ตอนที่แล้วReturning From The Immortal World – 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปReturning From The Immortal World – 4

Returning From The Immortal World – 3


ผู้คนในบ้านไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

เมื่อได้เห็นถังซิ่วที่ร่างกายดูอ่อนแอส่วนซูชางเหวินนอนจมกองเลือดโดยที่ไม่รู้ความเป็นตายนั้น,ในบ้านระงมไปด้วยเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

ไม่นานหลังจากนั้น ตำรวจก็ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ

มันแปลกที่ว่าซูชางเหวินที่นอนอยู่นั้นเมื่อตำรวจมาถึงแล้วก็ได้สติกลับมาก่อนที่จะยืนขึ้น ในส่วนของถังซิ่วนั้นได้แต่ทำเสียง “แสยะ” อยู่บนพื้น

เมื่อเห็นตำรวจอยู่เต็มห้องนั้น ซูชางเหวินได้แต่สั่นกลัวพร้อมกับมองลงไปที่ถังซิ่วผู้ซึ่งกำลังนอนอยู่ที่พื้น เขาระลึกได้ถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่เขาโดนถังซิ่วทำร้ายร่างกายจึงทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำ

“คุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ , ในบ้านของผมมีขโมยและมันได้แอบเอาเงินไป 3000 ดอลลาร์ ผมสงสัยว่าจะเป็นไอเด็กเวรนี้ ,รบกวนคุณช่วยจับมันไปด้วย”

ซูชางเหวินที่ยังไม่ทันจะได้รับรู้ของความเจ็บปวดที่นิ้วของตัวเองก็ได้ชี้ไปที่ใบหน้าของถังซิ่วพร้อมทั้งกัดฟัน “กร๊อปๆ”

“เราได้รับรายงานว่ามีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น ใครเป็นคนแจ้งเข้าไป ?  ”

ระหว่างที่ยังมีเสียงห้องไห้ระงม ก็ได้มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

ตำรวจหญิงคนนั้นไม่ได้สนใจคำพูดของซูชางเหวินแม้แต่นิดเดียวทว่ากลับหันมองไปรอบๆและสายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่ซางเหม่ยหยุนก่อนที่จะสอบถามเธอ

หลังจากที่เธอเห็นสายตาที่ดุร้ายของตำรวจหญิงคนนั้น ซางเหม่ยหยุนเองก็ได้ก้มหัวลงและตอบด้วยเสียงแหบๆว่า

“คุณเจ้าหน้าที่ตำรวจคะ, เมื่อกี้นี้ฉันเป็นคนแจ้งไปเองค่ะ ฉันเห็นว่าสามีนอนจมกองเลือดอยู่เท่านั้น, อีกอย่างคือก่อนหน้านี้เขาไม่หายใจเลยค่ะจึงทำให้ฉันเผลอคิดว่าสามีเสียชีวิตแล้วค่ะ ถึงได้แจ้งไปโดยไม่ได้ไตร่ตรองและทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของซางเหม่ยหยุนนั้นเฉิงเสวี่ยเหม่ยก็ได้แต่ทำสีหน้าราบเรียบ

“คุณเจ้าหนน้าที่ตำรวจครับ คุณต้องจับไอเด็กเวรนี้นะครับ มันไม่ใช่แค่ขโมยเงินไป 3000 ดอลลาร์เท่านั้นเมื่อกี้มันยังทำร้ายร่างกายผมด้วย”

เมื่อเฉิงเสวี่ยเหม่ยกำลังสำรวจอาการบาดเจ็บของถังซิ่วและซูชางเหวินนั้น ซูชางแหวินเองก็ได้รีบตะโกนออกมาทันที

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้มองไปที่ซูชางเหวินแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร, เธอทำเป็นหูทวนลมและสั่งให้ลูกน้องจัดการที่เกิดเหตุต่อไป

“คุณตำรวจหญิง, ผมกับหัวหน้าของหน่วยรักษาความปลอดภัยของคุณเป็นคนรู้จักกัน, ผมเองยังเคยไปนั่งดื่มกับผู้กำกับเติ้งและได้บริจาคเงินส่วนหนึ่งให้กรมตำรวจด้วย ”

เมื่อเห็นเฉิงเสวี่ยเหม่ยไม่สนใจในคำพูดของเขาจึงทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมากและพูดออกไปแบบนี้

“พูดแบบนี้ ทำไมไม่บอกเลยซะหละว่ากรมตำรวจนี้ครอบครัวของนายเป็นคนก่อตั้งขึ้นถึงได้สั่งให้ฉันจับใครก็ได้หนะ ?”

เมื่อเฉิงเสวี่ยเหม่ยเห็นท่าทีออกคำสั่งของซูชางเหวินแล้วจึงได้พูดยั่วยุเขาทันที

ซูชางเหวินไม่เคยคิดเลยว่าขนาดตัวเองแสดงอำนาจความสัมพันธ์ของเขากับกรมตำรวจแล้วแต่เธอกลับไม่ไว้หน้าเขาเลย เขาจึงได้แต่หมดคำพูดและเงียบต่อไป

หลังจากที่ซูชางเหวินไม่ได้ขัดการทำงานของเธอแล้วเฉิงเสวี่ยเหม่ยก็ได้ตรวจอาการบาดเจ็บของเขาและถังซิ่วต่อไป

เฉิงเสวี่ยเหม่ยพบว่ากระดูกแขนของซูชางเหวินนั้นเคลื่อน,แต่กลับกัน มันเป็นเพราะว่าอาการบาดเจ็บของถังซิ่วนั้นมีมากมายเต็มตัวของเขาจึงส่งผลให้เขาไม่มีแรงที่จะลุกขึ้นได้

เฉิงเสวี่ยเหม่ยยืนยันได้ว่าบาดแผลของถังซิ่วนั้นดูเหมือนจะสาหัสอย่างมากแต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรมากทว่าเธอได้รับรายงานมาว่าก้อนเลือดที่อยู่ตรงพื้นนั้นถังซิ่วเป็นคนบ้วนออกมาจึงนั้นทำให้เธอสับสนเป็นอย่างมากและคิดว่าตาของเธอมีปัญหาหรือเปล่า

“เธอรู้สึกว่าร่ายกายของเธอเจ็บปวดตรงไหนบ้างหรือเปล่า ?”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยมองหน้าและถามถังซิ่วด้วยความเป็นห่วง

“ผมไม่เป็นไรครับพี่สาว ผมไม่อยากไปโรงพยาบาลเพราะไม่อยากทำให้แม่เป็นห่วง”

ถังซิ่วตอบเธอกลับไปพลางส่ายหน้าด้วยน้ำเสียงเบาเหมือนเสียงยุง

“หัวหน้าเฉิง ,เราต้องรายงานให้หัวหน้าหวังหรือไม่ ?”

เมื่อยืนยันได้ว่าในที่เกิดเหตุไม่ได้มีใครถูกฆ่าแถมไม่มีใครบาดเจ็บร้ายแรง ,ตำรวจก็ได้เดินมาถามเฉิงเสวี่ยเหม่ยทันที

"ผู้กำกับเติ้งยังคงอยู่ในที่ประชุม เมื่อวานเขาได้บอกมาว่าเราต้องช่วยประหยัดกองกำลังตำรวจ เรื่องเล็กๆแค่นี้จำเป็นต้องเรียกคนอื่นมาจัดการอีก ? "

เฉิงเสวี่ยเหม่ยจ้องไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและตอบอย่างไม่พอใจ

เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่มากับเธอนั้นถึงกับมึนงงคิดว่าหูตัวเองเพี้ยนไป เพราะจริงๆแล้วปกติเธอจะไม่รับทำคดีที่เกี่ยวกับความปลอดภัยสาธารณะและไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น

อย่างไรก็ตามหลังจากที่ระลึกได้ถึงสถานการณ์และบทสนทนาก่อนหน้านี้ของเธอและซูชางเหวินแล้วก็ทำให้พวกเขาเข้าใจเรื่องราวว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้

ในกรมตำรวจนี้ ,เฉิงเสวี่ยเหม่ยเกลียดการทำงานของหัวหน้าหวังฮาวเป็นอย่างมาก

การที่ซูเชงเหวินได้พูดว่าเขาและหัวหน้าหวังเป็นเพื่อนกันนั้นเหมือนเป็นการขุดหลุมฝังศพตัวเองแท้ๆ

หลังจากที่เฉิงเสวี่ยเหม่ยออกคำสั่งไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้แยกย้ายกันไปค้นบ้าน

เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังค้นบ้านของตัวเองซูหยานหนิงและซูเชียงเฟย์เองก็ถึงกับหน้าซีดเผือกและตัวสั่นเทาโดยทันที , พวกเขาไม่อยากจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบคดีนี้ต่อไปแล้วแต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเอ๋ยปาก

“หยานหนิง เชียงเฟย ,เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พูดอยู่เมื่อกี้ว่าพ่อของลูกไม่ได้เป็นอะไรมาก ,พวกลูกไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”

ซูชางเหวินเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของลูกๆ เขานั้นคิดว่าพวกลูกๆกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้ปลอบลูกๆตัวเอง

เมื่อได้ยินคำพูดปลอบใจของผู้เป็นพ่อแล้ว สองพี่น้องนั้นแทบอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ

ไม่นานหลังจากนั้นตำรวจก็ได้พบเงิน 3000 ดอลลาร์ที่หายไปในบ้าน

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจค้นก็เจอเงินในตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้องนอนห้องหนึ่งและพวกเขาเองก็ยังพบกับลายนิ้วมือที่ติดอยู่

เป็นเพราะตู้เสื้อผ้านี้ไม่ค่อยจะได้ทำความสะอาดจึงทำให้มีฝุ่นเกาะอยู่มากมาย นั้นเป็นเหตุให้สามารถเห็นลายนิ้วมือที่คนร้ายเผลอทำติดไว้ได้อย่างชัดเจน

หลังจากที่เฉิงเสวี่ยเหม่ยจ้องมองอยู่พักหนึ่ง เธอให้กวาดสายตาไปทั่วทั้งห้องและหยุดอยู่ที่ซูเชียงเฟย์

“เพื่อนตัวน้อยเชียงเฟย์ , เธอสามารถอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยได้ไหม ว่าทำไมถึงได้ปรากฏลายนิ้วมือของเธอบนตู้นั้น”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยจ้องมองไปที่ซูเชียงเฟย์พร้อมทั้งกล่าวออกมาอย่างดุร้าย

“ไม่…….. ไม่,ผมไม่ได้เป็นคนสร้างเรื่องนี้ ,จริงๆแล้วมันเป็นความคิดของพี่สาวของผมที่สั่งให้ผมเอาเงินไปซ่อนเพื่อจะได้โยนความผิดไปให้ถังซิ่ว,เธอบอกกับผมเองว่าเธอเกลียดหน้าถังซิ่วและเธอยังบอกอีกว่าเขานั้นเป็นแค่เด็กปัญญาอ่อน, ชื่อเสียงด้านลบที่โรงเรียนของเขามีมากมาย ต่อให้เราจะโยนความผิดให้เขายังไงเขาก็ไม่มีทางหาข้อแก้ตัวได้”

แรกๆนั้นซูเชียงเฟยรู้สึกผิดแต่ไม่กล้าพูดออกไป , ทว่าหลังจากได้ยินน้ำเสียงที่ดุร้ายของเฉิงเสวี่ยเหม่ยนั้นทำให้ความกล้าที่จะปิดบังความจริงนั้นพังทลายลง, เขาได้รีบอธิบายเพื่อโยนความผิดไปให้พี่สาวโดยทันที

“หนู........หนู....หนูแค่อยากจะแกล้งถังซิ่วเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้”

ซูหยานหนิงรีบแก้ตัวทันที เมื่อเธอได้เห็นแววตาของคนรอบข้างที่จ้องมองมาที่เธออย่างแปลกประหลาด

ต่อให้คนในบ้านไม่ต้องฟังคำวินิจฉัยของเฉิงเสวี่ยเหม่ย พวกเขาก็สามารถแยกแยะเรื่องราวได้ทันที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ฮ่าๆ น่าสนใจดีหนิ , ครอบครัวของขโมยต้องการให้จับผู้บริสุทธิ์, ครอบครัวพวกนี้มันเยี่ยมจริงๆ !!”

“พวกเธอพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรอว่าสำหรับครอบครัวเธอแล้ว แค่เงิน 3000 ดอลลาร์นั้นไม่ได้มากมายอะไร , ทำไมถึงได้เอาเปรียบแม่ม่ายและเด็กกำพร้าพ่อคนหนึ่งกัน ?”

“แม่ลูกคู่นี้ถือว่าโชคร้ายจริงๆที่มีญาติพี่น้องแบบนี้ ,แถมยังต้องถูกกล่าวหาเสียๆหายๆโดยเปล่าๆเลยงั้นหรอ !!! ?  ”

“………….”

วันนี้นั้นจริงๆแล้วเป็นงานวันเกิด อายุ 40 ปีของซูชางเหวิน, อาจพูดได้ว่างานเลี้ยงมื้อกลางวันนั้นจบลงแล้วและแขกๆในงานบางคนก็กลับไปก่อนแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังอยู่ในงานต่อ

หลังจากเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับถังซิ่วนั้น,จริงแล้วเรื่องที่พบเงินในห้องนอนนั้นมีแค่ไม่กี่คนที่รับรู้ส่วนแขกในงานยังไม่ได้รับรู้, ทว่าตอนนี้ในเสี้ยวพริบตาเดียว ผู้คนทั้งงานต่างรับรู้ถึงเรื่องนี้กันหมดแล้ว

ยังไงก็ตาม การชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนั้นเป็นเรื่องปกติของคนอยู่แล้วแถมเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับเจ้าของงานเลี้ยงนี้อีกจึงทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลี่ยงไม่ให้ผู้คนสนใจ,ไม่ใช่แค่การมาถึงของตำรวจจะทำให้แขกในงานเลี้ยงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันสนุกขึ้น ,ยังมีเพื่อนบ้านรอบๆข้างตามมาเพื่อรับชมเรื่องน่าสนุกนี้อีกด้วย

ช่วงแรกๆผู้คนนั้นก็คิดว่าถังซิ่วนั้นแหละที่เป็นคนขโมยเงินไป, แต่เมื่อความจริงถูกเปิดเผยแล้วนี่มันเปรียบได้กับหน้ามือและหลังตีนเลยทันที พวกเขามองสองแม่ลูกดูซูหลิงหยุนและถังซิ่วด้วยความสงสาร ,ทว่าเมื่อเทียบกับสายตาสมเพชและเกลียดชังที่มองไปที่ครอบครัวของซูชางเหวินนั้นมันเทียบกันไม่ได้เลย

ซูชางเหวินและภรรยานั้นไม่เคยคิดเลยว่าความจริงมันจะเป็นแบบนี้, เขาเองก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกัน

เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่มองมาด้วยความสมเพชและยั่วยุแถมยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูนั้น ครอบครัวของเขาถึงกับรู้สึกร้อนผ่าวเหมือนมีกระทะมานาบอยู่บนหน้าโดยทันที

“คุณตำรวจครับ, ซ่อนเงินของตัวเองนี้ถือเป็นการขโมยหรือเปล่า ? ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องมาเจอเรื่องน่าปวดหัวในวันนี้”

ใช้เวลาอยู่นานก่อนที่ซูเชงเหวินจะระงับอารมณ์ของตัวเองได้พร้อมเดินไปอยู่ตรงหน้าของเฉิงเสวี่ยเหม่ยก่อนที่จะถามออกมาอย่างอ้อนน้อม

“แอบเงินของตัวเองนั้นมันไม่เป็นความผิดหรอกแต่ถึงอย่างไรก็ตาม, ตามกฎหมายของเมืองนี้การแจ้งความเท็จต้อเจ้าหน้าที่และโยนความผิดเพื่อปิดบังไปที่คนอื่นนั้นมีความผิดร้ายแรง, ต้องถูกจำคุกสูงสุด 3 ปี รวมทั้งถูกควบคุมและกีดกันสิทธิทางการเมือง ,คุณไม่ใช่แค่บิดเบือนความจริงเท่านั้นซ้ำยังใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นอีกด้วย”

“ยิ่งไปกว่านั้น, ตามกฎหมายแล้ว,ทำร้ายร่างกายคนอื่นโดยเจตนานั้นให้โทษสูงสุดถึง 3 ปี ถ้าได้รับบาดเจ็บนั้นจะมีโทษตั้งแต่ 3 – 10 ปี , เป็นเพราะว่าคุณนั้นได้ทำร้ายร่างกายของถังซิ่วอย่างสาหัสถึงขึ้นที่กระอักเลือด ไม่ต้องพูดถึง 10 ปีหรอก อย่างน้อยๆมันต้องมี 3 - 5 ปี แน่นอน ”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้พูดไปพลางหัวเราะไเพราะเห็นว่าซูชางเหวินนั้นยังไม่ตระหนักถึงความผิดของตัวเองแต่กลับพูดเพื่อลดทอนโทษของลูกชาย ,

เธอไม่สนใจคำอ้อนวอนของครอบครัวซูชางเหวินแม้แต่น้อยก่อนที่จะเหวี่ยงข้อมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสว่า

“จับทุกคนที่เกี่ยวข้องไปสอบปากคำให้หมด”

“คุณตำรวจหญิงๆ , นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด……นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด,  ถังซิ่วนั้นเป็นหลานของเราแล้วเราจะไปใส่ความเขาโดยเจตนาได้ยังไงกันหละ ? ,ผมจะไปทำร้ายเขาโดยเจตนาได้ยังไงกัน ?”

ซูชางเหวินรีบแก้ตัวทันทีเมื่อได้เห็นท่าทางที่จริงจังของเฉิงเสวี่ยเหม่ยซึ่งทำให้เขาตื่นกลัวเป็นอย่างมากพร้อมทั้งรีบดึงข้อมือของเธอ

ขณะที่ซูชางเหวินกำลังพูดกับเฉิงเสวี่ยเหม่ยนั้น เขาก็ได้มองไปทางซูหลิงหยุนทันที

ซางเหม่ยหยุนเองก็พึ่งจะตระหนักได้ถึงบางสิ่ง, มีเพียงซูหลิงหยุนและลูกของเธอเท่านั้นที่จะช่วยครอบครัวของเธอได้

“น้องสาว ,เราเป็นครอบครัวเดียวกัน หยานหนิงและเชียงเฟย์เองก็อาจจะเล่นแรงเกินไปหน่อยแต่นี้มันก็แค่การละเล่นของเด็กๆเท่านั้น, น้องบอกคุณตำรวจไปสิว่าเรื่องนี้เราจะแก้ไขปัญหากันเอง”

ใบหน้าของซางเหม่ยหยุนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มระหว่างที่พูดออกไป

เมื่อได้ยินคำพูดของซางเหม่ยหยุนนั้น ,ซูหลิงหยุนเองก็ได้หันหน้าหลบทันที

“น้องพี่วันนี้เชียงเฟย์นั้นผิดจริงและฉันจะให้เขากล่าวขอโทษกับซิ่วน้อยและจบเรื่องนี้เอง,ถ้าน้องจัดการเรื่องนี้แบบนี้ เราก็ขาดกันตรงนี้เลย”

ซูชางเหวินได้พูดออกไปเมื่อเห็นน้องสาวตัวเองกล้าที่จะเมินเฉยต่อภรรยาของเขา เขาได้ส่งเสียง “ฮึ้ม” ในลำคอพร้อมกล่าวด้วยท่าทางข่มขู่

“อย่าลืมไปล่ะว่าถังซิ่วนั้นยังต้องไปเรียนที่โรงเรียนมธยมต้นสตาร์ซิตี้ต่อ เกรดของเขานั้นแย่มากแล้วเธอคิดว่าถ้าไม่มีฉันซักคนแล้วถังซิ่วจะไม่โดนไล่ออกอย่างงั้นเรอะ ?”

เสียงที่เย็นยะเยือกได้ถูกปล่อยออกมาจากปากของซูชางเหวินพร้อมทั้งคำข่มขู่

ประโยคนั้นทำให้บรรยากาศรอบๆบ้านลดลงอย่างรอดเร็ว, ร่างกายของซูหลิงหยุนเองก็กระตุกหลายครั้งก่อนที่จะหันกลับมามองที่ซูชางเหวิน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด