Returning From The Immortal World – 19
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีถังซิ่วและแม่ก็ได้ไปถึงห้องเช่าแห่งหนึ่งและเนื่องจากเหตุผลทางดานการเงินทำให้เขาและแม่ถึงไม่มีบ้านอยู่ที่เมืองสตาร์ซิตี้พวกเขาเช่ากระท่อมที่ถูกที่สดในเขตเกาของเฮ้อจี้เป็นที่พักชั่วคราว
ในดินแดนแห่งนิรันดร์นั้นถังซิ่วเคยชินกับการที่ไม่ได้กินอาหารบางครั้งผ่านไปร้อยปีเขายังไม่มีปัญหาอะไรเลยทำให้เขาเริ่มเก็บกวาดบ้านทันทีแต่เขาก็ยังทำได้ไม่คล่องเท่าไหร่
หลังจากใช้ความพยายามอยู่พักหนึ่งท่าทางไม่ชำนาญของเขาค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆทำให้ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มออกมา
ห้องนี้นั้นไม่ได้ใหญ่มากมีขนาดประมาณ 40 ตารางเมตร ถูกแบ่งออกเป็น 4 ห้อง ห้องนั่งเล่นและห้องอาหารอยู่ในห้องเดียวกันพร้อมๆกับ ครัว ห้องนอน และห้องอาบน้ำ
เมื่อมองไปบนโซฟาก็ได้พบกับหมอนที่ดูสะอาดพร้อมผ้าห่มเก่าๆผืนหนึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกเศร้ามาก
เพราะว่าห้องนั้นมันเล็กเกินไป มีห้องนอนแค่ห้องเดียวซึ่งแม่ของเขาได้ยกมันให้เขาส่วนตัวเธอเองนั้นได้ไปนอนที่โซฟาแทนแม้ว่าช่วงที่ถังซิ่วไปโรงเรียนเธอเองก็ไม่ได้เหยียบเข้าไปในห้องนอนแม้แต่น้อยแต่กลับนอนที่โซฟาตัวนั้น
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงห้องทั้งหมดได้ถูกเก็บกวาดจนไม่สามารถจำภาพก่อนหน้านี้ได้เลย
เมื่อทองออกขึ้นไปยังท้องฟ้าก็พบว่ามันเป็นช่วงเย็นแล้วแต่เขาจำได้ว่าแม่ยังไม่ได้ทานอะไรถึงได้รีบเข้าห้องครัวไป
ระหว่างที่ถังซิ่วกำลังทำความสะอาดบ้านอยู่นั้นในร้านอาหารของเขาก็ได้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
ก่อนหน้านี้หยวนชูหลิงที่เพิ่งทำข้อสอบเสร็จนั้นได้รีบมาหาถังซิ่วที่ห้องเพื่อที่จะมาร่วมแสดงความยินดีแต่กลับพบว่าถังซิ่วนั้นได้ออกนอกโรงเรียนไปก่อนแล้ว
หยวนชูหลิงได้รีบตรงไปที่ร้านอาหารเพื่อนบ้าน(*ชื่อร้านอาหารแม่ของตัวเอกและเมื่อเห็นห้องโถงร้านอาหารที่ถูกทุบเละจนจำไม่ได้แล้วมันทำให้เขาโทษตัวเองที่ไม่สามารถช่วยพัฒนาชีวิตของถังซิ่วได้
หลังจากที่เขากำลังจะโทรไปเตือนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันขึ้นจากภายในห้องครัวถึงได้รีบตรงไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
ในห้องครัวนั้นเฮ่ยซานไม่ได้รับรู้ถึงการมาของหยวนชูหลิงแม้แต่น้อยและเอาแต่นั่งด่าทอซูหลิงหยุนและถังซิ่วสองแม่ลูกพร้อมกับพูดถึงวิธีการที่จะจัดการกับพวกเขา
เฮ่ยซานนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสในวันนี้นอกจากจะโดนถังซิ่วทรมานยังไมพอแต่ก็มาโดนบั่นโฉวหักหลังเข้าอีกนี่ทำให้เขาได้รับความเสียหายทางจิตใจเป็นอย่างมากถึงขั้นทำให้ความเกลียดชังบดบังดวงตาของเขา
ระหว่างที่เขากำลังพูดคุยเกี่ยวกับวิธีจัดการสองแม่ลูกนั้นหยวนชูหลิงก็ได้เดินกลับเข้ามาในห้องครัวอีกครั้ง
หลังจากที่เฮ่ยซานสังเกตเห็นหยวนชูหลิงนั้นก็พบว่าตอนนี้ในมือของอีกฝ่ายกำลังยกเก้าอี้ฟาดมาทางเขา
ถ้าเป็นเขาและอันธพาลผมเขียวในสภาพก่อนหน้านี้นั้นด้วยประสบการณ์ต่อสู้ที่สะสมมาอย่างยาวนานทำให้หยวนชูหลิงไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้อย่างแน่นอนแต่ว่าโชคร้ายที่เขาโดนถังซิ่วหักแขนทั้งสองข้างส่วนอันธพาลผมเขียวนั้นก็กระดูกซี่โครงหักไปหลายซี่ทำให้ตอนนี้คนธรรมดาก็สามารถจัดการเขาได้อย่างสบายๆ นับประสาอะไรกับหยวนชูหลิงที่ตัวโตยังกับควาย
หลงจากที่หยวนชูหลิงใช้เก้าอี้ทุบไปที่พวกเขาอยู่พักหนึ่งมือของเขาก็ได้หยุดลงแต่ตอนนี้เฮ่ยซานและอันธพาลหัวเขียวก็สลบไปขณะที่เลือดสาดกระจายไปทั้งตัวของพวกเขาจนไม่มีเค้าเดิมเหลืออยู่เลย
“ฉัน .... นี่ฉันฆ่าคนไปแล้ว ?”
หลังจากที่ได้ระบายความโกรธในหัวใจนั้นเมื่อได้เห็นฉากตรงหน้าก็ถึงกับทำให้เขาหน้าซีดเป็นอย่างมากพร้อมกับรีบวิ่งหนีไป
เกือบจะทันทีหลังจากที่หยวนชูหลิงออกไปแล้วบั่นโฉวและดิ่งซี่ได้กลับมาที่ร้านอาหารและเมื่อเห็นรอยเท่าเปื้อนเลือดเป็นทางมาจากห้องครัวทำให้พวกเขารีบกระโจนเขาไปโดยทันที
ดิ่งซี่ที่อยู่ข้างหลังบั่นโฉวนั้นสามารถที่จะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทันที
เมื่อเขาเห็นฉากตรงหน้าที่เลือดกระจายไปเต็มพื้นที่พร้อมร่างของเฮ่ยซานและอันธพาลหัวเขียวที่นอนอยู่อย่างแน่นิ่งกทำให้เขาหน้าซีดเป็นอย่างมาก
“เร็ว พวกเขายังพอมีลมหายใจอยู่ รีบๆโทรเรียกรถพยาบาลเร็ว !”
เมื่อได้ตรวจสอบอาการของทั้งสองคนแล้วก็พบว่าพวกเขายังมีลมหายใจเหลืออยู่ถึงได้รีบตะโกนสั่ง
เมื่อได้ยินว่าเฮ่ยซานยังมีชีวิตอยู่ก็ทำให้พวกเขาโล่งใจเป็นอย่างมากแต่เมื่อได้เห็นสภาพของอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้รู้สึกโชคดีในเวลาเดียวกัน
คนอื่นๆรู้ว่าในตอนที่เขาเลือกติดตามบั่นโฉวออกไปนั้นเป็นทางเลือกที่ถูกต้องเพราะถ้าหากว่าพวกเขายังคงติดตามเฮ่ยซานต่อไป สภาพของพวกเขาก็คงไมต่างไปจากอีกฝ่ายนักในตอนนี้
“บั่นโฉวใครกันที่เป็นคนทำร้ายเฮ่ยซานถึงขั้นนี้ , นี่เป็นการทำร้ายที่หมายเอาชีวิตของเขาเลยนะ”
เมื่อเห็นสภาพของทั้งสองที่นอนจมกองเลือดอยู่นั้นในใจของดิ่งซี่ได้เกิดคำถามขึ้นพร้อมเอ๋ยปากถามออกมา
ดิ่งซี่รู้ว่าถ้าพวกเขามาไม่ทันเวลานั้นทั้งสองคนนี้จะต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของดิ่งซี่นั้นทำให้ตัวเขานึกถึงภาพของถังซิ่วที่ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มสั่นกลัวและไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก
แม้ว่าดิ่งซี่จะไม่พูดออกมาแต่คนอื่นๆก็สามารถที่จะเดาได้ว่าใครเป็นคนทำ
ข้างนอกร้านอาหารนั้น หลังจากที่หยวนชูหลิงวิ่งไปได้พักหนึ่งเขาอดไม่ได้ที่จะวิ่งกลับมาดูแต่เมื่อเห็นผู้คนกำลังเขาไปในร้านก็ทำให้เขาได้แต่รออยู่ห่างๆก่อนที่จะจากไป
เขตเก่าของเฮ้อจี้
หลังจากที่ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมงถังซิ่วก็เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ในการที่จะทำอาหารบนโต๊ะนี้ได้นั้นถังซิ่วได้เดินไปซื้อของที่ร้านค้ากลับมา
ครั้งแรกที่เข้าไปที่ร้านค้าก็ได้ซื้อมาแค่ผักธรรมดาแต่หลังจากที่ได้ตรวจสอบสภาพร่างกายของแม่ก็พบว่ามีโรคมากมายซ่อนอยู่ในร่างกายเธอถึงได้ไปซื้อสมุนไพรและโสมแดงกลับมา
เมื่อได้ชิมรสชาติอาหารว่าไม่มีอะไรผิดไปเขาก็ได้เดินไปที่ห้องนอนเพื่อที่จะปลุกแม่ของเขา
“ซิ่วน้อย เราอยู่ในร้านอาหารไม่ใช่หรอ ? แล้วทำไม่อยู่ดีๆถึงมาโผล่ที่บ้านแถมนี่แม่ยังเผลอหลับด้วย ?”
หลงจากที่ซูหลิงหยุนตื่นขึ้นนั้นก็ได้เอ๋ยปากถามถังซิ่วด้วยความงวยงง
“แม่ , ช่วงหลายวันทีผ่านมานี้แม่เหนื่อยล้าเกินบวกกับความโกรธทำให้ได้รับความกระทบทางจิตใจจนทำให้เป็นลมไปครับ”
ถังซิ่วตอบแบบอมยิ้มๆ
“แม่ เรื่องที่เกิดขึ้นในร้านอาหารนั้นได้ถูกจัดการแล้ว หลังจากที่ผมขอร้องไปพวกเขาก็สัญญาว่าจะไม่มาก่อกวนร้านเราอีกแล้วและจะซ่อมร้านให้กับเราด้วย”
ไม่จำเป็นที่จะต้องให้แม่เขาเอ๋ยปากเขาได้ตอบคำถามทั้งหมดที่คาใจแม่เขาอยู่
ซูหลิงหยุนที่ได้ยินคำพูดนั้นเธอก็รีบดึงถังซิ่วเข้ามาเพื่อตรวจดูว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนและหลังจากที่ยืนยันได้แล้วเธอพูดด้วยใบหน้าที่ไม่เชื่อว่า
“เฮ่ยซานและลูกน้องของเขานั้นกัดใครไมเคยปล่อยเป็นไปได้ไงที่พวกเขาจะปล่อยร้านของเราไป ?”
“แม่ ตอนที่พวกเขาไม่สนใจผมนั้น ผมได้หยิบนามบัตรของเจ้าหน้าที่ตำรวจเฉงเสวี่ยเหม่ยออกมาทำให้พวกเขากลัวผมเหมือนลูกหนูที่กำลังเห็นแมวเลยล่ะพวก เขากลัวว่าผมจะแจ้งตำรวจดังนั้นนอกจากที่พวกเขาจะช่วยซ่อมแซมร้านแล้วยังได้ให้พวกเครื่องประดับมากับผม .......”
เพื่อให้แม่ได้รู้สึกสบายใจเขาถึงได้ถึงได้กุเรื่องขึ้น
สิ่งที่ทำให้ถังซิ่วตกใจนั่นคือความสามารถในการแต่งเรื่องของเขานั้นเก่งไม่ธรรมดาถึงขั้นขนาดตัวเขาเองยังเชื่อเลย นับประสาอะไรกับแม่ของเขากัน
“ซิวน้อย ลูกนี่มันฉลาดจริงๆแม่จะหาเวลาไปพบเจ้าหน้าที่เฉงเสวี่ยเหม่ยและฮูเพื่อเลี้ยงข้าวพงกเขา”
ซูหลิงหยุนมองถังซิ่วด้วยแววตาที่เอ็นดูพร้อมลูบไปที่หัวเขา
“แมครับ เรื่องอื่นค่อยพูดทีหลังแต่ตอนนี้เรากินข้าวกันก่อนที่มันจะหายร้อนดีกว่า”
หลังจากที่ถังซิ่วเห็นว่าแม่กำลังจะพูดอะไรต่อเขาก็รีบเรียกให้แม่ไปกินข้าว
“ดีเหมือนกัน, แม่จะไปทำอาหารมา........, อาหารมากมายพวกนี้มาได้ไง ? ,ลูก ไปเอามาจากไหน ?”
ซูหลิงหยุนที่กำลังจะเดินเข้าห้องครัวไปก็ได้เห็นอาหารที่ถูกจัดวางไว้เต็มโต๊ะถึงได้เอ๋ยปากถามขึ้นด้วยเสียงที่ตกใจ
“แม่ครับ อาหารพวกนี้ผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการทำ ไม่รู้ว่าแม่จะชอบไหม แม่ ลองชิมดูก่อนสิ ?”
ถังซิ่วดึงแม่มานั่งพร้อมตักผักเต็มถ้วยมาให้เธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาได้ทำอาหารไว้ 4 อย่างซึ้งล้วนเป็นอาหารบำรุงสุขภาพทั้งหมด
เมื่อได้กลิ่นอาหารที่ยั่วน้ำลายนั้นมือของซูหลิงหยุนได้ตวัดไปมาขณะที่ยัดข้าวเขาปากเหมือนหมาป่าที่หิวโหย
“แม่ ทานช้าๆสิ เดี๋ยวก็สำลักหรอก ถ้าอาหารบนโต๊ะนี้ไม่พอเดี๋ยวผมไปทำมาเพิ่ม”
เมื่อเห็นท่าทางการกินของแม่นั้นทำให้เขารู้สึกถึงความสำเร็จเป็นอย่างมากเหมือนความรู้สึกดีใจตอนที่เขาตัดผ่านระดับชั้นของการบ่มเพาะได้
“ซิ่วน้อย ลูกจะนิ่งอยู่ทำไมมาทานด้วยกันสิ”
หลังจากที่ซูหลิงหยุนทานมูมมามอยู่พักหนึ่งก็ได้เห็นลูกจ้องมองมาที่เธออย่างจดจ่อทำให้หน้าของเธอแดงด้วยความอับอายพร้อมเรียกออกมา
“ดี งันเรามาทานด้วยกัน”
เมื่อเห็นท่าทางการกินที่มูมมามของแม่แล้วเขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้พร้อมกับทานข้าวไปพร้อมกับเธอ
เมื่อแม่ละลูกกำลังทานข้าวกันอย่างมีความสุขนั้นหน้าประตูก็ได้เกิดเสียงดัง “แบง” ขึ้นทำให้ทั่วทั้งบ้านสั่นไหวพร้อมชายร่างโตสามคนใส่สูทและรองเท้าหนังเดินเขามาด้วยท่าทางข่มขู่
เมื่อกวาดสายตาไปที่ซูหลิงหยุนและถังซิ่วสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทานข้าวกัน ชายผมเกรียนก็ยิ้มออกมาพร้อมยกขาขึ้นเตะไปที่โต๊ะไม้นั้น
ไดยินแค่เสียง “เปรี้ยง” โต๊ะไม้นั้นส่ายไปมา อาหารทั้งหมดลอยขนไปบนฟ้า
“มีปัญญาซื้อข้าวมากินแต่ไม่มีปัญญาจ่ายหนี้ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน เห็น พวกฉันเป็นตัวตลกงั้นหรอ ?”
หลงจากนั้นชายผมเกรียนก็คำรามพร้อมเหวี่ยงมือมาจะตบหน้าซูหลิงหยุน