ตอนที่แล้วบทที่ 5 แม่มดน้อยแห่งเอทาเนียร์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7 ภารกิจหลักสองอย่าง

บทที่ 6 พบกันอีกครั้ง


บทที่ 6 พบกันอีกครั้ง

ดินแดนเอทาเนียร์

ชื่อเรียกที่สืบทอดต่อกันมาปากต่อปากจากตำราเรื่องลึกลับในวัยเด็ก เรื่องราวมีอยู่ว่าดินแดนเอทาเนียร์คือดินแดนมายาลึกลับที่ไม่ปรากฏบนแผนที่โลก มันเป็นเมืองที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวพิสุทธิ์หนาตลอดทั้งปี ที่นั่นแบ่งแยกเขตปกครองออกเป็นสามเขตและมีผู้ปกครองสูงสุดของแต่ละเขตคอยดูแลดินแดนเอทาเนียร์ร่วมกัน

ด้วยความที่เป็นแดนมายาลึกลับ ผู้คนซึ่งได้ยินเพียงแค่เสียงเล่าลือจึงไม่อาจทราบรายละเอียดเชิงลึกมากไปกว่านั้น แต่สิ่งที่รู้กันอยู่ก็คือที่เอทาเนียร์นั้นเป็นที่อยู่ของเหล่าพ่อมดแม่มดที่เป็นหนึ่งในมนุษย์มายาซึ่งจะไม่ปรากฏให้ใครเห็นง่าย ๆ บนพื้นโลก และเรื่องราวเกี่ยวกับพลังเวทมนตร์ยังถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เหล่ามนุษย์ผู้ใช้พลังปราณยังคิดว่านั่นคือความพิเศษที่ไม่มีอยู่จริง

กระแสมีสองส่วนนั่นก็คือผู้ที่เชื่อว่าดินแดนเอทาเนียร์มีอยู่จริง กับผู้ที่คิดว่านั่นเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา

ทว่าในยามนี้กลับมีผู้ที่ทำท่าว่าจะใช้เวทมนตร์ได้ปรากฏกายออกมาอย่างกะทันหัน แม้จะภายในตัวอาคารที่ไม่ได้มีทรงใหญ่มาก แต่ก็นับว่าบรรจุคนไว้ภายในมากมาย ทุกผู้คนตกอยู่ในภวังค์เมื่อต้องสบสายตาเข้ากับสตรีร่างเล็กที่มีเค้าลางว่า ‘น่าจะ’ เป็นแม่มดที่เป็นเหมือนกับตำนานของนิทานในวัยเด็ก

เปลือกตากลมโตกระพริบสองครั้งสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปทันควัน ฟาร์ชูลันรับรู้ถึงความหนักอึ้งของบรรยากาศที่แม้จะไม่มีเสียง แต่ก็ไร้ซึ่งความสงบ เธอหันไปสบตากับมาร์ตินราวกับต้องการจะบอกให้ทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ในตอนนี้ เพราะเขาเป็นผู้จุดประกายบรรยากาศแบบนี้ขึ้นมา มาร์ตินเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ เขาหันไปมองผู้คุมสอบคนอื่นทันที

“เธอคนนี้สอบผ่านสามารถเข้าเรียนที่สถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่งได้” กล่าวจบมาร์ตินก็ก้าวเดินไปยังที่นั่งของตนอีกครั้ง ฟาร์ชูลันยิ้มพอใจก่อนจะเดินกลับมาหาสไปค์ เธอมองหน้าเขาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงมีเรื่องสงสัยในตัวเธออยู่เหมือนกัน

“ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ ฉันเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับนายด้วย”

สไปค์ทำหน้าสงสัย แต่ไม่นานนักก็เข้าใจ

รอบข้างไม่มีเสียงครหาใด ๆ ดังขึ้นแทรกแซงอีก แม้ฟาร์ชูลันจะสอบผ่านเข้าเรียนได้ในการทดสอบเดียวแต่ก็ไม่มีใครคิดจะโต้แย้งอะไรกับเธอ บางส่วนอาจจะไม่กล้า อีกบางส่วนก็อาจจะนึกคำพูดมาโต้แย้งไม่ออก แต่มีอีกหลายส่วนเลยที่สงสัยว่าเธอจะเข้าไปทำอะไรที่โรงเรียนฝึกปราณ ถ้าหากว่าเธอคือแม่มดที่ใช้พลังเวทมนตร์?

“เตรียมสอบรอบสองได้!”

มีผู้คุมสอบคนหนึ่งตั้งใจทำเสียงดังกังวานเพื่อดึงสติทุกคนในที่นี้กลับมา ในการสอบรอบที่สองนี้จะเป็นการสอบวัดทักษะกระบวนยุทธ์ ซึ่งปราณจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเกณฑ์การตัดสินรอบนี้ทั้งสิ้น หลายคนเริ่มต้นการทดสอบด้วยการโชว์กระบวนท่าที่ตัวเองภาคภูมิใจ บ้างก็ตะโกนชื่อท่าออกมาอย่างเกรี้ยวกราดเพื่อสร้างพลังให้กับตนเอง

แล้วก็มาถึงคิวของสไปค์ เขาถูกเรียกชื่อเพื่อให้ไปยืนอยู่ด้านหน้าหุ่นที่ทำขึ้นจากไม้กับฟาง แม้มันอาจมองดูเหมือนหุ่นฝึกซ้อมบ้านนอกธรรมดา ๆ แต่ความจริงมันมีกลไกพิเศษที่จะทำให้สามารถรับรู้ได้ว่ากระบวนท่าวิชา หรือน้ำหนักการเตะ ต่อยของผู้ทดสอบมีมากน้อยแค่ไหน

เท่าที่ทดสอบมาก่อนหน้านี้ มีผู้ที่คะแนนผ่านเพียงพอให้คาบเส้นไปเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าเกณฑ์การให้คะแนนค่อนข้างโหดเอาเรื่อง

หลายสายตามองมาทางเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดผู้นี้ พวกเขาเดิมทีปรามาสสไปค์กับฟาร์ชูลันในฐานะเด็กเส้นไว้ในตอนแรก แต่พอเห็นฟาร์ชูลันแสดงอิทธิฤทธิ์ว่าตนเองเป็นแม่มดจนเกือบจะพังอาคารทั้งหลังลงมาก็ทำให้รู้สึกไม่กล้าที่จะดูแคลนสไปค์ที่มาด้วยกันอีก พวกเขาทั้งหมดต่างกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รอคอยให้สไปค์แสดงพลังอันน่าเกรงขามในความคาดหวังของพวกเขาออกมา

สไปค์ทำหน้านิ่งราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง กระทั่งพอถึงเวลาผ่านไปสักระยะ ในที่สุดก็ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจบางอย่างได้ ชายหนุ่มเพียงสูดลมหายใจขึ้นเหมือนกำลังรวบรวมสมาธิ แล้วก็กระโจนเข้าใส่หุ่นสอบ ต่อยไปหนึ่งหมัด สลับลูกเตะเข้ามาแทรก ส่งเสียงประกอบออกมาเป็นจังหวะก่อนจะถอยออกมายืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าหุ่นสอบอีกครั้ง

คะแนนที่ออกมาจากจออนาล็อกเล็ก ๆ ตรงกลางลำตัวของหุ่นฟางแสดงค่ากราฟเกี่ยวกับพลังจู่โจมเมื่อสักครู่ ผลของคะแนนคือต่ำเตี้ยเรี่ยดิน...

“......”

รอบข้างเงียบกริบ เงียบจนได้ยินเสียงแมลงสาบวิ่งผ่าน

“นั่นมันกระบวนท่าห่าเหวอะไรกันวะ...” มีเสียงดังขึ้นจากที่นั่งผู้เข้าสอบใกล้ ๆ คนพูดคือชายผมทองท่าทางวางก้ามคนเดิมนั่นเอง ก่อนหน้านี้เขาก็แอบหวั่น ๆ ว่าสไปค์จะซ่อนไม้เด็ดอะไรเอาไว้เหมือนกับฟาร์ชูลัน แต่พอได้เห็นการออกหมัดกับเท้าที่ดูสะเปะสะปะเหมือนคนไม่เคยฝึกยุทธ์มาก่อน เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำดูถูกออกมาอีกครั้ง

“นั่นคือทั้งหมดที่เจ้าจะแสดงมันออกมาแล้ว?” ผู้คุมสอบถามย้ำเพื่อความแน่ใจ สไปค์หันไปมองก่อนจะพยักหน้าลงสองครั้งเพื่อตอบรับว่าใช่

“งั้นเจ้าก็ไม่ผ่านการสอบรอบที่สอง เชิญกลับไปนั่งที่ได้”

“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ ก็หุ่นไม้นี่มันไม่มีชีวิตนี่นา!” สไปค์รีบแย้งทันควันจนคนคุมสอบขมวดคิ้ว

“มันเกี่ยวอะไรกัน จะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตเจ้าก็ต้องแสดงกระบวนท่าวิชาของเจ้าออกมาเพื่อที่เราจะวัดคะแนนได้ แต่สิ่งที่เจ้าใช้เป็นเพียงหมัดเท้าที่ไม่มีพิษสงอะไร นี่ถ้านำไปใช้กับสิ่งมีชีวิตอย่างพวกนักรบปราณจะไม่โดนตอบโต้กลับจนตายเลยหรือ?”

“เอ่อ...” เหมือนสไปค์กำลังตกที่นั่งลำบาก เขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะต้องตอบว่าอะไรดี กระทั่งฟาร์ชูลันที่ดูอยู่ห่าง ๆ ยังรู้สึกร้อนใจตามไปด้วย

“ก็หุ่นไม้ไม่มีชีวิต กระบวนท่าของข้ามีไว้เพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น”

“พล่ามบ้าบออะไร จะบอกว่าถ้าสู้กับสิ่งมีชีวิต เจ้าจะแสดงกระบวนท่าออกมาได้งั้นสิ นี่มันข้อแก้ตัวประเภทไหนกัน?” คราวนี้เป็นเสียงของชายผมทองดังแทรกเข้ามาจนสไปค์เริ่มขมวดคิ้วเล็ก ๆ เข้าหากัน นี่ก็หลายครั้งแล้วที่คน ๆ นี้มักจะหาเรื่องเขาอยู่เสมอ ซ้ำยังจุดชนวนให้คนอื่นเริ่มส่งเสียงเอะอะตามมาอีก

“นี่ท่านมาร์ติน ไหน ๆ ข้าก็เพี้ยนตั้งแต่จดหมายและปราณแล้วใช่มั้ย ดังนั้นให้การสอบของข้าเพี้ยนตามสิ่งนั้นไปเหมือนกับที่ฟาร์ชูลันสอบก่อนหน้านี้ได้รึเปล่า?” สไปค์หันไปสบสายตาเข้ากับมาร์ตินอย่างไม่กลัวเกรง แม้มาร์ตินจะทำหน้าขึงขังตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้ทำให้สไปค์รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าอยากได้การสอบแบบไหน?” ที่ถามแบบนี้เพราะมาร์ตินเองก็ต้องการคำตอบเช่นกัน เพราะลักษณะพิเศษของฟาร์ชูลันและความแปลกของสไปค์ทำให้เขาเองก็จนปัญญาที่จะคิดว่าการทดสอบแบบใดถึงจะเหมาะกับเขา สไปค์ผุดรอยยิ้มออกมาพลางหันไปมองหน้าชายผมทองแล้วชี้นิ้วใส่ตรง ๆ

“ข้าจะดวลกับเจ้าหมอนั่นตัวต่อตัว ถ้าข้าชนะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวเต็งการสอบคราวนี้ล่ะก็ ถือว่าข้ามีคุณสมบัติ ตกลงมั้ย?”

“ทางเจ้าล่ะว่าไง” มาร์ตินหันไปถามชายผมทองคนนั้น ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าแดงก่ำและบิดเบี้ยวไปด้วยความโมโหอย่างที่สุด เขากระโจนออกมายืนเบื้องหน้าสไปค์พลางใช้แขนกระชากคอเสื้อของสไปค์ขึ้นมา

“แกจะไม่จบแค่รอยฟกช้ำแน่!” ชายผมทองตวาดใส่ต่อหน้า นั่นคือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขายอมรับการสอบของสไปค์ในครั้งนี้

ทั้งคู่ถอยห่างออกจากกันตามคำสั่งของคนคุมสอบ และไม่ต้องรอให้เสียเวลามากไปกว่านั้น คนคุมสอบประกาศสัญญาณเริ่มต้นการประลองขึ้น ชายผมทองแม้จะมีอารมณ์เกรี้ยวกราดดุดันแสดงออกมาให้เห็นก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเริ่มต้นสัญญาณการประลองเขากลับไม่รีบผลีผลามพุ่งตัวเข้ามา บ่งบอกถึงความใจเย็นในการต่อสู้มากกว่าที่คิด บางทีคงไม่ได้แค่โม้ว่าตัวเองเก่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ปราณสีเทาอ่อนผสมน้ำเงินฉายแสงออกมา นั่นคือปราณหมาป่าที่ได้ชื่อว่ามีพลังที่สมดุลที่สุดในหมู่ปราณทั้งหมด เขาครอบปราณนั้นเอาไว้ทั่วทั้งร่างก่อนจะจ้องมองไปที่อีกฝ่าย แต่ภาพที่ปรากฏคือสไปค์ผู้ไม่แม้แต่จะตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือ

“ขนาดตั้งท่ารับมือยังทำไม่เป็น แกมันไก่อ่อนจริง ๆ ด้วย”

กล่าวจบชายผมทองก็พุ่งตัวเข้าไปหมายจะใช้กระบวนท่าที่ตนเองฝึกฝนมาอย่างหนักเพื่อพิชิตอีกฝ่ายในคราเดียว ความเร็วของอีกฝ่ายแม้ไม่จัดว่าสูงนัก แต่เมื่อผสานกับกระบวนท่าแล้วกลับทะมัดทะแมงฉับไว มีความคล่องแคล่ว หลอกล่อลวงหลอกเปลี่ยนกระบวนท่าได้ฉับพลันเพื่อทำให้ศัตรูสับสนจนจับทางไม่ถูก

อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่ชายผมทองตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะทำ

แต่ความเป็นจริงคือ...ไม่มีการจู่โจมไหนของเขาที่เข้าเป้าเลยสักครั้งเดียว...

สไปค์หลบทุกกระบวนท่าที่เข้าจ่ายออกมาได้อย่างคล่องแคล่วราวกับล่วงรู้อนาคตล่วงหน้า มีบ้างที่ยกแขนยกขาขึ้นปัดป้องจนสร้างความรำคาญให้กับอีกฝ่าย ชายผมทองเริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดมากขึ้น เขาพยายามใช้กระบวนท่าที่เกรี้ยวกราดมากกว่าเดิมแต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นเด็กน้อย

“สุดยอด รับได้หมดทุกกระบวนท่าเลย” มีเสียงดังขึ้นจากไกล ๆ

“เคลื่อนไหวเร็วพอกัน ไม่สิ เจ้าเด็กเส้นนั่นดูจะไวกว่านิดหน่อย”

“เดี๋ยวก่อนนะ เจ้านั่นยังไม่ใช้ปราณเลยนี่!”

ถูกต้อง! สไปค์ยังไม่ได้ใช้ปราณไร้ลักษณ์เลย แต่กลับสามารถรับมือกับผู้ใช้ปราณได้นานขนาดนี้ นี่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจนเกินกว่าจะมานั่งคิดว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกัน นี่มันบ่งบอกถึงระดับฝีมือที่ห่างชั้นกันอย่างเห็นได้ชัด! ชายผมทองเองก็พอรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ได้เร่งเร้าพลังปราณขึ้นมารับมือเลยสักนิด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังจู่โจมใส่ไม่ได้แม้แต่หมัดเดียว ไม่ว่าจะระดมโจมตีใส่มากเท่าไหร่ก็ตาม!

“เอาล่ะนะ” จู่ ๆ สไปค์ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ ท่าร่างของเขาเปลี่ยนไป มือทั้งสองพัวพันยุ่งเหยิงจนชายผมทองรู้สึกว่ามีมือของอีกฝ่ายเพิ่มมาอีกเป็นสิบมือ ขณะเดียวกันแขนทั้งสองข้างของเขาก็ขยับไม่ได้ นี่เขาถูกเจ้าเด็กเส้นคนนี้ล็อคแขนเอาไว้แล้ว?

“เคล็ดหักเขี้ยว” เสียงของสไปค์คล้ายดังขึ้นข้างหู เป็นความรู้สึกเสียวสันหลังราวกับมีเคียวมาจ่ออยู่ที่ลำคอ ชายผมทองรู้สึกเหมือนโลกใบนี้หมุนคว้างขึ้นทันใด เพียงเสี้ยววินาทีเดียวตนก็ล้มลงอัดกระแทกกับพื้นอย่างจัง

การจู่โจมเมื่อสักครู่สลายปราณหมาป่าของเขาออกไปจนหมดสิ้น...

“ผู้ชนะได้แก่สไปค์!” คนคุมสอบส่งเสียงร้องดังขึ้นมา ชายผมทองกำลังนิ่งอึ้งอยู่แต่เมื่อได้ยินเสียงตัดสินของกรรมการคุมสอบก็พลันได้สติ เขาพลิกตัวลุกขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะตวาดดังลั่น พร้อมจู่โจมใส่สไปค์เต็มกำลัง

แต่ผลที่ออกมา...ก็เหมือนเดิม

ร่างของเขาตีลังกาหนึ่งตลบล้มลงกระแทกอัดกับพื้นจนส่งเสียงดังลั่นอาคาร คราวนี้กลับมีเสียงหัวเราะดังแทรกเข้ามาซ้ำเติมอีก

“พอได้แล้วน่า เจ้าแพ้แล้ว” สไปค์เพียงพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ของตน แต่ก่อนที่จะนั่งลงเขากลับมองไปทางมาร์ติน ดวงตาสีฟ้าของชายวัยกลางคนมีแววสั่นไหวอยู่วูบหนึ่งเหมือนกำลังสับสนระคนตกใจ แต่ไม่นานนักก็ตั้งสติได้พลันลุกและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งแรงเฉกเช่นเดิม

“เจ้า...ทั้งสองคน ผ่านการสอบเข้าเป็นนักเรียนสถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่งได้”

 

ระบบการสอบเข้าสถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่งจะมีสามเกณฑ์การตัดสิน และใช้การสอบสองรอบด้วยกัน นั่นก็คือรอบพลังปราณ และรอบทักษะยุทธ์ การรับสมัครสอบจะมีขึ้นในทุก ๆ วันแต่ไม่ได้รับประกันว่ารายชื่อที่ยื่นใบสมัครมาจะได้รับการเรียกให้มาสอบตอนไหน การสอบก็จะจัดขึ้นสัปดาห์ละสามครั้ง สี่วันที่เหลือในสัปดาห์เป็นเวลาสำหรับเตรียมตัวเข้าสถาบันของนักเรียนที่ผ่านการสอบมา

ในการทดสอบรอบล่าสุดเป็นรอบวันสุดท้ายของการเปิดสอบภายในสัปดาห์นั้น ๆ พอดี สไปค์และฟาร์ชูลันที่ผ่านการทดสอบมาได้ด้วยเกณฑ์การตัดสินแบบพิเศษจึงต้องรีบเตรียมตัวยื่นเรื่องเป็นนักเรียนของสถาบันปราณลำดับที่หนึ่ง จากข้อมูลที่ฟังมาคร่าว ๆ รู้สึกว่าสถาบันจะไม่มีชุดยูนิฟอร์มที่เป็นลักษณะเฉพาะของสถาบันให้ นักเรียนทุกคนสามารถสวมเสื้อผ้าแบบไหนมาก็ได้ และมีการเรียนสัปดาห์ละสี่วัน อีกสามวันเป็นเวลาสำหรับพักผ่อนหรือฝึกฝนฝีมือ แล้วแต่ใครจะจัดตารางยังไง

สถาบันฝึกปราณลำดับที่หนึ่งนั้นเป็นหนึ่งในสถาบันทั้งเก้าของจักรวรรดิซี ลำดับที่ของสถาบันจะบ่งบอกถึงลำดับการก่อตั้งและเพราะเหตุนี้จึงนับได้ว่าที่นี่เป็นสถาบันหลวงที่เก่าแก่ที่สุดในจักรวรรดิ นักเรียนของที่นี่จะไม่มีการแบ่งแยกชั้นปี แต่จะแบ่งการเรียนการสอนผ่านระบบ “เกรด” ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าใครอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ ควรเรียนบทเรียนแบบไหน

เกรดมีทั้งหมด 8 เกรด นักเรียนที่เข้ามาใหม่ทุกคนจะเริ่มต้นที่เกรด 1 กันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งสไปค์และฟาร์ชูลันที่ก็ถือว่าเป็นนักเรียนหน้าใหม่สด ๆ ร้อน ๆ ก็ต้องเริ่มต้นเท่าเทียมกับนักเรียนคนอื่นทั่วไป ไม่มีแบ่งแยกแม้ว่าทั้งคู่จะเข้ามาด้วยเกณฑ์การตัดสินแตกต่างจากคนอื่นยังไงก็ตาม

หลังจากวันที่ผ่านการสอบเข้าสถาบัน ทั้งคู่ก็ได้รับการนำทางจากคนดูแลให้พาไปยังหอพักของสถาบันปราณ สไปค์ได้ห้องเดี่ยวที่ว่างเหลืออยู่หนึ่งห้อง ส่วนฟาร์ชูลันที่ปรารถนาห้องเดี่ยวตั้งแต่เริ่มกลับไม่มีห้องเดี่ยวให้ เธอใช้วิธีการบางอย่างขับไล่คนที่พักห้องเดี่ยวคนหนึ่งออกไปพักห้องรวมร่วมกับนักเรียนคนอื่นโดยที่ไม่มีใครรู้สึกติดขัดสงสัย บางทีนี่อาจจะเป็นผลมาจากเวทมนตร์บางอย่างก็เป็นได้

และแล้ว...ในการเริ่มคลาสเรียนวันแรกก็ดำเนินมาถึง สไปค์และฟาร์ชูลันเดินทางมาตามแผนที่ก่อนจะพบกับห้องเรียนของตนเอง ในปัจจุบันทั้งคู่อยู่เกรดเดียวกัน ดังนั้นห้องเรียนรวมจึงต้องเรียนร่วมกัน เมื่อเปิดประตูห้องออกทั้งคู่ก็ต้องพบกับความกว้างขวางและสะอาดเอี่ยมราวกับไม่เคยสกปรกมาก่อนของห้อง

ลักษณะของห้องเรียนรวมจะค่อนข้างแปลก เค้าโครงของเก้าอี้ที่จัดเรียงกันจะไม่ได้เรียงกันเป็นแถวยาว แต่จะเรียงกันเหมือนรูปวงกลมเป็นชั้น ๆ สูงขึ้นไป ยิ่งสูงที่นั่งก็ยิ่งเป็นวงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และใจกลางวงกลมที่นั่งทั้งหมดนั้นยังมีโต๊ะของอาจารย์สอนอยู่ พอดูองค์ประกอบรวมแล้วให้ความรู้สึกเหมือนมีวงออร์เคสตราล้อมรอบวาทยกรเอาไว้

“อ๊ะ เก้าอี้นี่นุ่มดีจัง” สไปค์พูดพลางเอามือตบเบาะเก้าอี้เบา ๆ

“เหรอ ฉันว่าแข็งออกนะ” ฟาร์ชูลันตอบกลับตามความรู้สึก

สภาพแวดล้อมการเติบโตของทั้งคู่ค่อนข้างแตกต่างกันมาก สไปค์ซึ่งโตมากับพื้นไม้และฝุ่นทรายย่อมเคยสัมผัสเบาะเก้าอี้นวมเป็นครั้งแรกจึงรู้สึกว่ามันนุ่ม ส่วนทางด้านฟาร์ชูลันดูจากลักษณะคำพูดแล้วน่าจะเคยชินกับเก้าอี้ที่นุ่มกว่านี้มาก่อนจนทำให้ความนุ่มของเก้าอี้ที่นี่แลดูแข็งไปเลย

“สวัสดี” มีเสียงทักขึ้นจากที่นั่งด้านข้าง สไปค์หันหน้าไปมองก็ได้พบกับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง เขาแสดงรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร สัดส่วนของใบหน้าค่อนข้างดีรับกับปาก จมูก ตา ได้อย่างเพอร์เฟคลงตัวเหมือนกับกำลังมองดูองค์ประกอบชั้นยอดบางอย่าง สีผิวยังขาวเกินกว่าผู้ชายปกติด้วยกัน ขาวเหมือนผิวของผู้หญิง แต่ใบหน้ากลับให้ความรู้สึกหล่อเหลาเหมือนชายชาตรีไปเสียได้

“ข้าชื่อซิลเวอร์ เจ้าล่ะ”

“ข้าชื่อสไปค์” สไปค์ตอบกลับทันควัน

“ส่วนฉันก็ฟาร์ชูลัน!”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ พึ่งจะมาใหม่กันล่ะสิ” ซิลเวอร์เอ่ยถามซ้ำ มือซ้ายปัดทรงผมสีแดงขึ้นเบา ๆ ชั่วขณะนั้นเหมือนมีประกายใสวิ้งบางอย่างลอยออกมาเหมือนเป็นออร่าพิเศษเฉพาะตัว ฟาร์ชูลันมองเห็นผู้หญิงรอบบริเวณนั้นส่งเสียงกรี๊ดเงียบ ๆ บ้างก็ทำหน้าเหม่อเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมาทันที เธอพอจะเข้าใจสถานการณ์แบบนี้ คนที่ชื่อซิลเวอร์คงจะฮ็อตในหมู่สาว ๆ น่าดู

“ใช่แล้ว เมื่อไหร่จะเริ่มเรียนเหรอ” สไปค์ถาม เขาไม่สังเกตเห็นถึงอาการคนรอบข้างเลยสักนิด

“ก็อีกไม่นานหรอก อ๊ะ มาแล้วนั่นไง!” ซิลเวอร์ชี้นิ้วไปทางจุดวงกลมกึ่งกลางระหว่างที่นั่งวงกลมชั้นแรก ตอนนี้พวกเขาอยู่ชั้นวงกลมประมาณแถวที่หก ก็นับว่าไม่ไกลจากกันมาก แต่ก็ไม่ได้ใกล้เช่นกัน ตรงกลางพื้นวงกลมตรงส่วนนั้นส่งเสียงครืนเบา ๆ ก่อนที่พื้นจะเลื่อนออกไป และปรากฏร่างของชายวัยกลางคนสวมแว่นคนหนึ่งลอยขึ้นมาจากช่องใต้พื้นทันที เขาแต่งกายด้วยชุดสูทที่มองดูเรียบร้อยเป็นอย่างมาก

“ทำความเคารพ!”

นักเรียนทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับ สไปค์กับฟาร์ชูลันเห็นคนอื่นทำแบบนั้นก็ทำตามโดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำไมต้องทำ

“สวัสดีนักเรียนเก่าและนักเรียนใหม่ทุกท่าน ข้าคืออาจารย์ประจำคลาสเกรด 1 ชื่อว่าลูคัส” กล่าวจบเขาก็วางหนังสือที่หอบมาด้วยลงบนโต๊ะสอนของตนเอง แต่ในหางตากลับมองไปที่ประตูทางเข้าจุดเดียวกับที่สไปค์และฟาร์ชูลันเดินเข้ามาตอนแรก มีเงาร่างคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับแสงสว่างที่ฉายผ่านเข้ามาจากด้านนอกประตู

“วันนี้ถือเป็นวันพิเศษ เพราะเจ้าตำหนักเมฆามีเวลาว่างพอดี จึงถือโอกาสเชิญมาสอนร่วมกันเพื่อพวกเจ้าเกรด 1 โดยเฉพาะ” อาจารย์ลูคัสกล่าวแค่นั้นก่อนจะผายมือไปทางร่างเล็กบางที่เดินเข้ามาตามเสียงที่พึ่งเงียบลงไป

ราวกับมีกลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนร่วงโรยลงมาในขณะที่คน ๆ นั้นกำลังย่างเท้าเข้ามาใกล้เหล่านักเรียนเรื่อย ๆ สไปค์มองไปที่ใบหน้าของคน ๆ นั้น ลมหายใจของเขากลับถี่ยิ่งขึ้น แม้กลีบดอกไม้จะเบ่งบานและโรยลงที่นอกห้อง แต่กลับรู้สึกว่าวินาทีนี้มันเคลื่อนไหวรอบกาย ‘เธอ’ ไปเสียได้ นี่เป็นภาพหลอนที่เกิดจากประสาทรับรู้ส่วนไหนกัน?

สักวันท่านจะต้องตอบแทนข้า...

                “เจ้า...”

อาจารย์ลูคัสหันมามองภาพรวมก่อนจะขยับให้มีพื้นที่ว่างสำหรับอีกฝ่ายยืนข้างกัน เมื่อเธอคนนั้นเดินมาถึงก็หยุดยืนอยู่ข้างอาจารย์ลูคัสและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรื่นหู

“เจ้าตำหนักเมฆาของสถาบันปราณลำดับที่หนึ่ง ฟลอร์เลน ยินดีที่ได้รู้จักทุก ๆ คน”

สติเหมือนหลุดลอยออกไปในห้วงภวังค์ สไปค์เผลอลุกขึ้นยืนมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่ได้พบกันมากว่าเจ็ดปี

กลิ่นหอมนี้...ไม่มีทางที่เขาจะลืมได้ลง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด