ตอนที่แล้วทีมบาสหัวใจนักสู้ ตอนที่ 1
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปทีมบาสหัวใจนักสู้ ตอนที่ 3

ทีมบาสหัวใจนักสู้ ตอนที่ 2


ตอนที่ 2

“วันที่ยี่สิบสี่ ตุลาคม เป็นวันที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมบาสเกตบอลโรงเรียนมัธยมปลายฉี่หนาน ในเวลาเดียวกันก็เป็นวันเกิดของหลี่หมิงเจิ้งเช่นกัน น่าเสียดาย…พี่มะระถอนหายใจเบาๆ”หลีหมิงเจิ้งตอนที่เท้ากระทบพื้น เหยียบลงพื้นไม่เต็มเท้า ทำให้เส้นเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าขวาฉีกขาด แม้แต่เอ็นร้อยหวายที่สำคัญที่สุดของนักบาสเกตบอลก็ฉีกขาดด้วย

“อะไรนะ?” เด็กใหม่ถลึงตาทั้งสอง เอ็นไขว้หน้าฉีกขาดสำหรับนักบาสเกตบอลแล้วมันเลวร้ายมาก มีผู้เล่นหลายคนที่เป็นเพราะเหตุนี้ จึงหายไปจากวงการบาสเกตบอล ถึงแม้จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ ความสามารถในแต่ละด้านก็ไม่ดีเหมือนเดิม ยิ่งไปกว่านั้นเอ็นร้อยหวายของหลี่หมิงเจิงก็ยัง…

“โรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ยขาดหลี่หมิงเจิ้งไป ในการแข่งขัดนัดถัดไปต้องกลับมาพ่ายแพ้ ตั้งแต่ครั้งนั้นไม่เคยปรากฏตัวในการแข่งขันโรงเรียนมัธยมปลายอีกเลย และหลี่หมิงเจิ้งหายไปจากวงการบาสเกตบอลไต้หวันด้วย ผม หลังจากเข้าทำงานที่‘บาสเกตบอลโมเมนต์’ ยังค้นหาข้อมูลของหลี่หมิงเจิ้งเป็นพิเศษ เพิ่งจะพบว่าหลังจากนั้นเขาไปรักษาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวเขาอีก”

นึกถึงตัวเองสมัยก่อนที่ยังตั้งใจเขียนนิตยสารแพลนนิ่งชุดหนึ่ง ‘ดอกถานฮวาที่ร่วงโรย:หลี่หมิงเจิ้ง’ แต่เป็นเพราะว่าเว้นห่างจากการแข่งขันนัดนั้นไปสักพักแล้ว บวกกับหลี่หมิงเจิ้งมีบันทึกการแข่งขันเพียงเกมเดียวเท่านั้น ในตอนนั้นหัวหน้าบรรณาธิการไม่พูดอะไรสักคำ ตีกลับนิตยสารแพลนนิ่งคืนมา ยังด่าเขาแบบสาดเสียเทเสีย พี่มะระขำตัวเอง

แต่ว่าผลงานของหลี่หมิงเจิ้งในการแข่งขันเกมนั้น แพรวพราวจริงๆ ทำให้พี่มะระกลายเป็นแฟนบาสเกตบอลของหลี่

หมิงเจิ้งในทันที ตามปกติแล้วไม่สามารถยอมรับความจริงได้ที่เขาหายไปอย่างรวดเร็วราวกับพลุดอกไม้ไฟที่ส่องแสงสว่างขึ้นมาแล้วก็ดับหายวับไป

ในตอนนี้ เสียงตะโกนของผู้ประกาศข่าวดังออกมาจากทีวี “ชู้ตสามคะแนนอีกแล้ว โรงเรียนมัธยมปลายฉี่หนานทำคะแนนห่างนำไปจนถึงยี่สิบคะแนนแล้ว โรงเรียนมัธยมปลายตงผิงไม่มีทางสู้แล้วหรือ?” กำแพงสูงของราชันโรงเรียนมัธยมปลายฉี่หนานยากที่ก้าวข้ามเสียจริง ผู้ชมในสนามที่เชียร์ฉี่หนานตะโกนคำสโลแกนด้วยความคึกคัก “ราชันฉี่หนาน ไม่สามารถสั่นคลอนได้” ปีนี้หากฉี่หนานได้เป็นแชมป์ เป็นการสร้างสถิติอันยอดเยี่ยมของราชันติดต่อกันสามครั้ง ขณะนี้เหลือเวลาเพียงห้านาทีเท่านั้น…”

“พอแล้ว พรุ่งนี้ยังมีงานที่ต้องทำอีก” พี่มะระบิดขี้เกียจ ปิดทีวี ลุกขึ้นยืนแล้วคว้าเสื้อสูทที่ห้อยอยู่บนพนักเก้าอี้ “ไปกันเถอะ ไปทานมื้อดึกกัน ผมเลี้ยงเอง”

เด็กใหม่ที่ยังไม่ได้ทานมื้อเย็นร้องด้วยความตื่นเต้น รีบกลับไปที่นั่งเพื่อเก็บของ แต่พี่มะระจ้องมองนิตยสารแพลนนิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ แอบคิดอยู่ในใจ การแข่งขันลีกเอของโรงเรียนมัธยมปลายนับวันยิ่งไม่น่าสนใจเลย เมื่อไหร่ถึงจะมีคนเก่งเหมือนหลี่หมิงเจิ้งที่สามารถทำให้แฟนบาสเกตบอลตกตะลึงนะ?

 

วันที่สองหลังจากจบการแข่งขัน ช่วงบ่ายเวลาบ่ายสองโมง มีรถสีขาวคันหนึ่ง ยี่ห้อโตโยต้าแคมรี่ ค่อยๆ ขับใกล้เข้ามาที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ย

เมื่อรปภ.เห็นทะเบียนรถแล้ว ก็รีบกดสวิตซ์เปิดประตู เสียงโลหะเสียดสีกัน ประตูทั้งสองฝั่งค่อยๆ เปิดออก รถยนต์ก็ขับแล่นเข้าไปในโรงเรียน จอดอย่างเรียบร้อยตามที่รปภ.ได้ชี้ตำแหน่งเอาไว้

ชายกลางคนสวมชุดสูทลงจากรถ มองดูรอบๆ แสดงความคิดถึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมมาถึงเร็วจังเลยครับ” หลังจากได้รับการแจ้งจากรปภ. ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ผมสีขาวอมเทา ก็รีบออกมารับที่หน้าประตูโรงเรียน เมื่อพบกับชายวัยกลางคน ก็ยิ้มกว้างออกมา

“ผู้อำนวยการ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ชายวัยกลางคนมอบชาที่ซื้อมาเป็นพิเศษให้อย่างนอบน้อม “น้ำใจเล็กน้อย กรุณารับไว้เถอะครับ”

ผู้อำนวยการยื่นมือออกไปรับชา และไม่ปฏิเสธ “ขอบคุณมาก ไปกันเถอะ เดินไปด้วยคุยกันไปด้วย” พาชายวัยกลางคนเดินไปทางห้องทำงานของผู้อำนวยการ

“ไม่ได้มาตั้งนานแล้ว รู้สึกว่ากวงเป่ยเปลี่ยนแปลงไปไม่มาก แล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย”

ผู้อำนวยการหัวเราะ “เมื่อเปรียบเทียบกับพวกคุณแล้วในเวลานั้น ย่อมไม่เหมือนกันแน่นอน”

“เวลาช่างผ่านไปไวเสียจริง” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความปลง

“ใช่แล้ว ในปีนั้นพวกคุณในกลุ่มผมสั้นเกรียนมาพบผมเรื่องขอตั้งทีมบาสเกตบอล มันยังคงชัดเจนในความทรงจำของผม”

“ในตอนนั้นในสายตาของผมมีเพียงแค่บาสเกตบอลเท่านั้น แล้วก็ไม่เคยคิดว่าผมจะได้เป็นผู้อำนวยการ” ชายวัยกลางคนก็ยังหัวเราะเช่นกัน เป็นการหัวเราะที่แฝงด้วยความทรงจำและความศรัทธา

“กลับมาที่โรงเรียนเก่ารู้สึกอย่างไร?” ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการทีละคน หลังจากนั่งแล้ว ผู้อำนวยการเริ่มต้มน้ำเพื่อเตรียมชงชา

“ก็ดีครับ” ชายวัยกลางคนเอามือถูกัน แววตาเต็มไปด้วยความกังวลและตื่นเต้น “ผู้อำนวยการครับ หลังจากนี้ผมคิดจะตั้งทีมบาสเกตบอลครับ”

มือทั้งสองข้างของผู้อำนวยการ กำลังยุ่งอยู่กับการกับชงชา ไม่ได้หยุดฟัง เพียงไม่นาน ก็มีชาร้อนๆ หนึ่งแก้ววางอยู่ตรงหน้าของชายวัยกลางคน “ผมเดาไว้อยู่แล้ว เริ่มต้นเทอมหน้า คุณก็ได้เป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนกวงเป่ย” แล้วคุณไม่ใช่เด็กนักเรียนผมสั้นเกรียนเหมือนสมัยก่อนแล้ว ก็ทำไปเถอะ”

“ครับ ขอบคุณมากครับผู้อำนวยการ”

ยกถ้วยชาขึ้นมา ดมกลิ่นหอมของชา ค่อยๆ จิบชา แสดงท่าทีที่เต็มไปด้วยความพอใจ ผงกศีรษะ “ชานี้รสชาติดี ขอบคุณมาก”

ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะคลายกังวล “ไม่ต้องเกรงใจครับ ผู้อำนวยการชอบก็ดีแล้วครับ”

“ผมยังจำได้ตอนนั้นพวกคุณวิ่งขึ้นมาที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการ เพื่อพยายามขอตั้งทีมบาสเกตบอลให้ได้ แล้วก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเอ่ยปากขอยังไง” ผู้อำนวยการมองดูหน้าที่ผ่านชีวิตมาอย่างยากลำบากของชายวัยกลางคน ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเวลานั้น ผมงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาสนใจพวกคุณ คิดแค่ว่าจะทำให้พวกคุณออกไป ผมถามคุณว่าใครที่สามารถพูดให้ผมเห็น

ด้วยได้ ทุกคนก็หันไปมองที่เขา คุณเรียกเขาเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการ ในใจคิดว่าเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายพูดสั้นๆ สักสองประโยคให้ตกใจก็สามารถยุติปัญหาได้ แล้วพวกคุณก็จะยกเลิกความคิดการตั้งทีมบาสเกตบอล ใครจะไปรู้หลังจากที่ผมพูดถึงความยากลำบากในการเรื่องการระดมค่าใช้จ่ายประจำ สถานที่ กำลังคน การสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นต้น เขาตอบกลับมาหนึ่งประโยค ให้โอกาสผมสักครั้ง ผมจะเอาแชมป์มาให้ท่าน”

“แล้วผู้อำนวยการก็ตอบตกลงใช่ไหมครับ?” ในอดีตผู้อำนวยการผู้ซึ่งมีความเมตตาและอ่อนโยน มีชื่อเสียง ทุกคนเห็นผู้อำนวยการต่างก็ล้วนเคารพนับถือ ไม่กล้าจะทำแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นในเวลานั้น “เขา” ทำยังไงที่ทำให้ผู้อำนวยการตอบตกลงให้ตั้งทีมบาสเกตบอลได้ ยังเป็นเรื่องน่าพิศวงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“ก็ไม่ใช่อย่างนั้น ผมคิดว่าเป็นเพราะว่าดวงตาที่มีสปิริตคู่นั้นของเขา ทำให้ผมนึกถึงตัวเองเมื่อตอนแรกๆ ที่เต็มไปด้วยเลือดร้อน ทุ่มเทให้กับการศึกษา ตามตำแหน่งที่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผมในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการ ที่เปลี่ยนแปลงไปคือสนใจแค่

อัตราการเข้ามหาวิทยาลัยและชื่อเสียงเท่านั้น กลับลืมนึกถึงเรื่องที่ครูผู้สอนต้องทำที่สุด ในขณะนั้นผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ผมต้องปกป้องจิตใจที่บริสุทธิ์นี้ ดังนั้นผมเลยตอบตกลง คิดไม่นึกต่อมาพวกเขาได้แชมป์กลับมาจริงๆ”

“แชมป์?”

“ปีนั้นพวกคุณที่เอาชนะแชมป์ที่มีเสียงเชียร์ดังที่สุดอย่างโรงเรียนมัธยมปลายฉี่หนานได้ สำหรับผมแล้ว พวกคุณคือแชมป์ในใจของผม” ผู้อำนวยการหัวเราะ ฮ่า ฮ่า “ระยะนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“หลังจากเด็กคนนั้นไปสหรัฐอเมริกา ก็ไม่ได้ข่าวอะไรอีกเลยครับ เหมือนกับตอนแรกๆ ปรากฏตัวออกมาแบบกะทันหันแล้วก็หายไปแบบกะทันหัน” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ

“ในปีนั้นเป็นเพราะเขาปรากฏตัว คุณถึงเล่นบาสเกตบอลไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ยังกลับมาตั้งทีมบาสเกตบอลอีก

“ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้น คนอื่นๆ ก็เป็นเพราะเขาถึงได้เข้าไปเล่นบาสเกตบอลในทีม” ชายวัยกลางคนหยิบถ้วยชาขึ้นมา จิบไปหนึ่งคำ “นับตั้งแต่เขาดึงผมเข้าไปในโลกของบาสเกตบอล ตอนนี้มีบางคนไปเป็นโค้ช สอนเด็กๆ เล่นบาสเกตบอล บางคนตั้งทีมบาสเกตบอลชุมชน บางคนที่ค่อนข้างมีเงิน ได้ให้การสนับสนุนสถานที่ในการแข่งขันด้วย ทุกคนแทบจะออกมาจากโลกของบาสเกตบอลไม่ได้

“คุณก็เช่นกัน” ผู้อำนวยการมองลึกอย่างลึกซึ้งไปที่ชายวัยกลางคน

ชายวัยกลางคนตะลึงงันไป แล้วฉีกยิ้ม “ใช่ครับ ผมก็เช่นกัน ในตอนนั้นหากไม่ใช่เขา ผมอาจจะเข้าใจว่าการเป็นอันธพาลรังแกคนทั้งวันเป็นเรื่องที่สุดยอด แล้วตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ทำงาน เอ้อระเหยลอยชาย ไม่ทำมาหากินอะไร”

“ฮ่าฮ่า หรืออาจจะมีสักวัน ที่เขาปรากฏตัวขึ้นมาแบบกะทันหันอีกก็อาจเป็นไปได้นะ”

 

ในฤดูร้อนของเดือนกรกฎาคม ที่ไถตง

“จัดของเสร็จเรียบร้อยยัง?” ภายใต้ราตรี ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำเปิดกระโปรงท้ายรถ มองดูกระเป๋าเดินทางของลูกชายด้วยสายตาที่สงสัยอย่างเห็นได้ชัด

“ใบเดียวเอง ทำไมเอามาน้อยอย่างนี้” ชายผู้เป็นพ่อขมวดคิ้ว

“มีของหลายอย่างที่ใส่อยู่ในกระเป๋าคุณแม่แล้วครับ คุณแม่บอกว่ากระเป๋าเดินทางของคุณแม่ยังมีพื้นที่ว่างเหลือเยอะ” เด็กหนุ่มพูดจบ พร้อมกับเปิดประตูรถ นั่งตากแอร์อยู่ภายในรถตู้

หลังจากจัดกระเป๋าเดินทางในรถตู้เสร็จ ชายผู้เป็นพ่อก็นั่งในส่วนของคนขับ เด็กหนุ่มเอียงตัวพิงมาทางด้านหน้าถามว่า “ใช้เวลาขับนานเท่าไหร่ครับ”

“รถวิ่งไม่เกินสาม สี่ชั่วโมง”

“นานขนาดนั้นเลย คุณแม่ต้องบ้าแน่ๆ”

“แม่ของลูกไม่ได้โง่สักหน่อย ขับรถตอนกลางคืน แม่เตรียมยานอนหลับไว้เรียบร้อยแล้ว” ชายผู้เป็นพ่อหัวเราะ

“คุณพ่อครับแล้วเมื่อไหร่จะ…โรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ย มีทีมบาสเกตบอลมั้ย?”

“โรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ยที่ลูกอีกนิดเดียวก็สอบไม่ติดนั่นเหรอ” ชายผู้เป็นพ่อตั้งใจเน้นประโยคนี้

“เด็กหนุ่มทนไม่ได้จึงกรอกตาไปมา”ตอนนั้นผลสอบของคุณพ่อมากกว่าผลสอบที่รับผมเข้าโรงเรียนเพียงสองคะแนนไม่ใช่เหรอครับ ?”

ชายผู้เป็นพ่อแสดงออกถึงความภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด “จะยังไงก็แล้วแต่ ก็เก่งกว่าลูกที่ได้แค่ผ่านเกณฑ์พอดี”

เด็กหนุ่มสีหน้าจำยอม “แล้วแต่เลย สรุปแล้วโรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ยจะมีทีมบาสเกตบอลหรือไม่?”

“ไม่รู้สินะ ไม่ได้กลับไปตั้งนานแล้ว ถึงจะไม่มี ก็ตั้งทีมเองก็ได้นี่นา เหมือนกับตอนนั้นที่พ่อของลูกอยู่ใน ฮ่าฮ่าฮ่า”

คิดถึงสมัยก่อน ชายผู้เป็นพ่อก็เผยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจออกมา

“ได้ยินคุณแม่บอกว่า ช่วงเวลานั้นมีหลายคนถูกพ่อบังคับดึงเข้าทีมไป” ลูกชายไม่ไว้หน้าคนเป็นพ่อเลยสักนิดเดียว

“แต่ว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าใจและซาบซึ้งถึงบาสเกตบอลแล้ว ก็ไม่สามารถห่างออกมาจากมันได้เลย”

“เป็นอย่างนั้นเหรอครับ? คุณพ่อ คุณแม่เหมือนกำลังเรียกคุณพ่อ”

ชายผู้เป็นพ่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นภรรยาของตนเองโบกมืออยู่ด้านนอกประตูรถ

“หลี่หมิงเจิ้ง กระเป๋าเดินทางหนักขนาดนี้ รีบมาช่วยฉันถือ!”

 

วันที่ยี่สิบเจ็ด ตุลาคม โรงเรียนเอกชนมัธยมปลายกวงเป่ย วันแรกของการปิดภาคเรียนฤดูร้อน ในการแนะแนวการศึกษา

หน้าประตูโรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ยมีรถยนต์จอดเต็มตั้งแต่เช้า ทำให้การจราจรบริเวณใกล้เคียงติดขัด นักเรียนใหม่หลายคนลงจากรถเดินเข้าไปในโรงเรียนภายใต้สายตาของผู้ปกครองที่มองดูอยู่ เวลานี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินขวักไขว่หอบหายใจอยู่ระหว่างรถที่ติดเรียงอยู่ เป็นที่สะดุดตาของผู้คนที่อยู่ด้านนอก

“พ่อนะพ่อ ถนนเส้นนี้ระยะทางอย่างน้อยสิบกิโลเมตร โกหกเราว่าแค่ห้ากิโลเมตร” เด็กหนุ่มเหงื่อโซกไปทั้งตัว วิ่งออกมาจากรถที่ติดอยู่ แล้ววิ่งเข้าไปในโรงเรียนภายใต้สายตาของผู้คน ที่มองดูอยู่อย่างประหลาดใจ

หลังจากเข้าไปในโรงเรียนแล้ว เด็กหนุ่มที่มีชีวิตชีวา มีสีหน้าที่ยังอ่อนวัย แต่สายตาของเขากลับมองซ้ายมองขวา “ห้องน้ำอยู่ที่ไหนนะ?”

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน วันที่รายงานตัวนักเรียนใหม่ หลี่หมิงเจิ้งพาลูกชาย หลี่กวงเย่ามาโรงเรียนเพื่อยื่นใบรับรองจบการศึกษาและผลสอบ แต่ว่าเนื่องจากจองร้านอาหารไว้แล้ว ดังนั้นหลังจากจัดการธุระเรื่องรายงานตัวเสร็จเรียบร้อย สามคนพ่อ แม่ ลูกก็รีบออกไปรับประทานอาหารกลางวันทันที เพราะเหตุนี้หลี่กวงเย่าจึงไม่ได้ทำความรู้จักสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนมัธยมปลายกวงเป่ยเลย

ในตอนนี้ชายวัยกลางคนเดินผ่านมา เด็กหนุ่มเหมือนกับได้เจอกับคนช่วยชีวิต “คุณลุงครับ ขอโทษนะครับ ขอสอบถามว่า คุณลุงทราบไหมครับว่าห้องน้ำไปทางไหน?”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าลุงขมวดคิ้ว เหมือนจะไม่พอใจมากนักที่ถูกเรียกแบบนี้ “เดินตรงไป ขวามือด้านหน้าตึกรักภักดี”

“ขอบคุณครับคุณลุง” เด็กหนุ่มหันหน้าเดินไปยังทิศทางที่ชายคนดังกล่าวชี้อย่างรวดเร็ว ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าสายตาของชายคนดังกล่าวมองตามเขาไป

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าลุง ก็คือผู้อำนวยการโรงเรียนคนใหม่นั่นเอง เขาจ้องมองหลังเด็กหนุ่มเดินจากไป พึมพำออกมา “เด็กคนนี้คงเป็นนักเรียนใหม่ แล้วทำไมเหงื่อไหลเยอะขนาดนั้น หรือว่าจะวิ่งมาโรงเรียน” ทันใดนั้น ภายในใจของเขาก็มีร่างใครคนหนึ่งลอยปรากฏขึ้นมา

“เขา” ในปีนั้น ดูเหมือนว่าจะฝึกวิ่งออกกำลังกายมาโรงเรียน...

พอนึกถึงเพื่อนเก่าขึ้นมา ผู้อำนวยการได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ เพราะอีกสักพักยังต้องขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ปฐมนิเทศนักเรียนใหม่อีก เขาทำได้เพียงเก็บความรู้สึกที่ซับซ้อนเหล่านั้นไว้ เดินกลับไปยังห้องผู้อำนวยการเพื่อเตรียมบทกล่าวสุนทรพจน์

-----------------------------------------------------------------------

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด