ตอนที่ 233 ผู้หนุนหลังของเฟิงหยาง
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ ฝ่ามือมือของหลิงฮันตบอย่างรุนแรงจนอ้าวหยางหมิงตื่น
“ข้าอยู่ที่ไหน? แล้วลุงฝูล่ะ?” มันถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
หลิงฮันถีบมันและพูด “ข้าเป็นฝ่ายถามไม่ใช่เจ้า”
อ้าวหยางกัดฟัน สีหน้าของมันซีดเผือดเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสถานที่ที่ห่างไกลจากป่าที่มันอยู่เมื่อกี้มาก
มันสลบไปนานขนาดไหนกันหลิงฮันถึงได้พามันมาไกลขนาดนี้ได้? นี่ลุงฝูไร้ความสามารถจนถึงขนาดปล่อยให้หลิงฮันพาตัวมันมาไกลขนาดนี้เลยรึ?
“เจ้าต้องการต่อต้านนิกายจันทราเหมันต์จริงๆรึ?” มันพูดอย่างเย็นชา ในเมื่อมันโอ้อวดสถานะของนิกายจันทราเหมันต์ออกไปแล้ว มันก็จะไม่ยอมจำนนและทำให้นิกายเสียศักดิ์ศรี
‘ปัก’ หลิงฮันเตะไปอีกทีจนฟันหลายซี่ของอ้าวหยางหมิงหลุดออกมา ใบหน้าของอ้าวหยางหมิงเต็มไปด้วยโลหิตซึ่งดูแล้วน่าสยดสยองเป็นอย่างมาก แต่กับคนแบบนี้หลิงฮันไม่จำเป็นต้องรู้สึกสงสาร เขาพูดออกไปอย่างไม่แยแส “ทำไมเจ้าถึงมาที่อาณาเขตของแคว้นทั้งเก้า?”
เขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับนั้นปรากฏออกมาโดยที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า เพราะงั้นหลิงฮันเลยไม่เชื่อว่าอ้าวหยางหมิงจะตั้งใจมายังแคว้นทั้งเก้าเพื่อเขตแดนลี้ลับ
อ้าวหยางหมิงเช็ดเลือดที่มุมปาก ดวงตาของมันเปิดเผยความหวาดกลัวออกมา ตอนนี้ลุงฝูไม่อยู่ข้างกายมัน แถมสถานะของนิกายจันทราเหมันต์ก็ไม่สามารถข่มขู่คนอย่างหลิงฮันได้ “ข้ามาเพื่อตามหาใครบางคน”
‘ปัก’ อ้าวหยางเฟิงถูกเตะอีกครั้ง ตอนนี้มันรู้สึกโกรธจนอยากจะลุกจากพื้นไปสู้แลกชีวิตกับหลิงฮัน แต่เมื่อมันเห็นแววตาอันโหดเหี้ยมของเขา มันรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกและสูญเสียความกล้าไปในทันที
“อย่าพูดอะไรครึ่งๆกลางๆ ไม่งั้นข้าจะหักแขนขาของเจ้าจนเหลือปากไว้พูดอย่างเดียว” หลิงฮันพูดอย่างโหดเหี้ยม
อ้าวหยางหมิงรู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ ถ้าเป็นคนอื่นที่พูดเช่นนี้มันคงจะเค้นเสียงดูถูกใส่ มันที่เป็นถึงศิษย์ของนิกายจันทราเหมันต์จะมีใครกล้าล่วงเกินมัน?
แต่หลิงฮันนั้นไม่ใช่... ชายคนนี้โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง มันสัมผัสได้ถึงความเยือกอันไร้ที่สิ้นสุดจากตัวหลิงฮัน
“คนที่ข้ากำลังตามหาชื่อ เฟิงหยาง...” มันพูดออกมาตามตรง
“เฟิงหยาง!” หลังจากได้ยินชื่อนี้ หลิงฮันเข้าใจในทันทีว่าทำไมเฟิงหยางถึงมีความมั่นใจขนาดนั้น
นิกายจันทราเหมันต์!
“ทำไมเจ้าถึงตามหาเขา? เฟิงหยางมีความสัมพันธ์แบบใดกับนิกายจันทราเหมันต์?” หลิงฮันถาม
“เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่เฟิงหยางกำลังเดินทางฝึกตนอยู่ เขาพบเข้ากับหนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายของเรา และผู้อาวุโสคนนั้นตั้งใจจะรับเขาเป็นศิษย์ เพียงแต่เฟิงหยางจะต้องผ่านการทดสอบ นั่นคือการทะลวงผ่านระดับห้วงจิตวิญญาณให้ได้ภายในสามเดือน”
“ข้าต้องการเป็นพันธมิตรกับเฟิงหยาง ดังนั้นข้าจึงเดินทางมายังแคว้นพิรุณเพื่อเป็นสหายกับเขาก่อนที่เขาจะกลายเป็นตัวตนที่โด่งดัง”
แต่ขณะที่ข้ากำลังเดินทาง เขตแดนอสูรฟ้าลี้ลับก็เปิดออก ข้าเลยเข้ามาในดินแดนลี้ลับแห่งนี้ก่อนเป็นอันดับแรก
อ้าวหยางหมิงช่างน่าสงสารจริงๆ มันมาหาตัวเฟิงหยางเพื่อเพิ่มสถานะในนิกายจันทราเหมันต์ของมัน แต่มันกลับต้องมาเจอคนโหดเหี้ยมอย่างหลิงฮันก่อนที่จะไปเจอเฟิงหยาง
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจและถาม “ถึงแม้เฟิงหยางจะมีร่างกายพิเศษ แต่มันก็เป็นเพียงกายากระจกเงา... ผู้อาวุโสคนนั้นมีพลังระดับอะไร? บุปผาผลิบานหรือตัวอ่อนวิญญาณ?”
พอได้ยินหลิงฮันพูดถึงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานกับระตัวอ่อนวิญญาณอย่างไม่แยแส อ้าวหยางหมิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที นั่นเพราะน้ำเสียงของหลิงฮันนั้นไม่มีเศษเสี้ยวของความเคารพหรือหวาดกลัวตัวตนระดับนั้นอยู่เลย เขาทำท่าทางราวกับจอมยุทธระตัวอ่อนวิญญาณไม่มีค่าต่อการเคารพแม้แต่น้อย
ซึ่งสิ่งที่อ้าวหยางหมิงคิดก็ไม่ได้ผิดอะไร...
“ผู้อาวุโสคนนั้นมีพลังระดับตัวอ่อนวิญญาณ!” มันพูดน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“แปลก!” หลิงฮันส่ายหัว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเฟิงหยางเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน การได้เป็นศิษย์ของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็หมายถึงมันสามารถทำอะไรก็ได้ในแคว้นพิรุณ แม้แต่จักรพรรดิพิรุณก็ไม่กล้าแตะต้องมัน... ไม่งั้นหากปีศาจเฒ่าระดับตัวอ่อนวิญญาณปรากฏตัว แม้แต่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่คอยดูแลแคว้นพิรุณอยู่อย่างลับๆก็ไม่สามารถไล่อีกฝ่ายกลับไปได้
แต่ประเด็นก็คือ คนที่มีกายากระจกเงานั้นมีศักยะภาพพอจะเป็นศิษย์ของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้วรึไง? ไม่ต้องพูดถึงกายากระจกเงา ขนาดคนที่มีกายากระจกทองคำก็ยังเกือบจะไม่สามารถเป็นศิษย์จองจอมยุทธระดับนั้นได้
เฟิงหยางจะต้องมีความลับอย่างอื่นที่ทำให้จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณรับมันเป็นศิษย์อยู่แน่นอน ซึ่งหลิงฮันก็ได้เห็นมาแล้ว เฟิงหยางสามารถสู้กับองค์ชายหนึ่งได้ทั้งๆที่มันมีพลังต่ำกว่าอีกฝ่ายสองขั้น
“เร็วๆนี้พวกเราคงจะได้สู้กัน และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะล้วงความลับของเจ้าออกมาให้หมด!” หลิงฮันพึมพำ
“หลิงฮัน ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป ข้าสามารถทำเป็นว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้!” อ้าวหยางหมิงลองวัดดวงดู
“เจ้าต้องการถูกทุบตีอีกรอบ?” หลิงฮันถามอย่างเฉยเมย
อ้าวหยางหมิงนำมือมาปิดปากอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มันไม่เหลือฟันมากพอจะให้หลิงฮันเลาะออกมาแล้ว
“อ้าวเฟิงเป็นอะไรกับเจ้า?” ในที่สุดหลิงฮันก็ถามคำถามที่คำสงสัยที่สุดออกไป
อ้าวหยางหมิงแสดงสีหน้าตกตะลึง จอมยุทธของแคว้นที่อ่อนแออย่างแคว้นพิรุณรู้จักชื่อบิดาของมันได้อย่างไร? หรือว่าหลิงฮันเองก็... เป็นไปไม่ได้! บิดาของมันมีบุตรนอกกฏหมายมากมายหลายร้อยคน แต่ทุกคนล้วนแต่มีแซ่ ‘อ้าว’
“ว่าไง?” สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม
“เขาคือบิดาของข้า!” อ้าวหยางหมิงรีบพูด
“ตอนนี้อ้าวเฟิงมีพลังระดับใด?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ...” อ้าวหยางหมิงพูดและรีบอธิบายหลังจากเห็นแววตาอันคมกริบของหลิงฮัน “ปกติแล้วข้าไม่มีโอกาสได้พบหน้าท่านพ่อบ่อยนัก และข้าก็ไม่ใช่บุตรคนโปรดของเขาด้วย ดังนั้นข้าเลยไม่แน่ใจ แต่จากที่ผู้คนในนิกายพูดคุยกัน เมื่อห้าปีก่อนท่านพ่อได้บรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณชั้นปลายแล้ว!”
มันเผลอยืนตรงพูดโอ้อวดอย่างไม่ได้ตั้งใจ ถึงแม้อ้าวเฟิงจะมีนิสัยเสเพล แต่พรสวรรค์ในด้านวรยุทธของมันนั้นไร้ที่เปรียบ มันมีโอกาสสูงที่จะก้าวผ่านไปยังระดับบุปผาผลิบานและกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายจันทราเหมันต์
หลิงฮันคิดเอาไว้อยู่แล้ว หลังจากสิบปีผ่านไป พลังบ่มเพาะของอ้าวเฟิงได้พัฒนาขึ้นมาทีเดียว การจะให้หลิงตงซิงเป็นคนแก้แค้นคงจะลำบากขึ้นมานิดหน่อยเสียแล้ว
เขาต้องรีบเพิ่มพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นเขาจะรักษารากฐานวิญญาณของหลิงตงซิงและยัดเม็ดยาจำนวนมหาศาลเข้าปากหลิงตงซิงเพื่อให้บรรลุระดับบุปผาผลิบานโดยไว
ระดับบุปผาผลิบานคือเส้นแบ่งของวิถีวรยุทธ สามารถกล่าวได้ว่าระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคือระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์ และระดับบุปผาผลิบานคือระดับพลังที่ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ความแตกต่างระหว่างระดับพลังทั้งสองไม่อาจบรรยายออกมาได้
หากหลิงฮันบรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณชั้นปลาย แม้จะเป็นความสามารถดั่งสัตว์ประหลาดของเขาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นหนึ่ง... แค่สู้แล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็น่าภูมิใจแล้ว
ถ้าหลิงตงซิงบรรลุระดับบุปผาผลิบานได้ก่อน การบดขยี้อ้าวเฟิงจะง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
“บิดาเจ้ามีบุตรชายและบุตรตรีกี่คน?” หลิงฮันสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
อ้าวหยางหมิงอยากจะส่ายหน้าเพื่อบอกว่ามันเองก็ไม่รู้ แต่เมื่อคิดถึงความโหดเหี้ยมของหลิงฮัน มันรีบตอบกลับไปทันที “ข้าไม่แน่ใจ ท่านพ่อไม่ค่อยพาพวกมาพบกัน แต่น่าจะมีประมาณสองถึงสามร้อยคนเป็นอย่างน้อย”
“ช่างเป็นพ่อพันธุ์หมูจริงๆ!” หลิงฮันแสยะยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังก่อนจะถาม “เจ้ารู้จักคนที่ชื่อเยว่ฮงฉางหรือไม่?”