ตอนที่แล้วบทที่ 1 : กอดของอาร์มุน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 : หัวใจที่ทำจากไม้

บทที่ 2 : หุ่นไล่กา


บทที่ 2 : หุ่นไล่กา

 

 

ลมหนาวแรกผ่านพัดปลิดปลิวใบของต้นไม้เฉพาะถิ่นให้ร่วงหล่นลงมาตามฤดูกาล ปกคลุมพื้นที่เป็นพรมสีม่วงอ่อนที่เคลื่อนวับไหวตามแรงลม เข้ากับดอกไม้สีขาวสะอาดตาที่ขึ้นเป็นกอช่อเล็กๆ ประปรายอยู่ตามโคนเมเปิลยักษ์สายพันธุ์เก่าแก่แห่งป่าอาเคน

ผืนป่าสีม่วงแทรกขาวดอกไม้และสายธารใสเห็นตัวปลา เป็นความงดงามตามคำบอกเล่าของผู้ที่เคยมาเยือนหมู่บ้านลับแลเก่าแก่ใจกลางป่าที่พวกเอลฟ์เคยอยู่อาศัยเมื่อเกือบพันปีก่อน แม้ทุกวันนี้แทบจะไม่หลงเหลือเอลฟ์สายเลือดแท้อาศัยอยู่ที่นี่แล้วก็ตาม

อันที่จริงปัจจุบัน หมู่บ้านแห่งนี้เติบโตขึ้นมากเกินจะเรียกว่าลับแล ด้วยประชากรหลายสิบครอบครัว ครบถ้วนทั้งห้าพงศาพันธ์ใน สภาเอกภาพ (Unity Council) อยู่ร่วมกันอย่างสงบและยังคงวัฒนธรรมดั้งเดิมของหมู่บ้านเอลฟ์เอาไว้ ผสมรวมกับวัฒนธรรมอารยะใหม่จนกลายเป็นเอกลักษณ์

ทั้งสิ่งปลูกสร้างเรียบง่ายจากดินและกระดูกสัตว์แบบชาวเกล็ด บ้านในโพรงต้นเมเปิลยักษ์ดั้งเดิมแบบเอลฟ์ หรือทางเดินหินโมเสกกับไฟสนามคริสตัลสีนวลตัดกับสีม่วงจากชาวช่างตัวเล็กผู้รักศิลปะ ผสมรวมกับบรรยากาศผ่อนคลายท่ามกลางเสียงกระดิ่งลมของเผ่าจิ้งจอกที่ห้อยอยู่ตามที่ต่างๆ และแน่นอนที่สุดคือระบบร้าน ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าและสมาคมแบบมนุษย์ สมาคมนักผจญแห่งเทรียล

และด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความที่มีประชากรหลากหลายไม่กระจุกตัวเช่นนั้นเองที่ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ถึงจะไม่ใหญ่โตขนาดจะเรียกได้ว่าเป็นเมืองแต่ก็ถูกยกให้ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองกลาง ได้รับอิสระในการปกครองตัวเองภายใต้สภาเอกภาพอย่างเป็นทางการ ไม่ขึ้นต่อเผ่าพันธุ์ใดเผ่าพันธุ์หนึ่ง และยังสามารถจัดตั้งสมาคมต่างๆ ขึ้นมาได้เอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือการรับรองสมาคมนักผจญภัยของท้องถิ่นนั้นให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันตนเองแห่งสภาเอกภาพ สามารถดำเนินการต่างๆ ได้เต็มที่ ตั้งแต่การจัดตั้งภารกิจ ขึ้นทะเบียนนักผจญภัยหรือออกใบอณุญาติต่างๆ ไปจนถึงการให้อำนาจตุลาการออกประกาศจับ ตั้งค่าหัวและบังคับใช้กฎหมายภายใต้ปฏิญญาแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันแห่งสภาเอกภาพ นักผจญภัยที่ขึ้นทะเบียนกับสมาคมในเมืองกลางนั้นจึงมีสิทธิ์บังคับใช้กฎหมายภายในพื้นที่ของตนเองได้เทียบเท่าเจ้าหน้าที่ตุลาการกลาง

ทั้งหมดก็เพื่อลดทอนบทบาทความสำคัญทางการทหารลง ไม่ให้เกิดการซ่องสุมสะสมกำลังจนกลายเป็นสงครามเย็นระหว่างเผ่าพันธุ์ เหมือนเช่นที่เคยเกิดในอดีตเมื่อแปดร้อยปีก่อนจนทำให้สนธิสัญญาเก่าถูกทำลายและสภาเอกภาพเกือบจะล่มสลายลงไป

ต้องใช้เวลากว่าสองร้อยปีขั่วอำนาจถึงถูกเปลี่ยนมือ ปฏิญญาฉบับใหม่จึงได้ถูกร่างขึ้นภายใต้เป้าหมายดั่งเดิมคือการรวมกันเป็นเอกภาพของทั้งห้าเผ่าพันธุ์ พร้อมกับการมาถึงของยุคสมัยแห่งนักผจญภัย

 

ห่างออกมาจากหมู่บ้านไม่ไกลนักเพียงชายป่าอาเคน ยังมีบ้านที่สร้างจากหินและดินปูนสีซีดรูปทรงเหลี่ยมแบบอารยธรรมมนุษย์ดั้งเดิมตั้งอยู่โดดเด่นแยกออกมาจากหมู่บ้าน ท่ามกลางดอกไม้นานาพรรณและพืชสมุนไพรอีกหลายชนิดที่ถูกปลูกไว้ทั่วบริเวณ บ่งบอกว่าผู้อาศัยมีความเชี่ยวชาญในด้านงานโอสถ สมุนไพรเป็นอย่างดี

“ที่นี่แหละสวนสมุนไพรของคุณเอรีอา สวยใช่มั้ยล่ะ” เสียงแป้นแล้นสดใสดังขึ้นบนอานรถม้าบรรทุกของ พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าสาวที่คงจะงดงามไม่น้อย หากปราศจากรอยแผลเป็นที่ผาดผ่านดวงตาซ้ายลงมาถึงมุมปากบอกเล่าอดีตอันสาหัสอันตรายของอาชีพนักผจญภัยที่นางเคยผ่านมา

และถึงจะโชคร้ายที่รอยแผลนี้พรากเอาความสวยและดวงตาข้างหนึ่งของนางไป แต่ดูเหมือนจะเป็นโชคดีอยู่บ้างที่หนุ่มน้อยเลือดผสมตาคมข้างๆ นั้นมีมุมมองความงามต่างจากคนอื่น

“สะ สวยครับ..” หนุ่มน้อย ครึ่งมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกเอ่ยตอบเสียงค่อย ดวงตาคมสีส้มแบบสัตว์นักล่าไม่ได้มองไปทางสวนสมุรไพรแต่แอบชำเลืองใบหน้าของมนุษย์สาวรุ่นพี่

กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดเป็นทรงปราศจากส่วนอ่อนนุ่มบอบบางคือความน่าหลงไหลสำหรับเขา มันตอกย้ำความแตกต่างระหว่างหญิงชาวบ้านทั่วไปกับอดีตนักผจญภัยชั้นอาเกตที่ผ่านการฝึกฝนเขี้ยวกรำร่างกายมาอย่างสาหัส ก่อนจะผันตัวมาเป็นคนส่งของทางไกลให้กับสมาคมด้วยเหตุผลเดียวกับนักผจญภัยหลายๆ คนที่เกษียณตัวเองก่อนเวลาคืออาการบาดเจ็บ ไม่ใช่แค่ทางร่างกาย แต่รวมถึงจิตใจด้วย

ภายใต้รอยยิ้มร่าเริ่งนั้นหญิงสาวต้องแบกรับรอยแผลเป็นในใจจากการเป็นคนเดียวในกลุ่มที่รอดชีวิตจากภารกิจที่ล้มเหลว เวลาและโครงการบำบัดอาจช่วยเยียวยา แต่ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ถึงกระนั้นอย่างน้อยที่สุด ไม่ว่าหนุ่มน้อยจะรู้หรือไม่แต่การติดสอยห้อยตาม ทำตัวเป็นเหาฉลามคอยอยู่ข้างๆ เสมอเช่นนี้ก็ช่วยให้เธอลืมฝันร้ายในอดีตลงได้บ้าง ถือเป็นแต้มต่อให้รุกไล่ได้อย่างดี

“ไปทำงานกันเถอะ พ่อหมาน้อย” หญิงสาวกล่าวน้ำเสียงร่าเริง ขณะใช้มือยีศีรษะหนุ่มน้อยเบาๆ แล้วลงจากรถม้า

“มะ หมาน้อยเนี่ยนะ...” หนุ่มน้อยเลือดผสมเอ่ยเบาๆ ในลำคอ พร้อมกับจัดทรงผมสีส้มยุ่งเหยิงของตัวเองแล้วรีบเดินตามลงไปอย่างเสียไม่ได้

เขามองรายการของที่ต้องส่งบนหลังรถม้า มีเพียงจดหมายไม่กี่ฉบับกับลังไม้ปิดผนึกขนาดใหญ่หนึ่งลังไม่มากอะไร เว้นก็แต่ลังไม้ที่ว่านั้นหนักราวกับบรรจุเหล็กเอาไว้เต็มลัง เพียงแค่จะดึงมันออกจากเกวียนก็ทำเอาต้องกัดฟัน

แต่ตอนนั้นเองที่สาวเจ้าจัดการใช้มือเอื้อมไปลากลังนั้นออกจากรถม้า แล้วยกขึ้นเทินไหล่ของตัวเองในทีเดียวราวกับมันเป็นแค่หมอนอัดนุ่น ปล่อยให้พ่อหมาน้อยถอนหายใจแล้วโทษว่าเป็นเพราะสายเลือดผสมถึงทำให้เขาร่างกายอ่อนแอ ทั้งที่ความจริงไม่เกี่ยว ถึงเกี่ยวก็เพียงน้อยนิด

เพราะปัญหาด้านสุขภาพร่างกายของลูกครึ่งสองเผ่าพันธุ์นั้นแทบจะไม่พบ กลับกันส่วนใหญ่มักจะได้รับข้อดีของเผ่าพันธุ์พ่อแม่มาเกือบสมบูรณ์ มีบ้างที่ความสามารถบางอย่างอาจด้อยลงไปแต่ก็ไม่มากนัก ปัญหาใหญ่จริงๆ ที่คู่สมรสและมีลูกข้ามเผ่าพันธุ์ต้องคิดนั้น คือการที่ลูกครึ่งเลือดผสมทุกคนจะเกิดมาเป็นหมันไม่อาจสืบทายาทต่อไปได้เสียมากกว่า

และก็เพราะปัญหานี้เองที่ทำให้เอลฟ์สายเลือดแท้เหลือน้อยเต็มทีเพราะวัฒนธรรมด้านความรักและการมีคู่ที่สุดโต่ง โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นเผ่าใด เมื่อรักหรือรับรักแล้วจะรักหนึ่งเดียวจนตาย ประชากรครึ่งเอลฟ์จึงมีมากสวนทางกับเอลฟ์สายเลือดแท้

“คุณเอรีอาค้า..!” สาวเจ้าตะโกนเรียกชื่อเจ้าบ้านด้วยเสียงสดใสร่าเริงเหมือนเช่นเคย แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมาจากด้านใน

ตอนนั้นเองที่เจ้าของชื่อยืนขึ้นจากแนวต้นสมุนไพรที่บังอยู่ในตอนแรก เธอยิ้มด้วยริมฝีปากขาวซีดและเยื้องย่างก้าวมาหาทั้งสองด้วยท่าทางสง่าห์งามตามแบบบรรพบุรุษ

เขากวางอ่อนยาวสองคืบบนศีรษะไม่แตกแขนงใหญ่เหมือนเพศชายแต่ก็ดูเด่นและบ่งบอกวัยเจ้าของ สีผิวและนัยน์ตาขาวมุกเข้ากันกับเรือนผมสีเทายาวที่มัดรวบไว้ ผ้ากันเปื้อนและชุดทำสวนเรียบๆ ไม่อาจลดทอนความงามของเอลฟ์ป่าสายเลือดบริสุทธิ์ได้เลย

เพียงหนุ่มน้อยได้เห็นรูปร่างอุดมคตินั้น เขาก็ไม่อาจละสายตาได้อีกราวกับต้องมนต์จนแทบจะหยิกตัวเองให้ตื่น

“หนูเอาของของอาทิตย์นี้มาส่งค่ะ ให้เอาไปไว้ไหนดีคะ”

“วางไว้ตรงนี้ก่อนก็ได้จ้ะ แค่นี้ก็รบกวนพวกเธอมากแล้ว” เอลฟ์สาวซึ่งความจริงไม่สาวแล้ว เอ่ยตอบน้ำเสียงละมุนหวาน มือข้างหนึ่งยังถือพลั่วไว้ไม่วาง บ่งบอกว่าเธอยังทำงานในสวนไม่เสร็จดี

“ค่ะ แล้วก็ คุณเอเดลฝากมาบอกว่าที่สมาคมกำลังยุ่งๆ ยังกลับมาไม่ได้นะคะ” อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ วางลังไม้ลงข้างประตู ขณะกล่าวถึงนักผจญภัยอีกคนของเทรียล ก่อนจะหยิบจดหมายจากมือของหนุ่มน้อยมายื่นให้ ‘คุณเอรีอา’ เพราะด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาเอาแต่ยื่นแข็งเป็นหิน

“งั้นหรือจ๊ะ... ยังไงก็เข้ามาในบ้านกันก่อนสิ เดี๋ยวฉันชงชาให้นะ” เอรีอายิ้มกว้าง เชิญทั้งสองให้เข้าไปพักผ่อนในบ้าน ถึงเธอจะไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยที่มาใหม่คนนี้เป็นใครก็ตาม

“อ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูต้องรีบไปส่งของที่นอกหมู่บ้านต่อ”

“เอ๋ ถ้างั้นก็ระวังตัวด้วยนะจ๊ะ”

“ขอบคุณค่ะ คุณเอรีอาเองก็ด้วยนะคะ ไม่นานนี้มีคนค้นพบสุสานของท่านอาร์มุน ได้ยินว่ามีปีศาจหลุดมาจากที่นั่นด้วย ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะคะ” สาวเจ้าว่าพร้อมกล่าวลา ก่อนจะจับมือลากหนุ่มน้อยเลือดผสมที่ไม่ยอมพูดจาแถมทำท่าทางเหมือนอึดอัดปานจะขาดใจตายให้ขึ้นรถม้ามาด้วยพร้อมกัน

“เอเดล ยุ่งเพราะเรื่องนี้เองสิเนี่ย... ยังไงก็ขอบใจนะจ๊ะ” เอรีอาพูดเบาๆ พลางโบกมือส่งรอยยิ้ม ขณะที่สาวเจ้าเริ่มบังคับรถม้าให้เดินทางออกจากสวนสมุนไพรไปยังจุดหมายต่อไปซึ่งไกลกว่ามาก

 

“เป็นอะไรของนายน่ะ หลงเสน่ห์คุณเอรีอาเขารึไงจ๊ะพ่อหมาน้อย” สาวเจ้าส่งเสียงหยอกล้อกับหนุ่มน้อยหลังออกจากสวนสมุนไพรมาได้สักพักแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังแสดงท่าทีเงียบผิดปกติ

“ปะ เปล่า ไม่ใช่นะครับ” พอได้ยินดังนั้นหนุ่มน้อยก็รีบปฎิเสธเป็นพัลวัล แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้นก็แอบถอนใจแล้วว่าต่อ “แค่สัญชาตญาณจิ้งจอกของผมน่ะครับ ถึงมันจะห่วยก็เถอะ”

“หืม..” สาวเจ้าหันมามองหน้าคู่สนทนาท่าทางสนใจ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าลูกครึ่งที่แทบไม่มีอะไรบ่งบอกสายเลือดจิ้งจอกได้เลยอย่างเขาจะมีสัญชาตญาณจิ้งจอกติดตัวด้วย

“ผมแค่รู้สึกว่าหุ่นไล่กาในสวนของคุณเอรีอามันน่ากลัวแปลกๆ น่ะครับ” เขาเอ่ยเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้า แต่แฝงความหวาดหวั่นเอาไว้ในน้ำเสียง ทว่าตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้น

“ฮะ ฮ่าๆๆ นายกลัวหุ่นไล่กาเนี่ยนะ” สาวเจ้าหัวเราะตัวงอเมื่อได้ฟังเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า

“จริงๆ นะครับ หุ่นไล่กานั่นมันเหมือนมีชีวิตจริงๆ” หนุ่มน้อยเร่งเสียงกล่าวจริงจัง ถึงขนาดว่ายังขนลุกเมื่อพูดถึงสิ่งที่ตนเห็นในสวนนั้น

“จะว่าไปสวนของคุณเอรีอาไม่มีหุ่นไล่กานี่นา…” สาวเจ้าว่าพลางทำหน้าครุ่นคิด

 

ย้อนกลับมาที่อีกฟากหนึ่ง ณ สวนสมุนไพรของเอลฟ์ป่าสายเลือดแท้ที่หลงเหลือไม่มากนักในหมู่บ้าน ร่างงดงามยังง่วนอยู่กับการพยายามเปิดลังไม้ที่บรรจุอุปกรณ์ทำสวนและเครื่องไม้เครื่องมือพิเศษที่นางสั่งเอาไว้กับช่างเหล็กของสมาคมเมื่อหลายวันก่อน

ถึงนางจะเป็นคนสั่งไว้เองว่าให้ปิดผนึกลังไม้ให้ดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะใช้วิธีตอกหมุดเหล็กถาวรประชดประชันกันแบบนี้ แม้ว่าชาวช่างกับเอลฟ์มักจะไม่ค่อยถูกกันเป็นปกติ แต่นี่คงเป็นแค่การหยอกแกล้งกันของเพื่อนเก่าเพื่อนแก่มากกว่า

“เห้อ...” เอลฟ์สาวถอนหายใจยืนมองลังไม้พลางคิดไม่ตกว่าจะต้องเปิดมันอย่างไรโดยไม่ทำให้ของด้านในเสียหาย

ทว่าในชั่วขณะที่เอรีอายังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด บางสิ่งปรากฏขึ้นในความเงียบเฉียบห่างจากตัวของนางไปเพียงไม่กี่คืบ มันยืนจับจ้องเอลฟ์สาวอยู่ด้านหลังด้วยนัยน์ตาสีนิลสนิทไร้ชีวิตบนใบหน้านิ่งเรียบแบบมนุษย์ ทว่าสลักเสลาจากแก่นไม้มะเกลือสีดำมืดดุจเงาร้าย ใต้ผ้าคลุมสีหม่นผืนใหญ่โครงร่างของมันดูยับเยินเหมือนถูกสับแยกชิ้นส่วนแล้วประกอบใหม่นับร้อยนับพันครั้ง

มือทั้งสองข้างไม่สมบูรณ์มีร่องรอยแตกลึกจนถึงกระดูกที่สร้างด้วยโลหะไร้สนิมและสะท้อนประกายสีฟ้าประหลาด ทว่าประกายนั้นไม่อาจสะท้อนผ่านของเหลวสีแดงขุ่นข้นที่อาบท่วมทั้งสองมือและมีดคมกริบที่มันถือ

ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามร่างอมนุษย์นั้นไม่เคลื่อนไหว มันเพียงยืนนิ่งและจับจ้อง ราวกับสัตว์นักล่าที่หยิ่งผยองไม่ยอมจัดการเหยื่อจนกว่าเหยื่อจะสัมผัสได้ถึงอันตรายก่อนมันจึงลงมือ เป็นการให้โอกาสและพร้อมกันก็เป็นการเหยียดหยามความไร้พลังของอีกฝ่าย

ฉับพลันตอนนั้นเองที่เอรีอาละจากภวังค์หันกลับมาเห็นร่างสูงใหญ่ของมัน

เหมือนเวลาถูกหยุดนิ่งยามที่จ้องเข้าไปในดวงตาวางเปล่าของอารยธรรมเก่าที่ถูกทอดทิ้ง ใบหน้านิ่งสนิทเย็นเยียบไม่ขยับเคลื่อนไหว

เพียงพริบตาแต่เหมือนเป็นชั่วกาลเมื่อยืนอยู่ต่อหน้ามัน เธอไม่อาจขยับร่างกายได้ราวกับมีอะไรมากดทับเป็นความอึดอัดที่ยากจะอธิบาย และในวินาทีนั้นเองที่หุ่นตนนั้นขยับเมื่อมันยกมีดในมือขึ้นยื่นไปต่อหน้าของเอลฟ์สาว

“ทะ.. เธอกรีดยางต้นเลือดปีศาจ* เสร็จแล้วหรอจ๊ะ...” เอลฟ์สาวเอ่ยน้ำเสียงตกใจในตอนแรก แต่พอตั้งสติได้เธอก็เผยยิ้มอบอุ่นแล้วหยิบมีดที่อีกฝ่ายยื่นคืนให้ “คราวหน้าใส่ถุงมือด้วยนะรู้มั้ย”

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด