ตอนที่แล้วGE76 สัมผัสเทพขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE78 ยกระดับพลัง ขอบเขตประสานวิญญาณขั้นสูงสุด [ฟรี]

GE77 การแยกจาก ผู้เยาว์นามหวางเหยา [ฟรี]


หนิงฝานควบคุมเมฆเซียน ลอยเอื่อยๆพาสตรีทั้งสามไปส่งยังเป้าหมายของพวกนาง

พรุ่งนี้ เขาต้องไปจากที่นี่ ไม่รู้ว่าวันใดจะได้กลับมายังป่าภูติพรายแห่งนี้อีก ระหว่างทาง หนิงหงหงและมู่เหว่ยเหลียนไม่กล่าวคำ เหม่ยเฉินควานหาสมุนไพรในกระเป๋าหนิงฝาน นางเลือกเฉพาะสมุนไพร 1,000 ปีเพื่อฟื้นฟูพลัง

หากไม่ใช่สิ่งจำเป็น หนิงฝานก็มอบให้นาง เพราะหากไม่ได้นางช่วยเหลือ เขาคงไม่สามารถท่องเที่ยวไปทั่วส่วนที่ 3 ของป่าได้ แม้นางจะนอนเฉยไม่ช่วยสังหาร แต่ปราณอสูรของนางก็ช่วยสะกดพลังของภูติผี

“แรงกดดันของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตไร้แบ่งแยก สามารถสะกดพลังของศัตรู... ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตไร้แบ่งแยกช่างทรงพลังนัก...”

แววตาของเขาเป็นประกาย เขาตั้งมั่นว่าวันหนึ่งจะบรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยกให้ได้

หมอกหนาในส่วนที่ 3 ของป่าทอดยาวปกคลุม สายฝนที่หนาวเย็นโปรยปราย

หนิงฝานนำสมบัติวิญญาณชิ้นหนึ่งออกมา เพื่อป้องกันสายฝนไม่ให้พวกนางเปียกปอน

ยามนี้ ทั้ง 4 มาถึงเผ่าแดง เมื่อเมฆเซียนลอยเหนือเผ่า เสียงผู้คนอื้ออึงดังมา ชายชราในชุดคลุมแดงผู้หนึ่งตระหนก มันนำผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสุดท้ายหลายตน เหยียบย่างนภาปรากฏกายเบื้องหน้าหนิงฝาน

‘ปีศาจแดงคลั่ง’ ผู้อาวุโสใหญ่เผ่าแดง เมื่อพบว่าผู้ที่มาคือหนิงฝาน มันเร่งถอยห่างไป 500 ลี้

“สหายน้อยซัวหมิง... ที่เจ้ามาเยือนเผ่าแดงในวันนี้ ก็เพราะ...” ชายชราหัวเราะก่อนนำกระเป๋าที่ใส่มุกภาวนา 100 เม็ดเอาไว้ออกมา หากหนิงฝานกล่าวว่าต้องการมุกภาวนา มันจะมอบให้ทันที

พวกมันหวาดกลัวหนิงฝาน พวกมันไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเผ่าคราม ต่อให้พวกมันมีข่ายป้องกันที่เหนือกว่า มันย่อมรู้ว่าคงต้านทานหนิงฝานไม่อยู่

“ผู้อาวุโส... วันนี้ข้าซัวหมิงไม่ได้มาหาเรื่องท่าน ข้าเพียงพาสหายเต๋าที่พลัดพรากคืนสู่เผ่า จากนั้นตัวข้าจะจากไป”

เมื่อเขากล่าวจบ หนิงหงหงและมู่เหว่ยเหลียงก็เหยียบย่างนภาไปหาสตรีนางหนึ่ง

“ข้าน้อยหนิงหงหงคารวะผู้อาวุโสใหญ่ คารวะนายหญิง”

ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าแดงเป็นผู้โหดเหี้ยมไร้ปราณี แต่นายหญิงของเผ่ากลับโอบอ้อมอารีอย่างที่สุด หากเทียบกับเผ่าครามแล้ว เผ่าแดงมีความใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด

และหงยี่... นายหญิงเผ่าแดง ผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นสุดท้ายอย่างนาง เป็นห่วงเป็นใยหนิงหงหงและมู่เหว่ยเหลียงเป็นอย่างมาก

ระหว่างทางที่มา หนิงหงหงและมู่เหว่ยเหลียงกล่าวย้ำหนิงฝานหลายครั้ง ว่าให้สุภาพกับเผ่าแดง ไม่เช่นนั้นจะเป็นผลเสียกับพวกนาง

“พวกเจ้าคือ... หงหง เหว่ยเหลียง!” นายหญิงเผ่าครามกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นจนไม่อาจปิดบัง

ดูราวกับนางมีความผูกพันธ์กับสตรีทั้งสองมาก

“เช่นนั้น... เป็นเจ้าหรือที่ช่วยเหลือหงหงและเหว่ยเหลียง? ข้าไม่รู้จะตอบแทนเจ้าเช่นใด... นี่ถือเป็นของกำนัลแทนคำขอบคุณ ขอให้นายท่านซัวหมิงรับเอาไว้”

นายหญิงเผ่าครามปลดกระเป๋าของนาง แล้วยื่นให้หนิงฝานอย่างเต็มใจ

แต่ผู้อาวุโสใหญ่กลับสีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง พลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่

กระเป๋าใบนั้น มันเพิ่งนำสมบัติวิญญาณและสมุนไพรระดับสูงใส่เข้าไป เพื่อเตรียมใช้ทะลวงขอบเขตดวงจิตแรกเริ่ม มันคาดไม่ถึงว่านายหญิงของมันจะยอมมอบให้ผู้อื่นง่าย

“นายหญิง... นี่... ซัวหมิงเป็นเช่นสหาย ท่านไม่จำเป็นต้องมอบของขวัญให้...”

ขณะกล่าว นายหญิงเผ่าแดงกลับจ้องมันเขม็ง “หุบปาก! สมบัติเหล่านั้นเทียบกับความปลอดภัยของหงหงและเหว่ยเหลียงไม่ได้!”

ผู้อาวุโสใหญ่หุบปากทันที มันไม่กล้ายั่วยุนาง

มันหวาดกลัวสตรี เพียงนางกล่าวไม่กี่คำ มันกลับหลัวจนหัวหด หนิงฝานแอบหัวเราะขบขัน

นายหญิงของเผ่าครามเป็นห่วงหนิงหงหงและมู่เหว่ยเหลียง นางถึงกับยอมละทิ้งสมบัติเพื่อให้พวกนางกลับมา

ดังนั้นยามนี้ พวกนางนับว่าได้กลับคืนสู่บ้านแล้ว

และพวกนาง จะไม่ถูกผู้ใดข่มเหงรังแก

“ไม่จำเป็น... ข้าเป็นสหายของพวกนาง ข้าหวังเพียงพาพวกนางมาส่งปลอดภัย เหตุใดท่านต้องลำบากให้ของกำนัล?”

หนิงฝานส่งกระเป๋าคืน จ้องมองมู่เหว่ยเหลียงและหนิงหงหงครู่หนึ่ง จากนั้นนำเหม่ยเฉินจากไป...

คำกล่าวรังแต่จะนำความโศกเศร้า...

เงาร่างของหนิงฝานค่อยๆเลือนหายไปในม่านหมอก

แต่ทันใดนั้นเอง เขากลับหยุดยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างออกไป 10 ลี้ สองมือกุมคารวะเหนืออกพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“ข้าจะกลับมา”

มู่เหว่ยเหลียงและหนิงหงหงใบหน้าแดงก่ำ

‘เขาจะกลับมา...’

เงาร่างของบุรุษผู้นี้... จะสลักลงไปในใจของนางตราบนานเท่านาน

พวกนางทั้งสองกุมมือคารวะตอบ

นายหญิงแห่งเผ่าแดงดูราวจะเข้าใจบางสิ่ง จากสีหน้าและแววตาของพวกนาง นางถอนหายใจเบาๆ นางรู้ว่าสตรีทั้งสองนั้น ชอบพอบุรุษนามซัวหมิง

เมื่อผู้อาวุโสใหญ่เห็นว่าหนิงฝานไม่รับกระเป๋าสมบัติ มันดีใจ และรับกระเป๋ามาจากนายหญิง ยามนี้ มันไม่กล้าเอากระเป๋าใดๆห้อยไว้ที่เอวแล้ว

“สหายน้อยซัวหมิงผู้นั้นเป็นคนดี... ไม่ชิงสมบัติของข้าไป... ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!”

เมื่อออกจากเผ่าแดง หนิงฝานมุ่งหน้าไปยังเผ่าม่วง ยามนี้ มู่เหว่ยเหลียงและหนิงหงหงไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงตัวเขาและเหม่ยเฉิน

นางที่อยู่ในร่างของสัตว์อเวจีกล่าวถาม “เจ้าไม่รับสินน้ำใจเมื่อครู่ แต่กลับช่วงชิงสมบัติของผู้คน ช่างแปลกคนนัก”

“แปลก...”

หนิงฝานยิ้มเล็กน้อยพลางใช้มือสัมผัสจุดสงวนของนาง สอดนิ้วเข้าไปภายใน และขยับนิ้วกระตุ้น กระทั่งนางเปล่งเสียงประหลาดออกมา นางทั้งโกรธและอยากกัดหนิงฝาน แต่นางกลับอ่อนแรงอย่างน่าประหลาด

“ไร้ยางอายยิ่งนัก!”

“อืม... เป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสจุดสงวนของผู้เชี่ยวชาญไร้แบ่งแยก หากเจ้าอยู่ในร่างสตรีย่อมดีกว่านี้... อีกอย่าง ข้าสอดนิ้วเข้าไปเพียงเล็กน้อย ถือเป็นการทำโทษเจ้า”

“ฮึ่ม! เจ้ากล้าทำโทษข้า เจ้าคงเห็นข้าเป็นเพียงสัตว์เลี้ยง ไว้ข้าฟื้นคืนพลังได้เมื่อใด...”

แม้สีหน้าของนางจะดูโหดเหี้ยม แต่ไม่ได้มีจิตสังหารแต่อย่างใด

ภาพใบหน้าที่ไร้ยางอายของหนิงฝาน ได้สลักลงไปในใจของนาง เพราะเขาเป็นผู้ทำเช่นนั้นกับนางเป็นคนแรก นางจึงกล่าวด้วยความโกรธเคือง “ข้าอยากเห็นอาจารย์เจ้านัก ว่าเหตุใดถึงสั่งสอนศิษย์ได้อันธพาลเช่นนี้...”

“อืม... อาจารย์ของข้าก็เป็นอันธพาลเช่นข้า เป็นเซียนผู้เก่งกาจแห่งแดนสวรรค์ทั้งสี่ วันหนึ่ง...เจ้าจะมีโอกาสได้เห็น”

แล้วทั้งสองก็พูดคุยระหว่างทางที่ไปเผ่าม่วง เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพูดคุยโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อทั้งสองไปถึงสถานที่ที่ปกคลุมด้วยข่ายอามคมเบาบาง ชายชราผู้หนึ่งก็เหยียบย่างนภาตรงเข้ามา

เป็นฉู่เฉิน!

ชายชราจับจ้องหนิงฝานด้วยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย แม้ชายชราจะได้ยินว่าหนิงฝานทำลายเผ่าครามด้วยตัวคนเดียว และเที่ยวปล้นชิงไปทั่วทุกที่ในส่วนที่ 3 ของป่า แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ชายชราตกตะลึง

สิ่งที่ทำให้ชายชราตกใจคือสัตว์อเวจีที่หนิงฝานอุ้มอยู่ สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนเคร่งขรึม พลางทรุดเข่าลงกลางนภา

“ข้าน้อยฉู่เฉิน คารวะจักรพรรดินีเหม่ย!”

“ไม่ต้องมากพิธี...” เหม่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและสูงศักดิ์ ทำให้หนิงฝานไม่คุ้นเคย

นางกระโดดออกจากอ้อมแขนหนิงฝาน คืนร่างเป็นสตรีผู้งดงามที่ห่มคลุมกายด้วยอาภรณ์ของหนิงฝาน

แม้นางจะห่มคลุมด้วยอาภรณ์ของบุรุษ นางกลับยังงดงามไม่แปรเปลี่ยน

แววตาของนางดูไร้ความรู้สึก แรงกดดันที่นางแผ่ออกมานั้น ทำให้หนิงฝานประหลาดใจเล็กน้อย

‘ใช่สัตว์เอวจีจริงหรือ? โลกผันแปร สรรพสิ่งกลับตาลปัตร ระดับพลังที่ท้าทายสวรรค์ และความเย่อหยิ่งอันไร้ที่เปรียบ...’

“เจ้ามีเหตุผลที่ต้องละเมิดกฎ แต่กฎย่อมเป็นกฎ ยากจะหลีกเลี่ยง... ฉู่เฉิน ตัดนิ้วของเจ้าเพื่อเป็นการลงโทษ” ทันทีที่นางกล่าวจบ ฉู่เฉินเร่งนำมีดเล่มหนึ่งออกมา และตัดนิ้วของตนอย่างไม่ลังเล

มันไม่โกรธแค้นหรือเกลียดชัง แต่มันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

มันรู้ดีว่า หากเป็นนางเมื่อก่อน ผู้ใดละเมิดกฎ ผู้นั้นต้องตาย ไม่ก็ทำลายระดับพลังของตน มันคาดไม่ถึงว่านางจะปราณี กระทั่งให้ตัดแค่นิ้วเท่านั้น

มันชำเลืองมองหนิงฝานและคิดว่า อาจเป็นเขาที่เปลี่ยนนิสัยเหม่ยเฉิน

แต่ไม่ว่ายังไง มันก็จินตนาการไม่ได้ว่า หนิงฝานเปลี่ยนนิสัยของนางเช่นใด... เพราะเรื่องนี้มันคลุมเครือ... ยากจะกล่าว

“เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า...”

นางขยับเท้าและร่อนลงยังเผ่าม่วง แต่ในช่วงที่นางหันกายจากไป หนิงฝานกลับสังเกตเห็นว่า อาภรณ์ที่ไหล่ของนางขยับเล็กน้อย

“จัดแจงอาภรณ์ของเจ้าให้ดีด้วย...”

หนิงฝานเย้าหยอกก่อนจะหันกายจากไปในม่านหมอก แต่ในจังหวะนั้นเอง นางกลับหันมาแล้วกล่าวเตือนด้วยสัมผัสเทพ

“ระวังจักรพรรดิปีศาจไป๋กู่... ถึงแม้ร่างจริงของมันจะมาไม่ได้ แต่มันอาจส่งจิตวิญญาณมาตามล่าเจ้าแทน...”

“หากมันกล้าส่งจิตวิญญาณของตนมา ข้าจะทำให้มันชดใช้อย่างสาสม”

หนิงฝานอบอุ่นหัวใจที่นางกล่าวเตือน เขาจึงกล่าวตอบ

หนิงฝานไม่ได้กังวลหากจิตวิญญาณของจักรพรรดิปีศาจจะมา เพราะถึงร่างกายของมันจะแข็งแกร่ง แต่จิตวิญญาณของมันนั้นเปราะบาง หากมันกล้ามาจริง เขาจะเผามันด้วยกระบี่แยกสวรรค์

จักรพรรดิปีศาจยังไม่รู้จักเขา!

ยังไม่รู้จักความเป็นมาของเขา!

...

ในส่วนที่ 1 ของป่า ศิษย์ในขอบเขตเปิดเส้นชีพจรที่ 2 ผู้หนึ่ง กำลังถูกภูตผีในขอบเขตเปิดเส้นชีพจรที่ 3 ตามล่า

มันเป็นผู้เยาว์อายุราว 15 – 16 ปี รูปร่างหน้าตาธรรมดาสามัญ สวมชุดธรรมดาสามัญ นามว่า ‘หวางเหยา’

มันวิ่งหนีอย่างไร้ทิศทาง ยิ่งเห็นภูติตามล่ากระชั้นเข่า มันยิ่งหวาดกลัว

ยิ่งนานไป ภูตผีที่ตามล่าก็ยิ่งเข้าใกล้ ขาทั้งสองข้างของมันเริ่มไร้เรี่ยวแรง กระทั่งล้มลงไป

แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง จิตวิญญาณดวงหนึ่งได้พุ่งเข้าไปในร่างกายของมัน และผสานเข้ากับตัวมัน

มันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะสิ้นใจ

แต่ชั่วอึดใจถัดมา ร่างที่ตายไปแล้วกลับลุกยืน ภูติผีที่ตามมาเห็นกลับเผยสีหน้าหวาดกลัว

“ฮึ่ม... เป็นเพียงภูตผีในขอบเขตเปิดเส้นชีพจรที่ 3 กลับกล้าคิดจู่โจมจักรพรรดิปีศาจเช่นข้า รนหาที่ตาย”

ร่างไร้ชีวิตชี้นิ้ว ส่งลำแสงสายหนึ่งยิงเข้าใส่ภูตผี จนร้องโหยหวนก่อนจะสลายหายไป

สัมผัสเทพแผ่ออกจากร่างไร้ชีวิต เป็นวงกว้าง 10 ลี้เพื่อสำรวจ

“ฮ่าฮ่า... จิตวิญญาณของข้าผสานเข้ากับเด็กผู้นี้ได้ หากข้าพบว่าผู้ใดทำร้ายข้า ข้าจะฆ่ามันให้หมด!”

จิตวิญญาณของจักรพรรดิปีศาจไป๋กู่กลับยึดร่างของหวางเหยา

นั่นหมายความว่า จักรพรรดิปีศาจไป๋กู่สามารถออกนอกป่าภูติพรายได้

“ลำดับแรก ข้าต้องฟื้นคืนพลังในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงสุด”

หวางเหยาเคลื่อนไหวและออกล่าไปทั่วทั้งส่วนที่ 1 และ 2 ของป่า

ทำให้แต้มในนิกายของมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด