ตอนที่แล้วภาค 1 ตอนที่ 22 เหตุใดเงินเดือนของข้าจึงหายไป
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปภาค 1 ตอนที่ 24 แล้วจะได้รู้ว่าอะไรคือความไม่ธรรมดา

ภาค 1 บทที่ 23 เมื่อผลเก็บเกี่ยวได้รับความเสียหาย


28บทที่ 23 เมื่อผลเก็บเกี่ยวได้รับความเสียหาย

สำนักกระบี่วิญญาณมิได้จัดงานชุมนุมคัดเลือกเซียนมานานนับร้อยปี ดังนั้นเมื่อจัดงานขึ้น พวกเขาก็จะได้ศิษย์อัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ที่คนต้องตะลึง

หลังจากออกจากหมู่บ้านดอกท้อ มีผู้เข้าร่วมทดสอบทั้งหมดสิบเจ็ดคนที่สามารถเดินมาถึงช่วงสุดท้ายของเส้นทางนี้จากการพึ่งใบบุญของหวังลู่ จนถึงตอนนี้ก็มีเพียงสิบห้าคนที่ผ่านด่าน นอกจากเวรตะไลสองตัวที่ยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มต้น แม้แต่ไห่อวิ๋นฟาน จูฉิน หวังจงและคนอื่นๆ ต่างก็คลานออกมาจากหลุมน้ำแข็งอย่างยากลำบากแล้วเดินจนไปถึงจุดหมายหลังจากแผ่นฟ้าและพื้นดินแยกออกจากกัน

เพียงกระบี่เดียว ทั้งสี่ดินแดนก็ถูกทะลวง เส้นทางบรรลุเซียนถูกตัดขาดเป็นสองท่อน คนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนผ่านด่านอย่างไม่มีเงื่อนไข...

อุบัติเหตุที่ทำให้คนปีติยินดีนี้สร้างความหวาดกลัวและตื่นเต้นให้กับผู้เข้าร่วมโดยแท้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง สำนักกระบี่วิญญาณฝ่ายในกำลังวุ่นวายโกลาหล หากปัญหาของหมู่บ้านดอกท้อก่อนหน้าเป็นเพียงโรคกลากเกลื้อน ภาพการเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์นี้คงเป็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัสจากโรคกระดูกและประสาท เหตุการณ์เช่นนี้แม้แต่ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาเร้นลับก็มิอาจตัดสินใจเองได้ สุดท้ายก็ทะเลาะกันวุ่นวายจนเรื่องไปถึงยอดเขาประกายดาวของเจ้าสำนักกระบี่วิญญาณ

ภายในกระท่อมหลังเล็กของบนยอดเขาประกายดาว ผู้อาวุโสทั้งเก้าแห่งหอกระบี่สวรรค์นั่งเบียดเสียดชุมนุมกันอยู่ในห้องของเจ้าสำนัก

หัวหน้าผู้อาวุโส ซึ่งก็คือเจ้าสำนักเฟิงอิ๋น ยังคงหลับตาสงบจิตนิ่งเงียบไม่พูดอะไรสักคำ ตรงข้ามกับผู้อาวุโสรองหลิวเสี่ยนที่ไม่อาจระงับความโกรธแค้นชิงชัง ตบไปที่พนักพิงเก้าอี้ไม่หยุดพร้อมคำรามออกมาด้วยความฉุนเฉียว

“ข้าถึงได้บอกว่าอย่าปล่อยให้สตรีนางนี้ยุ่งกับงานชุมนุม! ทั้งๆ ที่สมองโง่เง่าของนางมีปัญหา! แต่พวกท่านก็ยังให้ท้ายส่งเสริม ซ้ำยังเห็นดีเห็นงามเชื่อมั่นในการออกแบบอันเปี่ยมไปด้วยมนุษยธรรมอะไรนั่นของนาง! สุดท้ายก็เกิดปัญหาจนได้! ไหนพวกท่านว่ามาสิว่าตอนนี้จะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร!?!”

ผู้อาวุโสแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป ทว่ากลับไม่มีใครยอมรับผิดชอบกับปัญหาที่สุดแสนจะเละเทะนี้

มีเพียงหญิงสาวร่าเริงที่ไร้ตำแหน่งนางหนึ่งไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่รองใจเย็นก่อนเถอะ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใด อย่างน้อยเราก็ยังเป็นศิษย์ชั้นในร่วมอาจารย์ ดังนั้นท่านต้องควบคุมสติระงับอารมณ์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีนะ อย่างไรตอนนี้ต่อให้โทษศิษย์พี่ห้าขนาดไหนก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”

เมื่อเห็นดวงหน้างดงามที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มใบนั้น หลิวเสี่ยนก็ไม่สามารถโต้กลับไปอย่างรุนแรงได้ ได้แต่ส่ายศีรษะบ่น “ศิษย์น้องหญิงเจ้าก็พูดง่ายสิ เพราะตอนนี้มิใช่เจ้าที่เป็นคนปวดหัว...”

สาวน้อยแอบหัวเราะ “ฮิๆ ใครใช้ให้ท่านเป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเร้นลับล่ะ ข้าเป็นแค่ผู้อาวุโสยอดเขาเสรี หากเป็นข้า ข้าว่าท่านเก็บไว้ทั้งหมดให้จบๆ ไปเลยดีกว่า สำนักกระบี่วิญญาณมีคนน้อยอยู่พอดี เพิ่มสิบห้าคนนี้เข้ามาสำนักจะได้ครึกครื้นขึ้นมาบ้าง”

หลิวเสี่ยนเลิกคิ้วจ้องไปยังนาง “ศิษย์น้องหญิงเจ้าอย่าทำเป็นเรื่องเล่น! ในช่วงร้อยปีมานี้จำนวนศิษย์ชั้นในของยอดเขาเร้นลับของข้าไม่เคยเกินสามสิบสี่คน แต่ตอนนี้กลับมีคนใหม่โผล่มาถึงสิบห้าคน หากข้ารับเข้ามาทั้งหมด มิใช่หายนะหรอกหรือ! แผนที่วางไว้ขั้นต้นคือมีสิบกว่าคนเดินมาถึงจุดหมายก็ถือว่าไม่เลวแล้ว จากนั้นเราก็อาจจะเลือกคนที่ดีที่สุด จากในกลุ่มสักสามสี่คน... แต่ดูสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำ! ตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว!”

ผู้อาวุโสหกลู่หลีที่หลับตาสงบจิตอยู่ตลอดค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแล้วกล่าวช้าๆ “เรื่องอื่นไม่พูดถึง ทรัพยากรของสำนักไม่อาจรองรับศิษย์ชั้นในจำนวนสิบห้าคนได้ แม้ว่าฐานะความเป็นอยู่สำนักกระบี่วิญญาณของเราจะมีเงิน แต่ก็ไม่อาจใช้อย่างสิ้นเปลืองได้”

หลิวเสี่ยนพยักหน้ารัวกล่าวกับศิษย์น้องหญิงหวาอวิ๋นว่า “ดูสิ! แม้แต่ศิษย์น้องลู่หลียังกล่าวเช่นนี้ ศิษย์น้องเล็กเจ้ายังมีอะไรจะโต้แย้งอีก?”

ศิษย์น้องเล็กแลบลิ้น “คนที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารเงินได้เปล่งวาจาออกมาขนาดนี้แล้ว คนที่อาศัยเขากินอย่างข้ายังจะพูดอะไรได้อีก? หากข้าทำให้ศิษย์พี่หลีโมโห แล้วเกิดหักงบประจำปีของยอดเขาเสรีขึ้นมาข้าก็ซวยสิ”

ลู่หลีทั้งฉุนทั้งขำกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็กดูเจ้าพูดเข้าสิ ข้าจำไม่ได้ว่าเคยหักงบของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนที่เจ้าขอเงิน ข้าเคยพูดว่าไม่ให้หรือ?”

“เหอะ ล่าสุดที่ข้าขอซื้อเพชรประกายดาว ท่านมิได้ปฏิเสธข้าหรอกหรือ?”

“…ใครจะเอาเงินส่วนกลางของสำนักไปให้เจ้าซื้อเครื่องประดับส่วนตัวกัน!?”

“อะแฮ่ม!”

ตอนนั้นเอง ในที่สุดผู้อาวุโสที่มีอำนาจสูงสุดก็ไม่สามารถทนดูต่อไปได้

“พอแล้ว พวกเจ้าหยุดทะเลาะกันสักที เรื่องนี้ไม่อาจละเลยโดยที่ไม่ได้รับการแก้ไข ทว่าจะแก้ไขอย่างไรนั้น เราจำเป็นต้องใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพและใช้ได้จริง ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พวกเจ้าบอกว่าไม่อาจรับทั้งสิบห้าคนนี้เข้ายอดเขาเร้นลับทั้งหมด แต่หลังจากนั้นล่ะ? อย่างไรซะก็ต้องมีสักวิธี”

ผู้อาวุโสหลายคนรู้สึกลำบากใจไม่น้อย ทำได้เพียงมองหน้ากันไปมา วิธีหรือ? ใครก็มีวิธีทั้งนั้นแหละ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อมั่นว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ทุกคนในที่นี้ยอมรับได้

ในที่สุดก็เป็นผู้อาวุโสหกที่ปริปากเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “จากที่ข้าคำนวณไว้ การที่จะให้ทั้งสิบห้าคนนี้อยู่ในยอดเขาเร้นลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน...แต่ถ้าหากเพิ่มเข้าไปในยอดเขาเสรีก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ทรัพยากรของสำนักย่อมเพียงพอ”

ไม่ว่าจะสำนักไหน ทรัพยากรของสำนักชั้นในและชั้นนอกล้วนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน และสำนักกระบี่วิญญาณที่มีคนอยู่เพียงจำนวนน้อยนิดก็ใช้นโยบายอันยอดเยี่ยมนี้เช่นเดียวกัน ในขณะที่ศิษย์ชั้นในมีเพียงยี่สิบสี่คน แต่ศิษย์ชั้นนอกกลับมีมากถึงสองร้อยกว่าคน ดังนั้นทรัพยากรที่ได้รับจะแตกต่างกันกว่าสิบเท่า

แม้ว่าสำนักกระบี่วิญญาณจะรองรับค่าใช้จ่ายสำหรับศิษย์ชั้นนอกทั้งสิบห้าคนได้ แต่ศิษย์น้องเล็กบางคนที่เป็นผู้อาวุโสของยอดเขาเสรีอย่างหวาอวิ๋นกลับไม่พอใจยิ่ง

“ตาเฒ่าหกหน้าเหม็นท่านหมายความว่าอะไร? ท่านคิดว่ายอดเขาเสรีของข้าเป็นถังขยะรึ!?”

ลู่หลีรีบโบกมือไปมาแล้วอธิบายอย่างร้อนรน “ข้าเพียงแต่เสนอตัวอย่างจากมุมมองด้านทรัพยากรของสำนักเท่านั้น ศิษย์น้องโปรดอย่าได้เข้าใจผิดเป็นอื่น…”

ตอนนี้เองศิษย์น้องเล็กที่เพิ่งแสดงสีหน้าบึ้งตึงออกไปก็นั่งลงแล้วกล่าวว่า “ถ้าจะให้ข้าพูด ไหนๆ หลายร้อยปีมานี้งานชุมนุมคัดเลือกเซียนก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในการหาศิษย์ใหม่เลย เราก็เตะสิบห้าคนนี้ลงจากเขาไปเลยสิ”

ลู่หลีที่ยั่วหวาอวิ๋นโมโหเมื่อครู่ก็กล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย “อืม นั่นจะทำให้สำนักเราประหยัดทรัพยากรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว...”

“พวกเจ้าเลิกเสนอวิธีไร้สาระได้แล้ว เตะสิบห้าคนนี้ลงเขา? พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไร? ตามกฎแล้วพวกเขาต่างทำภารกิจบนเส้นทางบรรลุเซียนสำเร็จอย่างสมบูรณ์ มิหนำซ้ำยังตั้งอกตั้งใจเดินจนถึงยอดเขาเร้นลับ!”

ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยฟางเฮ่อชี้ไปยังหวาอวิ๋นและลู่หลีด้วยความเกรี้ยวโกรธ “หากเราเป็นพรรคมารนอกรีตหรือสำนักเล็กปลายแถวก็คงไม่เป็นไร แต่หากสำนักกระบี่วิญญาณของเรากระทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นี่ถือเป็นการสร้างความอัปยศให้แก่ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักอย่างแท้จริง!”

หวาอวิ๋นแลบลิ้นปลิ้นตา แต่ก็มิกล้ายอกย้อนผู้อาวุโสฝ่ายวินัยที่มีอำนาจแทบจะเทียบเท่าศิษย์พี่เจ้าสำนัก ทว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวนางก็เอียงศีรษะบ่นงึมงำเบาๆ “ตาแก่หัวรั้นที่มุ่งมั่นจะอยู่คนเดียวไปจนตาย...”

ได้ยินดังนั้นฟางเฮ่อก็โกรธจนควันออกหู

เคราะห์ดีที่เจ้าสำนักเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เหอะๆ ตอนนี้เดือนร้อนกันถ้วนหน้า เราไม่สามารถเก็บพวกเขาไว้ และก็ไม่สามารถรับเข้าสำนักชั้นในด้วย แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดี?”

ผู้อาวุโสรองหลิวเสี่ยนจึงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “เป็นเพราะศิษย์พี่เจ้าสำนักเองให้ท้ายศิษย์น้องห้าจนเกินไป  ดังนั้นท่านต้องหาทางออกให้กับเรื่องนี้!”

“เหอะๆ หากพูดถึงทางออก จริงๆ แล้วก็มีอยู่วิธีหนึ่ง และยังเป็นวิธีที่ง่ายมากอีกด้วย หากสิบห้าคนมากเกินไป เราก็แค่คัดเฉพาะคนที่เหมาะสมไว้ก็พอ”

ผู้อาวุโสฝ่ายวินัยมุ่นคิ้ว “เจ้าสำนัก นี่มันผิดกฎ ตามหลักพวกเขาผ่านด่านแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ควรสร้างเรื่องให้ยุ่งยากขึ้น...”

“อย่างไรกฎก็ต้องถูกอธิบายโดยมนุษย์ สำหรับข้า สิบห้าคนนี้ยังไม่ผ่านการทดสอบของเส้นทางบรรลุเซียน เนื่องจากช่วงท้ายของเส้นทางถูกทำลายอย่างรุนแรงด้วยพลังภายนอกที่มิอาจต้านทานได้ ดังนั้นข้ามั่นใจว่าพวกเขายังไม่ทันได้ทำแบบทดสอบแน่นอน”

ฟางเฮ่อตะลึงอ้าปากค้าง “นี่เป็นวิธีที่ไร้เหตุผลอย่างแท้จริง”

หลิวเสี่ยนปรบมือเห็นด้วยกับข้อเสนอของเจ้าสำนัก “ไร้เหตุผลตรงไหน? นี่คือคำชี้แนะที่ล้ำเลิศชัดๆ! เส้นทางบรรลุเซียนครั้งนี้ถูกแก้แล้วแก้อีก เจ้าสำนักไม่ให้พวกเขากลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นก็ถือว่าใจกว้างมากแล้ว”

ในผู้อาวุโสทั้งสิบแห่งหอกระบี่สวรรค์ (ตอนนี้เหลือเพียงเก้า) เมื่อผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งและสองลงมติเดียวกัน คนอื่นจะพูดอะไรได้อีก? ดังนั้นการประชุมผู้อาวุโสครั้งนี้จึงจบลงด้วยประการฉะนี้

ครึ่งวันหลังจากนั้น ผู้อาวุโสหอกระบี่สวรรค์ก็รวมตัวกันที่ยอดเขาเร้นลับเพื่อพิจารณาและตัดสินผู้เข้าร่วมทดสอบทั้งสิบห้าที่ผ่านด่าน

——

ผู้เข้าร่วมสิบห้าคนที่กำลังรวมตัวอยู่ในหอเมฆาเร้นลับของยอดเขาเร้นลับส่วนใหญ่ต่างรู้สึกไม่พอใจ

แน่นอนว่านี่ก็คือปฏิกิริยาปกติของมนุษย์หลังจากที่รู้สึกปีติยินดีที่ประตูสู่เซียนกำลังเปิดอ้าต้อนรับพวกเขา แต่จู่ๆ ก็ได้รับแจ้งว่าจะมีการทดสอบเพิ่มเติม ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองไปยังผู้คุมสอบครั้งนี้แล้ว มาตรฐานต้องสูงกว่าปกติและความเป็นไปได้ที่จะผ่านด่านต้องน้อยมากแน่ๆ! เหมือนคืนวันเข้าหอที่เจ้าบ่าวถอดกางเกงแล้วงัดปืนส่วนตัวออกมาเพื่อทำให้การสมรสเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่เมื่อเขาเลิกผ้าคลุมศีรษะขึ้นกลับเห็นพ่อตากำลังยิ้มจนใบหน้าย่นยับพร้อมกับแบมือขอค่าสินสอดจำนวนมหาศาล ไม่แปลกใจที่คนจะไม่พอใจ

อย่างไรก็ตาม จะยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม โวยวายอย่างไรสุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมรับความจริงอยู่ดี เพราะขนาดคนที่มีสิทธิ์โวยวายเต็มที่อย่างคนคนนั้นยังนิ่งเงียบ คนอื่นๆ ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะประท้วง

ความเงียบขรึมของหวังลู่ทำให้คนจำนวนมากหมดโอกาสใช้สถานการณ์ที่ไม่เป็นธรรมนี้เป็นข้ออ้างในการประท้วง เนื่องจากในบรรดาคนทั้งสิบห้าคน มีเพียงหวังลู่เท่านั้นที่ผ่านทุกการทดสอบอย่างแท้จริง ส่วนคนอื่นล้วนอาศัยเขาทั้งสิ้น แต่กลับมีชื่อของหวังลู่ติดอยู่บนใบรายชื่อการทดสอบเพิ่มเติม ไม่รู้เหมือนกันว่าคนของสำนักกระบี่วิญญาณกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือไม่ได้คิดจะรับเด็กใหม่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?

สำนักกระบี่วิญญาณกำลังคิดอะไรอยู่ หวังลู่ไม่รู้และขี้เกียจคิด สำหรับคนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอย่างเขา บททดสอบที่สำนักกระบี่วิญญาณโยนมาให้ยากเท่าไหร่ ผู้ชนะก็จะยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรซะรากวิญญาณสวรรค์ก็อยู่นี่แล้ว ใครจะกล้าปฏิเสธเขา?

ดังนั้น ในขณะที่คนอื่นกำลังรวมตัวหารือเกี่ยวกับแผนการตอบโต้อยู่ที่ลานหน้าหอเมฆาเร้นลับนั้น หวังลู่กลับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งมองดูพวกเขาด้วยสายตาเฉยชา หอเมฆาเร้นลับยังไม่เปิด แบบทดสอบก็ยังมิได้ประกาศชัดเจน ขนาดนักผจญภัยมืออาชีพอย่างเขาก็ยังจับทิศทางของด่านถัดไปไม่ได้ ปรึกษาหารือกันแล้วได้อะไรขึ้นมา? เป็นการกระทำที่ปลอบใจตัวเองโดยแท้...

แต่อย่างไรก็ตาม เขากลับรู้สึกว่าเส้นทางข้างหน้าเต็มไปด้วยทางคดเคี้ยวและยากลำบาก บางทีอาจจะมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ได้...

——

ในขณะที่เด็กหนุ่มสาวกำลังคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาอยู่ตรงหน้าลาน เวลาก็เคลื่อนผ่านไปช้าๆ แต่ประตูของหอเมฆาเร้นลับกลับยังไม่เปิดสักที ดังนั้นผู้คนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรออยู่ด้านนอกอย่างแห้งเหี่ยวโดยที่ไม่รู้จะทำอะไร

ส่วนภายในหอเมฆาเร้นลับ บรรดาผู้อาวุโสแห่งหอกระบี่สวรรค์ต่างเริ่มกระวนกระวาย คนอื่นๆ ก็มากันครบหมดแล้ว และกำลังรอให้การทดลอบเพิ่มเติมเริ่ม เหลือแต่เจ้าสำนักเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่มา!

แม้ว่าทุกสายอาชีพจะมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ว่า ยิ่งตำแหน่งสูงก็ยิ่งมาสายได้เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ปรมาจารย์แห่งเต๋าอย่างเฟิงอิ๋นกลับไม่เคยทำกิริยาบ้าบอเช่นนั้น ความตรงต่อเวลาของเขาทำให้คนหลายสำนักพ่ายแพ้ราบคาบ (โดยเฉพาะอดีตผู้อาวุโสห้าแห่งหอกระบี่สวรรค์) ทว่าครั้งนี้เจ้าสำนักกลับมาสายถึงครึ่งชั่วยาม ทำให้ทุกคนในนั้นสับสนงุนงงอย่างยิ่ง

ผู้อาวุโสสี่โจวหมิงที่มีนิสัยค่อนข้างใจร้อน หันไปสั่งศิษย์ใกล้ชิดของตัวเองว่า “หลิวหลี เจ้าไปดูซิว่าเจ้าสำนักกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ รีบไปเชิญท่านมา”

ศิษย์หญิงที่ยืนอยู่ข้างกายคนหนึ่งยิ้มรับผงกศีรษะ พุ่งทะยานออกไปทันทีด้วยความเร็วแสง

ครึ่งก้านธูปต่อมา ศิษย์หญิงก็บินกลับมา “รายงานท่านอาจารย์ ศิษย์หาท่านเจ้าสำนักไม่พบ”

“…เจ้าไปหาที่ไหน?”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อตะกี้ท่านอาจารย์มิได้บอกนี่นา”

“เจ้า...” โจวหมิงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้าอย่างอับจนปัญญา “เอาเถอะ นั่งลงได้แล้ว”

“เจ้าค่ะ!”

............................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด