ตอนที่แล้วบทที่ 3 : หัวใจที่ทำจากไม้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 5 : แจกัน

บทที่ 4 : อำนาจของเพชร


บทที่ 4 : อำนาจของเพชร

“เหลือเชื่อเลย...” เสียงหวานใสดังขึ้นเบาๆ กลางทุ่งหญ้ากว้างทอดยาวไปจนถึงวิหารขนาดใหญ่ที่สร้างด้วยหินสลักสีดำก้อนยักษ์ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพียงแต่อายุของวิหารแห่งนี้แท้จริงแล้วเพิ่งถูกสร้างไม่ถึงสัปดาห์ อีกทั้งผู้ที่สร้างมันขึ้นก็ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นชาวช่าง ถึงจะยังไม่สมบูรณ์ดีนักแต่ก็ควรค่าแก่การใช้คำว่าเหลือเชื่ออย่างที่สุด

เพราะแม้แต่การสร้างดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งความเป็นหนึ่งในสภาเอกภาพก็ยังไม่มีชาวช่างฝีมือเลิศมารวมตัวกันมากเท่านี้ ถือเป็นหนึ่งในงานก่อสร้างไม่กี่แห่งบนโลกที่ลงทุนใช้ทรัพยากรมากมายถึงขนาดนำไวเวิร์นมาใช้เพียงเพื่อขนหิน

ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเหตุผลเดียวคือการเร่งสร้างวิหารให้เป็นปราการปกป้องร่างศิลาชีพของจอมเวทเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อาจทรงพลังที่สุดในรอบสหัสวรรษ ศิลาชีพของอาร์มุนมารดาแห่งปฐมเวท

ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าขนลุกและมหัศจรรย์ในเวลาเดียวกันของมิติลวงตาขนาดยักษ์ที่ครอบปิดทุ่งหญ้าและวิหารแห่งนี้เอาไว้ เหล่าชาวช่างยังคงวุ่นวายกับการก่อสร้างและตกแต่งส่วนเล็กส่วนน้อย รวมทั้งรายละเอียดด้านความปลอดภัยภายในวิหาร

เช่นกันกับด้านนอก กลุ่มนักผจญภัยระดับอัญมณีจากสภากลางได้รับคำสั่งให้ทำภารกิจต่อเนื่อง ร่วมกับนักผจญภัยจากสมาคมท้องถิ่นในพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อทำการตรวจสอบและสืบหาสิ่งที่อาจเป็นอันตราย คุ้มกันคนงานก่อสร้างรวมทั้งเตรียมพร้อมนับถอยหลังเวลาที่กำแพงมิติลวงตาจะพังทลาย เปิดเผยสิ่งที่อยู่ด้านในให้โลกรับรู้ ซึ่งก็คาดการแล้วว่าอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น

ทว่าดูเหมือนการทำงานประสานกันครั้งนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะถึงจะผ่านมาหลายวันแล้วแต่การสืบหาร่องรอยของสิ่งที่หลุดออกไปก็ยังไม่คืบหน้า

อีกทั้งความต่างชั้นระหว่างความสามารถก็ห่างกันเกินไป เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นถึงกลุ่มนักล่าชั้นยอดของสภากลาง แถมยังเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ค้นพบศิลาชีพของอามุนร์มาตั้งแต่ต้น ขณะที่อีกด้านหนึ่งนั้นสมาคมท้องถิ่นอย่าง เทรียล ส่งสาวครึ่งเอลฟ์ นักผจญภัยชั้นหยกมาเพียงคนเดียว แต่จะโทษกันคงไม่ได้เพราะเธอก็เป็นหนึ่งในมือดีที่สุดเท่าที่เทรียลมีในตอนนี้แล้ว

นักผจญภัยสาวที่ก้าวขึ้นมาถึงชั้นหยก ถึงจะเป็นเพียงระดับหินไม่ได้สูงขั้นเป็นระดับอัญมณี กระนั้นมันก็ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดสำหรับคนธรรมดาที่จะเข้าถึงได้แล้ว มันคือระดับขีดจำกัด เป็นดั่งกำแพงหยกที่แยกปุถุชนธรรมดาและยอดคนออกจากกัน ถึงขนาดมีคนกล่าวเอาไว้ด้วยว่านักผจญภัยระดับหยกคือนักผจญภัยที่แท้จริง

ทว่าคำกล่าวนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่สาวเจ้าก็ไม่สนใจ เพราะเธอได้เห็นแล้วว่าระดับอัญมณีของจริงเป็นอย่างไร เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ฮารุจอมมายา นักผจญภัยชั้นไพลินสามารถพาตัวเองและชายร่างกำยำอีกคนให้หายตัวไปจากการมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์ระหว่างออกไปสำรวจร่องรอยที่สัญชาตญาณจิ้งจอกตรวจพบ และทิ้งให้เธออยู่ทำภารกิจคุ้มกันงานก่อสร้างกับมนุษย์จระเข้ตัวสูงใหญ่ ผู้ได้สมญาว่า จอมทัพกระดูก จากการอัญเชิญอวตารออกมาได้มากกว่าสามพันตนพร้อมกัน

เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่นักผจญภัยระดับหินอย่างเธอจะจินตนาการถึง มันคือโลกอีกใบที่เธอไม่มีวันอาจเอื้อม เธอยอมรับเรื่องนี้นับแต่วันแรกของภารกิจ แค่ไม่ทำให้ตัวเองเป็นภาระก็นับเป็นงานที่ยากแล้วสำหรับเธอ

ทว่าดูเหมือนกลุ่มหญิงสาวเผ่ามนุษย์สามคนที่เพิ่งจะข้ามกำแพงลวงตาเข้ามาเพิ่มเติมนั้นจะแตกต่างออกไป ทั้งการแต่งกายที่เน้นความสวยงามมากกว่าจะใช้ทำงานหนักและสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะลุยเข้าป่าลึกได้ด้วยตัวเอง บ่งบอกว่าหากพวกนางไม่ได้บินมากับไวเวิร์นก็ต้องใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ชั้นสูงอย่างประตูเชื่อมโลกแน่ ซึ่งก็คงเป็นอย่างหลัง

โดยเฉพาะหญิงสาวผมสีน้ำตาลคนกลางที่เพียงแค่ได้เห็นลายแทรกดิ้นทองอันชดช้อยบนชุดที่นางสวมก็บอกได้ทันทีว่ามันมีราคามหาศาลเกินกว่าที่คนธรรมดาจะอาจเอื้อม ทั้งกริยาที่นางแสดงออกยิ่งบ่งบอกความสง่างามสูงส่ง แต่กลับไร้ซึ่งความหยิ่งทะนง

ผิดกับรูปร่างที่เป็นกล้ามเนื้องดงามพอดี ไม่ผอมแห้งหรืออวบอ้วนเกินไปอย่างชนชั้นสูงส่วนใหญ่ เป็นรูปลักษณ์ที่แม้แต่เอลฟ์ทั้งหลายที่ว่างามก็ยังต้องอิจฉา ไม่แปลกเลยหากนิ้วนางซ้ายเรียวสวยของนางจะมีแหวนเพชรวงงามบ่งบอกความมีเจ้าของ

และเพราะแหวนเพชรสีชมพูที่สลักอักขระประจำพระองค์แห่งกษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์นั้นเองที่ทำให้นักผจญภัยเผ่าเกล็ดเผลอชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะละจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วรีบไปต้อนรับด้วยสีหน้าที่ดูจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

แม้จะเลี่ยงไม่ได้ด้วยรู้ว่าหญิงนางนี้สำคัญเพียงใด แต่ขณะเดียวกันเพราะศักดิ์ที่เขาเองก็มีอยู่ทำให้กล้าพูดสิ่งที่คิดออกไปตามตรงได้โดยไม่ต้องเกรงใจ

“ฝ่าบาท! … เราขอทูลตามตรงว่าที่นี่ถูกจัดเป็นเขตอันตราย การเสด็จมาที่นี้ของพระองค์นอกจากจะทำให้พวกเราทำงานกันได้ไม่เต็มที่เพราะต้องอารักขาท่านแล้ว หากเกิดอันตรายขึ้นมามันจะกลายเป็นเรื่องพิพาทในสภาเอกภาพได้” จระเข้หนุ่มร่างกำยำเพียงโค้งเล็กน้อยให้หญิงสาว แล้วกล่าวออกไปด้วยเสียงหยาบสากเป็นเอกลักษณ์อย่างไม่เกรงใจ ทำเอาสองสาวใช้ที่ติดตามอยู่ด้านหลังถึงกับขมวดปมคิ้วไม่พอใจที่ได้เห็นกริยาของนักผจญภัยคนนี้

ทว่าความไม่พอใจก็ต้องเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อราชินีของพวกนางกล่าวตอบจระเข้หนุ่มด้วยเสียงนุ่มนวลเป็นกันเอง โดยเฉพาะตอนที่พวกนางได้รู้ความจริงว่านักผจญภัยผู้นี้เป็นใครด้วยแล้ว ยิ่งอยากกัดลิ้นลงโทษตัวเองที่บังอาจคิดเช่นนั้น

“เราไม่อยากฟังเรื่องนี้จากปากของชีฟแห่งลุ่มน้ำเหนือคนต่อไปหรอกนะ องค์ชายครอคโคไคอัส” มหาราชินีเผ่ามนุษย์ตั้งใจเอ่ยฐานันดรของอีกฝ่ายออกมาเป็นการประชดประชัน และเป็นการปรามสาวใช้ผู้ติดตามทั้งสองไปด้วยพร้อมกัน

ด้วยความที่เดิมนางนั้นไม่ได้เป็นชนชั้นสูงมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งยังไม่เคยใฝ่หาอำนาจปกครองผู้คน นางจึงไม่ชอบการที่ต้องคอยทำตัวให้สมกับฐานะหรืออวดเบ่งบารมีอะไรทำนองนั้น อันที่จริงนางออกจะรังเกียจความหยิ่งยโสของชนชั้นปกครองบางพวกด้วยซ้ำไป

แต่โชคชะตาก็มักจะเล่นตลก เพราะสุดท้ายนางกลับกลายเป็นสตรีที่ทรงอำนาจที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ อาจเป็นรองก็เพียงเหล่าผู้ปกครองทั้งหกแห่งสภาเอกภาพ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นสามีของนางเอง

ทว่าอำนาจแท้จริงที่นางมีมิใช่อำนาจทางการเมืองหรืออำนาจปกครองแต่อย่างใด

“ไม่เอาน่า ไม่ต้องอารักขาเราหรอก วันนี้เราไม่ได้มาที่นี่ในฐานะราชินี..” องค์ราชินีเอ่ยอย่างเป็นกันเอง

แต่แทนที่จระเข้หนุ่มจะใจเย็นลง เขากลับเผลอแสดงสีหน้าประหลาดออกมาจนเห็นได้ชัด ทั้งที่ใบหน้าที่เป็นเกล็ดสีนิลสนิทนั้นควรจะอ่านออกยากยิ่งกว่างานศิลป์นามธรรม เมื่อสตรีรูปงามคนนั้นเริ่มปลุกพลังเวทของตัวเองให้ตื่นขึ้น แล้วแบมือขวาอัญเชิญโทเทมคู่ใจออกมา

มันเป็นคทาแก้วสีน้ำเงินยาวเกือบสองเมตร หากตั้งตรงจะสูงกว่าตัวเจ้าของเล็กน้อย ส่วนหัวคทาเป็นผลึกแก้วเว้าแหว่งมีคมคล้ายทวน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคืออัญมณีสีแดงสดเม็ดเท่าหัวแม้โป้งที่ห้อยติดกับตัวคทา เป็นสร้อยโลหะที่บ่งบอกถึงสถานะของผู้ครอบครอง ซึ่งไม่อาจซื้อหาได้ด้วยเงินและไม่อาจไขว่คว้ามาด้วยการฉกชิง แต่ด้วยความสามารถอันเหนือล้ำและความพยายามที่สาหัสเกินจินตนาการ

มันคืออัตตะศิลา หินที่สะท้อนตัวตนเจ้าของออกมาอย่างเที่ยงแท้ไม่บิดเบือนและบันทึกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวตนและจิตวิญญาณของผู้ถือครองออกมาเป็นข้อมูลเวทมนตร์ อุปกรณ์ที่เหล่านักผจญภัยจะต้องมีเพื่อระบุตัวตนและความสามารถ

เหนืออื่นใด อัตตะศิลาที่องค์ราชินีมีอยู่นั้นไม่ใช่ระดับทั่วไป ทว่าสูงขั้นถึงชั้น ทับทิม ระดับสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้นับแต่มีการค้นพบความสามารถของมันเมื่อหกร้อยปีก่อน เพราะขั้นที่สูงกว่านี้อย่าง เพชร นั้นไม่ใช่ขั้นที่มีอยู่จริง เป็นเพียงขั้นที่มีไว้เพื่อจำกัดความพลังของเทพเจ้าและตำนานปรัมปราเท่านั้น

ว่ากันว่าผู้ถืออัตตะศิลาระดับอัญมณีคือผู้ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นคนมาเรียบร้อยแล้ว แต่ทับทิมคือระดับของอัญมณีในหมู่อัญมณีอีกทีหนึ่ง

“ไม่ได้เอามาถือเสียนาน เหมือนมันหนักขึ้นรึเปล่านะ” องค์ราชินีเอ่ยเบาๆ กับตัวเอง ขณะที่เริ่มหมุนควงคทาในมืออย่างชำนาญท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของสาวใช้ทั้งสองและนักผจญภัยสาวจากเทรียลที่บัดนี้ตาค้างแข็งเป็นหินไปแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะได้เห็น อดีตมหาจอมเวทกลับมาจับคทาเอเลเมนโต้อีกครั้ง “ยังไงก็เถอะ เรามาเพราะมีเรื่องที่อยากจะตรวจสอบนิดหน่อย”

“นิดหน่อย…?” จระเข้หนุ่มหรี่ตาเอ่ยในลำคอ เพราะคำว่านิดหน่อยสำหรับมหาจอมเวทนั้นยากจะตีความหมายให้ตรงไปตรงมาเหมือนคนอื่นๆ

ตอนนั้นเองที่องค์ราชินียิ้มแล้วเคาะปลายไม้คทาลงกับพื้นดินเบาๆ เป็นจังหวะสองครั้งอย่างเงียบเฉียบ ก่อนจะเคาะลงไปอีกเป็นครั้งที่สาม ทว่าครั้งนี้เกิดเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าถล่ม

ฉับพลันผืนดินทั่วทั้งมิติก็ถูกกลืนด้วยเกล็ดหิมะขาวโพลน แช่แข็งทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ไม่เว้นแม้ต้นกล้าเล็กจิ๋วหรือวิหารใหญ่ยักษ์เอาไว้ในก้อนน้ำแข็งคริสตัล กระทั่งผู้คนมากมายที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองก็ไม่อาจขยับเคลื่อนไหวภายใต้มหามนต์ขององค์ราชินีที่คล้ายจะทรงพลังระดับแช่แข็งกาลเอาไว้ได้

เมื่อทุกสิ่งหยุดนิ่งไม่ไหวติง ร่างสง่างามเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเคลื่อนไหวได้ในมิติจำลองเวลาแห่งนี้ก็เข่าอ่อน ต้องใช้ไม้คทาต่างไม้เท้าพยุงร่างเอาไว้ทันที

ไอลมหายใจขาวโพลนและเกล็ดน้ำแข็งที่เริ่มเกาะกินเส้นขนตางอนงามบ่งบอกความเย็นเยียบเกินบรรยาย แต่เจ้าของร่างเหมือนไม่ยี่หระต่อความหนาว นางพยุงตัวให้ยืนขึ้นด้วยสีหน้านิ่งสนิทจริงจัง นัยน์ตาส่องประกายสีขาวสว่างสะท้อนกับละอองเวทที่ล้นทะลักออกมาทางหางตาเป็นภาพทรงพลัง ก่อนจะเริ่มหมุนคทาในมืออย่างช้าๆ

ชั่วพริบตาทุกสิ่งรอบกายนางก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวในทิศทางย้อนกลับทวนกระแสเวลา บ่งบอกอำนาจแท้จริงของมหาราชินี

ภาพของจระเข้หนุ่มที่เดินถอยหลังไปคุยกับนักผจญภัยสาวอีกคนดูแปลกประหลาดแต่มหัศจรรย์ และด้วยเหตุผลบางอย่างมันทำให้สายตาจริงจังของราชินีต้องชะงักงัน

แม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อนแต่นางกลับคุ้นตาใบหน้าร่าเริงห้าวหาญของนักผจญภัยสาวครึ่งเอลฟ์คนนี้อย่างประหลาด แต่พอได้เห็นคันธนูสีขาวสะอาดที่เธอถือ องค์ราชินีก็เพียงยิ้มแล้วส่ายหน้าออกมาเบาๆ เพราะจดจำเจ้าของคนเก่าของมันได้ ก่อนจะละกลับไปยังเป้าหมายดั้งเดิมของตัวเอง

ในทันทีทันใดคทาถูกหมุนต่อ พร้อมกับเหตุการณ์รอบกายที่ย้อนถอยกลับไปตามกาลเวลาอย่างรวดเร็ว วิหารขนาดใหญ่ยักษ์กลับกลายเหลือเพียงรูปศิลาชีพแห่งอาร์มุน ซากของอสูรยักษ์เฟนรีสถูกขนกลับมาวางไว้อย่างเดิม ก่อนที่ภาพของกลุ่มนักผจญภัยผู้ค้นพบมันจะปรากฏขึ้น

นางตัดสินใจหมุนคทาต่อไปอีกเล็กน้อย ย้อนวันเวลาคืนกลับไปก่อนหน้าที่นักผญจภัยจะมาพบมิติแห่งนี้ เวลาในช่วงที่จะได้เห็นสิ่งที่อาร์มุนซ่อนเอาไว้ตลอดพันปี

ทว่าในชั่วพริบตาที่ความจริงกำลังจะถูกเปิดเผย ผืนน้ำแข็งก็เริ่มแตกร้าวพังทลายเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าราคาในการแทรกแซงเหตุการณ์ธรรมชาตินั้นสูงเกินกว่าที่นางจะแลกเปลี่ยนได้ด้วยพลังเวทมนตร์ของตัวเองแล้ว แต่นั่นไม่ได้สำคัญอะไรเลยเพราะแทนที่นางจะหยุด องค์ราชินีกลับยกคทากระแทกพื้นอีกครั้งอย่างรุนแรงจนมิติจำลองเวลาแห่งนี้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง แล้วสะบัดมือหมุนคทาทวนกระแสเวลาอย่างฉับพลัน

ตอนนั้นเองภาพของโครงร่างซึ่งสร้างด้วยไม้สีดำสนิทโชกเลือดเดินถอยกลับเข้ามาภายในมิติลวงตาแห่งนี้อย่างเชื่องช้า โดยไม่ยี่หระและไม่ใส่ใจมันถอยหลังไปยังศิลาชีพของอาร์มุนแล้วหยุดยืนจับจ้องใบหน้าของศิลาอย่างเหม่อลอย ก่อนที่เลือดเกราะกรังบนพื้นจะเริ่มไหลกลับไปยังเจ้าของร่างที่นอนฟุบหมดสภาพอยู่

เป็นอึดใจนั้นเองที่องค์ราชินีถึงกับกัดริมฝีปากตัวเองเมื่อรู้ว่าหุ่นตนนั้นกระโจนทะลุกะโหลกของหมาป่าเฟนริสโดยใช้เพียงพละกำลังการกระโดดและจ้วงฝ่ามือทะลวงกลางอากาศ ปลิดชีพอสูรยักษ์ลงในพริบตาเดียว

และนั่นคือการยืนยันสิ่งที่นางสงสัย สิ่งที่หลุดออกจากอ้อมกอดของอาร์มุนคือหุ่นสงครามตนสุดท้ายตามคำใบ้ของแม่เฒ่าเก้าหาง มันคือสิ่งที่ยุติสงครามปรัมปราระหว่างมนุษย์กับอสูร กุญแจซึ่งนำมาสู่การก่อตั้งสภาเอกภาพในภายหลัง กุญแจที่หายไปจากตำราและบันทึกทุกฉบับจนกลายเป็นช่องว่างในห้วงประวัติศาสตร์

แต่คำถามคือทำไมอาร์มุนถึงต้องซ่อนหุ่นสงครามตนนี้เอาไว้เป็นพันปี แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ การมีอยู่ของหุ่นตนนี้คือการพิสูจน์ว่าประวัติศาสตร์ที่บันทึกเอาไว้เกี่ยวกับตัวนางนั้นผิดหมด

ทว่าท่ามกลางคำถามมากมายที่ประเดประดังเข้ามา สายตาขององค์ราชินีเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าศิลาชีพของอาร์มุนนั้นหายไปจากจุดที่มันควรจะตั้งอยู่

แต่รู้ตัวก็สายไปเมื่อพื้นน้ำแข็งเริ่มละลายปริแตกคล้ายว่ามิติกำลังจะพังลงอีกครั้ง แต่นางรู้ดีว่านั่นไม่ใช่เหตุผล มันคือฝีมือของอาร์มุน อย่างน้อยก็เป็นเวทมนตร์ที่นางร่ายทิ้งไว้ตอนยังมีชีวิต

“เธออยากรู้ความจริงหรือหนูน้อย” ตอนนั้นเองที่องค์ราชินีได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู พร้อมกับสัมผัสสากกระด้างแข็งจากฝ่ามือศิลาที่ลูบไล้ไปตามแขนของนางจากด้านหลังแล้วกุมมือข้างที่ถือคทาเอเลเมนโต้เอาไว้ในแน่น ในทันใดเสียงกระซิบอ่อนหวานพลันเปลี่ยนกลายเป็นเสียงตะคอก “เช่นนั้นจงดู!”

เมื่อสิ้นเสียง คทาก็เริ่มหมุนอย่างรุนแรงไม่ยอมหยุดอยู่ในฝ่ามือขององค์ราชินีที่บัดนี้ถูกพันธนาการเอาไว้ในกำปั้นหินของศิลาชีพ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ เริ่มย้อนทวนอย่างรวดเร็วพร้อมกับโลหิตที่หลั่งไหลจากมือและเสียงกรีดร้องอย่างทรมานที่ดังกึกก้อง

ทว่าความเจ็บปวดบนฝ่ามือเทียบไม่ได้เลยกับผิวหนังเนียนนุ่มที่เริ่มเกิดร่องรอยของการแปรเปลี่ยนเป็นหินศิลา นางกำลังถูกบังคับให้ใช้พลังเวทเพื่อหมุนคืนกาลเวลา ทว่านางไม่มีพลังมากพอจะจ่ายไหว ซึ่งนั่นนำไปสู่การกลายสภาพเป็นศิลาชีพ หรืออีกนัยหนึ่งคือนางจะตายหากคทายังไม่ยอมหยุดหมุน

ในห้วงแห่งความทรมานแสนสาหัส นางได้เข้าใจถึงความเจ็บปวดของอาร์มุนในที่สุด ภาพของสรรพสิ่งรอบกายย้อนกลับเร็วเกินกว่าจะเข้าใจความเป็นไป

แล้วในชั่วขณะที่หินศิลากำลังกลืนกินร่างขององค์ราชินีจนเหลือเพียงใบหน้าและดวงตานั้นเองที่คทาหยุดหมุน พร้อมกับภาพเหตุการณ์ซึ่งทำให้นางหยุดส่งเสียงและเริ่มหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งหวาดกลัว ผิดหวังและเศร้าเสียใจไปพร้อมกัน

กองซากศพมากมายที่เกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณเปลี่ยนทุ่งโล่งแต่เดิมกลายเป็นทะเลเลือดสีแดงฉาน นางคงจะไม่รู้สึกอะไรเลยหากว่ามันเป็นศพของอสูร ทว่าเปล่า ทุกร่างเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่นอนจมอยู่ในแอ่งโลหิต และเหนือกองซากเหล่านั้นคือร่างสามร่างที่สะบักบอมจากการพยายามดิ้นรนต่อสู้

ร่างหนึ่งนั้นคือองค์อาร์มุนซึ่งคุกเข่ากอดหุ่นสงครามตนสุดท้ายเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ไม่แม่แต่จะสนใจว่าหลังของนางมีศรปักทะลุร่างอยู่มากมาย แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับชายร่างแข็งแกร่งกำยำที่แม้ว่าแขนขวาจะขาดสะบั้นและมีศรปักอยู่ทั่วตัวแต่ก็ยังยืนกุมดาบในมือที่เหลือเอาไว้อย่างมั่นคง เตรียมประจันหน้ากับกองทัพที่ล้อมทั้งสามเอาไว้

ใบหน้าฉกรรจ์กร้านโลกของชายดั่งกล่าว แม้จะเปลี่ยนแปลงไปเพราะอาบท่วมด้วยเลือดและซูบซีดอิดโรยเพียงใด แต่ราชินีอย่างนางไม่มีทางลืมใบหน้าของรูปสลักที่ตั้งไว้กลางโถงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์แน่ ชายคนนั้นคือ ราห์ แม้ทัพคนสุดท้ายที่ทำสงครามกับอสูรและเป็นชายคนเดียวที่อาจเอื่อมครอบครองหัวใจแห่งอาร์มุน หากว่าอาร์มุนคือมารดาแห่งปฐมเวท เช่นนั้น ราห์ ก็เป็นบิดาแห่งวิชารบ

“บุตรของเรา เขามีนามว่า ฮอรัส...”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่องค์ราชินีได้ยิน ก่อนจะตื่นขึ้นจากห้วงมิติแห่งกาลเวลา และพบว่านางยังปกติดีไม่ได้แปรเปลี่ยนเป็นหิน ราวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในมิติจำลองนั้นเป็นแค่ฝันไป หนำซ้ำจระเข้หนุ่มซึ่งยืนอยู่ตรงหน้านางก็ยังขบคิดเกี่ยวกับนัยของคำว่า ‘นิดหน่อย’ ของนางไม่แตกเลย

“นี่เองระดับเพชร...” ราชินีเอ่ยออกมาเบาๆ กับตัวเองเมื่อได้เข้าใจว่าพลังอาร์มุนนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

ลำพังแค่การสร้างมิติลวงตาที่คงสภาพมาได้เป็นพันปีก็เกินกว่าจะบรรยายแล้ว ยิ่งกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยหากจะยกยอว่ามันคือพลังของเทพีเทพเจ้าก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ทว่าเพราะเหตุนั้นเองมุมปากขององค์ราชินีถึงได้ปรากฏรอยยิ้มเล็กๆ ยามนึกถึงก้นบึ้งอันยากจะหยั่งได้ของเวทมนตร์ที่นางไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ เวทมนตร์ของมารดาแห่งปฐมเวท

"จะว่าไป แม่สาวครึ่งเอลฟ์คนนั้นใคร..." ราชินีละจากความกระหายไคร่รู้ของตน ขณะปรายตามองไปยังนักผจญภัยสาวที่ก้มหน้าต่ำไม่กล้าสบตานาง

ฝ่ายคร๊อคคัสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงมองตาม ถึงจะไม่รู้ว่าราชินีต้องการอะไรจากนาง แต่จะไม่แนะนำก็คงจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป "นางชื่อ เอเดล ฝ่าบาท เป็นนักผจญภัยจากเทรียล ความสามารถไม่โดดเด่น แต่ทักษะรอบด้าน ต่อสู้ได้ดี ยิงธนูเฉียบขาด ล่าสัตว์เก่ง ทำอาหารอร่อย รู้เรื่องพืชสมุนไพรเป็นอย่างดี กระทั้งการปรุงยาทำโพชั่นก็ยังทำเป็น นางว่านางเรียนมาจากแม่... "

"เรียนมาจากแม่?" ราชินีพูดเสียงเรียบ ขณะเดินไปยังบริเวณที่่หุ่นสงครามเคยเดินผ่านในมิติเวลาที่นางเห็น ก่อนจะก้มลงใช้มือช้อนเอาดินตรงนั้นขึ้นมาหรี่ตาจ้องมองราวกับมีอะไรบางอย่างในนั้น "เอลี่..."

"หืม...? " จระเข้หนุ่มเอียงคอสงสัยกริยาขององค์ราชินีที่ผิดปกติไป

"ไปตามทุกคนมา ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสิ่งที่หลุดออกไปคืออะไร และรู้แล้วว่ามันมุ่งหน้าไปที่ไหน... แต่ดูเหมือนพวกเธอคงต้องยกระดับภารกิจใหม่" องค์ราชีนีเว้นช่วงพูดในตอนท้าย ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นกว่าเดิม "จำกัดความอันตรายเป้าหมายเทียบเท่าเหตุการณ์ล้างเมืองเทม อาจต้องยกระดับภารกิจใหม่เป็นระดับหนึ่ง"

เพียงสิ้นประโยคนั้นจระเข้หนุ่มก็เผลอขบฟันกำหมัดแน่นด้วยรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่หญิงสาวว่านั้นคืออะไร ก่อนที่เขาจะโน้มศีรษะรับคำราชินี แล้วรีบอัญเชิญอวตารกระดูกออกตามสหายนักผจญภัยที่เหลือกลับมาวางแผนภารกิจนี้ใหม่อย่างเร่งด่วน โดยไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าที่มุมปากของราชีนีนั้นบัดนี้ปรากฏรอยยิ้มพิกลผิดปกติคล้ายกำลังพอใจมากกว่าวิตก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด