ตอนที่ 182 มุมกลับ
หลิงฮันรู้สึกตกใจอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ถูกต้อง เขาหลงลืมตัวเอง เขาเคยเป็นจักรพรรดินักปรุงยาในชีวิตที่แล้ว ดังนั้นเขาย่อมทำให้นักปรุงยาทุกคนเคราพนับถือเขาและการให้ความเคารพเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขาได้ลืมไปแล้วว่าตอนนี้เขามีอายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น
ในสายตาของผู้มีอำนาจทางการเมือง เขาเป็นตัวแปรที่ไม่แน่นอนและการดำรงอยู่ของเขาอาจมีผลต่อเสถียรภาพต่อตระกูลฉี และถ้าปัญหาถาโถมเข้ามา เขาสามารถถูกกำจัดได้อย่างง่ายดาย!
"ถ้าพวกมันรู้ว่าข้าเป็นคนปรุงเม็ดยาสร้างรากฐานเก้าเม็ด พวกมันคงจะรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่จริง?" หลิงฮันพูดพึมพำกับตัวเองขณะที่เขาเอามือเท้าคางเม็ดยาสร้างรากฐานมันอาจส่งผลต่อสมดุลทางอำนาจที่ละเอียดอ่อนในปัจจุบันของแคว้นพิรุณได้ และถ้าหากมีจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณมากกว่าสิบคนปรากฏตัวออกมา เรื่องมันคงจะยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้
นั่นเพราะว่าเค้กมีขนาดใหญ่ และหากมีคนเพิ่มเข้ามาและต้องการส่วนแบ่ง นั่นก็หมายความว่าคนที่ได้รับส่วนแบ่งไปแล้วจะต้องเสียส่วนของตัวเองให้กับคนที่มาใหม่
ใครอยากจะปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองครอบครองอยู่หลุดมือกัน?
'ดูเหมือนว่าข้าจะคิดตื้นไป' หลิงฮันคิดคำนึงถึงชีวิตของเขาตั้งแต่ช่วงที่เขาเกิดมา มันยังดีที่เป็นเมืองหมอกเมฆาและเมืองต้าหยวน แต่หลังจากที่เข้าสู่เมืองจักรพรรดิ มันดูเหมือนว่าเขาจะทำตัวสะเพร่าเล็กน้อย
'แต่แล้วมันยังไงถ้าข้าสะเพร่าเล็กน้อย? ด้วยตัวตนของนักปรุงยาระดับทมิฬขั้นสูง ถึงแม้จะเป็นจักรพรรดิพิรุณก็ไม่อาจล่วงเกินข้าได้' หลิงฮันคิดกับตัวเอง
'แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นจักรพรรดิพิรุณมาก่อน แต่มีข่าวลือว่าจักรพรรดิพิรุณเป็นคนที่ชาญฉลาดมากและทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เหล่าบุตรชายสองคนของเขากำลังวางแผนอยู่...แล้วเขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร?
ใครจะไปรู้ว่าบางทีจักรพรรดิพิรุณอาจมีสายลับของเขาอยู่กับองค์ชายทั้งสองคนนั้นก็เป็นได้
ถ้าในตอนที่ข้าเปิดคลังสมบัติชั้นในได้และชิงเนตรแห่งสัจธรรมมา แล้วบังเอิญถูกจับได้คาหน้าคาเขา แม้แต่สถานะนักปรุงยาก็ไม่สามารถปกป้องข้าได้ ชะตากรรมเดียวของข้าคือถูกประหาร มิฉะนั้น ข้าอาจถูกกักขังทั้งชีวิตและปรุงยาให้กับตระกูลฉีในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่'
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากของหลิงฮันและเขากำลังคิดว่า 'ชีวิตที่แล้วข้าเป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลังมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะใช้แผนการหลอกลวงข้า อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ข้าเกิดใหม่ ข้าทำตัวสะเพร่าไปเล็กน้อย ใครจะไปรู้ว่า ข้าอาจพบเจอกับความล้มเหลวที่ไม่คาดคิดที่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับข้า
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ข้าควรทำตอนนี้คือทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุ และค้นหาความลับของหอคอยทมิฬ!
นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลกนี้ ข้าไม่อาจเก็บสิ่งเล็กน้อย และปล่อยให้สิ่งใหญ่หายไปได้'
เมื่อพวกนางเห็นหลิงฮันเหม่อลอย ทั้งหลิ่วอู๋ตงและหลีซื่อฉางจึงถามออกไปพร้อมกันว่า "เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?" 'ทำไมพวกนางถึงพูดแบบเดียวกันกับข้าอีกครั้ง?'
"ไม่มีอะไร ข้าเพิ่งคิดเสร็จ ดังนั้นข้าเลยอยากทำให้การบ่มเพาะพลังของข้ามีความมั่นคงเสียก่อน" หลิงฮันกล่าวขณะยิ้มออกมา
"ระดับรวมธาตุขั้นที่เก้า!" หลิ่วอู๋ตงกรีดร้องออกมา
"อะไรนะ!?" หลีซื่อฉางรู้สึกตกตะลึงเหมือนกัน เพราะเมื่อวันก่อนหลิงฮันยังอยู่แค่ระดับรวมธาตุขั้นที่เจ็ดเท่านั้น
เขาสามารถทะลวงผ่านระดับพลังสองขั้นได้ภายในวันเดียว มันมีเรื่องที่น่าทึ่งกว่านั้นอีกไหม?
"มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องเอะอะกันเสียหน่อย" หลิงฮันยิ้มออกมาอย่างเฉยเมย ในชีวิตที่แล้วของเขา เขาบรรลุถึงระดับสวรรค์ ดังนั้นการที่ทะลวงผ่านระดับรวมธาตุอันต่ำต้อยนี้มันจะทำให้เขารู้สึกดีใจได้อย่างไร?
"ทำเป็นเก่ง! หญิงสาวทั้งสองคนจ้องมองเขาด้วยความรังเกียจ
'ข้าทำอะไรผิด?'
หลิงฮันรู้สึกผิด แต่เขาไม่อยากพูดโต้เถียงกับหญิงสาวทั้งสองคน และคิดเรื่องทักษะดาบของเขาต่อ เขาต้องการที่จะสร้างสร้างปราณดาบเล่มที่เจ็ด
เมื่อเขาพยายามที่จะสร้างสร้างปราณดาบเล่มที่เจ็ด พลังในการต่อสู้ของเขาจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ที่สำคัญไปกว่านั้น นั่นหมายความว่าเขาเข้าใกล้รัศมีดาบเข้าไปอีกก้าว
ความขัดแย้งระหว่างเฟิงหยางและหลิงฮันเป็นเหตุทำให้เกิดความโกลาหล เพราะแม้แต่อาจารย์ใหญ่ทั้งสองคนยังปรากฏตัวออกมาเพื่อจบความขัดแย้ง
หลิงฮันยังปลอดภัยและหวู่ซงหลินไม่ได้พูดอะไรออกมามาก นั่นเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาเพียงแค่ผ่านมาโดยบังเอิญและตัดสินใจที่จะรักษาความยุติธรรม ส่วนเรื่องของเฟิงหยางนั้นต่างกัน ทฤษฎีที่เขาเป็นลูกนอกสมรสของเหลียนกวงซูเป็นที่ยอมรับกันมากยิ่งขึ้นจากการกระทำของเขา
แน่นอนว่ายังคงมีคนที่มองลึกเข้าไปอีก ทัศนคติของเหลียนกวงซูที่มีต่อเฟิงหยางมันไม่ได้เหมือนกับลูกนอกสมรส แต่เป็นเหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างตาแก่กับนายน้อยเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม ตาแก่ผู้นี้เป็นถึงกระดูกสันหลังของสำนัก และนายน้อยผู้นี้ยังคงอ่อนแอเกินไป ดังนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขามันยังไม่ชัดเจนนัก
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด เฟิงหยางกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพูดถึงและมีชื่อเสียงมากในสายตาศิษย์ในสำนัก อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นความจริงที่ว่าน้องชายของมันถูกหลิงฮันตัดแขนและมันไม่สามารถทำอะไรกับหลิงฮันเพื่อเป็นการแก้แค้นได้
เฟิงหยางได้ประกาศไปแล้วว่าหลิงฮันเป็นศัตรูของมัน และแน่นอนว่ามันจะสังหารหลิงฮันภายในสามเดือน ถ้าใครกล้าที่จะเป็นสหายกับหลิงฮัน คนพวกนั้นก็จะไม่มีทางหลบหนีชะตากรรมที่คล้ายคลึงกันได้
หลังจากที่เฟิงหยางประกาศแบบนั้นออกไป ทั้งสำนักได้เกิดความโกลาหลขึ้น พวกเขาทุกคนต่างคิดว่าเฟิงหยางเป็นคนที่หยิ่งยโสเกินไป
แม้ว่าความเป็นไปได้ที่ว่าบางทีเฟิงหยางอาจเป็นลูกนอกสมรสของเหลียนกวงซู มันก็ยังคงไม่มีสิทธิ์ที่จะแสดงความโกรธแค้นในที่สาธารณะภายในเมืองจักรพรรดิและยังประกาศเจตนารมณ์ที่จะสังหารหลิงฮัน ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่เป็นดินแดนของตระกูลฉี ซึ่งมันไม่ใช่ของตระกูลเหลียน
ถึงกระนั้น ตระกูลจักรพรรดิก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องพวกนี้หรือไม่หรือว่าเฟิงหยางยังเด็กเกินไปพวกเขาจึงตัดสินใจไม่ลงโทษมัน
อย่างไรก็ตาม ข่าวการประมูลของตำหนักสมบัติวิญญาณแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ เพราะเม็ดยาสร้างรากฐานเก้าเม็ดจะถูกนำมาประมูลในครั้งนี้ ทำให้ตระกูลใหญ่ลุกฮือด้วยความตื่นเต้นรวมถึงตระกูลชั้นกลางด้วย แม้แต่ตระกูลจักรพรรดิก็ไม่อาจรักษาความสุขุมของพวกเขาไว้ได้
ท้ายที่สุด มันมีเพียงคนเดียวที่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานภายในแคว้นพิรุณ และเขาไม่เคยปรากฏตัวออกมาหลายปี ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว ในแคว้นพิรุณ จอมยุทธที่อยู่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย และบรรดาผู้ที่อยู่ในระดับนั้นสามารถทำตามอำเภอใจได้และแทบจะไม่ปฏิบัติตามกฎของจักรวรรดิ
เม็ดยาสร้างรากฐานจะช่วยเพิ่มโอกาสให้จอมยุทธทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะดึงดูดความสนใจจากทุกขุมพลังได้ ใครมันจะไม่อยากมีอำนาจมากขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับฐานอำนาจของตัวเอง?
ในโลกใบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพลังอำนาจ
ตระกูลชั้นกลางต้องการเม็ดยาสร้างรากฐานเพื่อที่จะได้กลายเป็นตระกูลใหญ่ ขณะที่แปดตระกูลใหญ่และตระกูลจักรพรรดิหวังว่าจะมีจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นเพื่อเสริมสร้างพลังอำนาจของตระกูลพวกเขาและเพื่อรักษาตำแหน่งของพวกเขาในสมดุลอำนาจให้มั่นคงมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นการแข่งขันที่รุนแรงมาก
หลิงฮันไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เงินเป็นเสียงสิ่งของบางอย่างที่เขาจำเป็นต้องใช้มันเพื่อซื้อวัตถุดิบปรุงยาเท่านั้น แม้ว่าเขาจะมีมันมาก มันก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรสำหรับเขา
เมื่อวันประมูลได้มาถึง องค์ชายหนึ่งได้เดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองเพื่อชวนหลิงฮัน หลิ่วอู๋ตงและหลีซื่อฉางรู้เรื่องการประมูลนานแล้ว ดังนั้นหลิงฮันจึงต้องพาพวกนางทั้งคู่ไปด้วยรวมถึงฮูหนิว
"ฮ่าฮ่าฮ่า นายน้อยฮันต้องการพาหญิงสาวที่งดงามที่สุดในเมืองจักรพรรดิไปกับท่านด้วยสินะ ก่อนหน้านี้ข้ายังคงรู้สึกแปลกเล็กน้อยนึกว่านายน้อยฮันไม่สนเรื่องสาวงามเสียอีก" องค์ชายหนึ่งกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ราวกับว่าเขาเจอญาติพี่น้อง
สีหน้าของหลิ่วอู๋ตงและหลีซื่อฉางเริ่มเขินอาย และไม่ได้พูดโต้แย้งอะไรออกมา ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะพวกนางรู้สึกเกรงกลัวอำนาจขององค์ชายหนึ่งหรือเลือกที่จะยอมรับโดยอ้อมกันแน่
ขณะเดียวกัน หลิงฮันได้หดม่านตาลง หรือว่าก่อนหน้านี้องค์ชายหนึ่งคิดว่าเขาชอบผู้ชาย? หลิงฮันจึงหัวเราะออกมาและพูดว่า "อู๋ตงและซื่อฉางเป็นสหายที่ดีของข้า"
"สหายที่ดี ข้าเข้าใจแล้ว! ข้าเข้าใจแล้ว!" รอยยิ้มขององค์ชายหนึ่งฉีกกว้างมากกว่าเดิม มันทำให้เขารู้สึกสนใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น
หลิงฮันจึงเปลี่ยนเรื่องคุยและได้ถามออกไปว่า "หรือว่าองค์ชายหนึ่งเองก็ต้องการเม็ดยาสร้างรากฐานด้วย?"
"ถึงแม้ข้าจะยังไม่ทะลวงผ่านระดับห้วงจิตวิญญาณ แต่ด้วยระดับบ่มเพาะพลังในปัจจุบันของข้ามันอาจทำให้ข้าต้องลำบากไปอีกหลายปี!" องค์ชายหนึ่งกล่าวอย่างมั่นใจ "ถ้าข้าได้เม็ดยาสร้างรากฐาน มันจะทำให้ข้ามีโอกาสมากขึ้นที่จะทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้ในอนาคต แต่น่าเสียดายที่ข้ามีทรัพยากรทางการเงินที่จำกัด มิฉะนั้น ข้าจะซื้อเม็ดยาสร้างรากฐานทั้งเก้าเม็ดนั่นเองทั้งหมด ด้วยวิธีนี้การที่ข้าจะก้าวเข้าสู่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน"
หลิ่วอู๋ตงและหลีซื่อฉางจึงหันไปมองหลิงฮันทันที เพราะเขาเป็นคนที่สามารถปรุงเม็ดยาสร้างรากฐานได้