ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 29 บทส่งท้าย แข็งกว่า ตรงกว่า อึดกว่า!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 2 ตอนที่ 3 อาจารย์ โปรดรับการคารวะจากศิษย์!

ภาค 2 ตอนที่ 4 หญิงงามเพริศพริ้งนอนอยู่ตรงหน้าแต่กลับเลือกช่วยตัวเอง...


ตอนที่ 4 หญิงงามเพริศพริ้งนอนอยู่ตรงหน้าแต่กลับเลือกช่วยตัวเอง...

เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนเชื่อถือได้คนหนึ่ง เรื่องนี้หวังลู่รู้ซึ้งตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว ผ่านไปสองปีเถ้าแก่เนี้ยก็ยังคงเป็นเถ้าแก่เนี้ยผู้นั้น เมื่อรับปากกับเขาแล้ว นางไม่มีวันคืนคำ

เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารกันที่ใต้ต้นไม้เสร็จ เถ้าแก้เนี้ยจึงจัดการเก็บชามและตะเกียบเข้าไปในกล่องข้าวก่อนพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเถอะ”

“เริ่มอะไร?”

“เอ้า แน่นอนว่าฝึกวิทยายุทธ์น่ะสิ! เริ่มช้าดีกว่าไม่เริ่ม ถือว่าเป็นการย่อยอาหารก็แล้วกัน ตามข้ามา”

เถ้าแก่เนี้ยพูดพลางหมุนตัวเดินขึ้นไปตามทางเดินลาดชัน ขรุขระ แม้ไม่รู้ว่าจุดหมายคือที่ใด แต่หวังลู่ก็ไม่ถามอะไร เร่งเดินตามหลังไปติดๆ

ทั้งสองเดินอยู่บนยอดเขาเร้นลับในลักษณะคนหนึ่งเดินหน้าอีกคนตามหลังด้วยความเร็วที่ว่องไวดั่งเทพ แม้ว่าเถ้าแก่เนี้ยจะถือกล่องข้าวอันหนักเขื่องที่เต็มไปด้วยถ้วยชามเปราะบางแตกง่ายในมือ ทว่านางกลับดูเหมือนเดินอยู่บนทางเรียบ กล่องอาหารไม่แม้แต่จะสะเทือน กระทั่งเสียงกระทบกันของชามและตะเกียบก็ยังไม่มีสักกระผีก แสดงให้เห็นถึงวิชาตัวเบาอันยอดเยี่ยม

สำหรับหวังลู่นั้นเรียกว่ายังห่างชั้นเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะวิ่งไกลบนเขาเป็นเวลาสองปีทุกวัน แม้จะมีความทรหดอดทนเหนือมนุษย์ แต่ที่สุดแล้วเขาก็มิได้เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ท่าทางการเคลื่อนไหวไม่สง่างามและไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก เขาจำเป็นต้องใช้แขนและขาช่วยในการทรงตัวจึงจะสามารถตามเถ้าแก่เนี้ยทัน

หลังจากที่เดินไปได้ครึ่งชั่วยาม ทะลุบริเวณโขดหินประหลาดตะปุ่มตะป่ำไปยังฝืนป่าดอกท้อ พอถึงจุดที่ไม่มีคนเถ้าแก่เนี้ยจึงหยุดฝีเท้าลง

“ไม่เลวนี่ที่ยังตามข้าทัน มิหนำซ้ำยังไม่มีอาการกระหืดกระหอบสักนิด! ขนาดลิงยังปีนเก่งสู้เจ้าไม่ได้!”

หวังลู่ตบโคลนที่ติดอยู่บนฝ่ามือออกพลางกล่าว “สำหรับเด็กดอย วิ่งหนีลิงถือเป็นความสามารถพิเศษที่ถนัดและเชี่ยวชาญ”

“ความสามารถพิเศษของเจ้าไม่ไร้ระดับไปหน่อยหรือ!? แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเวลาสองปีของเจ้ามิได้เสียเปล่า ฐานของเจ้าแข็งแรงมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่จะทำต่อจากนี้ก็น่าจะง่ายขึ้นมาหน่อย ข้าจะถ่ายทอดสุดยอดวิชาพลังวัตรให้เจ้ากระบวนหนึ่ง เจ้าก็ฝึกอย่างสบายใจเถอะ แต่ปัญหาเดียวของมันคืออาจจะเหนื่อยสักหน่อย”

หวังลู่หัวเราะ “เหนื่อยไม่กลัว ข้ารับมือได้ แต่ว่าอายุข้าก็ปาเข้าไปขนาดนี้แล้ว เพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ไม่ช้าไปหรือ?”

เถ้าแก่เนี้ยตบไปที่อกอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “อย่าเอาข้าไปเทียบกับอาจารย์ระดับพื้นๆ เหล่านั้น อย่าว่าแต่อายุสิบสี่อย่างเจ้าเลย ต่อให้เริ่มฝึกกับข้าตอนอายุสี่สิบก็ยังไม่ถือว่าสาย!”

“ไฉนประโยคนี้จึงดูคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…?”

 

——

 

หวังลู่และเถ้าแก่เนี้ยพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ทว่าเมื่อเถ้าแก่เนี้ยแสดงวิทยายุทธ์ที่นางเรียกว่า ‘พลังสยบมังกร’ ให้ดูก่อนรอบหนึ่ง หวังลู่ก็แทบเข่าทรุด

พลังสยบมังกรมิได้ซับซ้อน มีทั้งหมดสิบหกชุด แบ่งออกเป็นสามสิบกระบวนท่า แต่...แต่ละกระบวนท่ายากจนทำให้คนโกรธจนผมชี้ตั้ง ผู้ที่ประดิษฐ์คิดค้นวิทยายุทธ์ชุดนี้ต้องมีจิตใจที่อัดแน่นไปด้วยความอาฆาตแค้นใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติเป็นแน่ แต่ละกระบวนท่าถูกออกแบบมาเพื่อต่อต้านร่างกายของคนธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง มิใช่ข้อต่องอโค้งออกไปด้านนอก ก็ใช้วิธีฉีกเส้นเอ็นเพื่อยืดตัว หวังลู่ดูได้ครึ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าคำว่าสยบมังกรในที่นี้น่าจะหมายถึง หากมังกรฝึกวิทยายุทธนี้ มันต้องสยบตอนฝึกถึงครึ่งทางเป็นแน่

แน่นอน แม้ว่าวรยุทธ์ชุดนี้จะต่อต้านมนุษย์ ทว่าแดนมนุษย์ก็ยังไม่ขาดแคลนยอดฝีมือไร้เทียมทานที่ฝึกวรยุทธ์ต่อต้านมนุษย์นี้จนสำเร็จ เถ้าแก่เนี้ยร่ายรำจบไปแล้วหนึ่งรอบโดยไม่มีแววเหน็ดเหนื่อยให้เห็น ทำให้หวังลู่สงสัยยิ่งว่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก หญิงสาวที่มีพลังมหาศาลผู้นี้ได้ไปกินผลไม้ประหลาดอะไรเข้าไป แขนขาทั้งสี่ของนางจึงย่อหดยืดขยายได้อย่างอิสระทุกทิศทาง

“เอาล่ะ ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนท่าทั้งสิบหกชุดของพลังสยบมังกร รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

เถ้าแก่เนี้ยหัวเราะออกมาก่อนถามหลังร่ายรำเพลงหมัดอมนุษย์จนครบทุกกระบวนท่า “จำได้แค่ไหน?”

“รายงานท่านอาจารย์ ลืมไปหมดแล้วครึ่งหนึ่ง ศิษย์ขอถาม ต้องลืมให้หมดถึงสามารถจบการฝึกได้ใช่หรือไม่? เช่นนั้นขอเวลาให้ศิษย์อีกสองนาที...”

“บัดซบ! เจ้ากำลังล้อข้าเล่นใช่หรือไม่!”

“เพราะข้าไม่อยากเพิ่มวิชาไร้มนุษยธรรมพรรค์นี้เข้าไปในความจำของตัวเอง อาจารย์ท่านมีวิทยายุทธ์ที่ปกติธรรมดากว่านี้หน่อยหรือไม่”

เหมือนศิลปินใหญ่ที่รังสรรค์งานศิลปะแต่ไม่ถูกยอมรับ เถ้าแก่เนี้ยกล่าวอย่างเดือดดาล “เด็กไม่เอาถ่านอย่างเจ้าจะไปรู้ตดอะไร! รู้หรือไม่ว่าแดนมนุษย์มีคนจำนวนตั้งเท่าไหร่ขอร้องอ้อนวอนและเฝ้าใฝ่ฝันว่าจะมีโอกาสฝึกวิชาสยบมังกรที่ขอให้ได้เรียนแค่ครึ่งเดียวก็ยอม? ฝึกต่อไป! ฝึกไม่สำเร็จไม่ต้องกินข้าว!”

บัดซบ เอาอาหารมาขู่! ชั่วช้าสามานย์ที่สุด!

หวังลู่จึงเริ่มฝึกจริงจังด้วยความมีเกียรติอย่างว่านอนสอนง่าย

แม้ว่าในใจจะมีความรู้สึกไม่พอใจแสนสาหัส ทว่าเมื่อหวังลู่เริ่มฝึกจริงจัง กลับก้าวหน้ารวดเร็วจนน่าตกใจ

เถ้าแก่เนี้ยสาธิตให้ดูเพียงครั้งเดียวแท้ๆ แต่ทุกท่วงท่ากลับสลักลึกลงไปในใจ...แน่นอนว่านี่อาจเพราะท่วงท่าต่อต้านมนุษย์เหล่านั้นน่าตกใจเกินไป

แต่เมื่อหวังลู่ร่ายรำทั้งสามกระบวนท่าในชุดที่หนึ่งจนจบด้วยท่าทีสบายไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ กระทั่งเถ้าแก่เนี้ยก็ยังอดกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้ว่า “ใช้ได้นะเนี่ย เจ้านี่ยืดหยุ่นดีจริงๆ”

หวังลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียหมดกำลัง “ท่านนั่นแหละเป็นตุ๊กตายาง!”

“อืม ในเมื่อเจ้าร่ายรำกระบวนท่าเหล่านี้ได้อย่างสบาย เรามาเพิ่มความเร็วกันสักเล็กน้อยดีกว่า หลังจากนี้เราจะเพิ่มวิธีหายใจเข้าไป มา ฟังสัญญาณจากข้าแล้วกำหนดลมหายใจ...”

ยามนี้ระดับความยากเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัวนัก แม้ว่าหวังลู่จะมีสภาพร่างกายที่สามารถร่ายรำท่าสยบมังกรที่สุดแสนอัปยศได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่าเมื่อเถ้าแก่เนี้ยให้ผสานจังหวะพิเศษอย่างการหายใจเข้าไป หวังลู่ก็พลันรู้สึกกดดันราวกับมีภูเขามหึมาลูกหนึ่งกดทับตัวเองอยู่ จังหวะการหายใจของเถ้าแก่เนี้ยไร้ซึ่งกฎระเบียบอย่างสิ้นเชิง บางครั้งช้าบางคราเร็ว เร็วราวกับพายุลูกเห็บจนคนตั้งรับไม่ทัน ครั้นเมื่อถึงคราวช้ากลับบรรจงเนิ่นนานจนอึดอัดแทบหายใจไม่ออก คล้ายจงใจกลั่นแกล้งกันมากกว่าเป็นการฝึกหายใจ

หากแต่ไม่นาน หวังลู่ก็รู้สึกว่าร่างกายคล้ายมีพลังงานพิเศษกระแสหนึ่งไหลทะลวงไปตามส่วนต่างๆ ภายใน ซึ่งสอดคล้องเป็นไปตามที่เถ้าแก่เนี้ยบอก

และเมื่อกระแสพลังงานไหลเข้าสู่ร่างกาย กล้ามเนื้อทั่วร่างก็เริ่มสั่น ขยายและหดเบาๆ แม้รัศมีการสั่นจะไม่เป็นวงกว้างมาก ทว่ากลับครอบคลุมกล้ามเนื้อทุกส่วน เมื่อเขาทำจนครบทุกกระบวนท่า การเผาผลาญก็ดูจะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ หวังลู่ยืนหยัดได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็พบว่าเหงื่อเปียกชโลมไปทั่วตัว หัวใจเต้นถี่เร็วอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อเถ้าแก่เนี้ยเห็นสภาพเหงื่อท่วมจนตัวเปียก ก็จุ๊ปากชม “โอ๊ะ? ร่างกายมีปฏิกิริยาเร็วเพียงนี้เชียว?  ความสามารถในการรับรู้กระแสพลังงานของเจ้าช่างเฉียบไหวดีแท้! หากที่นี่คือแดนมนุษย์ นับว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ์อัจฉริยะหายากที่ร้อยปีจะมีมาให้เห็น”

หวังลู่สวนกลับขณะที่กำลังอดทนอยู่กับการกำหนดลมหายใจ “บัดซบ! ข้าคือรากวิญญาณนภา อัจฉริยะหายากที่หมื่นปีถึงจะพบบนโลกบำเพ็ญเซียนนะ!”

“อืมๆ วัสดุต้นแบบหายากสินะ...” เถ้าแก่เนี้ยเบ้ปาก “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน สามารถทำให้ลิงป่าอย่างเจ้าเหนื่อยเหมือนสุนัขตายได้ถือว่าเพียงพอแล้ววันนี้ กลับไปพักผ่อนซะ ร่างกายฟื้นตัวเมื่อไหร่ก็ให้หาเวลาฝึกฝน ฝึกพลังสยบมังกรชุดนี้จบเมื่อไหร่ข้าจะสอนการต่อสู้ให้อีกสองสามกระบวน จากความฉลาดเฉลียวของเจ้าและฝีมืออันเหนือชั้นของข้า เชื่อว่าไม่ถึงเดือน อย่างน้อยก็ต้องเอาชนะพวกลูกสมุนของจูฉินแบบตัวต่อตัวได้อย่างแน่นอน”

อะไรกัน! ฝึกหนักตั้งหนึ่งเดือนแต่กลับทำได้เพียงเอาชนะแบบหนึ่งต่อหนึ่งเนี่ยนะ? สองปีมานี้ข้าถูกคนเขาสอยร่วงมาตั้งเท่าไร! อาจารย์ที่เคารพรัก มิใช่ว่าท่านควรพิจารณาชดเชยความเสียหายให้กับชีวิตวัยรุ่นของข้า!?

——

คืนนั้นหวังลู่ต้องลากร่างกายอันอ่อนระโหยโรยแรงกลับไปยังยอดเขาไร้ลักษณ์ เมื่อหัวถึงหมอนก็สลบเหมือดในทันที เช้าวันถัดมา หวังลู่ก็ปวดเมื่อยไปทั้งร่าง ปวดจนแทบอยากจะตายให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น

ทว่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมิได้กินข้าว หวังลู่ก็ฝืนประคองตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง เดินลาขากกะเผลกไปยังห้องรับแขก จากนั้นจึงกวาดหมั่นโถ ผักกาดดอง ข้าวต้ม และหมูลมควันแผ่นบนโต๊ะเข้าปากจนเกลี้ยงภายในเวลารวดเร็ว

กินจนหมดเขาก็จัดการล้างถ้วยชามเสร็จสรรพ จากนั้นหวังลู่ก็ผลักประตูห้องของอาจารย์  กลิ่นเหล้าโชยตลบอบอวลไปทั้งห้อง อาจารย์นอนอยู่บนพื้นราวกับสนุขที่ตายแล้วเหมือนที่ผ่านมาไม่มีผิดเพี้ยน ชุดขาวของนางสะอาดสะอ้านไร้ราคี แต่ท่าทางการนอนแผ่หลาอ้าซ่าไม่เป็นระเบียบเผยให้เห็นผิวเปลือยเปล่า จะว่าไป หากประเมินและให้คะแนนผู้อาวุโสห้าท่านนี้ตามจริง นางถือได้ว่าเป็นสตรีที่งดงามหาได้ยากคนหนึ่ง แต่แน่นอนว่าเมื่อพิจารณาอารมณ์จิตใจ และปัจจัยอื่นๆ ของนางด้วยแล้ว นางจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดร้ายกาจน่ารังเกียจขึ้นมาทันที

อาจารย์เป็นหญิงงามคนหนึ่ง บนโลกบำเพ็ญเซียนผู้บำเพ็ญหนุ่มสาวจำนวนมากต่างก็ชื่นชมและเฝ้าปรารถนาในความงามของนาง แต่น่าเสียดายที่สองปีมานี้ หวังลู่เห็นเนื้อหนังมังสาของนางจนหน่าย ปรายตามองไปยังร่างของอาจารย์ เมื่อเห็นว่านางยังไม่ตายจึงปิดประตูหันหลังกลับ เบื่อที่จะสนใจอาจารย์ชั้นสูงท่านนี้ ดีที่วันนี้ไม่มีวิชาเรียนที่หอเถิ่งอวิ๋น จึงฝึกวิทยายุทธบนยอดเขาไร้ลักษณ์ได้อย่างวางใจมิต้องกังวลใดๆ ตามที่เถ้าแก่เนี้ยบอก วิชาสยบมังกรนี้ยิ่งอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องฝึกต่อไปไม่ควรหยุดพัก ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะยิ่งดีขึ้นเป็นเท่าทวี

ส่วนสถานที่ฝึกวิทยายุทธ์นั้นเรียกร้องอะไรมากไม่ได้ ก็ใช้ลานโล่งนอกกระท่อมนั่นแหละ การคาดหวังสุนัขที่นอนตายอยู่ในบ้านตัวนั้นให้เหมือนผู้อาวุโสของยอดเขาอื่นๆ ที่จัดสรรพสนามฝึกวิทยายุทธ์แบบอาชีพให้แก่ศิษย์ผู้สืบทอดนั้น... คงเป็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิต

หลังจากที่ยืดเส้นยืดสายครู่หนึ่ง เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดของร่างกายราวจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ หวังลู่ทำตามคำแนะนำของเถ้าแก่เนี้ยที่ให้ไว้เมื่อวาน ร่ายรำแต่ละกระบวนท่าจนกลายเป็นท่าสยบมังกร แม้จะขาดเสียงให้จังหวะของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ไม่อาจวาดลวดลายควบคู่ไปกับการกำหนดจังหวะหายใจ ทว่าตัวกระบวนท่าชุดนี้เองทั้งชุด ก็เป็นชุดที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว

หลังจากที่ร่ายรำจบไปแล้วรอบหนึ่ง หวังลู่รู้สึกเพียงว่าอาการปวดเมื่อยตามร่างกายลดลงไม่กี่ส่วนเท่านั้น แต่ต้องยอมรับว่าวิทยายุทธ์จากแดนมนุษย์ชุดนี้มหัศจรรย์จริงๆ คารวะเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้เป็นอาจารย์ไม่ขาดทุนโดยแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับตัวที่นอนตายอยู่ในบ้าน ช่างเป็นอาจารย์ที่น่ารักของศิษย์อย่างแท้จริง!

ทว่ารอบนี้ในขณะที่เพิ่งฝึกได้ครึ่งทาง ก็มีแว่วเสียงโอดครวญของสตรีนางหนึ่งดังเนือยๆ มาจากในบ้าน

“อา...ปวดหัวจังเลย...”

ฮ่าๆ เมาค้างสินะ? ยายโง่เง่าสมองทึบ! ยากแค้นจนขนาดต้องเชิดเงินอุดหนุนของศิษย์ ยังมีหน้าวิ่งหน้าเริดไปซื้อสุราเซียนมรกตขวดละหลายร้อยศิลาวิญญาณทุกวัน สมน้ำหน้าปวดหัวจนตายไปเลยยิ่งดี! ถ้าจะให้ดีที่สุดคือเมาจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ถูกพวกเหลือเดนคุนหลุนจับทำตุ๊กตายางจึงจะสาแก่ใจ!

ทว่าผู้อาวุโสห้าก็คือผู้อาวุโสห้า เพียงแค่จัดระเบียบพลังภายในเล็กน้อยร่างกายก็กลับมาสดชื่นมีชีวิตชีวา อาการเมาค้างก็หายเป็นปลิดทิ้ง

“อืม เมาเต็มที่ ก็ต้องนอนให้เต็มที่ถูกต้องแล้ว! ฮ่าๆ! เดี๋ยวอีกสองวันค่อยดื่มอีกรอบ!”

ขณะที่พูดก็ก้าวออกจากประตู เมื่อเห็นหวังลู่กำลังฝึกวิชาสยบมังกรก็ชะงัก

“เอ๋? หวังลู่น้อยนี่เจ้ากำลังทำอะไร?”

หวังลู่ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “บัดซบ ไม่เห็นหรือ ก็ฝึกวิทยายุทธ์น่ะสิ!”

“ฝึกวิทยายุทธ์?” ผู้อาวุโสห้าถามอย่างฉงน “ฝึกวิทยายุทธ์อะไร? ข้าเคยสอนเจ้ารึ?”

บัดซบ แพศยาอย่างเจ้ายังมีหน้ามาพูด! สองปีที่ผ่านมาไม่เคยสอนวิชายุทธ์ให้ข้าแม้แต่สักครั้ง! วันๆ ไม่วิ่งไกลก็แช่น้ำ นี่ท่านรับศิษย์หรือเลี้ยงหมูหา!?

ผู้อาวุโสห้าเดินวนรอบหวังลู่รอบหนึ่งอย่างสนอกสนใจ หลังจากที่สังเกตการจัดตำแหน่งท่วงท่าของเขาอย่างละเอียดปราดหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างฉงนสนเท่ห์ “ไฉนข้ารู้สึกเหมือนว่าเจ้ากำลังฝึกวิทยายุทธ์ของแดนมนุษย์ล่ะ?”

หวังลู่จึงหยุดฝึก ยืดตัวขึ้นยืนก่อนว่า “ก็วิทยายุทธ์ของแดนมนุษย์น่ะสิ ข้าไปเจอยอดฝีมือท่านหนึ่งตรงตีนเขา พอเห็นว่าข้าบำเพ็ญที่สำนักกระบี่วิญญาณมาสองปีแต่กลับทำได้เพียงวิ่งเป็นลิงป่า จึงรู้สึกเห็นใจยิ่งยวดก็เลยสอนวรยุทธ์แก่ข้า”

หลังจากที่ผู้อาวุโสห้านิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็กระทืบเท้าด้วยความโมโหโทโส “ยอดฝีมือขี้หมาน่ะสิ! สอนวิทยายุทธ์แดนมนุษย์ให้กับศิษย์ผู้สืบทอดของสำนัก? ต้องมีความคิดที่โง่เง่าขนาดไหนถึงจะทำสิ่งนี้ได้? หวังลู่น้อยเจ้าคนโง่เง่า มีข้าเป็นถึงอาจารย์แต่ไม่มาขอคำชี้แนะ กลับไปขอให้นักต้มตุ๋นสอนวิทยายุทธ์แดนมนุษย์? จะ...เจ้ากินแหงนมองดารามากไปจนเสียสติใช่หรือไม่!”

หวังลู่สวนกลับอย่างเดือดดาล “มารดาท่านก็รู้ว่าอาหารของโรงอาหารยอดเขาเร้นลับย่ำแย่เพียงใด!? แต่ก็ยังเอาตั๋วอาหารระยะยาวนั่นให้ข้า! อีกอย่างคนเขาจะต้มตุ๋นอย่างไรแต่วิชายุทธ์ที่เขาสอนก็เป็นของจริง! ข้าอยู่กับท่านเช่นคนไม่มีอนาคตมาสองปียังไม่เท่าอยู่กับจอมยุทธ์ยอดฝีมือผู้นั้นหนึ่งคืน ท่านยังมีหน้ามาพูดอีกรึ!?”

ผู้อาวุโสห้าตกตะลึงพรึงเพริดเหลือจะกล่าว “เจ้าศิษย์กบฏ (ศิษย์อกตัญญู) กล้าเอาข้าไปเทียบกับคนต้มตุ๋นนั่นเรอะ?!”

“ท่านคิดว่าตัวเองเทียบกับเขาได้อย่างนั้นหรือ!?”

หวังลู่เพิ่งเหน็บแนมถากถางได้ครึ่งคำก็ถูกอาจารย์ผู้มีพระคุณที่โกรธเกรี้ยวจนแทบกระอักเลือดแทรกขึ้น

“คนโง่เง่า มีตาหามีแววไม่! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าสองปีนี้อาจารย์อย่างข้าแอบอู้ไม่ใส่ใจเรื่องของเจ้า?”

หวังลู่แค่นหัวเราะ “เช่นนั้นก็ขอเชิญอาจารย์สาบานกับปีศาจในใจ ว่าสองปีมานี้ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาสอนสั่งศิษย์ด้วยความพยายามอย่างสุดความสามารถ หากโกหก นับแต่นี้เป็นต้นไปต้องเลิกสุราและอบายมุข ใช้ชีวิตโดยมีผู้อาวุโสฝ่ายวินัยฟางเฮ่อเป็นแบบอย่าง!”

ใบหน้าของผู้อาวุโสห้าซีดเผือด “เลิกสุราและอบายมุข!? คำสาบานชั่วร้ายขนาดนี้ใครเป็นคนสอนเจ้า!?”

“ฮิๆ อ่านจากหนังสือ อาจารย์ท่านร้อนตัวรึ? ท่านกลัวแล้วใช่หรือไม่?”

“ระยำ! ร้อนตัวอะไร! ข้า...! ข้าแค่ลืมว่าต้องสาบานกับปีศาจในใจอย่างไรต่างหาก”

“บัดซบ ข้ออ้างนี้ท่านก็ยังคิดออกมาได้! ช่วยมียางอายสักนิดเถิดขอร้อง!”

ผู้อาวุโสห้าถูกศิษย์รักไล่ต้อนจนจนตรอกไม่มีทางให้ออก โกรธจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้า! เจ้าพูดมากขนาดนี้ เพียงเพราะไม่พอใจมาตรฐานการสอนของข้าสินะ ง่ายมาก เจ้าไปพาอาจารย์เก๊คนนั้นมาสู้กับข้าสักตั้ง ข้าจะเตะก้นคนให้ดู!”

หวังลู่ทึ่ง “ท่านอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ มาตรฐานของท่านนั้นต่ำสุดๆ! เป็นถึงผู้บำเพ็ญขั้นสร้างแกนแต่กลับต้องการประลองกับอาจารย์สอนวิทยายุทธ์จากแดนมนุษย์?”

ผู้อาวุโสห้าสวนกลับด้วยความโกรธา “แน่นอนว่าข้าต้องลดตบะของข้าให้อยู่ในระดับมนุษย์ปกติอยู่แล้ว! แข่งกันอย่างยุติธรรม ใครชนะคนนั้นเป็นเทพ”

“ฮ่าๆ แผนการแยบยลอะไรเช่นนี้ ถึงเวลาท่านก็จะแกล้งแพ้ จากนั้นก็ฉวยโอกาสเตะศิษย์รากวิญญาณนภาคนนี้ออกไป แล้วใช้ชีวิตอย่างอิสระบนเขาอย่างมีความสุข...”

พูดไม่ทันจบก็ถูกผู้อาวุโสห้าขัดขึ้นอีกครั้ง ในช่วงเวลาคับขันหายใจกระชั้นเช่นนี้ อะไรนางก็กล้าทั้งนั้น “หากข้าแพ้! จะจัดการกับข้าอย่างไรก็ได้ตามแต่เจ้าต้องการ! ให้เป็นส้วมบำบัดความใคร่ก็จะไม่บ่นแม้แต่สักคำ!”

“ตกลงตามนี้!”

หลังจากที่ถูกหวังลู่ฉกฉวยผลประโยชน์ขณะเลือดร้อนจนไร้สติ ผู้อาวุโสห้าก็สงบลงหลายส่วน ทบทวนดูดีๆ อีกรอบก็ตระหนักได้ว่าตนติดกับแผนการของศิษย์รักเข้าให้แล้ว

แต่ที่สุดแล้วก็เป็นเพียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ยังไม่เห็นโลก อุบายกระจอกงอกง่อยเช่นนี้จะทำอะไรนางได้? เฮอะ นึกไม่ถึงว่าจะไปฝึกวิทยายุทธ์แดนมนุษย์อะไรนั่น หารู้ไม่ว่าตนกำลังได้รับการศึกษาอันยอดเยี่ยมที่สุดของเขากระบี่วิญญาณอยู่!

ทั้งที่มีหญิงงามเพริศพริ้งยอมนอนด้วยแท้ๆ แต่กลับเลือกใช้มือช่วยตัวเอง! จบงานนี้เห็นทีข้าต้องสั่งสอนเจ้าศิษย์โง่เง่าคนนี้ให้หลาบจำ!

.....................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด