ตอนที่แล้วบทที่ 2 ความฝันเมื่อพันปีก่อน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 4 เธอผู้มากับยูนิคอร์น

บทที่ 3 ปราณไร้ลักษณ์


บทที่ 3 ปราณไร้ลักษณ์

 

สิ่งที่เด็กหนุ่มมองเห็นเป็นอย่างแรก คือภาพของเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงแผดเผาบ้านเรือนจนมอดไหม้

                หลังจากวิ่งมาถึงใจกลางหมู่บ้านก็ต้องพบกับเปลวเพลิงร้อนระอุซึ่งกำลังแผดเผาสิ่งก่อสร้างจนกลายเป็นขี้เถ้าตอตะโก ความร้อนจากเปลวเพลิงส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายของเด็กหนุ่มสูงขึ้น หยาดเหงื่อเริ่มไหลหยดลงมาเป็นก้อน จิตใจที่ร้อนรุ่มยิ่งทวีคูณเพิ่มขึ้นเมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้

ความคิดแรกที่ประดังเข้ามาคือ ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ที่ไหน?

                สไปค์ส่ายหน้าซ้ายขวาและต้องพบกับร่างบาดเจ็บของคนในหมู่บ้านล้มระเนระนาดอยู่มากมาย พวกเขาส่งเสียงโอดครวญอย่างทุกข์ทรมาน เด็กหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปยกเอาเศษซากเสาบ้านที่ทับร่างของบางคนเอาไว้ออก และช่วยดึงร่างของพวกเขาออกมาไว้รวมกันเป็นจุดเดียว

เขามองไปยังจุดที่เคยมีบ้านของตัวเอง เพราะที่นั่นกลายเป็นซากผุพังจากเหตุเพลิงไหม้ไปเรียบร้อยแล้ว...

“ท่านพ่อ...ท่านแม่” น้ำเสียงแผ่วเบาที่สื่อให้เห็นถึงความสับสน เขาช่วยเหลือคนในหมู่บ้านหลายคนออกมาจากเศษซากสิ่งก่อสร้างแต่กลับไม่พบร่างของพ่อกับแม่บังเกิดเกล้าเลย ไม่มีแม้กระทั่งเงา ด้วยความร้อนใจจนถึงขีดสุด เด็กหนุ่มรีบวิ่งตรงเข้าไปยังจุดที่ลึกยิ่งกว่า ตรงผ่านเปลวเพลิงรอบข้างเพื่อมุ่งไปยังจุดที่เป็นที่อยู่ของหัวหน้าหมู่บ้าน

และสิ่งที่เขาต้องพบหลังจากที่มาถึงนั้น...

“อ้าว...โผล่หัวออกมาแล้วรึ ให้ข้าเล่นกับคนในหมู่บ้านเจ้าอยู่ตั้งนาน”

เจ้าของเสียงคือเด็กผู้ชายตัวเล็กพอ ๆ กับสไปค์ เขาแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำซึ่งแน่นอนว่าเป็นชุดสูทสำหรับเด็ก เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีขาว ปิดท้ายส่วนล่างด้วยกางเกงสแล็คสีเดียวกับชุดสูทและรองเท้าคัทชู เด็กผู้ชายคนนั้นหันมามองทางสไปค์พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเลื่อนกรอบแว่นกลมโตขึ้น สไปค์สังเกตเห็นดวงตาสีแดงฉายแสงออกมาผ่านกรอบเลนส์แว่นตาที่เด็กคนนั้นสวมอยู่

รูปร่างของเด็กผู้ชายตัวขนาดพอ ๆ กันไม่ได้มีลักษณะที่แตกต่างไปจากเด็กหนุ่มชาวมนุษย์สักเท่าไหร่เลย แต่ทำไมความรู้สึกที่สัมผัสได้จากตัวเด็กหนุ่มคนนั้นกลับเป็นความรู้สึกที่น่าหวาดกลัวอย่างประหลาด มันรู้สึกขนลุกราวกับโดนความหนาวเหน็บที่ไม่ได้เป็นแค่อากาศหนาว แต่เหมือนมีน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลายเกาะกุมอยู่ขั้วหัวใจ

“สไปค์!”

แต่ก่อนจะทันได้รู้สึกอะไรมากขึ้น สไปค์ก็หันสายตาไปหาเสียงที่เรียกชื่อเขา นั่นก็คือบิดาและมารดาซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่นัก ทางลันนาร์ผู้เป็นแม่นั้นไม่ค่อยมีรอยบาดแผลให้ได้เห็นสักเท่าไหร่ จะมีก็แต่ร่องรอยฟกช้ำบางจุดและคราบฝุ่นดินที่เปรอะเปื้อนตามเสื้อผ้าร่างกาย แต่กับตัวของสเปียร์ผู้เป็นพ่อนั้นกลับมีบาดแผลสาหัสหลายแห่ง ทำให้พอคาดเดาสถานการณ์ได้ว่าสเปียร์คงจะทุ่มกำลังเต็มที่เพื่อปกป้องลันนาร์อยู่แน่ ๆ

ใกล้กันนั้นมีร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นอนกองกับพื้น เมื่อเพ่งพินิจดูแล้วก็พบว่าร่างนั้นคือกาเรนซึ่งเป็นเพื่อนวัยเดียวกับสไปค์ ข้างตัวกาเรนมีชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยกับสเปียร์ยืนหอบหายใจอย่างหนัก ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยที่บ่งบอกถึงช่วงวัย แววตาเหนื่อยล้าฉายออกเด่นชัด หนวดเคราบนใบหน้าก็มีแต่เศษดินเกาะกุมจนมองดูน่าเวทนา คน ๆ นี้แท้จริงก็คือหัวหน้าหมู่บ้านวาตะนั่นเอง

“ถอยออกมาสไปค์!” เสียงเรียกของสเปียร์ดังขึ้นอย่างร้อนรน กลัวว่าบุตรชายจะเป็นอะไรไป

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน กาเรน...” สไปค์มองดูจำนวนคนที่นี่แล้วเอ่ยชื่อเรียงกัน ก่อนจะสลับสายตามองไปยังเด็กชายสวมแว่นที่ยืนอยู่ห่างออกไป “เจ้าเป็นใคร!”

“เห็นแบบนี้ยังไม่รู้อีกรึ...สติปัญญาของเจ้ามันต่ำขนาดไหนกันนะ”

“มันเป็นมาร! เจ้ารีบหนีไปซะ!” สเปียร์ยิ่งเปล่งเสียงดังขึ้นเพื่อไล่ให้สไปค์หนีไปจากที่นี่ กระทั่งมารร่างเล็กหันมามองสเปียร์ด้วยแววตาขุ่นเคือง มันยกมือขึ้นมาก่อนจะชี้นิ้วไปยังชายวัยกลางคนผู้นั้น ปรากฏออร่าสีอำพันขึ้นมาห่อหุ้มปลายนิ้วเอาไว้ แล้วฉับพลันนั้นเองก็มีเส้นแสงสีเหลืองพุ่งออกจากปลายนิ้วชี้ ทะลวงผิวอากาศรอบข้างและกระแทกเข้ากับแผ่นอกหนาของสเปียร์เข้าอย่างจัง

นั่นคือพลังดรรชนี!

                “ท่านพ่อ!”

สไปค์ทำท่าจะวิ่งพุ่งไปหาบิดาของตนแต่กลับถูกมารร่างเล็กขวางหน้าตนเอาไว้เสียก่อน

“ไม่เคยมีครั้งไหนที่ข้า...โมเรนผู้นี้ปล่อยให้เหยื่อมนุษย์หันเหความสนใจไปทางอื่นได้” แววตาสีแดงส่อประกายความหงุดหงิดออกมา “เจ้าหยามข้ารึ เจ้าหนู?” แล้วมันก็เหวี่ยงแขนฟาดใส่ใบหน้าของสไปค์จนลอยละลิ่วหมุนควงไปมาบนอากาศ ร่างของสไปค์หล่นลงกับพื้นและยังกระเด็นกระดอนล่าถอยไปไม่หยุด

“หมู่บ้านนี้มันกระจอกชะมัด นักรบปราณไม่มีที่ฝีมือดีกว่านี้แล้วรึไง” โมเรนกล่าวอย่างหัวเสีย ก่อนที่สไปค์จะมาถึงที่นี่เขาได้จัดการกับนักรบปราณของหมู่บ้านไปจนหมดไม่เว้นแม้กระทั่งครูฝึกของหมู่บ้าน ความจริงไม่ใช่ว่านักรบปราณที่นี่ไม่มีฝีมือ หากแต่พลังของโมเรนผู้เป็นถึงมารระดับสูงนั้นแข็งแกร่งต่างกันเกินไปต่างหาก

“เจ้ามารร้าย เจ้าต้องเจอกับข้า!”

จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เมื่อหันไปมองก็พบกับกาเรนที่ใช้แรงทั้งหมดดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน โมเรนมองดูเด็กหนุ่มที่มีขนาดร่างกายใหญ่กว่าตน ร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นเปล่งแสงออร่าสีแดงเลือดออกมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ นั่นคือปราณพยัคฆ์ไม่ผิดแน่

“ไร้สาระ” โมเรนหันใบหน้าไปทางอื่น แสดงออกว่าตนไม่ได้สนใจพลังของเด็กหนุ่มผู้เป็นทายาทแห่งหัวหน้าหมู่บ้านคนนี้เลย กาเรนไม่เคยต้องพบกับความรู้สึกแบบนี้มาก่อน เขาที่ปกครองเด็กวัยเดียวกันกลับต้องมาโดนคนที่มีร่างกายเล็กกว่าทำท่าทีดูถูกแบบนี้ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นมารก็ไม่มีข้อยกเว้น!

พลังแห่งปราณพยัคฆ์นั้นเน้นหนักไปที่การจู่โจมที่ดุดัน รุนแรง กาเรนซึ่งมีร่างกายกำยำตั้งแต่วัยสิบขวบพอมีพลังปราณพยัคฆ์เข้ามาเสริมทำให้การโจมตียิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก เขาวิ่งพุ่งเข้าไปและปล่อยหมัดที่ห่อหุ้มด้วยพลังอันหนักหน่วงกระแทกเข้าไปที่ใบหน้าของโมเรนที่ไม่มีวี่แววของการตั้งรับ

ร่างของโมเรนเซถลาถอยห่างออกไปสองสามก้าว แรงกระแทกจากหมัดเมื่อครู่ทำให้เขาหันสายตามองกลับมา

“แม้ข้าจะไม่ได้เกร็งพลังตั้งรับหมัดของเจ้า แต่ถึงกับทำให้เซได้นิดหน่อย นับว่าหมัดเจ้าหนักแน่นไม่เลว เจ้าเด็กน้อย” โมเรนกล่าวพลางยกนิ้วขึ้นชี้ไปทางกาเรนที่ทำท่าวิ่งเข้ามาหมายจะต่อยซ้ำอีกครั้ง “นี่เป็นรางวัลแด่ความพยายาม”

เส้นแสงสีเหลืองพุ่งกระแทกใส่ร่างของกาเรนจนกระเด็นลอยไปกระแทกเข้ากับเศษซากหักพักของบ้านที่อยู่ข้างหลัง

“กาเรน!” เสียงของหัวหน้าหมู่บ้านดังขึ้นพร้อมกับสไปค์ หัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กว่ารีบวิ่งเข้าไปช่วยกาเรนออกมาจากกองเศษซากตรงนั้น การโจมตีเพียงครั้งเดียวของมารถึงกับทำให้กาเรนสลบแน่นิ่งไปในทันที ทางด้านของสไปค์ก็เริ่มใช้แรงพยุงตัวให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง กลุ่มโลหิตกลุ่มหนึ่งไหลทะลักออกจากริมฝีปาก ที่แท้การโจมตีของโมเรนเมื่อครู่สร้างภาระหนักให้กับสไปค์เช่นกัน

มีรังสีพลังบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างกายของสไปค์ ออร่าสีม่วงเข้มกระจายตัวออกมาจากรูขุมขนทั่วทั้งร่าง ก่อนที่มันจะเปลี่ยนสภาวะความเข้มข้นให้ออกมาอยู่ในรูปลักษณ์ของปราณพลังที่ขยับไหวไปมาเหมือนกับระลอกคลื่น สายตาของโมเรนผิดแปลกไปทันทีเมื่อเห็นปราณพลังที่สไปค์ปล่อยออกมา

ปราณ...สีม่วงเข้ม?

                        นั่นคือสิ่งที่โมเรนเห็นไม่ผิดแน่ แต่สีม่วงเข้มแบบนี้มัน...

“เป็นไปไม่ได้” โมเรนพูดพลางปาดเหงื่อที่ไหลลงผ่านผิวแก้ม แววตาตื่นตระหนกฉายแววเด่นชัดมากขึ้น

 

ในเวลาเดียวกันนี้เอง ณ จุดที่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก บนเชิงเขาที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่มีร่างของคนสามคนยืนอยู่ สองในสามยืนข้างกัน อีกคนหนึ่งยืนประจันหน้าในระยะที่ห่างออกไปนิดหน่อย

สองคนที่ว่าคือเฟียร์กับไกร่า ส่วนหนึ่งคนที่บอกคือฟลอร์เลน

เฟียร์กับไกร่ามองดูร่างของเด็กผู้หญิงตรงหน้าด้วยแววตาเคลือบแคลง สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังสงสัยในอะไรบางอย่างแต่ยังไม่พูดออกมา ส่วนทางด้านของฟลอร์เลนกลับไม่ได้สนใจทั้งคู่เลย เธอมองไปยังทิศทางที่เปลวเพลิงกำลังลุกโชนเป็นหย่อม ๆ บริเวณหมู่บ้านวาตะที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่

“กะแล้วไม่ผิด...เจ้ามีความตั้งใจจะช่วยเจ้าเด็กนั่นจริง ๆ” สายตาดุดันของเฟียร์จับจ้องไปยังดวงตาของฟลอร์เลนซึ่งมีเพียงภาพของเปลวเพลิงสะท้อนอยู่ภายในนั้น ลักษณะการใช้เสียงและคำของเฟียร์ดูแตกต่างจากที่คุยกับฟลอร์เลนเมื่อครั้งก่อนราวฟ้ากับเหว

“......”

“เจ้าเด็กนั่นเป็นใคร ทำไมเจ้าต้องพยายามออกแรงช่วย? หรือจะหลงรักมันเข้าแล้วกันล่ะ ช่างเป็นเด็กที่แก่แดดซะจริง” ไม่แปลกหากว่าเฟียร์จะเรียกฟลอร์เลนว่าเด็ก เพราะหากไม่มองเรื่องบุคลิกที่โตเกินวัยแล้ว โดยเนื้อแท้ร่างกายและอายุของฟลอร์เลนก็ไม่ได้ห่างจากสไปค์เลยสักนิด

“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบ ถอยไป” ฟลอร์เลนบอกปัดก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่ทันทีที่เธอตั้งใจจะเดินไปก็มีร่างของไกร่ามายืนขวางไว้ สีหน้าของฟลอร์เลนเจือปนความประหลาดใจอยู่มาก เพราะไม่คิดว่าตนจะถูกขวางไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่พวกนี้ยอมปล่อยเธอไปแต่โดยดี

“ที่นี่...ไม่ได้อยู่ในขอบเขตสายตาของท่านอัชลี่ย์ ดังนั้นหากเจ้าจะพลัดตกเหวลงไปก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกข้า”

“อย่างน้อยคน ๆ นั้นก็ต้องรู้แก่ใจดีว่าข้าไม่มีทางตายเพราะตกเหว”

ทั้งสองฝ่ายไม่เพียงพ่นคำพูดเชือดเฉือนกัน หากแต่ยังเปล่งรัศมีปราณพลังเข้าปะทะกันอย่างล้ำลึก รังสีปราณพลังสีเทาอ่อนผสมน้ำเงินจาง ๆ ของเฟียร์แผ่อานุภาพออกมาพอ ๆ กับฟลอร์เลน กระแสพลังของทั้งคู่ไม่เพียงแค่ปะทะกันเท่านั้น หากแต่ยังแฝงจิตสังหาร ความมุ่งร้าย แรงอาฆาต ปะทะปนเปกันจนดูราวกับเป็นนรกคลื่นพลังที่ไม่มีใครอยากยุ่งด้วย

แต่ก่อนหน้าที่การต่อสู้จะเปิดฉากขึ้น หางตาของทั้งสองก็สะดุดเข้ากับบางสิ่งที่พุ่งขึ้นไปสู่ฟากฟ้า เมื่อหันไปมองก็ต้องพบกับกระแสพลังสีม่วงเข้มที่ไหลทะลักจากล่างสู่บนเหมือนกับลักษณะของเสาไฟ สีหน้าของฟลอร์เลนเปลี่ยนไปทันที ร่างของเธอหายไปจากจุดเดิมก่อนที่เฟียร์จะทันได้รู้สึกตัว

“อ๊ะ รีบตามไปเร็วไกร่า!” หน้าที่ของทั้งคู่คือหยุดฟลอร์เลนเอาไว้ไม่ให้ไปขัดขวางโมเรนทำลายหมู่บ้านและสังหารสไปค์ แต่เมื่อฟลอร์เลนพุ่งทะยานไปที่หมู่บ้านแล้ว ทั้งสองจึงต้องรีบทะยานตามไปเพื่อจะหยุดเธอให้ทัน

 

กลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ฝีก้าวของโมเรนค่อย ๆ ถอยห่างออกไปทีละก้าวสองก้าว ใบหน้าตื่นตระหนกเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อไหลทะลัก กระทั่งแว่นตาเลื่อนหลุดลงมายังไม่สนใจจะเลื่อนมันขึ้นมาอยู่ดังเดิม ไม่เพียงแค่โมเรนเท่านั้น กระทั่งสีหน้าของสเปียร์ ลันนาร์ และหัวหน้าหมู่บ้านยังฉายแววแตกตื่นตกใจต่อสิ่งที่เห็น

ร่างของสไปค์ตกอยู่ใจกลางเสาพลังสีม่วงเข้มที่ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง ออร่าพลังนั้นแผ่คลื่นจิตสังหารที่ทุกคนสัมผัสได้ออกมา มันให้ความรู้สึกราวกับว่าหากไปแตะต้องมันเพียงนิดเดียว อาจจะต้องถูกสังหารในทันที...

ฉับพลันฟลอร์เลนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างกายสไปค์ และในเวลาไล่เลี่ยกันก็ปรากฏร่างของเฟียร์กับไกร่าที่ปรากฏตัวข้างกายโมเรนเช่นกัน ทั้งสองที่มาใหม่ดูมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเมื่อเห็นพลังที่สไปค์ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ฟลอร์เลนหันไปทางสไปค์ แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้สังเกตเห็นเธอเลย ไม่สิ เขาคงมองไม่เห็นอะไรเลยมากกว่า

“ปราณไร้ลักษณ์...” เฟียร์สบถออกมาในสีหน้าแตกตื่นระคนหวาดกลัว

“ไร้...ลักษณ์...” ไกร่าที่ไม่เคยพูดกลับยังพูดออกมาเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้

“เจ้าสองคนมาพอดี นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!” โมเรนถามกับสหายมารทั้งสอง แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ทั้งเฟียร์และไกร่าก็หาได้มีคำตอบให้กับโมเรน

“ใจเย็นก่อน มันจะเป็นของจริงรึเปล่ายังไม่รู้เลย” เฟียร์พยายามตั้งสติและทำใจให้สงบ ในอุ้งมือเธอปรากฏแสงสว่างขึ้นมาเป็นก้อน เมื่อแสงนั้นแตกกระจายออกก็ปรากฏวัตถุชิ้นหนึ่งที่เธอกำมันไว้แน่นมือ หญิงสาวกระโดดขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะเหวี่ยงมือที่กำสิ่งนั้นแล้วฟาดลงมา ปรากฏสายแส้ยาวยืดฟาดลงมาจนเกิดเสียงดังสนั่นลั่นท้องฟ้า

ปลายแส้มีเป้าหมายที่ศีรษะของสไปค์ ฟลอร์เลนทำท่าจะทะยานขึ้นไปต้านรับแส้นั้นไว้ แต่เส้นปราณสีม่วงเข้มสายหนึ่งกลับพุ่งตัวขึ้นไปโจมตีแส้เส้นนั้นจนแหลกสลายไปเสียก่อน ทุกคนมีสีหน้าตื่นตกใจยิ่งขึ้น ใบหน้าของสไปค์ตอนนี้กลายเป็นเหมือนคนไม่ได้สติ ดวงตากลายเป็นสีขาวโพลนจนหมด

“แย่ล่ะสิ” โมเรนพ่นคำพูดที่แม้แต่ตัวเองก็คาดไม่ถึงออกมา

ตูมม!!

                แล้วร่างของโมเรนก็กระเด็นไปไกล เฟียร์รีบเหวี่ยงแส้ที่สร้างขึ้นใหม่ไปมัดร่างของโมเรนที่กำลังกระเด็นไปให้กลับมา แต่แรงกระแทกที่โมเรนได้รับจากคลื่นพลังของสไปค์นั้นหนักหน่วงจนส่งผลให้เฟียร์ลอยกระเด็นตามไปด้วย เป็นเหตุให้ไกร่าต้องเคลื่อนไหวให้ร่างใหญ่ยักษ์กว่าสามเมตรต้องวิ่งมาคว้าจับร่างของทั้งสองคนแล้วยึดแรงขาไว้กับพื้นเพื่อไม่ให้กระเด็นไปพร้อมกัน

เพียงการโจมตีครั้งเดียวถึงกับทำให้มารระดับสูงทั้งสามตนเสียหลักได้ขนาดนี้ นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์!

“ไม่ต้องสงสัยแล้ว มันคือปราณไร้ลักษณ์!” โมเรนสบถอย่างหัวเสีย

“เจ้ารู้เรื่องนี้สินะฟลอร์เลน...มิน่าเจ้าถึงได้ให้ความสำคัญกับเจ้าเด็กนี่นัก!” เฟียร์ยิ่งหัวเสียยิ่งกว่า เธอนึกย้อนไปถึงวันก่อนที่ตัวเองปล่อยอสูรสุนัขป่าไปตามล่าเหยื่อมนุษย์เพื่อนำมาเป็นเครื่องบรรณาการให้แก่เธอตามปกติ แต่เมื่อเจอเหยื่อและกำลังจะไปได้สวยอยู่นั้น ฟลอร์เลนกลับปรากฏตัวขึ้นสังหารอสูรสุนัขป่าของเธอจนหมดสิ้น และยังช่วยเหลือเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ทั้งที่มันเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา

ทั้งสามคนเมื่อตั้งหลักยืนกับพื้นได้อีกครั้งก็ปล่อยลมหายใจที่หนักหน่วงออกมา กระแสปราณสีม่วงเข้มที่น่าอึดอัดนั่นมันสร้างภาระให้กับทั้งสามคนมากเกินไป ฟลอร์เลนไม่ได้ตอบคำถามที่ถูกถามมาเมื่อครู่ เธอหันไปมองที่ร่างของสไปค์ซึ่งในตอนนี้ไม่ได้สติรับรู้อะไรทั้งสิ้น สาเหตุที่พลังของเขาโจมตีใส่กลุ่มมารพวกนั้นอาจจะเป็นเพราะสำนึกสุดท้ายที่เหลืออยู่ก่อนจะถูกพลังปราณเข้าควบคุมกายได้บอกเอาไว้ว่าต่อให้ตายก็ต้องกำจัดพวกมันให้จงได้

“ท่าน...เป็นอะไรหรือเปล่า” ฟลอร์เลนหันไปมองที่ใบหน้าของสไปค์ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยน “ใจเย็นนะ ค่อย ๆ ...ค่อย ๆ” ฟลอร์เลนเอามือทั้งสองจับไหล่ของเด็กหนุ่มที่ในตอนนี้ถูกห่อหุ้มอยู่ภายในปราณพลังอันหนักหน่วง กระแสลมบริเวณนั้นถึงกับตีเส้นผมของฟลอร์เลนให้กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ มือที่เด็กสาวยื่นเข้าไปจับไหล่ยังโดนแรงปะทะบางอย่างกัดแทะจนเจ็บปวดแทบขาดใจ

ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงจับไหล่เขาเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด...ปราณพลังเริ่มจางลงอีกครั้ง แรงปะทะที่จู่โจมใส่ฟลอร์เลนเริ่มเบาลงอย่างว่าง่าย สีหน้าของฟลอร์เลนดูมีความหวังมากขึ้น เมื่อมองเห็นตาของสไปค์กลับมามีสีดำอีกครั้ง

“ยินดีต้อนรับกลับมานะ” ฟลอร์เลนเผยรอยยิ้มบางเบาออกมา กลิ่นกายของเธอลอยเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนห่างกันเพียงไม่ถึงเมตร สไปค์ที่เริ่มได้สติใช้สายตาที่ยังอ่อนล้ามองไปยังใบหน้าของฟลอร์เลน ใบหน้าที่เขาเคยเห็นเมื่อวันก่อน คนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ และกลิ่นกายที่ต่อให้ตายก็คงไม่มีวันลืม

“เจ้าคือ...”

“ค่อยคุยกันทีหลังนะ” ฟลอร์เลนพูดปัด เธอหันไปมองทางทิศที่มารทั้งสามยืนอยู่เคียงกันอีกครั้ง คราวนี้ปราณพลังสีเทาเข้มกลับแผ่กระจายออกมาจากร่างของฟลอร์เลนอย่างหนักหน่วง แววตาของเธอเปลี่ยนไปพร้อมกับจิตสังหารที่พรั่งพรู ...อย่างน้อยมันก็เพียงพอจะทำให้มารระดับสูงทั้งสามตนขนลุกซู่ขึ้นมา

“อย่าคิดว่าข้า...จะกลัวเจ้า!” เฟียร์ตะโกนเสียงดังและใช้พลังปราณของตนเข้าปะทะกับฝ่ายตรงข้ามด้วยความโกรธเกรี้ยว

“หากเป็นที่นี่...ที่ที่ไร้ซึ่งการควบคุมของพวกเจ้า คน ๆ นั้นจะต้องเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แน่”

แต่ในจังหวะนั้นฟลอร์เลนกลับเอ่ยคำพูดประโยคหนึ่งออกมา และคำพูดประโยคนั้นได้ทำให้มารระดับสูงสามตนถึงกับเริ่มระส่ำระส่าย

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากสังหารพวกเจ้าทิ้ง แต่ในเวลานี้มันไม่ควร” ฟลอร์เลนผ่อนปรนปราณพลังของเธอลงมาพร้อมกับเฟียร์ที่ค่อย ๆ ลดปราณของตนลงเช่นกัน

“คำตอบของท่านอัชลี่ย์จะเป็นตัวตัดสินชะตาชีวิตของเจ้าทั้งสองคน” เฟียร์พูดด้วยสีหน้าและแววตาเคียดแค้น เธอหันไปหาโมเรนกับไกร่าก่อนที่ทั้งสามจะตัดสินใจกระโดดหายไปจากจุดนั้น คนในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนี้มองเห็นมารร้ายทั้งสามยอมจากไปดื้อ ๆ ก็เริ่มทยอยปรากฏตัวออกมา ส่งเสียงเบา ๆ ผ่านริมฝีปากในทำนองว่าตนปลอดภัยดีแล้วหรือยัง

แน่นอนว่ายัง...การจะรู้สึกปลอดภัยได้ อย่างน้อยต้องเข้าใจเสียก่อนว่าตัวตนของเด็กสาวคนนั้นคือใครกันแน่ คนที่อยู่ข้างกายสไปค์นั่น!

“เจ้าคือใคร...เป็นใครกันแน่?” สไปค์เอ่ยถามฟลอร์เลนด้วยน้ำเสียงสงสัยจริงจัง แม้จะยังอ่อนล้าโรยแรงเพียงใดก็จะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองสิ้นสติลงไปตรงนี้ ฟลอร์เลนไม่เพียงยังไม่ตอบ เธอกลับอมยิ้มเบา ๆ มอบให้กับสไปค์ท่ามกลางสายตาคนทั้งหมด แม้จะยังเป็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ แต่กลับรู้สึกถึงความงดงามยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งปวง ราวกับเป็นบุปผาท่ามกลางดงโคลนอย่างไรอย่างนั้น

ใบหน้าของสไปค์แดงก่ำขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ ในหัวเหมือนขาวโพลนไปหมดเสียทุกอย่าง อาการแบบนี้ตั้งแต่เกิดมาพึ่งจะเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรก

“สักวันท่านจะต้องตอบแทนข้า...”

ฟลอร์เลนเอ่ยคำพูดออกมาประโยคหนึ่ง ก่อนที่ร่างของเธอจะค่อย ๆ เลือนหายไป นั่นทำให้สไปค์ตกใจเป็นอย่างมาก

“เดี๋ยวก่อน อย่าพึ่งไป!”

สายไปแล้ว ฟลอร์เลนจากไปแล้ว...

ทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่ประดังเข้ามาหาตัวเขาและคนทั้งหมู่บ้าน เธอจากไปโดยไม่เหลือร่องรอยอะไรให้ตามต่อ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่ไม่ว่าผู้ใดได้สูดดม ก็คงไม่มีวันลบเลือนหายไปจากใจ

ชาวหมู่บ้านวาตะใช้เวลาทั้งคืนคลายความอ่อนล้าทางกายเพื่อตื่นมาผจญกับความอ่อนล้าทางใจ พวกเขายังมีภารกิจซ่อมบำรุงหมู่บ้านที่เสียหายยับเยินจากการโจมตีของมารสามตน สไปค์ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการขับไล่มารทั้งสามถูกเรียกตัวไปยังบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อไต่ถามเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็นึกคำพูดไม่ออก เพราะสไปค์ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเรื่องปราณของตนที่พอจะมีสำนึกจดจำได้ลาง ๆ ว่ามีชื่อว่าปราณไร้ลักษณ์หรือมารสามตนที่บุกเข้ามาและการสนทนาระหว่างพวกนั้นกับฟลอร์เลนที่ตัวตนยังคงเป็นปริศนาสำหรับสไปค์ในตอนนี้

เธอคือมนุษย์ หรือมาร? แม้รูปร่างจะไม่ต่างไปจากมนุษย์...แต่เธอมีท่าทางเหมือนรู้จักกับมารทั้งสามตนนั่น

เธอเป็นใครกันแน่นะ...

ข้อสงสัยนี้จะยังคงติดค้างในใจเด็กหนุ่มไปอีกเนิ่นนาน

 

เจ็ดปีต่อมา

                หมู่บ้านวาตะที่เคยทรุดโทรมบัดนี้กลายเป็นหมู่บ้านที่เจริญขึ้น และมีการก่อสร้างที่แน่นหนายิ่งกว่าเดิมเพื่อป้องกันภัยจากภายนอกที่อาจย่างกรายเข้ามาได้ตลอด คนในหมู่บ้านนอกจากจะทำงานของตัวเองแล้วยังเจียดเวลามาฝึกฝนร่างกายและพลังปราณเพื่อเพิ่มพูนความสามารถให้เพียงพอจะรับมือกับการจู่โจมของมารที่ไม่รู้จะปรากฏขึ้นเมื่อไหร่

เด็กรุ่นใหม่ยิ่งได้รับการฝึกฝนหนักยิ่งกว่า ในรุ่นของสไปค์ หากไม่นับสไปค์ที่มักจะอยู่อย่างสันโดษแล้ว กาเรนที่เป็นบุตรเพียงคนเดียวของหัวหน้าหมู่บ้านนั้นฝีมือพัฒนายิ่งกว่าใครในเจ็ดปีที่ผ่านมา เขาเติบโตขึ้นอย่างสมศักดิ์ศรีเพราะการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง ส่วนหนึ่งก็เพราะบาดแผลที่มารเมื่อเจ็ดปีก่อนทิ้งไว้ให้กับเขาถึงได้ทำให้เจ้าตัวตั้งใจฝึกฝนเพื่อเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้

แต่แม้จะพัฒนาขึ้น เจ้าตัวก็ยังคงไม่พอใจอยู่ดี ส่วนสาเหตุที่ไม่พอใจก็ไม่ใช่เรื่องอะไรอื่น...

กาเรนยืนอยู่บนสนามฝึกฝนที่กว้างใหญ่ขึ้น เขาออกหมัดอย่างเชี่ยวชาญซ้ำไปซ้ำมา ในหัวพลันนึกถึงใบหน้าของคนบางคนที่จงเกลียดจงชัง

“ข้าจะต้องเก่งกว่าเจ้าให้ได้!”

ใบหน้าของสไปค์ถูกเขาต่อยหายไปในห้วงความนึกคิด

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง

“ตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม...สไปค์”

ผู้พูดคือสเปียร์ สีหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ลันนาร์ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ก็มีสีหน้าคล้ายกัน

“ใช่ครับ ถ้าข้าไม่ออกไปฝึกฝนที่โลกภายนอกล่ะก็ สักวันหนึ่งที่นี่อาจจะมีสภาพเหมือนเจ็ดปีก่อน ไม่งั้นก็หนักยิ่งกว่า” สไปค์ตอบกลับไป

เขาในเจ็ดปีต่อมามีรูปกายที่สูงใหญ่กำยำมากขึ้น แม้จะไม่เท่ากับกาเรนแต่ก็ถือว่ามีสัดส่วนที่ดีแม้ว่าพอสวมใส่เสื้อผ้าจะทำให้รูปกายดูเล็กไปนิดหน่อยก็ตาม เขาในตอนนี้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะออกไปจากหมู่บ้านจึงได้เก็บข้าวเก็บของยัดใส่กระเป๋าสะพายอย่างเร่งรีบ เพราะก่อนหน้านี้ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว

เดิมทีหมู่บ้านวาตะจะมีธรรมเนียมส่งเด็กรุ่นใหม่ไปศึกษายังสถาบันปราณที่จักรวรรดิซี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะไปถึงที่นั่นได้ เพราะความที่หมู่บ้านวาตะอยู่ในแถบชนบทจึงถูกกำหนดให้มีเพียงคนที่มี “ปราณมังกร” เท่านั้นที่มีสิทธิ์ที่จะออกจากหมู่บ้านนี้ไปเพื่อพัฒนาตัวเองต่อ

แต่กับสไปค์นั้นเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากปราณไร้ลักษณ์ของเขายังไม่มีข้อมูลมากพอ และมันจะยังมืดบอดถ้าหากว่าปราณปริศนายังมีอยู่แค่เพียงหมู่บ้านแคบ ๆ นี่ ทุกคนจะไม่มีวันรู้เลยว่าปราณนี้มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

สไปค์คุยกับหัวหน้าหมู่บ้านมาหลายครั้งและตกลงปลงใจที่จะเดินทางไปศึกษาต่อยังสถาบันปราณ ด้วยเหตุผลว่า ‘อยากแข็งแกร่งขึ้นเพื่อกลับมาปกป้องหมู่บ้าน’

                เมื่อเช็คข้าวของอะไรต่อมิอะไรเสร็จสรรพ เก็บห้องที่กระจัดกระจายเรียบร้อยจนเป็นระเบียบดี สไปค์ก็ทิ้งกายลงบนเตียงนอนของตัวเอง หากเป็นเมื่อเจ็ดปีก่อนมันยังคงเป็นเพียงเตียงไม้แข็ง ๆ แต่ในตอนนี้มันมีฟูกที่นุ่มขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดหลับตาลงและปล่อยให้กายสัมผัสกับเตียงที่คุ้นเคยให้มากที่สุดก่อนที่อีกไม่นานจะต้องจากมันไป

ใบหน้าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพลันปรากฏออกมา...

สักวันท่านจะต้องตอบแทนข้า...

คำพูดที่ยังติดตรึงอยู่ในใจ กลิ่นหอมที่ยังติดตรึงอยู่ไม่จาง

การฝึกฝนตัวเอง ร่ำเรียนที่สถาบันฝึกปราณ สิ่งเหล่านั้นมันก็แค่เหตุผลรอง

ความจริงคือ

“ข้าอยากพบเจ้าอีกครั้ง”

ไม่ว่าต้องทำอย่างไรก็จะหาให้พบ

ชายหนุ่มตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ก่อนจะผลอยหลับไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด