้ามกับนิสัยมองมาที่พวกเราก่อนเบะปากเป็นเชิงระอา แต่พ่อผมหาได้หยุดไม่ เมื่อเจ้าตัวหายเหนื่อยก็ใช้มือขยำเค้กที่ยังเหลือมองมายังผมที่เป็นเป้านิ่งพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่ช้าก้อนเค้กก็ถูกปาเล็งมายังใบหน้าของผม แต่โชคดีที่ผมเอียงคอหลบทัน

แผละ !

เนื้อเค้กนิ่มผสมกับครีมช็อกโกแลตโปะลงไปบนใบหน้าของฟินิกซ์พร้อมกับอุณหภูมิในห้องที่ร้อนขึ้นราวกับจะลุกติดไฟขึ้นมา

“การันต์ !”

บางทีผมก็ได้แต่แอบคิด ว่าถ้าแม่ยังอยู่ ... วันเกิดของผมจะเป็นยังไง

หลังเสร็จสิ้นสงครามเค้กช็อกโกแลต พวกเราก็แยกย้ายไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน ห้องของผมอยู่ชั้นที่สามของบ้าน บ้านของผมมีทั้งหมดสามชั้นถ้าไม่นับรวมชั้นใต้ดิน ชั้นละสามห้อง ยกเว้นชั้นแรกที่เป็นร้านกาแฟ พ่อกับฟินิกซ์อยู่กันคนละห้องที่ชั้นสอง อีกห้องที่ชั้นสองเป็นห้องวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของผม ห้องที่เหลือในบ้านชั้นสามก็เป็นห้องว่างที่พวกเราเอาไว้ใช้เก็บของใช้ต่าง ๆ พวกหุ่นยนต์ AI ที่ช่วยเสิร์ฟขนมเค้กหรือกาแฟ บางทีก็เอาไว้ให้กับญาติของพ่อที่แวะมาเยี่ยมเยียนและพักที่นี่นาน ๆ ครั้ง เรียกได้ว่าเป็นบ้านที่ใหญ่เกินความจำเป็นจริง ๆ สำหรับคนสามคน แต่ก็เหมาะสมกับพื้นที่ชั้นล่างที่เป็นร้านกาแฟที่มีคนใช้บริการเยอะพอดี

ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ก่อนใช้คำสั่งเสียงเปิดภาพฉายโฮโลแกรมออกมาบนเพดานห้อง ไม่นานภาพเรื่องราวของผมสมัยเด็ก ๆ ก็ถูกฉายออกมาเป็นภาพสามมิติ มันเป็นภาพของแม่กำลังอุ้มผมชูขึ้นไปมาขณะที่พ่อกำลังถ่ายให้ ถัดมาเป็นเหตุการณ์ฉลองวันเกิดในแต่ละปีที่มองทีไรก็มีความสุขและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ผมดูภาพเหตุการณ์เหล่านั้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง

“ฮะ แฮ่ม”

“เฮ้ย ! พ่อ เข้ามาไม่เคาะประตูอีกแล้ว” ผมร้องออกมาแบบตกใจนิด ๆ เผลอใช้คำสั่งปิดโฮโลแกรมสามมิติทันทีด้วยความเคยชิน เมื่อได้ยินเสียงกระแอมที่ดังขึ้นมา พร้อมกับหันไปมองพ่อตัวเองที่เดินมาอยู่ที่ข้างเตียงเป็นที่เรียบร้อย

“โทษที ๆ ลืมไปว่าช่วงนี้เพิ่งเลิกกับหนูนามิ อารมณ์เปลี่ยววัยรุ่น พ่อเข้ามาขัดจังหวะวินทำอะไรหรือเปล่าเนี่ย เดี๋ยวเข้ามาใหม่ก็ได้นะ รีบปิดโฮโลแกรมเชียว” พ่อผมพูดขึ้นมาขำ ๆ นี่ก็ขยันล้อจัง เรื่องเก่าที่ผมเคยทำแล้วเจ้าตัวเข้ามาเจอเนี่ย

“หยุดเลยพ่อ ผมไม่ได้ทำอะไรแบบที่พ่อคิด มีไรครับถึงได้เข้ามาเนี่ย” ผมพูด ยันตัวลุกขึ้นมานั่งคุยกับพ่อ

“คิดถึงแม่หรอ” พ่อพูด ยิ้มน้อย ๆ นั่งลงบนเตียงของผม

“ครับ” ผมตอบไปเบา ๆ อย่างไม่ปิดบัง

“พ่อก็คิดถึง เปิดดูต่อสิ พ่ออยากดูด้วย”

เราสองคนพ่อลูกนั่งดูภาพความทรงจำในอดีตอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะขอบคุณหรือโทษเทคโนโลยีดี ที่มันทำให้มีความสุขและเศร้าพร้อมกันอย่างประหลาด กับภาพสามมิติที่เหมือนจริงจนคิดว่าแม่ของผมออกมายืนอยู่ตรงหน้า

ความสุขที่ไม่สามารถจับต้องและกลับไปมีมันอีกครั้งได้

วันเกิดของผมเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ... เป็นวันตายของแม่

“รู้ใช่ไหมวิน ว่าอายุ 18 สำหรับผู้ใช้เวทหมายความว่าไง” เสียงพ่อของผมพูดขึ้นมา หลังจากตอนนี้เราทั้งคู่ล้มตัวลงนอนมองภาพโฮโลแกรมสามมิติที่บันทึกเหตุการณ์ในอดีตได้สักพัก

“ผมไม่ใช่ผู้ใช้เวทนี่พ่อ” ผมตอบพ่อไปแบบไม่คิด ตั้งแต่จำความได้ เวทมนตร์เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามันไกลตัวสำหรับตัวเอง แม้จะเห็นพ่อใช้บ่อย ๆ ก็เถอะ เพราะในปัจจุบัน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็อำนวยความสะดวกเรามากพออยู่แล้ว การมีเวทมนตร์เพิ่มขึ้นมาอีก ผมก็คิดว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไร ประกอบกับผมไม่มีเวทมนตร์ด้วย ก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องที่พ่อพูดถึงเท่าไร

“ลูกมีสายเลือดผู้ใช้เวทไง ผู้ใช้เวททุกคนเมื่ออายุครบ 18 จะสามารถอัญเชิญภูติดวงดาวออกมาได้” พ่อผมพูด

“โธ่ พ่อ ! นี่พ่อยังมีความหวังให้ผมใช้เวทมนตร์ได้อีกหรือไง ผมไม่มีเวทมนตร์นะพ่อ จะอัญเชิญมาได้ไง” ผมหันหน้าไปบอกกับพ่อ ผมคิดว่าพ่อจะเลิกคิดเรื่องนี้แล้วซะอีก เพราะเจ้าตัวก็ไม่เคยคะยั้นคะยอให้ผมฝึกเวทมนตร์อีกเลยตั้งแต่อายุ 15 เมื่อพบว่าผมไม่มีพัฒนาการอะไรเลย

“ไม่ลองก็ไม่รู้ ยังไงแกก็มีสายเลือดของพ่ออยู่ พ่ออยากให้มีคนมาดูแลแก  เวลาพ่อไม่อยู่ อย่างน้อย ๆ เป็นภูติดวงดาวระดับต่ำก็ยังดี” พ่อผมพูดเสียงเข้ม

“พ่ออย่าดึงดราม่าดิ ทำอย่างกับจะมีอะไรเกิดขึ้น นี่มัน ค.ศ. 2500 แล้วนะพ่อ เราไม่มีสงครามแล้ว อีกอย่างถึงผมจะเป็นลูกพ่อ แต่พ่อก็รู้ ว่าต่อให้เป็นผู้ใช้เวทก็ใช่ว่าจะอัญเชิญภูติแห่งดวงดาวมาได้ทุกคน พ่อก็เคยโม้ให้ผมฟังเองไม่ใช่หรอว่ามีผู้ใช้เวทแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ที่อัญเชิญภูติแห่งดวงดาวมาได้ และพ่อเป็นหนึ่งในนั้น แล้วผมที่ไม่มีแม้กระทั่งเวทมนตร์ ผมคงไม่ต้องใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นมาอธิบายพ่อใช่ไหม ว่ามันมีโอกาสแค่ไหน”

“โว๊ะ ! เถียงจังวุ้ย ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหนเนี่ย สรุปพรุ่งนี้แกต้องทำพิธีอัญเชิญ ไปซื้อกุญแจที่ร้าน The keys ที่ย่านเมืองเก่าด้วย นี่เป็นคำสั่ง”

พ่อพูดจบก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ผมเถียงต่อ ยันตัวจากเตียงแล้วลุกเดินออกจากห้องผมไปเลย ผมได้แต่มองตามแบบเซ็ง ๆ แต่ยังไงก็ได้สำหรับผม ถ้าทำให้เขาสบายใจได้ผมก็จะทำ แต่ผมว่ามันคงจะเสียเวลาเปล่า ๆ เหมือนที่ผ่านมามากกว่า

เช้าวันต่อมา

วันนี้ผมตื่นมาแต่เช้าได้ก็เพราะพลังเวทของพ่อที่โยนผมลงมาจากเตียง ทั้ง ๆ ที่วันนี้เป็นวันหยุดและเป็นวันเริ่มต้นอายุ 18 ของผมเป็นวันแรกแท้ ๆ แน่นอนว่าอายุ 18 ถือว่าบรรลุนิติภาวะ และกลายเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แล้ว ถ้าถามว่าผมทำงานอะไร ผมก็ช่วยพ่อทำเค้กเป็นธุรกิจหลักของครอบครัวหลังจากเรียนจบ รับงานวิจัยทางด้านวิศวกรรมอาหารจากบริษัทเอกชนหลายแห่งแต่ทำงานอยู่ที่บ้านได้ เรียกได้ว่าอิสระสุด ๆ ผมเรียนจบปริญญาโททางด้านวิศวกรรมเทคโนโลยีการทำอาหารเมื่อสองปีก่อนนี้เองจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลก ระบบการศึกษาในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเข้าไปศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยก็ยังได้ เพียงแค่สมัครและเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน เข้าไปสอบในวันสอบให้ผ่านที่มหาวิทยาลัยที่ได้เลือกเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าจะมีใครเรียนจบตั้งแต่อายุ 15 ส่วนถ้าถามว่าแล้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัยสำหรับผู้ใช้เวทล่ะ พ่อผมเคยบอกว่าผู้ใช้เวทส่วนใหญ่จะเรียนรู้จากพ่อหรือแม่ตนเองที่มีพลังเวทมนตร์อยู่แล้ว ไม่มีโรงเรียนเวทมนตร์อะไรเปิดสอนหรอก

อาชีพในทุกวันนี้มีไม่มาก ทุกอย่างถูกแย่งงานโดยหุ่นยนต์ AI จนหมด อาชีพที่ใช้มนุษย์ทำงานจริง ๆ ก็จะเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร แพทย์ นักร้อง หรืออาชีพที่หุ่นยนต์ AI ทำงานแทนไม่ได้ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาในสังคมปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่จะว่างงาน แต่ทางรัฐก็มีสวัสดิการให้ตามปกติจากความมั่งคั่งของประเทศ เรียกได้ว่าทุกคนมีเงินเดือนเพียงพอที่จะใช้จ่ายแม้จะไม่มีงานทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฐานะในสังคมจะเท่าเทียมกัน มันยังคงมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ในทุกยุคทุกสมัย คนที่มีอาชีพจะถูกจัดอยู่ในพลเมืองชั้นสูง มีเกียรติ เป็นที่เคารพนับหน้าถือตามากกว่า

ผมเดินออกมาจากบ้านที่เป็นร้านกาแฟชื่อดังในย่านกลางเมือง ผ่านถนนเส้นสำคัญของเมืองที่เต็มไปด้วยการจราจรของรถยนต์ AI เต็มไปหมด เมื่อมองไปบนฟ้าเวลานี้การจราจรบนอากาศก็เริ่มเยอะแล้วด้วย ผมเลยเลือกที่จะไม่ขับรถออกไปเอง แต่คิดว่าจะเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินจะไปได้เร็วกว่า

ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็มาถึงย่านเมืองเก่าตามที่พ่อบอก ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผมเกือบ 300 กิโลเมตร จำได้ว่าผมเคยมาเที่ยวเมืองนี้กับพ่ออยู่ครั้งหรือสองครั้งนี่แหละ

เมื่อออกจากรถไฟฟ้าใต้ดินและมองออกไปตรง ๆ จะเหมือนหลุดออกมาจากโลกแห่งเทคโนโลยี พื้นที่แถวนี้งดใช้การจราจรทางอากาศและการใช้เทคโนโลยีทุกชนิด ตึกแถวอยู่ติด ๆ บ้านที่เรียงกันไปให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองโบราณของยุโรปเมื่อสัก 1000 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็คือปี ค.ศ. 2500 ผมคิดว่าเพราะแถวนี้เองเป็นย่านการซื้อของของพวกผู้ใช้เวทด้วย บรรยากาศเลยถูกสร้างขึ้นมาเป็นแบบนี้ หลังจากพวกเขาเปิดเผยตัวกับสาธารณชน นอกจากนี้ เมืองนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศอีกด้วย ผมหยิบแผนที่เมืองขึ้นมาเพื่อจะเดินหาร้าน The keys ไปซื้อกุญแจอย่างที่พ่อสั่งเอาไว้ เพราะอย่างที่บอก เมืองนี้ตัดขาดจากเทคโนโลยีทุกชนิด โฮโลแกรมสามมิติจากมือถือที่แสดงแผนที่เลยใช้งานไม่ได้

ผมเดินวนไปมาเกือบ 10 นาทีก็คิดว่าเจอร้าน The keys ตามที่ต้องการ ป้ายสีทองอร่ามขนาดใหญ่ที่ถูกติดเด่นอยู่ตรงหน้าร้านทำให้ผมสังเกตได้ง่าย ตัวร้านเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรปยุคกลางดูสวยงามและมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ข้าง ๆ ติดกระจกใสเผยให้เห็นด้านในที่เต็มไปด้วยพวงกุญแจและกุญแจอยู่เต็มไปหมด ผมเดินไปที่หน้าร้านก่อนเปิดประตูไม้สีซีดเข้าไปภายใน

เสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นจากกระดิ่งด้านหน้าของร้านก่อนเสียงหนึ่งจะดังทักทายขึ้นมา

“สวัสดีพ่อหนุ่ม”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด