ตอนที่แล้วบทที่ 12 หลบหนีชั่วข้ามวัน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 เวทมนตร์สุดยอด

บทที่ 13 การตื่นขึ้นของเมล็ดพันธุ์


บทที่ 13 การตื่นขึ้นของเมล็ดพันธุ์

จากวันที่สไปค์ถูกออกหมายจับโดยสถาบันก็ล่วงเลยมาเป็นเวลากว่าสัปดาห์ แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาที่เหมือนนานแต่เมื่อดูจากสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่กลับเหมือนพึ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพราะในวันหรือเวลาที่ว่างจะมีนักเรียนในสถาบันแทบทุกเกรดต่างพร้อมใจกันออกตามล่าหาตัวนักโทษหลบหนีคนนี้กันจ้าละหวั่น ภาพที่ปรากฏให้เห็นนี้สร้างความรู้สึกปั่นป่วนในใจให้กับซิลเวอร์เป็นที่สุด เพราะเขายังเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ออกตามหาตัวสไปค์และยังเลือกที่จะเฝ้ารอวันที่ฟาร์ชูลันจะลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อเล่าความจริงให้เขาฟัง

เขามองดูใบหน้าของหญิงสาวที่ในยามนี้กลับมาใสสะอาดไร้รอยหมองคล้ำไม่เหมือนกับวันที่ถูกช่วยเหลือออกมาวันแรก การรักษาแม้จะดำเนินไปอย่างเป็นลำดับขั้นตอนก็ยังทำได้แค่ยื้อเวลารอให้สัญญาณชีพของเธอกลับมาเป็นปกติ ความจริงนักเรียนคนอื่นที่ถูกจับตัวไปเหมือนกับเธอเริ่มที่จะได้สติกลับคืนมาทีละคนสองคนแล้ว แต่กับฟาร์ชูลันนั้นยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเหมือนอย่างใคร อาจเป็นเพราะตัวตนของเธอคือแม่มดผู้ครอบครองเวทมนตร์ หาใช่นักรบปราณเหมือนอย่างคนอื่น จึงไม่สามารถหาวิธีรักษาที่เหมาะสมแก่เธอได้

มีเสียงเคาะประตูดังก๊อกสองที ซิลเวอร์รีบเดินไปเปิดประตูเพราะคิดว่าแพทย์น่าจะมาดูอาการของฟาร์ชูลัน แต่พอเปิดประตูแล้วเขากลับพบกับคนที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่า เพราะคนที่เขาเห็นคือบุรุษผิวสีแทน เรือนผมหยักศกสีขาว แววตาคมกริบและดุดันแฝงออร่าแห่งความมาดมั่นที่ไม่ว่าใครได้มองต่างก็ต้องยอมศิโรราบ

เจ้าตำหนักวายุ ซิลเฟร์ เฟอร์มากัสนั่นเอง...

“ท...ท่านเจ้าตำหนัก” ซิลเวอร์แทบจะทำความเคารพไม่ทัน เขาถอยตัวห่างออกไปและทำท่าเลิ่กลั่กเหมือนกับลืมว่าควรต้องทำอย่างไรต่อ

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าไม่ได้มาหาเรื่อง” ซิลเฟร์กล่าวเช่นนั้นก่อนจะเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างเตียงของฟาร์ชูลัน แววตาของเขาแน่นิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิดในขณะที่จ้องไปยังสีหน้าของหญิงสาวผู้นิทราอยู่บนเตียง ซิลเฟร์ยื่นมือออกไปและหงายขึ้นก่อนจะวางลงบนหน้าผากของเธอ

เขาหลับตาลงและเพ่งสมาธิจนก่อให้เกิดออร่าปราณพยัคฆ์เรืองแสงอ่อน ๆ ออกมา

“ไม่มีอะไรเลย ไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรปรากฏ” เขาพึมพำเบา ๆ “นี่คือชีพจรของแม่มดงั้นรึ”

“แพทย์ที่นี่ก็พูดแบบเดียวกัน” ซิลเวอร์ตอบกลับไป “ทุกคนจะมีสัญญาณชีพบ่งบอกถึงความปกติหรือไม่ปกติ แต่กับฟาร์ชูลัน...ไม่ว่าจะเงี่ยหูฟังยังไงก็ไม่ได้ยินเสียงและสัมผัสอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ราวกับนี่คือร่างที่เป็นเหมือนอาภรณ์ว่างเปล่า แต่ตัวตนของเธอนั้นหายไปแล้ว” ซิลเวอร์พูดตามที่แพทย์ของสถาบันบอกมา

“อืม” ซิลเฟร์ตอบสั้น ๆ ก่อนจะหันหลังกลับไป พอเห็นว่าเจ้าตำหนักวายุผู้นี้กำลังจะกลับ ซิลเวอร์ก็ทำความเคารพหนึ่งครั้งด้วยการโค้งตัวลง แต่เมื่อเขายกตัวขึ้นมาก็ต้องพบว่าซิลเฟร์กำลังจ้องมองเขาอยู่

“สหายของเจ้าไม่ใช่มาร วางใจเถอะ” กล่าวจบซิลเฟร์ก็หันใบหน้ากลับแล้วเดินออกไปทันที ปล่อยให้ซิลเวอร์ที่กำลังสับสนกับความรู้สึกของตนต้องมางงงันกับคำพูดของซิลเฟร์ แต่เมื่อจับใจความได้ก็ทราบว่าเขาตั้งใจจะบอกว่าสไปค์นั้นไม่ใช่มารอย่างที่ทุกคนคิด นั่นทำให้รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของซิลเวอร์อีกครั้ง เขาเริ่มจะมีความหวังขึ้นมา

ในทางเดินเท้าของศูนย์พยาบาลของสถาบัน ซิลเฟร์เดินออกมาอย่างเงียบเชียบโดยไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางเงามืดอันเกิดจากแสงสลัวบนทางเดินนี้ปรากฏแววตาคมกริบและสีหน้าที่ดุดันเกินคาดเดา เขาหวนนึกถึงคำพูดของตัวเองที่ทิ้งท้ายไว้กับซิลเวอร์ก่อนหน้าที่จะเดินออกมาจากห้อง ก่อนที่จะเปล่งเสียงเบา ๆ ผ่านลำคอออกมา

“เพราะมารตัวจริง...อยู่ใกล้กับพวกข้านี่เอง”

 

หลังจากถูกช่วยเหลือเอาไว้จากชายแปลกหน้าผู้เต็มไปด้วยปริศนา สไปค์ในตอนนี้ก็ฟื้นตัวขึ้นเต็มที่หลังผ่านพ้นมานานกว่าสัปดาห์ ความจริงบาดแผลหรือพิษที่ตกค้างในกายนั้นหายตั้งแต่ช่วงวันแรกที่พักรักษาตัวแล้ว แต่สิ่งที่ยังทำให้เขาลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้ในทันทีมาจากกระแสความปั่นป่วนของพลังปราณที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบอยู่ภายในร่างกาย นั่นทำให้เขาต้องใช้เวลานอนนิ่งอยู่กับที่เพื่อควบคุมไม่ให้กระแสปราณปั่นป่วนและทำให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม

หลังจากผ่านมาได้เกือบสัปดาห์เขาก็ทำได้สำเร็จ และอาการทุกอย่างก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง พอหายดีแล้วสไปค์ก็ลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาเพื่อเรียกความเคยชินกลับคืนมาอีกครั้ง และใช้เวลาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบันวันนี้ในการทำความเข้าใจกระบวนท่าใหม่ที่บรรลุขึ้นกะทันหันในระหว่างต่อสู้กับเจ้าตำหนักอัคคีเมื่อสัปดาห์ก่อน

เคล็ดกายมายา...คือกระบวนท่าล่าสุดที่บรรลุขึ้นได้ด้วยความบังเอิญระหว่างการต่อสู้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเคล็ดหักเขี้ยวหรือเคล็ดสลายปีกล้วนแล้วแต่บรรลุขึ้นได้ในระหว่างการฝึกฝนเพียงลำพังเท่านั้น

ความจริงคือกระบวนท่าเหล่านี้เป็นกระบวนท่าที่แปลกประหลาดและมีความพิเศษที่แตกต่างกันออกไป เพราะทุกกระบวนท่าที่มีล้วนแต่บรรลุขึ้นมาจาก ‘ความบังเอิญ’ มากกว่าเหตุผลอื่น เริ่มจากกระบวนท่าแรก ‘เคล็ดหักเขี้ยว’ กระบวนท่านี้สไปค์บรรลุเมื่อตอนอายุสิบเอ็ดปีซึ่งเป็นช่วงเวลาเกือบปีหลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์มารสามตนบุกหมู่บ้านวาตะ โดยบรรลุขึ้นระหว่างฝึกฝนวิชาเพียงลำพังในตอนที่มองเห็นกระบวนยุทธ์ของปราณพยัคฆ์และปราณหมาป่ามาโดยตลอด ซึ่งเคล็ดหักเขี้ยวก็คือวิชาที่มีไว้เพื่อทำลายกระบวนท่าของปราณหมาป่าและปราณพยัคฆ์

ส่วน ‘เคล็ดสลายปีก’ วิชานี้บรรลุเมื่อตอนอายุได้สิบสี่ปี ผลมาจากการที่ไม่สามารถรับมือกับปราณอินทรีย์ได้ เพราะแม้เคล็ดหักเขี้ยวจะพอต้านรับปราณอินทรีย์ได้อยู่บ้าง แต่ด้วยคุณสมบัติที่ไม่ตรงกันทำให้เมื่อโดนปราณอินทรีย์ที่มีจำนวนมากกว่าหรือจำนวนน้อยแต่แข็งแกร่งก็ทำให้สไปค์พลาดพลั้งไป เขาบรรลุเคล็ดวิชานี้ขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่พ่ายแพ้ให้กับเด็กรุ่นเดียวกันที่มีปราณอินทรีย์ในครอบครองกว่าสิบคน หลังจากที่บรรลุวิชานี้แล้วก็ไม่มีปราณอินทรีย์ไหนในหมู่บ้านที่ทำอันตรายเขาได้อีก

ทั้งสองกระบวนท่าของสไปค์ มีคนอื่นมากมายพยายามศึกษาและค้นคว้าถึงกลไกและวิธีการใช้งานแต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำความเข้าใจและใช้มันได้ เพราะการออกกระบวนท่าของวิชาทั้งสองนั้นอยู่ในลักษณะที่ไร้รูปลักษณ์ ไม่มีกำหนดท่าตายตัว แม้กระทั่งสไปค์ยังให้คำตอบไม่ได้ว่าควรจะเคลื่อนไหวยังไงก่อน เพราะในยามใช้งานจริงดูเหมือนว่าร่างกายเขาจะขยับไปตามความเหมาะสมตามสัญชาตญาณเอง

สาเหตุหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนกระบวนท่าทั้งสองนี้ได้นั้น เป็นเพราะว่ากระบวนท่าทั้งสองกำเนิดขึ้นเพื่อใช้ควบคู่กับ ‘ปราณไร้ลักษณ์’ เท่านั้น ซึ่งสไปค์เรียกวิชาทั้งสองในชื่อรวมว่า ‘กระบวนยุทธ์ไร้ลักษณ์’ อันเป็นวิชายุทธ์ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ใช้ได้ จนกระทั่งปัจจุบันในวัยสิบเจ็ดปีนี้ในที่สุดเขาก็ได้บรรลุกระบวนท่าที่สาม “เคล็ดกายมายา”

พลังของเคล็ดกายมายาค่อนข้างแตกต่างกับสองกระบวนท่าก่อนหน้า เพราะเคล็ดกายมายาไม่มีการออกกระบวนท่า แต่เหมือนเป็นวิชาที่จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อ ‘เปิด’ มันออกเหมือนกดปุ่มสวิทซ์ให้เครื่องจักรทำงานขึ้นมา ความสามารถของมันมีหลัก ๆ คือการสลายพิษหรืออาการผิดปกติให้หายออกไปจากร่างกายของผู้ใช้ ซึ่งมองรวม ๆ แล้วจะพบว่าเป็นวิชาที่บรรลุขึ้นเพื่อต่อกรกับพลังของปราณอสรพิษโดยเฉพาะ

สไปค์ทำความเข้าใจกระบวนท่านี้ในช่วงที่อยู่ที่นี่จนรับรู้ถึงวิธีการใช้งาน เขาพยายามฝึกฝนให้คล่องภายในห้องพักรักษาตัวโดยใช้พื้นที่กว้างขวางของห้องให้เป็นประโยชน์ น่าแปลกที่แม้จะผ่านมานานขนาดนี้แล้วชายแปลกหน้าที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้กลับไม่เคยปรากฏตัวออกมาให้เห็นอีกเลย หลายวันมานี้มีเพียงสาวรับใช้ชุดขาว ใบหน้าสะสวยเดินมาเสิร์ฟอาหารไม่พูดไม่จาแล้วก็เดินจากไป

“คงถึงเวลาแล้ว”

สไปค์พูดออกมาคนเดียว การอยู่ที่นี่ช่วยให้เขาได้ฟื้นคืนพลังทุกอย่างกลับคืนมา และมันคงได้เวลาที่จะกลับไปกำจัดเจ้ามารที่อยู่ในคราบเจ้าตำหนักอัคคีนั่นเสียที พอคิดได้เช่นนั้นก็ตั้งท่าเตรียมเดินไปที่บานประตูไม้สีน้ำตาลสูงใหญ่ แต่ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าถ้าออกทางประตูอาจจะถูกพบเห็นก็ได้ เขาเดาว่าคงไม่มีใครอยากให้เขาออกไปจากที่นี่ในขณะที่ยังรักษาตัวอยู่แน่ ๆ ดังนั้นออกทางหน้าต่างดีกว่า

พอเดินมาทางหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออกเตรียมจะทะยานออกไปนั้น สไปค์ก็พบเรื่องน่าประหลาดขึ้นมา เพราะเบื้องหน้าเขาไม่ใช่ทิวทัศน์หลังบานกระจกที่มองเห็นอยู่ทุกวัน หากแต่เป็นกำแพงหนาสีเทาอัดขวางไว้ไม่ให้มุดออกไปได้

“อะไรเนี่ย กำแพงนี่มาจากไหน” เขาเอามือสัมผัสและเคาะเบา ๆ ที่กำแพงหนาสีเทา มันแข็งมากซะจนเลือกที่จะไม่ใช้กำลังทำลายมันดีกว่า สไปค์จนใจต้องเปลี่ยนความคิดที่จะกลับไปออกทางประตูหน้าอีกครั้ง แต่พอเดินมาเปิดประตูแล้วก็ดันพบว่านอกบานประตูมีกำแพงหนาสีเทาขวางกั้นอยู่เหมือนกับหน้าต่างเช่นกัน

“...กำแพงอีกแล้ว ไม่สิ มันไม่ควรจะมีกำแพง ไม่งั้นสาวใช้ที่มาเสิร์ฟอาหารทุกวันจะเดินเข้าเดินออกยังไงกัน” เป็นดังที่กล่าว เพราะทุก ๆ วันเขาจะเห็นสาวใช้เข้าออกประตูทางนี้อยู่ตลอด ดังนั้นไม่มีทางที่ตรงนี้จะมีกำแพงเกิดขึ้นแน่ ๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

“หึหึหึ”

จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นจากทั่วทั้งห้อง เสียงนั้นสะท้อนกังวานไปมาจนสร้างความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเข้าไปใหญ่ สไปค์หันซ้ายหันขวามองไปทั่วห้องเพื่อหาต้นเสียง ในใจพลางคิดไปว่านี่ตนโดนผีหลอกอยู่หรือเปล่า

“กว่าจะลุกขึ้นจากเตียงได้ ข้าเสียอาหารให้เจ้าไปไม่รู้กี่มื้อเพื่อให้เจ้าเดินมาเปิดประตูนี่” เสียงนั่นยังคงดังอยู่รอบข้างไม่หยุด สไปค์พยายามจับน้ำเสียงนั้นก่อนจะพบว่านั่นคือเสียงของชายปริศนาที่พาเขามาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ความหงุดหงิดปะทุขึ้นมาทันที

“หายไปตั้งนาน พอโผล่มาก็ใช้วิชาแปลก ๆ อะไรกัน เจ้าทำอะไรกับห้องนี้กันแน่”

“ห้องนี้ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ที่แปลกไปคือเจ้าต่างหาก ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” ชายแปลกหน้าตอบกลับมา

“อย่ามาเล่นลิ้นนะว้อย ตอบข้ามาซะว่าเจ้าเล่นอะไรของเจ้า ทำไมมีกำแพงล้อมรอบไม่ให้ข้าออกไปแบบนี้ได้”

“ฮ่ะ ๆ ก็คิดว่านี่คือปริศนาแล้วกัน ถ้าเจ้าไขปริศนานี้ไม่ได้ก็จงอยู่ในกรงขังนี้ไปตลอดกาลเถอะ”

เสียงนั้นค่อย ๆ เงียบหายไปจนสัมผัสได้ว่าเจ้าของเสียงน่าจะตัดขาดการเชื่อมต่อไปแล้ว สไปค์หงุดหงิดขึ้นมาทันตาเห็น เขาพยายามหาช่องทางออกอื่นแต่ก็ไม่เจอทางออกไหนนอกเสียจากประตูกับหน้าต่างที่มีกำแพงสีเทาหนาขวางกั้นอยู่ ชายหนุ่มกำหมัดแน่นพลางจ้องไปยังสิ่งของเครื่องใช้ทั้งที่มีประโยชน์และมีไว้เพื่อประดับตกแต่งเพื่อความสวยงามของสถานที่

“ถ้าจะเอาแบบนี้ล่ะก็ ห้องพังข้าไม่รับประกันด้วย!”

สไปค์เร่งพลังปราณในร่างกายขึ้นมาจนเกิดเป็นออร่าสีม่วงเข้มวนเวียนอยู่รอบตัว

“เคล็ดหักเขี้ยว!”

“เคล็ดสลายปีก!”

“เคล็ดกายมายา!”

สามกระบวนท่าถูกใช้ติดต่อกันแต่ก็ไม่เกิดผลเปลี่ยนแปลงอันใด

เป็นหลักฐานบ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกปกคลุมด้วยพลังปราณอย่างที่เขาคิด หรือหากจะถูกคลุมก็คงคลุมไว้ด้วยปราณที่สไปค์ไม่เคยพบมาก่อน หากเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็ไม่แปลกที่กระบวนท่าทั้งสามจะใช้ไม่ได้ผล

“หนอย ถ้ารู้ว่าใช้ปราณอะไรล่ะก็...” ก็คงจะพอมีแนวทางในการหาทางรับมืออยู่บ้าง เขาคิดแบบนั้นอยู่ก็จริงแต่ก็ไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะบรรลุกระบวนท่าใหม่สำหรับทำลายกลไกแปลก ๆ นี่ได้สำเร็จ

“ฮ่า ๆๆ ใช้หัวคิดหน่อยสิ จะหวังพึ่งแต่ปราณอย่างเดียวเลยรึไงเจ้าหนู” เสียงชายแปลกหน้าดังขึ้นได้จังหวะหงุดหงิดอีกครั้ง

“รอก่อนเถอะ ถ้าข้าทำลายกลไกที่เจ้าสร้างขึ้นได้สำเร็จเมื่อไหร่ ต่อให้เป็นคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้ก็ต้องขอเตะก้นสักทีล่ะ” สไปค์ตอบกลับเสียงนั้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด

“ก็พยายามเข้านะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่”

“อย่ามาพูดเหมือนคนอื่นเขารู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนจะได้มั้ย!”

“อ้าว...โทษที ก็นึกว่าเจ้ารู้ จริง ๆ ข้าก็ไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลนะ แต่เจ้าก็ชอบมองข้ามข้าไปเรื่อย”

“เลิกเล่นลิ้นสักที นี่มันกวนสมาธิกันชัด ๆ” สไปค์เร่งปราณไร้ลักษณ์ออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพยายามเปล่งพลังที่มีทั้งหมดออกมาเพื่อหวังจะทำลายมนต์มายานี้ให้สิ้นซากไปด้วยพลังทั้งหมดที่มี

บังเกิดแผ่นดินไหวบนพื้นห้องขนาดย่อมเยา สิ่งของสั่นกึกกักรัวถี่เหมือนคนโดนไฟฟ้าช็อต สไปค์ค่อย ๆ คำรามเสียงออกมาโดยเพิ่มระดับเสียงจากเบาขึ้นไปสู่ความหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ พลังปราณไร้ลักษณ์แตกกระจายออกเป็นริ้วเส้นหลายต่อหลายทิศทางก่อนจะกระจายตัวออกไปเป็นเส้นยาวเหยียด ราวกับเป็นมือของมัจจุราชร้ายที่พยายามควานหาเหยื่อที่เดินหลงมาในแม่น้ำแห่งความตาย

 

ค่ำคืนในศูนย์แพทย์ของสถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่ง ภายในห้องพักของฟาร์ชูลัน ณ เวลาเที่ยงคืนกว่า ซิลเวอร์ซึ่งเฝ้าอาการของฟาร์ชูลันอยู่ทุกวันในตอนนี้นอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟาใกล้ ๆ ภายในห้องพักคนป่วยนี้มีพื้นที่ไม่ถือว่ากว้างแต่ก็ไม่ถือว่าแคบ เพียงสามารถบรรจุอุปกรณ์การแพทย์คร่าว ๆ ไว้ได้พร้อมกับเตียงของคนไข้ก็นับเป็นห้องส่วนตัวได้แล้ว

โดยที่ไม่รู้สึกตัวอะไรเลย ร่างกายของฟาร์ชูลันที่ยังคงนิทราสนิทไม่ได้สติมาหลายต่อหลายคืนกลับมีแสงเรืองรองบางอย่างเปล่งออกมาจากทั่วทั้งร่างกาย แสงนั้นลอดผ่านเนื้อผ้านุ่มของผ้านวมสีขาวที่คลุมร่างของฟาร์ชูลันอยู่ และยังยกร่างของเธอให้ลอยสูงขึ้นจนคล้ายกับลักษณะของกุ้งที่มีลำตัวงอไปข้างหน้า กลับกันแค่ฟาร์ชูลันลอยขึ้นในลักษณะคนนอนหงายเท่านั้น เรือนผมสีน้ำเงินของเธอไหลลู่ลงมาด้านล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก

บังเกิดแสงเรืองรองสีน้ำเงินพาสเทลกระจายออกมาจากร่างของหญิงสาว แสงนั้นเริ่มรุนแรงหนักขึ้นจนทำให้ซิลเวอร์ที่นอนหลับสนิทอยู่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะตั้งสติได้แล้วพุ่งตัวออกจากโซฟาไปทันที

“ฟาร์ชู--!!!”

แสงเรืองรองเส้นหนึ่งส่องวาบเข้าไปทาบบนร่างกายของซิลเวอร์ส่งผลให้ชายหนุ่มกระเด็นไปกระแทกกับกำแพงข้างหลัง ซิลเวอร์เอามือกุมจุดที่ถูกกระแทกก่อนจะพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เขามองไปที่ร่างของฟาร์ชูลันที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง และไม่รู้ว่าควรต้องช่วยเหลืออย่างไร

ทว่าพอเวลาผ่านไปไม่นานนัก ร่างกายของฟาร์ชูลันก็ค่อย ๆ ร่อนลงมาจนสัมผัสกับผิวเตียงอีกครั้ง แสงเรืองรองสีน้ำเงินค่อย ๆ ดับวูบไปอย่างเชื่องช้าก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิมจนได้ในที่สุด ซิลเวอร์ไม่รอช้ารีบมุ่งตรงไปดูอาการของฟาร์ชูลันว่ามีตรงไหนที่ผิดปกติมั้ย แต่เขาตรวจสอบไม่เป็นจึงได้แค่จับชีพจรของหญิงสาว

และต้องพบว่าสัญญาณชีพที่มองเห็นผ่านเครื่องวัดสัญญาณนั้นอยู่ในสภาวะปกติดังเดิมแล้ว!

ซิลเวอร์ทำท่าจะเรียกพยาบาลที่เฝ้าเวรอยู่ให้เข้ามาดูอาการของฟาร์ชูลัน แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรก็เห็นร่างของฟาร์ชูลันขยับเคลื่อนเบา ๆ เริ่มจากนิ้วทั้งห้าที่เริ่มกระดิก ตามด้วยใบหน้าที่หันไปทางขวามือ เปลือกตาของเธอเปิดออกอย่างแผ่วเบาจนทำให้ความรู้สึกของซิลเวอร์ปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างมาก ในที่สุดเธอก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว!

“ฟาร์ชูลัน!”

หญิงสาวมองเห็นใบหน้าของซิลเวอร์ที่อยู่ในสภาพของคนที่กำลังดีใจ แต่เธอกลับไม่กล่าวคำพูดอะไรตอบกลับทั้งสิ้น

“ไมมีเวลาแล้ว” เธอเอ่ยสั้น ๆ ซิลเวอร์เอียงคอถามกลับด้วยความสงสัย

“เวลาอะไร”

“พาฉันไปหานักเรียนที่ถูกจับตัวมาที...เร็วเข้าซิลเวอร์!” ฟาร์ชูลันฝืนพยุงตัวให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพักผ่อน

“พูดอะไรของเธ--”

“เร็วเข้า! ไม่งั้นล่ะก็พวกเขา--!!”

บรึ้มม!!

          ไม่ทันได้พูดอะไรจบทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นใกล้ ๆ

“บ้าจริง ไม่ทันแล้ว” ฟาร์ชูลันกัดฟันด้วยความรู้สึกเจ็บใจ

“สรุปว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ฟาร์ชูลัน”

หญิงสาวไม่ตอบอะไรกลับในทันที เธอลุกออกจากเตียงก่อนจะวิ่งตรงไปเปิดผ้าม่านและเลื่อนประตูระเบียงออก เธอเข้าไปเกาะตรงเหล็กกั้นขอบระเบียงก่อนจะมองไปทางทิศที่มีเสียงระเบิดดังขึ้น ทางทิศนั้นมีกลุ่มควันสีเทาลอยคลุ้งออกมาจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น

“มาร”

“ว่าไงนะ” ซิลเวอร์ถามย้ำ

ฟาร์ชูลันหันหน้ากลับมามองซิลเวอร์ที่ยังคงมีสีหน้าประหลาดใจ

“มารไง ...มารที่เกิดจากร่างของมนุษย์ที่ถูกจับตัวไปและขังเอาไว้ในดักแด้ ถึงจะโดนช่วยออกมาได้แต่ก็ถูกปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ไว้ในร่างกายจนหมดทุกคน นี่เป็นเวลาตื่นของพวกมัน” ฟาร์ชูลันอธิบาย

“งงไปหมดแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงทำไมเจ้าถึงไม่เป็นอะไรล่ะ”

“เพราะฉันเอาชนะมันมาได้ในห้วงของจิตก่อนที่จะตื่นขึ้นมาไงล่ะ แต่ก็เพราะเป็นแม่มดด้วยแหละนะ” ฟาร์ชูลันตอบกลับทั้งที่ยังมองดูกลุ่มควันลอยละล่องกลุ่มนั้น ที่แท้สาเหตุที่เธอหลับใหลเป็นเจ้าหญิงนิทรามานานหลายวันก็เพราะเหตุนี้

“เวทมนตร์สุดยอด” ซิลเวอร์ปาดเหงื่อพูดออกมาเมื่อได้ยินคำตอบนั้น

เปรี้ยง!

          ฉับพลันประตูห้องก็กระเด็นออก ทั้งสองคนหันไปมองยังทิศทางของประตูก่อนจะพบกับร่างของมารที่ดูน่าขยะแขยงอย่างยิ่ง เริ่มจากร่างกายที่เป็นของมนุษย์ที่ถูกจับตัวไป ซึ่งบริเวณบางส่วนของร่างกายนั้นได้ปรากฏเนื้องอกสีแดงอมม่วงออกมาคล้ายกับสีของดักแด้ที่ขังพวกเขาเอาไว้ เนื้องอกนั้นมีชิ้นใหญ่เล็กพองออกมาดูน่าเกลียดเกินทน ซ้ำยังมีน้ำหนองสีเขียวไหลออกมาตามจุดบางจุด น่าขยะแขยงยิ่งนัก

“นี่คือมารเหรอเนี่ย...” ซิลเวอร์พูดเหมือนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

“แย่จริง โดนเจอตัวในสภาพแบบนี้ คงเลี่ยงต่อสู้ไม่ได้แล้วล่ะ ซิลเวอร์ ฝากด้วยนะ”

“หา หือ เห เดี๋ยวก่อน ทำไมถึงเป็นข้าที่ต้องจัดการ ข้าไม่เคยสู้กับมารมาก่อนเลยนะ!”

“ฉันพึ่งฟื้นมาไม่นาน สภาพร่างกายยังไม่พร้อมย่ะ อย่างน้อยช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ก็ดี”

“เอ่อ...งั้นก็น่าจะพอไหวมั้งนะ”

“แต่ก่อนอื่น” ฟาร์ชูลันพึมพำคาถาบางอย่างอยู่เบา ๆ ชนิดที่ไม่มีใครได้ยินเสียง แสงสว่างเรืองรองปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเธอกับซิลเวอร์ แสงนั้นค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นและกลายสภาพเป็นวงแหวนเวทขนาดใหญ่พอจะครอบคลุมร่างของชายหญิงทั้งสองรวมถึงมารตนนั้นเอาไว้ได้ ฟาร์ชูลันตั้งนิ้วขึ้นสองนิ้วที่ปลายริมฝีปากก่อนจะพ่นคำร่ายคำสุดท้ายออกมาซึ่งเป็นภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ แล้วจังหวะนั้นเองวงแหวนเวทก็บีบตัวขึ้นมาครอบคลุมร่างของทั้งสามเอาไว้

พรึ่บ!

          ร่างของทั้งสามหายไปจากจุดนั้น และปรากฏอีกทีที่บริเวณสนามหญ้าข้างนอกศูนย์แพทย์

“อย่าบอกนะว่าเราพึ่งจะหายตัวมาอะไรทำนองนั้นน่ะ” หลังจากหายตัวมาได้ซิลเวอร์ก็ล้มลงก้นจ้ำเบ้า แต่ก็ยังมิวายจะถามคำถามเพื่อคลายความสงสัย

“เวทเทเลพอร์ตน่ะ ไม่ได้ใช้นานเลยร่ายนานหน่อย นายไม่เป็นไรนะ”

“แน่นอนไม่เป็นไร ว่าแต่เวทมนตร์นี่ทำได้ทุกอย่างเลยรึไงกัน”

“กรร...”

ทั้งสองคนหันความสนใจไปยังทิศทางที่มารตนนั้นอยู่อีกครั้ง มันส่งเสียงคำรามสั่นเครือในลำคอก่อนจะส่งแววตาอาฆาตเข้ามา

“ถ่วงเวลาให้ฉัน!”

“ตกลง!”

แล้วฟาร์ชูลันก็ถอยห่างออกไปร่ายมนต์คาถาด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่อง รอบกายเธอปรากฏเส้นแสงที่วาดเชื่อมต่อกันเป็นรูปร่างของวงแหวนเวทที่บรรจุอักขระลึกลับเอาไว้หลายต่อหลายคำ ทางด้านซิลเวอร์ก็เร่งพลังปราณออกมาบ้างแล้ว เขาตั้งท่าต่อสู้กับมารที่อยู่ตรงหน้าตนด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจเท่าไรนัก

แต่ว่า...ความรู้สึกนี้มันตื่นเต้นเป็นบ้า!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด