ตอนที่แล้วDivine King Of All Directions - 137
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDivine King Of All Directions - 139

Divine King Of All Directions - 138


Divine King Of All Directions - 138

 

เหตุผลที่หลินเทียนเข้าร่วมกับสำนักนี้ก็เพียงเพราะทรัพยากรบ่มเพาะเท่านั้น

ดังนั้นเขาถึงต้องการความแน่ชัดในเรื่องนี้

"อื่ม ข้าเองก็ว่าจะพูดกับเจ้าอยู่เหมือนกันแต่มันต้องเริ่มจากเรื่องพื้นฐานก่อน เจ้านั่งฟังไปเงียบๆแล้วกันนะ "

ซูโจวได้พูดออกมา

"ขอรับ "

หลินเทียนได้พยักหน้าตอบ

ซูโจวได้พูดออกมาว่า

"อย่างแรกคือเจ้าในตอนนี้เป็นศิษย์ใหม่ของสำนักและได้ประลองเพื่อจัดอันดับมาแล้วและทางสำนักเองก็จะให้รางวัลกับ 1-10 อันดับแรกแล้วให้เข้าขัดเกลาอยู่ภายในสำนักชั่วคราวหนึ่งเดือนเพื่อให้คุ้นเคยก่อนที่จะ......."

ซูโจวได้หยุดไปพร้อมกับพูดต่อว่า

"และทางสำนักเราเองก็จะมีการแข่งขันครั้งใหญ่ซึ่งจะต้องเข้าไปในข่ายอาคมสังหารเพื่อฆ่าเอาแต้ม แน่นอนว่าอันดับที่ 1 - 30 ก็จะถูกแบ่งไปอยู่ในตำหนักราชา หลังจากนั้น 31 - 80 จะเป็นของตำหนักใน หลังจาก 81เป็นต้นไปก็จะถือเป็นตำหนักนอกและนี่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักทั้ง 3 "

"หมายความว่าหลังจากนี้หนึ่งเดือนตราบใดที่ข้าได้อันดับ 80 ก็สามารถเข้าเป็นศิษย์ตำหนักใน และหากว่าสามารถติด 1 – 30 ก็จะได้เข้าเป็นศิษย์ตำหนักราชา ? "

หลินเทียนได้ถามออกมา

"เปล่า มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น อันดับมันเป็นเพียงเงื่อนไขขั้นต้นเท่านั้น "

ซูโจวได้ส่ายศีรษะพร้อมกับพูดต่อว่า

"ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังนะ สมมุตเดือนหน้าเจ้าได้อันดับที่ 81 ก็จะถูกแบ่งไปอยู่ในตำหนักนอกโดยทันทีและก็คือเป็นศิษย์ตำหนักนอกเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้ "

"หากว่าเจ้าได้อันดับที่ 79 ก็จะมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ตำหนักในและหลังจากนั้นเจ้าต้องเลือกท้าประลองกับศิษย์ตำหนักในหนึ่งคนแล้วต้องชนะ ศิษย์คนนั้นก็จะถูกลดขั้นกลับไปเป็นศิษย์ตำหนักนอกแทนแต่หากว่าเจ้าพ่ายแพ้ก็ต้องกลับเป็นศิษย์ตำหนักนอกเหมือนเดิม การจะเข้าเป็นศิษย์ตำหนักราชาเองก็มีขั้นตอนปฏิบัติแบบเดียวกัน "

หลินเทียนได้พูดออกมาทันทีว่า

"ก็แสดงว่าสรุปแล้วก็จะคงจำนวนของศิษย์ตำหนักราชาไว้ที่ 30 คน ตำหนักใน 50 คน และตำหนักนอกแบบไม่จำกัด ? งั้นแสดงว่าเงื่อนไขหลังจากเอาชนะศิษย์ตำหนักราชาก็เหมือนกัน ? "

"อื้ม แบบนั้นแหละ "

ซูโจวได้พยักหน้าตอบ

หลินเทียนได้ถามต่อว่า

"แล้วหลังจากที่ทดสอบแล้วต้องรอปีถัดไปเลย ? "

"เปล่า การทดสอบนี้จะจัดขึ้นทุกๆ 2 เดือน "

"2 เดือน ? ถี่เกินไปหรือเปล่า ? "

หลินเทียนได้แสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมาทันที

"แน่นอนว่ามันเป็นการผลักดันให้ศิษย์ทั้งหลายขยันบ่มเพาะพลัง "

ซูโจวได้พูดต่อว่า

"แต่แม้จะจัดการทดสอบถี่แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งให้เห็นกันบ่อยๆโดยเฉพาะตำหนักราชาที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยเพราะคนที่จะเข้าไปได้นั้นต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์อีกที "

"ก็ใช่ "

หลินเทียนได้พยักหน้าออกมา

หลังจากนั้นซูโจวก็ได้อธิบายเรื่องที่ภายในสำนักนี้ประกอบไปด้วยตำหนักศิษย์ ตำหนักผู้อาวุโส ตำหนักตำราและลานฝึก ในส่วนของตำหนักศิษย์ ตำหนักผู้อาวุโสและตำหนักตำรานั้นมีอยู่เพียงอย่างละที่แต่สำหรับลานฝึกนั้นแบ่งออกไปหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็น ดินแดนทะเลทรายบ้าคลั่ง วังน้ำวน ถ้ำข่ายอาคมสังหาร ถ้ำรวมพลังฉี

ดินแดนทะเลทรายบ้าคลั่งนั้นจะเป็นพื้นที่เล็กๆที่ภายในเต็มไปด้วยทรายสีเหลืองซึ่งหากว่าเป็นคนธรรมดาที่อ่อนแอนั้นจะไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ด้วยซ้ำและในสถานที่แห่งนั้นก็ถูกวางข่ายอาคมสังหารเอาไว้ด้วยซึ่งสามารถช่วยฝึกจิตสัมผัสของศิษย์สำนักได้

วังน้ำวงนั้นเป็นกระแสน้ำที่รุนแรงซึ่งมีความเย็นไปถึงกระดูก คนธรรมดาไม่สามารถต้านรับมันได้อย่างแน่นอนแต่มันมีเอาไว้สำหรับการฝึกความอดทนทางร่างกายของศิษย์สำนัก

ถ้ำข่ายอาคมสังหารนั้นภายในจะถูกวางข่ายอาคมเอาไว้ซึ่งจะช่วยขัดเกลาทักษะต่างๆซึ่งหลังจากที่เข้าไปแล้วก็จะเข้าไปอยู่ในโลกลวงตาที่สามารถช่วยเพิ่มความสามารถทางการต่อสู้ให้กับศิษย์ได้อย่างมาก

ถ้ำรวมพลังฉีนั้นเรียกว่าเป็นสถานที่ๆอุดมไปด้วยรากวิญญาณซึ่งด้านในจะมีพลังฉีไหวเวียนอย่างเข้มข้นกว่าภายนอกหลายเท่าตัว มันมีผลช่วยให้การก่อจุดชีพจรเทวะเป็นไปได้เร็วขึ้น

ทั้ง 4 ที่นี้มีดินแดนทะเลทรายบ้าคลั่งและวังน้ำวนที่สามารถจุคนได้ประมาณรอบละ 100 คนดังนั้นถึงไม่ได้จำกัดเวลาในแต่การใช้งานแต่ถ้ำข่ายอาคมและถ้ำรวมพลังฉีนั้นเป็นเพียงสถานที่ของศิษย์ตำหนักในและตำหนักราชาเท่านั้น ยิ่งมีลำดับสูงก็จะยิ่งได้รับโควตาในการใช้งานเพิ่มมากขึ้น

"ตำหนักตำราต่างกับตำหนักสรรพยุทธ์ของสำนักจิ่วหยางอยู่ตรงที่ทุกเขตแดนใหญ่ถึงจะสามารถเลือกเคล็ดวิชาบ่มเพาะและทักษะได้เท่านั้นแต่ทั้งหมดมันเป็นของชั้นเลิศ "

ซูโจวได้พูดออกมา

"เคล็ดวิชาบ่มเพาะยังพอว่าแต่ทักษะเดียวทุกเขตแดนใหญ่นี่มันน้อยเกินไปไหม ? "

หลินเทียนได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

"แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าทุกเขตแดนใหญ่จะสามารถฝึกฝนได้ทักษะเดียว"

ซูโจวได้ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดต่อว่า

"หากว่าอยากจะฝึกทักษะเนอะๆก็สามารถเอาแต้มไปแลกได้ซึ่งหากว่าอยู่ในระดับที่ 1 แล้วจะสามารถแลกทักษะเขตแดนชีพจรเทวะเพิ่มได้ 1 ทักษะ หากว่าอยู่ในระดับ 2 ก็จะได้ 2 ทักษะ ส่วนหากว่าต้องการระดับผู้รอบรู้นั้นอย่างน้อยต้องอยู่ในระดับ 3 "

หลินเทียนได้ชะงักไปพร้อมกับถามว่า

"แล้วคิดแต้มความสำเร็จกันอย่างไร ? "

"ง่ายมาก เอาแก่นอสูรไปให้ทางตำหนักศิษย์หรือไม่ก็เป็นพวกแก่นเลือด วัตถุดิบหายาก ยา และอื่นๆ จริงๆแล้วเจ้าสามารถใช้แม้กระทั่งเงินแลกเป็นแต้มความสำเร็จได้ด้วยซ้ำ "

ซูโจวได้พูดออกมา

"เงิน ? "

"ใช่ "

หลินเทียนได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามต่อว่า

"งั้นหากว่าจะเอาให้ถึงระดับ 1 ต้องใช้เงินเท่าไหร่กัน ? "

เรื่องเงินเขาไม่ได้ขาดอยู่แล้ว

"ระดับ 1 ใช้ 3 ล้าน ระดับ 2 ใช้ 7 ล้าน ระดับ 3 ใช้..............."

"หยุด ! "

ใบหน้าของเขาได้ดำคล้ำไปทันทีเพราะว่านี่มันปล้นกันชัดๆ !

ซูโจวเองก็รู้ว่าหลินเทียนกำลังคิดอะไรดังนั้นถึงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

"แน่นอนว่าเงินจำนวนเหล่านี้สำหรับคนธรรมดานั้นถือว่าเยอะมากๆแต่สำหรับตระกูลพ่อค้าหรือผู้มีอำนาจในเมืองหลวงแล้วมันก็มีค่าเลยด้วยซ้ำและมีคนมากมายยอมจ่ายเพื่อมันเพราะทางสำนักเราเองก็ต้องทำเงินเหมือนกัน "

หลินเทียน

"............."

สำนักต้องทำเงิน ? นี่มันเป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยิน

"แล้วหากว่าเป็นแก่นอสูรล่ะ ? "

หลินเทียนได้ถามต่อ

ซูโจวได้อธิบายต่อว่า

"ถ้าเป็นอสูรระดับ 4 ใช้ประมาณ 3000 ก้อนถึงจะได้แต้มระดับ 1 ถ้าเป็นอสูรระดับ 5 ใช้ประมาณ 1500 ก้อน ส่วนอสูรระดับ 6 นั้นใช้เพียงแค่ 1000 ก้อนเท่านั้น "

หลินเทียนเองก็ถึงกับหมดคำพูดไปทันที มันต้องใช้ขนาดนั้นเลยรึ !

"ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะที่ทางสำนักเองก็มีข่ายอาคมอยู่มากมายดังนั้นการจะเปิดการทำงานของมันก็ต้องพึ่งแก่นอสูรนี่แหละ "

ซูโจวได้พูดออกมา

"ดังนั้นด้วยสิ่งเย้ายวนอย่างทักษะเหล่านี้แล้วทำให้ศิษย์หลายๆคนพยายามหาแก่นอสูรมาแลกเปลี่ยนเพราะถึงอย่างไรจะตั้งทักษะไว้เปล่าๆมันก็ไม่ได้อะไรแถมทำแบบนี้ยังได้แก่นอสูรมาเป็นจำนวนมากด้วย หากว่ามีตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยมาก็ดี มีคนมาให้ไถแล้วทำไมถึงจะไม่ไถล่ะ ? "

หลินเทียนได้สรุปออกมา

"รู้ก็ดีหนิ ทางเราไม่สามารถให้อาจารย์ออกไปหาแก่นอสูรหรือหาเงินเองได้ "

ซูโจวได้พูดออกมา

แน่นอนว่ามันเป็นเพราะเขารู้สึกโปรดปรานในตัวของหลินเทียนดังนั้นถึงบอกเขาทุกเรื่อง

หลินเทียน

".............."

เขาและซูโจวได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะทำความเข้าใจสำนักนี้ได้คร่าวๆ

ซูโจวได้ขอตัวลากลับไป

"ผู้อาวุโสเดินกลับระวังๆนะ "

หลินเทียนได้เดินไปส่งเขาที่หน้าประตูบ้าน

"เจ้าหนูไม่ต้องสุภาพก็ได้ หลังจากนี้มีเรื่องอะไรติดขัดก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อนะ "

ซูโจวได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะไปจากที่นั่น

หลินเทียนได้กลับเข้ามาในห้องพร้อมทั้งเก็บกวาดแล้วนอนลงบนเตียงเพื่อเตรียมจะพักผ่อน ในช่วงหลายวันมานี้เขาเอาแต่อยู่ในป่าพิษและส่งผลให้ไม่ได้หลับเต็มอิ่มนัก

หลังจากที่ถึงช่วงเที่ยงคืนแล้วเขาก็ได้ตื่นขึ้นมาก่อนที่จะเปิดการทำงานของข่ายอาคมรวมพลังวิญญาณ 2 ม้วนแล้วเริ่มบ่มเพาะพลังอีกครั้ง เขาที่ถือครองเคล็ดวิชาซือจี่นั้นทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืนเพราะมันไม่เพียงสามารถดูดกลืนพลังฉีโดยรอบแต่มันยังสามารถดูดกลืนพลังจากดวงดาวได้อีกด้วย

"บึ้ส ! "

พลังฉีอันรุนแรงได้โถมเข้าใส่ร่างของเขาก่อนที่จะเปล่งแสงสีเงินออกมาจางๆ เขาเริ่มที่จะก่อชีพจรเทวะจุดที่ 4 ตัวเองต่อไปอย่างช้าๆ

เวลากลางคืนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เช้า ันรุ่งขึ้นเขาได้หยุดการบ่มเพาะก่อนที่จะยืดเส้นยืดสายแล้วพบว่าร่างกายตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว หลังจากที่ออกมาจากห้องนั้นก็พบว่าพื้นที่โดยรอบสงบเป็นอย่างมาก ศิษย์ตำหนักนอกหลายๆคนยังอยู่ในการหลับใหลดังนั้นเขาถึงได้รับแสงแดดในตอนเช้า

ช่วงบ่ายซูโจวก็ได้มาหาเขาอีกครั้งและนำรางวัลของการจัดอันดับมาให้ มันเป็นยาเสริมรากฐานที่จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญเขตแดนชีพจรเทวะก่อจุดชีพจรเทวะได้ไวขึ้นส่วนเรื่องมูลค่าของมันก็ไม่ต้องพูดถึงเลยด้วยซ้ำ เมื่อยกเย็นแล้วเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะกลืนมันลงไปแล้วเริ่มการบ่มเพาะจนตัดผ่านไปยังเขตแดนชีพจรเทวะระดับ 4 ได้ในที่สุด

เหตุผลที่เขาตัดผ่านได้ไวแบบนี้ก็เพราะผลพวงจากแก่นอสูรระดับ 7 ทั้งนั้น หลังจากที่ดูดกลืนแก่นอสูรหมดแล้วบวกกับการบ่มเพาะต่ออีกครึ่งเดือนถึงทำให้ตัดผ่านมาได้ในที่สุด

ง"เหอะ "

หลังจากที่สัมผัสถึงความแข็งแกร่งของตัวเองแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสยะออกมา

ดูเหมือนว่าตอนนี้ระดับพลังของเขาจะห่างชั้นกับเหล็งเฟิงอยู่ไม่มากแล้ว

เขายังคงหมกตัวอยู่ภายในห้องเพื่อปรับรากฐานให้มั่นคงเพราะเขาตัดผ่านเร็วเกินไปถึงได้พยายามปรับมันให้แข็งแรง

ไม่นานก็ผ่านไปอีกวัน

ช่วงบ่ายหลินเทียนได้เดินออกมาจากห้องเพื่อเตรียมตัวไปยังลานฝึก

หลังจากที่เขาเปิดประตูออกมาแล้วก็พบกับชายหนุ่มชุดสีเหลืองที่กระโจนเข้าหาเขาพร้อมกับตะโกนออกมาว่า

"พี่เขย !!!! "

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด