ตอนที่แล้วซัพที่08: บทนำ [หรงหรง]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปซัพที่10: คิดว่าข้าจะโง่ซ้ำสองเรอะ ฮ่าๆๆๆ

ซัพที่09: ชาติสองไม่ได้เกิดคงดีกว่า


ซัพที่09: ชาติสองไม่ได้เกิดคงดีกว่า

ป..ปีศาจ? ปีศาจอะไร?

หรงหรงไม่เข้าใจ ทำไมหมอตำแยจึงกล่าวหาว่าเธอเป็นปีศาจ แล้วเหตุใดเธอจึงมองภาพได้ไม่ชัดเจน

เพราะเพิ่งเกิดงั้นเหรอ?

“เกิดอะ..ไรขึ้น? ลูกข้าเ..ป็นอะไร?” ฮูหยินถาม นางพยายามฝืนพยุงร่างกายขึ้นมามอง

“เจ้า..อยากเห็นหน้าลูกจริงๆ?” หมอตำแยทำหน้าหวาดกลัว ฮูหยินจึงพยักหน้าช้าๆ

หรือว่าเธอเกิดมาอัปลักษณ์ผิดมนุษย์?

หญิงชราอุ้มทารกน้อยในมือไปให้ฮูหยินดู เมื่อนางเห็นใบหน้าของเด็กน้อย ก็กรีดร้องลั่น

“กรี๊ดดด! เด็กนี่ไม่ใช่ลูกข้า! ข้าไม่ได้คลอดตัวพันธุ์นี้ออกมา!” ตัวพันธุ์นี้?! ท่านแม่เรียกข้าเช่นนี้ได้ยังไง!

ท่าทางหวาดกลัวและวาจาของผู้เป็นแม่สร้างแผลใจให้กับหรงหรง พลันประตูจึงถูกกระแทกออก ชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

“เกิดอะไรขึ้น!” ชายผู้นั้นถาม ทว่าเมื่อเห็นเด็กในมือหมอตำแย ดวงตาของเขาจึงเบิกโพลง

“เด็ก..เด็กนั่น..มันอะไร?” ชายผู้นั้นถาม หมอตำแยจึงยื่นให้เขาดู

“ก็นี่ลูกของเจ้าและฮูหยินไงเล่า” ใบหน้าของผู้เป็นพ่อซีดขาวและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ไม่มีทาง ไม่มีทาง!” หรงหรงกำมือแน่น น้ำตาพรั่งพรูกว่าเคย

ทำไมล่ะ ทำไมท่านพ่อท่านแม่จึงพูดเช่นนี้! ความรักที่พวกท่านมีหายไปไหนหมด!

“ข้าไม่ได้คลอดไอ้ตัวประหลาดนั่น! มันไม่ใช่ลูกข้า!” ท่านแม่ร่ำไห้และกรีดร้อง

“แล้วพวกเจ้าจะให้ข้าทำยังไง ข..ข้า ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว!” หมอตำแยยัดหรงหรงใส่มือผู้เป็นพ่อ ก่อนจะรีบเขียนเทียบยา

“ท่านจะทำอะไร!” เขาใช้มือหนึ่งอุ้มหรงหรง ส่วนอีกมือรั้งหมอตำแยไว้

“ข้าจะเขียนเทียบยา เจ้าดูแลฮูหยินเอาเองแล้วกัน ข้า..ข้าไม่อยู่แล้ว!” หมอตำแยคิดหนี แต่กลับถูกดึงไว้ ผู้เป็นพ่อยัดหรงหรงใส่มือนาง

“อะ..อะไร?!” หญิงชราตกตะลึง

“เจ้าเอาเด็กนี่ไป นี่ไม่ใช่ลูกข้า ภรรยาข้าแท้งลูกตั้งแต่ในครรภ์แล้ว!” ท่านพ่อ!!! ทำไมท่านทำเช่นนี้! หมอตำแยแทบขาทรุด

“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำยังไง!” อีกฝ่ายไม่สนใจ รีบดันหมอตำแยออกจากบ้านและยัดเงินให้ถุงนึง

“ข้าไม่รู้ล่ะ ข้าถือว่าเรื่องนี้เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้อง เด็กนี่เจ้าเป็นคนทำคลอด เจ้าก็เป็นคนฆ่าแล้วกัน” หรงหรงตัวชา ..พ่อแท้ๆ..คิดฆ่าเธองั้นหรือ?

เสียงปิดประตูสร้างความเสียใจให้หรงหรงยิ่ง หญิงชราโวยวายด่าทอทุบประตู ก่อนจะมองเด็กในมือ นางเดินวนไปวนมา คิดตัดสินใจว่าจะทำยังไงดี

“เอาวะ ไม่มีทางเลือกแล้ว” หมอตำแยอุ้มหรงหรงที่ร้องไห้เดินเข้าไปในป่าลึกห่างไกลหมู่บ้าน ก่อนจะวางนางทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ แล้วจึงยกมือไหว้ประหลกๆ

“เจ้าพระคู๊ณณณ อย่าได้สาปแช่งข้าเลยนะ ถ้าจะแค้นก็..ก็ไปแค้นพ่อแม่เจ้าเถอะ!” ว่าแล้วหญิงชราก็รีบหนีไป ปล่อยให้เด็กน้อยแหกปากร้อง

อะไรกัน! นี่มันอะไร! ข้าเพิ่งเกิดก็โดนทิ้งแล้วงั้นเหรอ? ข้าเพิ่งเกิดเองนะ

ไหนพวกท่านว่ารักข้านักหนาไง

ทำไมถึงทอดทิ้งข้าได้ลงคอ

ทำไมถึงทำเช่นนี้กับข้า!!!

 

ไม่นานหรงหรงจึงหยุดร้องไห้ จังหวะเดียวกับที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้น เช้านี้เป็นเช้าแรกของเธอในโลกใบนี้ และเป็นเช้าที่แย่ที่สุดที่เคยพบ หรงหรงเริ่มรู้สึกอ่อนแรง ความรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถูกแสงแดดสาดส่อง จะคลานหนีแดดแขนขาก็ไม่แข็งแรงพอ ทั้งภาพรอบด้านก็ไม่ชัดเจน

ใครก็ได้..ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย

แสบ แสบเหลือเกิน

ความรู้สึกแสบร้อนกระจายไปทั่วร่าง โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาเที่ยง หรงหรงแหกปากร้องไห้ขอความช่วยเหลือจนลำคอแห้งผาก แต่ป่าทึบเช่นนี้จะมีใครได้?

ข้า..ไม่ไหวแล้ว..

ทำไมข้าต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้?

ใครก็ได้ช่วยข้าที

พี่..พี่จ๋า..

หรงหรงทนพิษจากแสงแดดไม่ไหว สติดับวูบลง

“ท่านแม่ท่านหูแว่วไปเองหรือไม่ ข้าไม่เห็นได้ยินเสียงเด็กที่ไหนเลย” เด็กหญิงตัวน้อยสวมชุดขาดวิ่นเดินฝ่าต้นไม้มาพร้อมกับผู้เป็นแม่

“แม่..ก็ไม่รู้ รู้เพียงได้ยินเสียงใครกำลังเรียกแม่” หญิงวัยราวสามสิบกลางๆ เอ่ย เธอมองไปบริเวณโดยรอบ ไม่รู้อะไรมาดลใจให้เธอเดินตรงไปด้านหน้า

“พอเถอะท่านแม่ เดี๋ยวก็ไม่ถึงเมืองกันพอดี” เด็กหญิงเบะปาก เธอเริ่มรู้สึกเมื่อยมากแล้ว

“อดทนหน่อยสิกุ้ยเหริน ขืนแม่ไม่มาดูคงคาใจแ.. แค่กๆ” เธอพูดก่อนจะไอออกมา

“ท่านแม่ท่านไหวไหม?” เด็กน้อยกุ้ยเหรินวัยสามปีเป็นกังวล พลันดวงตาของเธอกลับเห็นชายชราสวมชุดขาวยืนอยู่ไม่ไกลนัก มือของเขา ชี้ไปยังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ดวงตาจับจ้องที่กุ้ยเหริน

“ท่านแม่ นั่นใครน่ะ?” เธอชี้ไปยังชายชราผู้นั้น ทว่าเขากลับหายไปแล้ว

“ไม่เห็นจะมีใครเลย” ผู้เป็นแม่มองตาม กุ้ยเหรินหน้าซีดขาว

“ก็..ก็เมื่อกี้ไงท่านแม่! ข้าเห็นชายแก่คนหนึ่งยืนชี้ใต้ต้นไม้อยู่!” กุ้ยเหรินชี้ไปที่ต้นไม้ต้นนั้น แม่ของเธอจึงเดินไปดู เมื่อพบสิ่งที่อยู่ใต้ต้นไม้ ดวงตาของทั้งคู่ก็เบิกโพลง

“เด็ก?!” ทั้งคู่ร้องออกมา ก่อนจะหันมามองหน้ากัน เด็กน้อยใต้ต้นไม้ดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังดูไม่ได้สติ ผิวรอบตัวกลายเป็นสีแดงจากแดดที่แผดเผา ทั้งยังมีเลือดที่แห้งกรังติดเต็มตัว ทว่าสิ่งที่น่าตะลึงไม่ใช่สีผิว แต่เป็นเส้นผมสีขาวที่อยู่บนศีรษะเล็กต่างหาก!

“แม่จ๋าทำไมผมของเด็กคนนี้ถึงเป็นสีขาวล่ะ!” กุ้ยเหรินชี้ไปที่ผมน้อยๆ ของเด็กบนพื้น ทำให้แม่ของเธอได้สติ รีบหยิบห่อผ้าออกมาห่อและอุ้มเด็กน้อยขึ้น

“แค่กๆ ..ม..แม่ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ต้องรีบช่วยเด็กคนนี้ ลูก..ลูกรีบเอาผ้าไปชุบน้ำให้แม่ที” นางรีบอุ้มหรงหรงขึ้นและพาเข้าร่มไม้ ก่อนจะนำน้ำป้อนเข้าไปในปากเล็ก และใช้ผ้าชุบน้ำที่ได้จากกุ้ยเหรินมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวเด็กน้อย

“ทำไมเด็กคนนี้ถึงมาอยู่นี่ล่ะ” กุ้ยเหรินเงยหน้าถามแม่ขณะเก็บกิ่งไม้แห้งมารวมกันเพื่อสร้างกองไฟ

“คงเป็นพ่อแม่ใจโหดที่รับสภาพลูกไม่ได้ จนต้องเอามาทิ้ง แค่ก..ก.ๆ แย่เสียจริง ทำเช่นนี้กับลูกตัวเองได้ยังไง” นางค่อยๆ วางทารกน้อยในมือลง เพื่อไปก่อกองไฟเพื่อต้มน้ำข้าวให้เด็กน้อยกิน

กุ้ยเหรินคลานเข้ามาดูผู้เป็นแม่กำลังป้อนน้ำข้าวให้ทารกในอ้อมแขน เธอจึงเอื้อมมือไปลูบเส้นผมสีขาวที่ปกคลุมศีรษะเล็ก

“โอ๋ๆ อย่าตายนะ” ผู้เป็นแม่ชะงัก ก่อนจะเผยยิ้มละมุนเมื่อมองหน้าลูกสาว

จะว่าไปกุ้ยเหรินเองก็อยากได้น้องมานานแล้วนี่นะ

 

ตกเย็น หรงหรงจึงเริ่มรู้สึกตัว นี่เธอ..ยังไม่ตายหรอกเหรอ? เด็กน้อยคิด ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะดังมาไม่ไกลนัก

เสียงใครน่ะ?

หรงหรงคิดและพยายามขยับตัว ตอนนี้เธอรู้สึกดีกว่าเดิมเยอะนัก เมื่อยกมือขึ้นก็พบใบไม้แปะอยู่รอบตัว ดมจากกลิ่นแล้วคงเป็นยาสมุนไพร

พวกเขาช่วยเธองั้นเหรอ?

ทารกน้อยเริ่มมีความหวัง พยายามส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาให้ผู้มีคุณรับรู้

“ท่านแม่ๆ! น้องฟื้นแล้วๆ” กุ้ยเหรินได้ยินเสียง จึงรีบกระตุกแขนเสื้อผู้เป็นแม่ที่กำลังทำอาหารให้หันไปดู นางจึงเดินมาอุ้มหรงหรงขึ้น

“ไหนๆ ตื่น..แค่ก..ตื่นแล้วงั้นหรือ?” หรงหรงพยายามหรี่ตามองภาพหญิงที่อุ้มเธอขึ้น แต่เหตุใดเธอจึงไม่อาจมองภาพได้ชัดเจน?

“ตายแล้ว!” นางร้องเสียงหลง ทำเอาทารกน้อยสะดุ้งเฮือก นึกหวั่นว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาพพ่อแม่ที่กรีดร้องยังสะท้อนในดวงตาของเธอ

“มีอะไรหรือท่านแม่ ให้ข้าดูน้องด้วยๆ” กุ้ยเหรินกระโดดเหยงๆ หวังจะดูเด็กน้อยบ้าง ผู้เป็นแม่นั่งลงบนพื้นให้กุ้ยเหรินได้เห็นหน้าน้อง ท่าทางของกุ้ยเหรินตกตะลึงไม่ต่างจากแม่ของเธอ

“ท่านแม่! เหตุใดตาของเด็กคนนี้จึงเป็นสีแดง!” กุ้ยเหรินไม่เข้าใจ ผู้เป็นแม่เม้มปาก ไม่รู้จะอธิบายยังไง

“แม่..แค่ก..ก..แม่ก็ไม่รู้ แม่ไม่เคยเห็นเลย”

ผ..ผมขาว ตาแดง? จำได้ว่าพระเจ้าบอกว่าโลกนี้เหมือนโลกเดิมในอดีต คงไม่มีเวทมนตร์ แล้วทำไมผมและตาของเธอจึงเป็นสีนี้ หรงหรงคิดและนึกหาสาเหตุ ก่อนชื่อโรคหายากโรคหนึ่งจะแล่นเข้ามาในหัว

ห..หรือว่าจะเป็น.. โรคผิวเผือก?!!!

เธอจำได้ว่าเคยศึกษาโรคนี้อยู่บ้าง เพราะเป็นโรคที่น่าสนใจนัก โรคผิวเผือกเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมเม็ดสีเมลานิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตเม็ดสีออกมาได้ เส้นผมและดวงตาจึงเป็นสีขาว ม่านตาสีเทาโปร่งแสง รูม่านตาสะท้อนแสงเป็นสีแดงจนทำให้ดูเหมือนมีดวงตาสีแดง สีผิวขาวซีดผิดปกติไม่พอ ร่างกายและดวงตายังถูกแสงได้ไม่นาน นอกจากนี้ยังมีสิทธิมีปัญหาเรื่องสายตาสูง

กรี๊ดดดดดดดดดด นี่พระเจ้าให้เธอเป็นโรคนี้ทำไม! ที่เธอมองเห็นไม่ชัดเพราะโรคนี้ใช่ไหม!

หรงหรงแหกปากร้องไห้นึกสาปแช่งพระเจ้า หากเธอเป็นโรคนี้ ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะหวาดกลัวและหาว่าเธอเป็นปีศาจ

“แล้ว..แล้วท่านแม่จะทำเช่นไร ท่านแม่จะทิ้งน้องหรือ?” กุ้ยเหรินเบะปาก ไม่อยากให้แม่ตนทำเช่นนั้น

“ทำไมลูกคิดอย่างนั้นล่ะ?” ผู้เป็นแม่ย้อนถาม กุ้ยเหรินก้มหน้าเล็กน้อย

“ก็..ก็น้องมาอยู่นี่คนเดียว แถวนี้ก็ไม่มีใคร แปลว่าน้องคงถูกทิ้งแล้วใช่ไหม?” คำถามจี้ใจดำดังออกมาจากปากเล็ก อีกฝ่ายนิ่งคิด ก่อนจะถอนหายใจ

“กุ้ยเหริน.. เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ ลูกก็รู้ว่าเรากำลังอยู่ในช่วงอพยพออกจากหมู่บ้าน แค่กๆ ม.. แค่ก..ก. ไม่มีที่อยู่ หากพาน้องไปด้วยก็มีแต่ภาระ เพราะหมู่บ้านเราอยู่ติดทะเล จึงได้รู้จักชาวต่างเผ่า แต่คนในเมืองไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาไม่เคยเห็นชาวต่างเผ่า แค่กๆ พวกเรา..อาจต้องใช้ชีวิตหลบ...ๆ ซ่อนๆ คงเข้าเมืองไปตามหาพ่อเจ้าไม่ได้แล้ว ถ้าให้แม่เดา.. น้องคงถูกหาว่าเป็นปีศาจ เป็น..เด็กต้องสาป เป็นภัยกับหมู่บ้านจึงถูกนำมาทิ้ง แถมหากมีใครมาพบน้องเข้า เราจะถูกหาว่าชุบเลี้ยงปีศาจไปด้วย เจ้าจะรับชีวิตอย่างนั้นได้หรือ?” กุ้ยเหรินกำชายเสื้อของตัวเอง พยายามครุ่นคิดไปมา

“ข้ารับได้ คนอื่นจะว่ายังไงข้าไม่สน ข้ารู้ว่าเด็กคนนี้เป็นแค่ชาวต่างเผ่า ไม่ได้เป็นปีศาจ ข้าไม่ไปหาท่านพ่อแล้วก็ได้ ข้าเกิดมาไม่เคยพบหน้าพ่อ ไม่เคยรู้ว่าท่านนิสัยเป็นยังไง ทั้งยังไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ข้าไม่อยากทิ้งน้องไป ข้า..ข้ารู้สึกว่าข้าทิ้งน้องไม่ได้!” กุ้ยเหรินเงยหน้ามองแม่ แววตามั่นคง ผู้เป็นแม่ถอนหายใจ

“กุ้ยเหริน ลูกยังเด็กเกินจะเข้าใจความลำบากนี้ แค่ก..กๆ การเลี้ยงเด็กทารกไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ทั้งลูกเองก็ยังเด็ก แม่เลี้ยงไม่ไหวหรอก” กุ้ยเหรินยังคงดึงดันต่อ

“ท่านก็สอนข้าเลี้ยงน้องสิ ข้าจะเลี้ยงน้องเอง ข้าเหมยกุ้ยเหรินขอสาบานว่า หากได้อยู่กับน้อง ข้าจะไม่ดื้อไม่ซน ไม่เอาแต่ใจ จะเป็นเด็กดีช่วยดูแลน้อง” กุ้ยเหรินยกมือสาบาน

“เห้อ ทำไมเจ้าถึง..ดื้อเช่นนี้” ผู้เป็นแม่เริ่มใจอ่อน

“ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าแค่รู้สึกว่าข้าอยากอยู่กับเด็กคนนี้ ต้องเป็นเด็กคนนี้เท่านั้น” เด็กหญิงไม่เข้าใจตัวเอง หรงหรงฟังแล้วก็ฉงน หรือพระเจ้าจะช่วยดลใจให้กุ้ยเหรินอยากอยู่กับเธอ

สมแล้วที่ข้าตั้งชื่อว่ากุ้ยเหริน เจ้าช่างมีเมตตาสมชื่อเสียจริง

“แม่ล่ะยอมแพ้เจ้าจริงเชียว แค่ก ..แต่แม่เองก็รู้สึกเช่นเจ้า รู้สึกว่าไม่อาจทิ้งเด็กคนนี้ได้” ดวงตากุ้ยเหรินเป็นประกายทันทีที่ได้ยินคำตอบรับ

“ได้จริงเหรอ? ท่านแม่ ข้ามีน้องได้จริงๆ หรือ?!” กุ้ยเหรินดีใจ ส่งเสียงร้องกระโดดไปมา ผู้เป็นแม่ขบขันท่าทางของลูกสาว หรงหรงหัวเราะอ้อแอ้ ชูมือทั้งสองข้างทำท่าจะไปหากุ้ยเหริน

ข้ารอดแล้วววว ข้ารอดแล๊วววววว!

หรงหรงคิดในใจอย่างยินดี บุญคุณของกุ้ยเหรินและท่านแม่วันนี้ นางจะไม่มีวันลืม ทั้งชีวิตนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางก็จะอยู่กับกุ้ยเหรินตลอดไป อย่างไรเสียนางก็มีภารกิจช่วยเหออยู่ร์หานเลือกเฟ้นฮ่องเต้ คงได้ยุ่งเกี่ยวกับราชวงศ์ ไว้กุ้ยอนาคตกุ้ยเหรินและแม่อยากได้อะไร นางจะหามาให้ทุกอย่าง!

“เจ้ามีชื่อน้องในใจหรือยัง?” กุ้ยเหรินมองหน้าหรงหรง สังเกตว่าผิวส่วนที่ไม่โดนแดดช่างขาวนัก ทั้งดวงตาที่เห็นเมื่อครู่เมื่อเปลี่ยนมุมก็กลายเป็นสีเทาโปร่งใส เด็กน้อยคนนี้มีสีขาวทั้งตัว ทั้งยังมีใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู ราวกับดอกไม้สีขาว

“ไป๋ฮวา” กุ้ยเหรินพึมพำ ก่อนเงยหน้า

“ข้าแซ่เหมย จากดอกเหมย ข้าอยากให้นางชื่อเหมยไป๋ฮวา จะได้โตมางดงามและเป็นที่ชมชอบของผู้คน!” ผู้เป็นแม่ยิ้มยินดีกับชื่อใหม่ของหรงหรง โดยที่นางหารู้ไม่ว่า ชีวิตของนางเหลือเพียงไม่กี่ปี

"ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ามีชื่อว่า เหมยไป๋ฮวา นะ"

 

ด้านจินหลงที่ไม่ล่วงรู้ว่าผู้ช่วยของเขามาถึงโลกนี้แล้ว วันนี้คือวันเกิดของเขา เจ้าตัวจึงคิดหนีออกจากวังตอนกลางคืน หลังงานเลี้ยงฉลองในวังจบลง เมื่อได้เวลาเหมาะสมจึงเริ่มปฏิบัติการหลบหนี

“พบตัวองค์ชายสี่แล้ว!!” วิ่งไปได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งเฮือก

ทำไมวันนี้ข้าถูกพบง่ายๆ ล่ะ!

จินหลงออกวิ่งและหลบหนีไปตามทาง เมื่อกำลังจะเลี้ยวหนี ก็พบทหารอีกกลุ่มโผล่มาตรงหน้า เจ้าตัวแสบแทบเบรกหันหลังหนีไม่ทัน สัญชาตญาณเริ่มบอกว่าเกิดเรื่องผิดปกติ

เจียงสงยืนมองจากบนต้นไม้ เหยียดยิ้มพึงพอใจที่ได้เห็นเป้าหมายถูกไล่ต้อนตามแผนการ เพราะวันนี้มีงานฉลอง ทำให้องค์ชายสี่ไม่อาจออกนอกวังในตอนกลางวันได้ เขาจึงคาดการณ์ว่าอีกฝ่ายอาจหนีไปตอนกลางคืน และเป็นดั่งที่คิด เขาจึงเตรียมกับดักมากมายไว้เป็นของขวัญให้พระองค์

กรุ๊งกริ๊งๆๆ

เสียงกระดิ่งจากอีกฟากทำให้เจียงสงยิ่งเผยยิ้มชอบใจ ดูท่าองค์ชายจะติดกับกับดักแรกของเขาแล้ว

จินหลงสะดุดเชือกที่ขึงไว้บนหลังคาตำหนัก บริเวณเชือกมีกระดิ่งเล็กๆ ติดไว้เป็นแนวยาว ทำให้เกิดเสียงดังลั่นไปทั่ว ทหารบริเวณนั้นจึงรีบกรูกันไปยังทิศดังกล่าว

บ้าไรวะเนี่ยยยย

เด็กชายโวยวายในใจ เมื่อกระโดดลงไปบนพื้นด้านหลังตำหนัก ตาข่ายที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้จึงถูกดึงขึ้น รวบร่างของเขาไว้อย่างพอดิบพอดี

“เห้ย!!” จินหลงร้องลั่น ไม่คิดว่าจะมีตาข่ายอยู่ด้านล่าง

“ตาข่ายจากไหนฝีมือใครวะ!” เด็กน้อยแหกปากพยายามเปลี่ยนท่าขณะอยู่ในตาข่าย เสียงปรบมือที่ได้ยินจากข้างตำหนักทำให้เขารีบปิดปากตัวเองและหันไปมอง ผู้ที่มาใหม่คือเจียงสงและเหล่าทหาร ใบหน้าของเจียงสงตอนนี้เปื้อนยิ้มยินดี

“ในที่สุดกระหม่อมก็จับตัวท่านได้ องค์ชาย” จินหลงอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเจียงสงจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

เดี๋ยว..ข้าต้องแกล้งบ้า!

“ฮ่าๆๆ ข้าบินได้ล่ะข้าบินได้! ฮู้วววว” จินหลงพยายามทำท่าเครื่องบินโยกตัวไปมาในตาข่าย ทว่าเจียงสงยังไม่เปลี่ยนสีหน้า

“พอตัวองค์ชายสี่กลับเรือน” เจียงสงสั่งการ ก่อนจะเดินไปหาจินหลง เงยหน้ามองเจ้าตัวน้อยที่ถูกจับ

“ต่อจากนี้กระหม่อมจะไม่ให้พระองค์หนีไปไหนแน่ คอยดูเถอะ” เจียงสงประกาศด้วยรอยยิ้มหวานที่แฝงความเย็นยะเยือก ทำเอาจินหลงขนลุกซู่

ไม่โว้ยยย ข้าจะหนีข้าก็ต้องหนีให้ได้!!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด